ไป๋เสี่ยวหรันเดินเข้ามาได้ยินประโยคนั้นพอดี ราวกับว่าเขาจงใจเปล่งเสียงดังเพื่อให้นางได้ยินนางหยุดชะงักฝีเท้าทันที อ้อมแขนที่โอบกอดอาหยวนอยู่พลันกระชับแน่นขึ้นทว่าดวงตาเมล็ดซิ่งที่จ้องมองเซี่ยเว่ยหลงกลับแข็งกร้าวและไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ฉายออกมาไม่มีทั้งความผิดหวัง อาลัยอาวรณ์หรือเสียใจแต่กลับเรียบเฉยเย็นชาราวกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแม้ว่ายามนี้ ในใจของปั่นป่วนคล้ายคลื่นกระทบฝั่งก็ตามไป๋เสี่ยวหรันพลันสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างเยื่อใย “นายท่านเซี่ยได้โปรดระวังคำพูดด้วยเจ้าค่ะ...ข้าและท่านยามนี้ได้หย่าขาดกันแล้ว ไม่ได้มีสิ่งใดเกี่ยวพันต่อกันอีก เกรงว่าถ้อยคำเช่นนั้นจะทำให้ข้าดูเสียหายไม่น้อย”ไม่มีทั้งความผิดหวัง ไม่มีแม้กระทั่งความโหยหา ดวงตาคู่งามของนางนิ่งเฉยและเย็นชาราวกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยมีวันคืนร่วมกันมาก่อนท่าทีเฉยเมยเช่นนี้มิต่างอันใดจากคมมีดที่กำลังกรีดลึกลงกลางใจของเขาเซี่ยเว่ยหลงยืนแน่นิ่งอยู่กับที่…เขามองนางด้วยสายตาวูบไหวยากเกินจะควบคุม ความเจ็บปวดปะทุขึ้นมาในอกพลันบีบรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออกนางไม่แม้แต่จะโกรธหรือเกลียดเขา…แต่นาง
หากไม่อยู่ที่จวนแล้ว เซี่ยเว่ยหลงก็วนเวียนกลับมาสถานที่ที่เคยอยู่ด้วยกันครั้งสุดท้ายก่อนที่นางจะจากเขาไปเพราะหวังว่าจะได้พบนางอีกครั้ง…!?ใบหน้าหล่อเหลาหม่นหมองลงอย่างชัดเจน สายตาคมกริบกวาดมองไปตามร้านค้าและโรงเตี๊ยมต่างๆ ด้วยท่าทางเหม่อลอย แต่กลับแฝงไปด้วยความหวังว่าเขาจะบังเอิญพบกับนางอีกครั้งผ่านไปหลายสิบวันแล้ว ไม่รู้ตอนนี้นางและบุตรชายจะเป็นอย่างไรบ้าง...เซี่ยเว่ยหลงยังคงจำวันนั้นได้ดี วันที่นายท่านไปนำบุตรสาวออกมาป่าวประกาศต่อผู้คนนับไม่ถ้วนอย่างไร้ศักดิ์ศรี เพียงเพราะต้องการสินสอดราคาสูงลิ่วเพื่อแลกกับขายบุตรสาวกินเท่านั้น…สายตาของไป๋เสี่ยวหรันในยามนั้นทั้งโดดเดี่ยว ไร้ที่พึ่งและจนตรอกไร้หนทางนั่นคือครั้งแรกที่เขาได้เจอนาง...พอนึกถึงเรื่องนี้ หัวใจของเขาพลันบีบรัดแน่นจนปวดหนึบไม่น้อย สตรีที่โดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่งเพียงนั้นไม่รู้เลยว่านางจะได้กินอิ่มนอนหลับหรือไม่…!?เซี่ยเว่ยหลงเดินอย่างเหม่อลอยพร้อมกับความรู้สึกผิดที่ผุดขึ้นมาในความคิดราวกับตอกย้ำทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะความอวดดีของเขา…ความอวดดีที่คิดว่าจะอยู่ได้แม้ไม่มีนาง ทั้งที่ในใจลึกๆ แล้วเขารักนางมากเพียงใด
“…”ไป๋เสี่ยวหรันเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินประโยคนี้นางไม่อาจหยั่งรู้ถึงจิตใจหรือความรู้สึกของผู้ใดได้...แม้กระทั่งกับบุรุษตรงหน้าผู้นี้ แต่ทว่าหลายวันมานี้นางสังเกตว่า สายตาคมกริบยามที่ทอดมองนางนั้น…ลึกซึ้งเกินกว่าจะใช้หญิงสาวธรรมดาได้เมิ่งหานเฟิ่งสบเข้ากับนัยน์ตาเมล็ดซิ่งของไป๋เสี่ยวหรันนิ่งๆ ทว่าแฝงด้วยความรู้สึกบางอย่างเอาไว้แต่กลับเลือกที่จะไม่พูดสิ่งใดออกไปและเก็บซ่อนเอาไว้ เกรงว่าหากเอ่ยอันใดออกไปตอนนี้คงไม่เหมาะสมนัก…เพียงชั่วพริบตาเดียว บรรยากาศภายในห้องพลันเงียบสงบลงไปชั่วขณะ เหล่าสาวใช้ต่างรู้สึกถึงความกระอักกระอ่วนที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเสียจนน่าอึดอัดใจไป๋เสี่ยวหรันเบือนหน้าหันหนีเล็กน้อยนางพลางยื่นมือออกไปยกขึ้นจัดแขนเสื้อของอาหยวนที่กำลังหัวเราะคิกคักอยู่ในอ้อมอกของบุรุษตรงหน้า“ข้าไม่ต้องการรบกวนผู้ใดไปมากกว่านี้แล้วเจ้าค่ะ”ไป๋เสี่ยวหรันกล่าวน้ำเสียงของหวานเอ่ยออกมาแผ่วเบา ใบหน้าคนงามฝืนยิ้มจางๆ ออกมาอย่างอ่อนโยนเมิ่งหานเฟิ่งเห็นนางเป็นเช่นนี้ เขายิ่งรู้สึกหนักใจยิ่งกว่าเดิม “หากการอยู่ที่นี่เป็นการรบกวนสำหรับแม่นาง…เช่นนั้นข้าเกรงว่าทุกผู้คนในจวนคงยินดีถูกรบกวนท
จะว่าอย่างไรดี…นี่คงมิใช่เรื่องโกหกอย่างแน่นอนราวกับว่ากำลังตอกย้ำคำพูดของเซี่ยเว่ยหลงเมื่อคราวก่อนอวิ๋นเออร์จำได้ดี…สตรีผู้นั้นที่ยืนอยู่ข้างกายเซี่ยเว่ยหลงเมื่อคราวก่อนพร้อมกับเด็กชายผู้หนึ่งในอ้อมแขน ทว่าแทนที่พอได้ยินถ้อยคำนั้นแล้วนางจะรู้สึกประหลาดใจแต่กลับระบายยิ้มกว้างออกมาเบาๆ รอยยิ้มผุดบนใบหน้าคนงาม นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกลับเย็นเยือกไร้อารมณ์ขบขัน“คุณชายจาง เล่นใหญ่เกินไปแล้วกระมัง…ขับไล่ข้าออกไปเช่นนี้ ราวกับเป็นเรือนของท่านเสียเอง” อวิ๋นเออร์กล่าวเสียงหวานเดิมที นางก็มิได้ชื่นชอบบุรุษผู้นี้อยู่แล้ว ยิ่งเขากล่าวจิกกัดอย่างเสียมารยาทเช่นนี้…นางยิ่งไม่มีทางยอมแน่!สายสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซี่ยเว่ยหลงนั้นแนบแน่นยิ่งกว่าสิ่งใด ซ้ำยังเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานับปี ไฉนจึงจะตัดขาดกันได้ง่ายดายเพียงนี้กันเล่า…!?นางยังจำแววตาของเขาในวันแต่งงานได้ดี…สายตาคมกริบสะท้อนความลังเลไม่ยินยอมปล่อยนางไป รวมถึงคำสาบานอันหนักแน่น…ที่กล่าวว่าจะไม่แต่งภรรยาไปชั่วชีวิตอีกหากเขามีภรรยาใหม่จริง…ก็คงเป็นเพียงการถูกบีบบังคับส่วนเด็กชายผู้นั้น หากเป็นบุตรของเขาจริงก็คงเป็นเรื่องผิดพลาดมาจากค่ำคืนเข้าหอที
ผ่านไปหลายวัน…รถม้าคันใหญ่ค่อยๆ หยุดลงตรงหน้าประตูจวนสกุลเซี่ยที่ปิดสนิทเงียบ ม่านผ้าถูกแหวกออกอย่างแผ่วเบา อวิ๋นเออร์ก้าวลงจากรถม้าอย่างเชื่องช้าโดยมีสาวใช้ข้างกายคอยประคองมือเอาไว้ในจังหวะนั้นเอง…นางชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองป้ายไม้แกะสลักซึ่งแขวนอยู่เหนือศีรษะ หัวคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างแผ่วเบา ดวงตาคู่งามฉายแววสับสน‘สกุลเซี่ย…’เหตุใดถึงเงียบราวกับไม่มีผู้ใดอยู่กัน“แน่ใจหรือ…” น้ำเสียงหวานกล่าวออกมาคล้ายกลับไม่เชื่อ อวิ๋นเออร์หันไปเอ่ยถามกับสารถีขับรถม้าสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างพลางตอบแทนทันที “จวนสกุลเซี่ยแน่นอนเจ้าค่ะฮูหยิน”อวิ๋นเออร์พยักหน้าเล็กน้อยนางนิ่งเงียบไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก ใบหน้าคนงามสงบ หากในดวงตากลับเต็มไปด้วยคลื่นความคิดที่ไหลวนไม่หยุดเหมือนกำลังตั้งครุ่นคิดบางอย่างอยู่…ตั้งแต่วันที่เซี่ยเว่ยหลงขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแต่งงานออกไปนั้น นางก็ย้ายไปอยู่บ้านสามีตามธรรมเนียมที่อยู่ห่างออกไป เกรงว่าคงสามปีกว่าได้แล้วกระมังที่ไม่ได้หวนกลับมาที่นี่อีกบางทีเขาอาจจะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วเป็นแน่…!?บรรยากาศหน้าจวนสกุลเซี่ยยามนี้เงียบสงบจนเรียกได้ว่าวังเวงเสียด
บรรยากาศยามบ่ายคล้อย แสงแดดอ่อนสาดส่องผ่านใบไม้ปลิวไสว สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาพลันทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาดใจ เมิ่งซือซือนั่งเหยียดหลังตรง ใบหน้าคนงามเชิดขึ้นท่วงท่าของสง่างาม แม้จะไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดออกมาทว่ากลับบ่งบอกอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในใจออกมาอย่างชัดเจนนางพลางยกจอกน้ำชาขึ้นมาจิบอย่างละเมียดละไม ดวงตาคู่งามทอดมองสระบัวเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย ทว่ากลับกำลังตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะเอ่ยออกมาเงียบๆไป๋เสี่ยวหรันถอนหายใจเฮือกใหญ่ นางมีเพียงเมิ่งซือซือเป็นสหายเท่านั้น แม้จะรู้จักกันไม่นานนักแต่ความสัมพันธ์ระหว่างกันกลับแน่นแฟ้นอย่างน่าประหลาด“เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกและกะทันหันนัก ข้าจึงไม่มีโอกาสได้บอกเจ้าให้รู้ล่วงหน้า” น้ำเสียงหวานเอ่ยออกมาแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดพอได้ยินถ้อยคำนั้นนั้น…เมิ่งซือซือหันขวับปรายสายตาไปมองทันที“ไป๋เสี่ยวหรัน...เพราะเหตุใดกันเจ้าจึงชอบแบกรับทุกสิ่งไว้เพียงลำพังอยู่ตลอด ไม่ว่าจะตอนนี้หรือแม้แต่เมื่อสามปีก่อนก็ตาม” ไม่ว่าจะเป็นเมื่อครั้งนายท่านไป๋พาไป๋เสี่ยวหรันไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง แล้วป่าวประกาศหาคู่ครองให้นางอย่างเอิกเกริก แท้จริงแล้