"โอ้ย…ปวดหัว!" ฉันทิ้งตัวลงบนม้าหินอ่อนหน้าคณะนิเทศที่เป็นที่นั่งประจำของกลุ่มก่อนขึ้นเรียน แล้วฟุบใบหน้านอนทับแขนเรียวในตอนเช้าตรู่ของวันที่มีเรียนและเข้าใกล้เวลาจะเข้าเรียนคาบเช้าเต็มที
หากไม่ติดว่าวันนี้มีการสอบเก็บคะแนนในคาบฉันจะขาดเรียนให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อคืนดันดื่มเอาเป็นเอาตายไม่สนใจแม้จะรู้ว่ามีการสอบในคาบเรียนเช้า ให้ตายเถอะยังคงรู้สึกถึงแอลกอฮอล์ที่ยังคาอยู่ที่คอจนแทบอยากจะพุ่งออกมาอยู่เลย
"ก็มึงเล่นแดกเข้าไปขนาดนั้น ไม่ปวดหัวก็แย่" เรียกว่าอาบแทนดื่มก็คงจะดีกว่าซะกว่า เมื่อคืนถือว่าเป็นคืนที่ฉันดื่มหนักในรอบปีเลยก็ว่าได้
"ก็กูเครียดนี่หว่า" เพราะคิดว่าแอลกอฮอล์มันก็ทำให้ฉันลืมเรื่องเครียดไปได้ชั่วขณะ ถึงจะตื่นมาแล้วยังปัญหายังอยู่เช่นเดิมไม่ได้หายไป แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งที่อยากจะลืม
"แล้วสรุปเรื่องที่แม่มึงบังคับให้หมั้นคือเรื่องจริงเหรอวะ?" นี่แหละคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเหตุการณ์อาบเหล้าเมื่อคืนนี้ เพราะคุณหญิงสุดารัตน์หรือแม่แท้ ๆ ของฉันยื่นคำขาดบังคับให้ฉันหมั้นกับบุคคลปริศนา ไม่รู้แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนาม หน้าตาและการศึกษา รู้แค่อย่างเดียวคือฐานะรวยที่เอาการ เพราะการหมั้นของฉันเกิดขึ้นด้วยธุรกิจทั้งสิ้น
"ถ้าไม่จริงกูจะเครียดแบบนี้เหรอ แม่งเอ้ย…ทำยังไงดีวะ" ว่าแล้วฉันก็แหงนหน้าขึ้นมาเท้าคางอย่างท้อใจ แม่ไม่ยอมฟังคำพูดหรือเหตุผลของฉันเลยสักนิด เอาแต่บอกว่าเขาดีอย่างนู้นดีอย่างนี้ ช่วยครอบครัวเราเอาไว้ได้โดยไม่ถามความเห็นของฉันเลยสักนิด แน่นอนว่าฉันไม่เชื่อในสิ่งที่แม่บอกมา ถ้าดีจริงก็คงจะไม่มานั่งให้ผู้ใหญ่จับคู่ให้แบบนี้หรอก คงจะเป็นเสี่ยแก่ ๆ อายุสามสิบที่อยู่ตัวคนเดียวไม่มีใครเอา ถึงได้อยากมีคู่หมั้นจนตัวสั่นไม่มีปัญญาหาเองแบบนี้
"มึงก็บอกแม่ไปสิวะว่ามึงมีแฟนแล้ว" โอโซนออกความคิดเห็น แต่ฉันกลับไม่ได้เห็นด้วยเพราะว่าฉันเคยทำแล้ว แต่…
"แม่กูไม่เชื่อ" ทั้งชีวิตฉันไม่เคยมีแฟนเลยสักคน ไม่เคยควงใครเลยด้วยซ้ำ ถ้าแม่จะเชื่อก็บ้าแล้ว
"มึงก็หาจริง ๆ ไปเลยสิ ปีสองแล้วนะเว้ย กูยังไม่เห็นมึงมีแฟนหรือคบใครสักคน"
"โอ้ยอย่างมันเหรอ แค่มีผู้ชายเข้ามาจีบก็ไล่ตะเพิดเขาไปหมด" ฉันมองยัยโอโซนตาขวาง ถึงมันจะจริงอย่างที่เพื่อนว่าก็เถอะ
"แต่ละคนที่เข้ามาไม่มีใครจริงใจ ใครจะไปเอาวะ" ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไล่คนที่เข้ามาโดยไร้เหตุผล แต่ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่หวังอยากเคลมก็หวังแค่อยากจะลิ้มลองว่าดาวมหา'ลัยแบบฉันมันจะสักแค่ไหนกัน ฉันเจอมาหมดทุกรูปแบบแล้ว แค่บอกว่าห้ามโดนตัวในระหว่างจีบกันห้ามมีอะไรกันก่อนจะแต่งงานแค่นี้ก็หนีหายหัวซุกหัวซุนกันไปหมด ไม่ยักจะเห็นใครจริงใจเลยสักคน
"กับบางคนที่มึงเจอเขาแค่ห้านาทีมึงก็ตัดสินว่าเขาไม่จริงใจแล้วน่ะนะ?"
"แค่ดูสายตาก็รู้แล้วปะวะ" สายตามันหลอกกันไม่ได้คำนี้ไม่เกินจริง แค่หนึ่งนาทีในบางคนก็มองเห็นความต้องการทะลุปรุโปร่งแล้ว
"เห้อ...ซินดี้มึงพูดต่อดิ้ กูหมดคำพูดกับมันแล้ว" คนย่อท้อส่ายหัวแล้วขยับถอยออกมา ซินดี้จึงรับหน้าที่นั้นต่อพร้อมทั้งทำหน้าจริงจังยิ่งกว่าตอนเรียนหนังสือในห้องเรียน
"กูถามจริง มึงจะเก็บพรหมจรรย์จนแต่งงานจริง ๆ เหรอวะ?" ฉันหดคอแล้วถอนหายใจเสียงดัง นึกว่าจะมีอะไรสำคัญมากกว่านี้อีก ที่แท้ก็ทวนถามคำถามที่ครั้งหนึ่งฉันเคยลั่นไว้จนพวกมันเคยช็อกทันทีที่ได้ยิน
"กูก็ไม่ได้หัวโบราณขนาดนั้นป่าววะ แต่ถ้าวันหนึ่งกูเจอคนที่เต็มใจอยากให้ มากกว่าร่างกายกูก็ให้เขาได้"
และใช่...ฉันล้อเล่น ตอนนั้นก็แค่ตอบไปเพื่อตัดรำคาญเพื่อนที่ถามมาก แต่ถ้าเอาความจริง พรหมจรรย์ของฉันฉันก็แค่อยากมอบให้ใครสักคนที่ฉันเต็มใจอยากให้ อาจจะเป็นแฟนหรือไม่ใช่ เป็นไปได้หมดเพราะฉันก็ไม่ได้สนใจสถานะถึงขนาดนั้น
"อย่างเช่นพี่ชายที่แสนดีของมึงน่ะเหรอ?" คำถามของยัยโอโซนทำฉันสะอึกจนพูดไม่ออก รอยยิ้มอ่อน ๆ บนใบหน้าค่อย ๆ จางลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะปรายสายตาไปมองมันนิ่ง ๆ ไอเพื่อนรักมันก็พร้อมถอนยิ้มแหย่ ๆ แล้วพนมมือขึ้นมาไหว้ขอโทษฉันทันที
"ขอโทษ กูพลาด" ฉันพยักหน้าเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ตัดสินใจหยุดบทสนทนาไว้แค่นั้น แล้วรีบเก็บของเพราะใกล้ถึงเวลาแห่งความทุกข์อีกอย่างในชีวิต จึงต้องเก็บเรื่องราวความเครียดทั้งหมดไว้ แล้วแบกร่างที่เหลือแค่กายหยาบรับเรื่องเครียดในการเรียนเข้ามาในสมองให้มากกว่าเดิม
หลังเลิกเรียน
ช่วงบ่ายที่ไม่มีเรียนต่อฉันก็ถูกเพื่อนสองคนลากกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของโอโซน โดยถูกเพื่อนสนิทจัดแจงทุกอย่างแม้กระทั่งการเลือกสีเสื้อสีชมพูแป๋นกันทั้งสามคน จากนั้นก็ลากฉันมาที่ไหนสักที่ พร้อมกับข้าวของที่จอดซื้อทั้งดอกบัวและผลไม้คนละชุดจนพะรุงพะรัง ยัยโอโซนที่ทำหน้าที่ขับรถบังคับพวงมาลัยเลี้ยวมาจอดหน้าสถานที่แห่งหนึ่งที่มีผู้คนทั้งเดินเข้าเดินออกไม่หยุด แล้วดับรถถือของลากฉันเดินตามโดยตลอดทางฉันก็เอาแต่ถามด้วยความสงสัย แต่พวกมันก็ปิดปากเงียบไม่ตอบอะไรสักอย่าง จนสุดท้ายก็มาถึงที่ ทำเอาฉันถึงบางอ้อโดยทุกข้อสงสัยได้รับคำตอบที่กระจ่างขึ้นมาทันที
"พามามูเนี่ยนะ!" มูหรือมูเตลูแหล่งยอดฮิตที่กำลังเป็นที่นิยมของคนในยุคปัจจุบันนี้ แน่นอนว่าไม่พ้นพระแม่ลักษมีที่ไม่มีใครที่ไม่รู้จักในตอนนี้ ซึ่งฉันเองก็พอเห็นผ่านตาได้ยินผ่านหูถึงอิทธิฤทธิ์ความปังของท่านมาเยอะ แต่ก็ไม่ได้สนอกสนใจมากนักเพราะฉันไม่เคยโหยหาอะไรในชีวิตโดยเฉพาะเรื่องของความรัก
"ใช่ ถ้าแกไม่อยากหมั้นแกก็ต้องมีแฟนเป็นตัวเป็นตน และวิธีนี้มันก็ได้ผลเร็วที่สุด" ซินดี้พูดจบก็พยักหน้าให้โอโซน เท่านั้นมันก็ยัดทั้งดอกบัวสีชมพู ผลไม้หลายอย่างใส่มือฉันและสิ่งสุดท้ายก็เป็นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่เขียนคาถาบูชาพระแม่เอาไว้เรียบร้อย ให้ตายเถอะ...การมาครั้งนี้ถูกเตรียมการมาอย่างดี ครบทุกอย่างเท่าที่คนคนหนึ่งอยากจะขอพรให้ได้ผลทันควัน แต่ที่มันลืมไปอย่างนึงและสำคัญมาก ๆ คือขอความสมัครใจจากฉัน หรือปรึกษาฉันสักคำก่อนที่จะจัดแจง
"มึงอ่านคาถาบูชาตามนั้นเลยนะ อ่านเสร็จก็บอกชื่อนามสกุลของมึงแล้วสิ่งที่มึงอยากขอ บอกสเปคแบบละเอียดเลยก็ดีพระแม่จะได้จัดให้มึงได้ถูกใจ"
"แต่กูไม่ได้อยากมี"
"เอาหนา…ไหน ๆ ก็มาถึงที่แล้ว พวกกูอุตส่าห์ทำเพื่อมึงขนาดนี้ มึงยังจะปฏิเสธพวกกูอีกเหรอ?" ฉันเกลียดสายตาละห้อยใบหน้าอ้อน(ตีน)ของพวกมันที่สุด ทำอะไรไม่ปรึกษากันเลยแถมยังพยายามทำให้ฉันที่กำลังจะปฏิเสธดันรู้สึกผิดขึ้นมาหากจะกล่าวปฏิเสธ ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิดเดียว
แต่ก็เอาเถอะ…มาถึงขั้นนี้แล้วก็คงต้องลองดูตอบแทนความหวังดีของเพื่อนที่ไม่ค่อยต้องการมากนัก ถ้าพระแม่จะประทานผู้ชายให้สักคนในชีวิตนี้ก็ขอให้คนคนนั้นหล่อ หุ่นดี ขาว ฟีลอปป้าเกาหลี รวยด้วยก็ดีจะได้ไม่ลำบาก แต่ที่สำคัญเลยคือศีลต้องเสมอกัน อยู่ด้วยกันไปยาว ๆ คลั่งรักฉันมาก ๆ และไม่เจ้าชู้เด็ดขาด
ถ้าได้ทุกอย่างตามนี้หนูสัญญาว่าจะรักเขาไปจนตายเลย…