เพียงไม่นานภูดิศก็ขับรถมาถึงบริษัทโฆษณาเอสดีแอดส์ฯ
พริมาเอ่ยขอบคุณ ขอให้เขาเดินทางดี ๆ แล้วลงจากรถ แต่หันไปมองอีกทีก็เห็นคนตัวโตเดินตามเข้ามายันหน้าตึก
“พี่ภู! คนนอกห้ามเข้าอาคารนี้ค่ะ รีบไปทำงานสิคะ”
ร่างบางมองซ้ายมองขวาราวกับกลัวคนเห็น อีกคนเลยยิ่งแกล้งหนักขึ้น
“ไม่เอา พี่จะไปส่งเราก่อน”
“พราวทำงานที่นี่มาหลายปีแล้ว ไม่หลงหรอกค่ะ”
“งั้นพราวไปส่งพี่แทนแล้วกัน ห้องไอ้เอสอยู่ไหนเหรอ” เห็นน้องทำหน้างงงวยก็ต้องกลั้นขำ “ห้องบอสอธิปอยู่ที่ไหนครับ”
“พี่ภูจะไปทำไมคะ”
“อ้าว ไอ้ภู กว่าจะเสด็จมาได้นะมึง กูกำลังคิดว่าถ้าวันนี้มึงยังไม่โผล่หัวมากูจะไปตามถึงบ้านแล้ว”
อธิปเดินเข้ามากอดคอเพื่อนรัก ก่อนจะหันไปมองสาวน้อยตรงหน้าแล้วพูดแซวเสียงหวาน
“นี่มาด้วยกันเหรอ หวานกันจังเลยน้า”
“อืม”
ภูดิศตอบรับนิ่ง ๆ แต่พริมารีบแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ยิ่งพูดก็ยิ่งชวนให้สงสัยเข้าไปใหญ่
“ปะ...เปล่าค่ะ คือคุณภูเจอพราวเดินอยู่ข้างถนนก็เลยให้ติดรถมาด้วยกันน่ะค่ะ”
คนฟังพากันขำเบา ๆ เพราะเธอยิ่งแก้ตัวก็ยิ่งดูรู้ว่าสนิทกัน
ตอนนี้พนักงานคนอื่นเริ่มหยุดมองอย่างสนใจมาก หญิงสาวทำหน้าไม่ถูกเลย พอเหลือบไปเห็นอัคคีกับคู่ขายืนอยู่ไกล ๆ ก็นึกอยากหายตัวไปจากตรงนี้ชะมัด
“พราวขอตัวก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวสิ” ภูดิศคว้าข้อมือเล็กไว้ ยัดถุงกระดาษส่งให้ “ข้าวเที่ยงครับ เก็บไว้ให้พี่ด้วยนะ”
สาว ๆ แถวนั้นส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันใด พริมารีบสาวเท้าเดินหนีไปอย่างไม่เกรงใจบอสแล้ว
คนตัวโตมองตามแล้วหัวเราะเบา ๆ อธิปเลยถองศอกใส่สีข้างเพื่อน
“คงว่างคุยกับกูสักทีสินะ ส่งเมียไปทำงานแล้วนี่”
“เออ ๆ ไปสิ”
สองหนุ่มพากันเดินขึ้นไปชั้นบนของตึกสร้างสรรค์ ทิ้งความสงสัยกองใหญ่ไว้เบื้องหลัง
พอพริมาเดินเข้าไปในแผนกก็เจอเพื่อนสนิทยืนคุยกับหัวหน้าอยู่ที่โต๊ะ
อิงฤดีเห็นหน้าอีกฝ่ายก็รีบเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป ทำไมหน้าแดงขนาดนี้”
“เปล่า ๆ เราไม่ได้เป็นอะไร”
“พราว เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
อัคคีเปิดประตูพรวดพราดเข้ามา มือจับแขนร่างบางบีบไว้แน่นจนเธอนิ่วหน้า
“ตกลงพราวไอ้หมอนั่นไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วล่ะ ทำไมถึงมาทำงานด้วยกันได้ ไหนจะข้าวกล่องบ้าบอนั่นอีก”
ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งแค้นใจ ปัดถุงในมือเธอจนหล่นตกพื้นแตกกระจาย พริมามองกล่องข้าวแล้วรู้สึกโกรธจัด พูดขึ้นเสียงใส่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“มีอะไรคุยกันดี ๆ ก็ได้ ทำไมต้องทำลายข้าวของด้วย”
“เหอะ ถึงกับดุพี่เลยนะ หวงของที่มันให้มามากขนาดนั้นเชียว”
“พี่ก็รู้ว่าพราวไม่ชอบคนใช้กำลัง” หญิงสาวพยายามแกะมืออีกฝ่ายออก “ปล่อยค่ะ เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว”
แต่ยิ่งเธอดิ้นอัคคีก็ยิ่งออกแรงบีบมากขึ้น ร่างบางเจ็บจนหน้าเบ้ นิธินันท์ต้องรีบเข้าไปช่วยลูกน้อง
“นี่มันที่ทำงาน เรื่องส่วนตัวเอาไว้คุยกัน...”
พูดยังไม่ทันขาดคำก็ถูกหมัดของอัคคีเข้าเต็ม ๆ จนหน้าชาไปแถบหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ยอมขยับหนีไปไหน
“ออกไปจากแผนกของผม”
“ผัวเมียเค้าจะเคลียร์กันมึงเสือกอะไรด้วย หรือเป็นชู้อีกคน”
“พราวไม่เคยมีชู้ พี่เปลวอย่าเอาความผิดของตัวเองมาโยนให้คนอื่น เราจบกันแล้ว เลิกมายุ่งกับชีวิตพราวสักที”
“พราว...” อัคคีจ้องมองแฟนสาวด้วยสายตาซับซ้อน
“ไป!” พริมาตะคอกเสียงดัง ยกมือชี้ไปที่ประตู “พราวจะพูดดี ๆ ด้วยเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าพี่เปลวยังไม่หยุดก่อกวนพราวจะแจ้งความ”
สีหน้าคนตัวเล็กจริงจังมาก อัคคีไม่เคยเห็นมุมนี้ของเธอมาก่อนจึงชะงักนิ่งไปหลายอึดใจ
“ก็ได้ แต่พี่ไม่ยอมเสียพราวไปแน่”
ขาดคำชายหนุ่มก็สาวเท้าออกจากห้อง พริมารีบเข้าไปดูคนที่มาช่วยเธอไว้
“หัวหน้าเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
“ไม่เป็นไร พราวทำงานเถอะ” นิธินันท์เอ่ยเสียงเรียบแล้วเดินเข้าห้องทำงานไป
พริมานั่งลงเก็บข้าวกล่องที่หกเละเทะ อิงฤดียืนลังเลว่าจะช่วยเพื่อนดีไหม แต่อีกฝ่ายก็พูดขึ้นก่อน
“อิงช่วยเอาน้ำแข็งไปให้หัวหน้าประคบแก้มทีได้ไหม โดนเข้าไปขนาดนั้นคงเจ็บมาก”
“ได้สิ ๆ”
อิงฤดีรีบเปิดตู้เย็นเทน้ำแข็งก้อนใส่ถุงพลาสติก ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้าแผนกบัญชี
เจ้าของห้องกำลังนั่งเก๊กท่าตั้งใจทำงานอยู่ แต่พอเห็นว่าเป็นใครก็ออกอาการสำออยขึ้นมาทันใด
“โอ้ย เจ็บมากเลย จะมีใครเป็นห่วงเราหรือเปล่าน้า” ขาดคำก็ถูกฝ่ามือพิฆาตตบแขนป้าบเข้าให้ “โอ้ย ตีพี่ทำไมเนี่ย”
“ใครใช้ให้เอาหน้าไปรับหมัดล่ะคะ” อิงฤดีค้อนใส่พลางเอาถุงน้ำแข็งประคบแก้มบวม ๆ ให้ “สมน้ำหน้า อยากทำตัวเป็นพระเอกดีนัก น่าปล่อยให้เจ็บจนกินข้าวไม่ได้สักหลายวัน”
นิธินันท์ยกมือแฟนสาวข้างที่ว่างขึ้นมากุมไว้ “ก็เราจะเข้าไปขวางก่อนทำไมล่ะ พี่เลยต้องชิงเข้าไปแทน”
ใบหน้าสวยที่ขมวดคิ้วมุ่นเปลี่ยนเป็นเก้อเขินขึ้นมา “ที่พี่เข้าไปก็เพราะ...”
“หมอนั่นอารมณ์ร้อนจะตาย พี่กลัวมันจะลงไม้ลงมือกับอิง ถ้าเป็นแบบนั้นพี่ไม่ยอมจบแค่นี้แน่”
ดวงตาคมวาววับขึ้นหลายส่วน ช่วยบอกให้รู้ว่าเขาพูดจริงทำจริง เล่นเอาอีกคนอุ่นวาบไปทั้งใจ แต่ก็ยังวางท่ามากอยู่
“ประคบเองไปเลยค่ะ อิงจะออกไปทำงานต่อแล้ว”
“โอ้ย เจ็บมากเลย คืนนี้ต้องการพยาบาลมาช่วยดูแล”
คนตัวโตพูดออดอ้อนอย่างหน้าไม่อาย แต่อิงฤดีดูแววตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นออกว่าเขาอยากให้ไปดูแลเรื่องไหน
“ถ้างั้นก็รีบทำงานเข้าสิคะ”
“กล้าสั่งหัวหน้าเชียวเหรอยะ”
ชมพูนุชเห็นรุ่นน้องหายเข้ามานานแล้วเลยตามมาขัด พอเปิดประตูก็ได้ยินประโยคนั้นเข้าพอดี
“แก่นกะโหลกจริง ๆ ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่”
คนถูกต่อว่าชักสีหน้าใส่เล็กน้อย ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาข้างนอก ปล่อยให้แฟนหนุ่มรับมือไปเอง
อิงฤดีออกมาช่วยเพื่อนทำความสะอาดแล้วค่อยซักถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอัคคีถึงตามมาฟาดงวงฟาดงาแบบนี้
พริมาเล่าอ้อมไปอ้อมมา แต่อีกฝ่ายก็จับใจความสำคัญได้อยู่ดี
“ตกลงว่าเธอกับคุณภูดิศ...”
ถามแค่นี้ก็ได้คำตอบแล้ว เพราะเพื่อนหน้าแดงอย่างกับถูกน้ำร้อนลวก ออกอาการยิ่งกว่าตอนที่ไอ้พี่เปลวมาตามจีบอีก
แม้จะเห็นว่าหนุ่มคนใหม่ดูแลพริมาค่อนข้างดี แต่อิงฤดีก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้
“แกแน่ใจแล้วเหรอว่าเขาไม่มีความลับอะไร หรือไม่ได้มีใครซุกเอาไว้ที่ต่างประเทศน่ะ”
คนถูกถามนิ่งอึ้งไป เรื่องนี้เธอยังไม่มีคำตอบให้ตัวเองเหมือนกัน เพราะเขาแทบไม่เปิดโอกาสให้ซักถาม ไม่ให้เวลาคิดไตร่ตรองอะไรเลย
“ก็คงต้องดูกันต่อไปล่ะมั้ง”
พริมาตอบเบา ๆ อิงฤดีก็ได้แต่พยักหน้ารับ
“เอาเถอะ ฉันว่าถ้าเธอรอดจากไอ้พี่เปลวมาได้ก็ไม่ต้องกลัวใครแล้วมั้ง”
“นั่นสิเนอะ”
สองสาวส่งยิ้มให้กำลังใจกัน ก่อนจะหันไปมองสาวรุ่นพี่ที่เดินสะบัดสะบิ้งกลับมานั่งโต๊ะทำงาน
“มองอะไรกันยะ งานการไม่มีทำหรือไง”
พวกรุ่นน้องพากันก้มหน้าทำงาน ขี้เกียจเถียงกับคนพาล เอาไว้ค่อยคุยเรื่องที่ค้างไว้ต่อตอนพักเที่ยง
ทางภูดิศตามเพื่อนขึ้นมาที่ห้องทำงานชั้นบนสุด พอประตูปิดลงก็ถูกอธิปพูดแซวทันที
“แหม๋ ๆ เพิ่งรู้ว่าไอ้คุณภูเป็นคนติดเมียขนาดนี้ แถมยังมีทำข้างกล่องให้กันด้วย”
“ก็พราวชอบกินอาหารทำเอง”
คนถูกแซวทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างที่โซฟาสีขาวกลางห้อง ท่าทางไม่สะทกสะท้านกับคำพูดเหล่านั้นสักนิด
“ว่าแต่มึงอยากได้ช่างภาพคนใหม่ไหม กูจะช่วยหาให้”
“โน ๆ กูคงไล่เปลวออกไม่ได้ ถ้าไม่ได้ทำผิดเรื่องงาน”
“เออ กูรู้ แค่ลองถามดู”
ภูดิศจ้องมองออกนอกหน้าต่างด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่แววตาฉายแววหงุดหงิดไม่น้อย อธิปเห็นแล้วสงสัย
“ทำไมวะ มึงกลัวพราวกลับไปคบกับแฟนเก่าหรือไง”
“ไม่มีทาง กูแค่ไม่อยากให้น้องรำคาญใจ”
“คร้าบ ๆ เป็นห่วงเป็นใยกันเหลือเกินนะ เพิ่งเจอกันแค่ไม่กี่วันไม่ใช่เหรอวะ”
“ใครบอกมึง”
“หมายความว่ายังไง”
“กูเล็งมาตั้งแต่สิบกว่าขวบแล้ว เขาเป็นน้องข้างบ้านกูเอง”
“อ๋อ มิน่าล่ะมึงถึงกระโจนเข้าใส่ทันทีที่เห็น สงสัยจะรักมากนะเนี่ยถึงยังจำได้แม่นเลย”
ภูดิศยกยิ้มรับ “ตกลงว่ามึงจะให้กูทำงานไหม”
“อยู่ ๆ ก็ขยันขึ้นมาซะงั้น ก่อนหน้านี้กูพูดชวนคอเป็นเอ็น แทบจะคุกเข่าอ้อนวอน ถ้ารู้ว่าสังเวยลูกน้องแล้วอัญเชิญมึงมาได้กูคงทำไปนานแล้ว”
“ตอนนี้กูต้องหาเงินเดือนมาให้เมียไง”
“ขออีกสักแหม๋ ทำตัวเป็นผัวที่ดี แต่ตอนที่ตกลงกันน้องเขารู้ไหมล่ะว่ามึงได้ค่าคอมฯ ต่างหาก”
“อันนี้เป็นเงินเดือนให้เมียไว้ใช้ตามใจไง ส่วนค่าคอมฯ กูเอาไว้เปย์ทางอื่น อย่างซื้อของขวัญหรือพาไปเที่ยวอะไรอย่างนี้”
“โห ลึกซึ้ง น่าหมันไส้ว่ะ” อธิปบ่นพลางเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์แล้วส่งไฟล์งานให้เพื่อน
“เอาไว้มึงมีเมียบ้างก็รู้เองว่าการเอาใจหญิงมันยากแค่ไหน นี่งานใหม่เหรอ” ภูดิศหยิบไอแพดขึ้นมาเปิดอีเมล์อ่าน
“เออ เป็นบริษัทเครื่องนอนหรูที่เคยส่งออกนอกอย่างเดียว แต่ตอนนี้อยากลองตีตลาดระดับกลางในประเทศดูบ้าง มึงรีบอ่านซะ อีกเดี๋ยวต้องเข้าประชุมกับทีมงานแล้ว”
อธิปเหลือบมองคนที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาเงียบ ๆ สายตาจดจ่ออยู่กับหน้าจอ บางคราวก็จดโน้ตสั้น ๆ เป็นระยะ
เขาคุ้นเคยกับวิธีการทำงานของเพื่อนดี รู้ว่าตอนนี้สมองอีกฝ่ายเริ่มมีไอเดียการตลาดผุดขึ้นมาแล้ว
ตอนอยู่อเมริกาภูดิศเป็นนักคอนเทนต์ครีเอเตอร์อนาคตไกล ทำงานฟรีแลนซ์แต่ละครั้งได้เงินไม่รู้เท่าไหร่ ทั้งค่าแรงรายชั่วโมงและโบนัสพิเศษหลังจบงาน
แต่อยู่ ๆ เจ้าตัวดันอยากย้ายกลับมาอยู่ไทยเสียอย่างนั้น ดูท่าคงเป็นเพราะน้องข้างบ้านคนนี้กระมัง
ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีคนช่วยปั้นให้บริษัทโฆษณาเล็ก ๆ ของเขาเติบโตขึ้นมาบ้าง
แต่ไอ้เรื่องปัญหาหัวใจนี่สิ เขาไม่รู้จะช่วยอย่างไรดีจริง ๆ เพราะเปลวก็เป็นช่างภาพมากฝีมือคนหนึ่งเหมือนกัน
เฮ้อ ก็ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายโดยเร็ว
ภูดิศใจร้อนมาก พอเข้าเช้าวันจันทร์ก็พาแฟนสาวไปจดทะเบียนสมรส เปลี่ยนสถานะเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายให้เรียบร้อยแต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอนิธินันท์กับอิงฤดีที่นั่นด้วย ในมือถือเอกสารไว้ไม่ต่างกันเลย“อ้าว”“อุ้ย คือ...คุณภูขอให้เรามาเป็นพยาน...”“ไม่ต้องหาเรื่องแก้ตัวเลยย่ะ เปิดตัวได้สักทีนะเรา”พริมากอดแขนเพื่อนสนิทพากันเดินเข้าไปในสำนักงานเขต ทิ้งให้สองหนุ่มยืนมองคุมเชิงกันไปมาแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ทั้งคู่รับรู้ตรงกันว่าการแข่งขันได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้วเย็นนี้ต้องรีบกลับไปผลิตทายาททันทีต่างคนต่างเซ็นเป็นพยานให้อีกคู่หนึ่ง เพียงไม่นานธุระก็เสร็จเรียบร้อย พอดีกับที่อธิปโทรตามให้รีบเข้าบริษัท“ไปไหนกันมา ทำไมที่แผนกบัญชีมีใครสักคน”บอสหนุ่มยืนกอดอกจ้องมองคนทั้งสี่ที่ดูมีพิรุธชอบกล“กูพาเมียไปจดทะเบียนสมรสมา”ภูดิศกอดคอพริมา ทำท่าทางอวดว่านี่คือภรรยาของตน อธิปเบะปากใส่เพื่อนก่อนหันไปหาหัวหน้าแผนกบัญชี“คู่นี้ก็เลยไปจดบ้างว่างั้น”“เปล่านะคะ ๆ” อิงฤดีรีบปฏิเสธพัลวัน“เราตั้งใจไปจดของเรากันเองครับ ไม่ได้แข่งกับใครจริง ๆ”นิธินันท์เอ่ยตอบแทน แต่นั่นกลับทำให้สีหน้าบอสหนุ่มยิ่งเคร่งข
พอปรับความเข้าใจกับแฟนสาวเรียบร้อย ภูดิศก็ขึ้นไปคุยกับน้องสาวบ้าง แต่กลับเจออธิปอยู่ในห้องทำงานเพียงลำพัง“อ้าว เดมี่ล่ะ”“กูสั่งให้ลงไปช่วยเก็บกวาดที่ห้องบัญชี”“เออ ให้แก้ไขปัญหาด้วยตัวเองก็ดี จะได้รู้ว่าไม่ควรทำ”“มึงไม่กลัวเธอลงไปทะเลาะกับพราวเหรอ”“ไม่หรอก กูคุยกับพราวเข้าใจแล้ว” ภูดิศทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างที่โซฟา “กูห่วงเดมี่มากกว่า สงสัยจะทะเลาะกับแม่มาอีกแล้ว คงต้องให้หลบอยู่ที่ไทยสักระยะ”อธิปพับกระดาษใบหนึ่งเก็บใส่ลิ้นชักชั้นบนสุด ตาแอบมองเพื่อนสนิทที่นั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด“กูจะให้น้องมึงมาเป็นผู้ช่วย”“จริงเหรอ ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีสิ”“มึงจะไม่ถามเหรอว่ากูทำไปทำไม”“ไม่ล่ะ ถ้ามึงยอมช่วยเดมี่กูก็พอใจแล้ว”“แต่งานผู้ช่วยของกูมันหนักนะเว้ย เลิกงานก็ไม่เป็นเวลา ต้องตามกูไปทุกที่ ขนาดผู้ชายยังลาออกกันไปหมด”“ก็ลองให้เธอทำดูก่อน ถ้าไม่ไหวค่อยเลิก มึงโอเคไหมล่ะ”“ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้”“เออ ขอบใจมึงมาก”สีหน้าภูดิศสบายใจขึ้นเยอะ เพราะตอนอยู่ต่างประเทศก็มีอธิปนี่แหละที่เดมี่ดูจะเกรงใจบ้าง คงพอช่วยอบรมสั่งสอนได้อยู่“ถ้าเดมี่ทำตัวงอแงมึงก็ลงโทษได้เลยนะ”“มึงพูดเองนะ”อธิปถามย้ำ ภูดิศจึ
“ว่าไงนะ”“คุณภูพูดขอยายพราวแต่งงานแล้ว อิงก็เลยคิดว่าในเมื่อคู่ที่เพิ่งคบกันแค่เดือนกว่ายังคิดไปถึงขั้นนั้นได้ แล้วทำไมพวกเราถึงจะก้าวไปอีกขั้นไม่ได้”นิธินันท์รีบตบไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทาง ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวไปกอดแฟนสาวไว้แน่น“ขอบคุณครับที่คิดฝากชีวิตไว้กับพี่ พี่สัญญาว่าจะดูแลเราให้ดีที่สุด”“อิงต่างหากที่ต้องขอบคุณ นอกจากพี่นันท์แล้วคงไม่มีใครทนกินไข่เจียวกรอบในไหม้นอกของอิงหรอกค่ะ”“พูดถึงเรื่องนี้...พราวยังเปิดคอร์สสอนเราทำกับข้าวอยู่ไหม”“พี่นันท์!”“ตัวพี่น่ะไม่เท่าไหร่หรอก สงสารก็แต่ลูก”“นี่คิดไปถึงไหนแล้วคะ”“ถึงตอนทำลูกไงครับ”“คนหื่น!”ร่างบางเอ็ดเข้าให้อีกรอบ แต่คนตัวโตก็หาได้เกรงกลัว กดจูบกดหอมจนน้ำลายเปียกหน้าแฟนสาวไปหมด“ถ้าอิงอยากจัดงานแต่งแบบไหนก็บอกได้เลยนะ พี่อาจทำได้ไม่หรูหราอะไรนัก แต่พี่ก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้เราต้องอายใคร”“ไม่ต้องหรอกค่ะ เราจดทะเบียนกันเฉย ๆ ก็ได้ เก็บเงินค่าจัดงานไว้เลี้ยงลูกดีกว่า”“ไปถามพ่อแม่ก่อนไหม พี่อยากให้เกียรติเราเต็มที่ เพราะชาตินี้พี่จะแต่งงานแค่ครั้งเดียว”“อิงเคยถามแล้ว พ่อกับแม่บอกว่าให้พี่ไปผูกข้อมือที่บ้านก็พอ ไม่ต้องใ
คนป่วยรู้สึกตัวตื่นตอนเช้ามืดวันถัดมา ความรู้สึกแรกคือคันปากยิบ ๆ และหายใจไม่สะดวกเท่าไรนัก แต่ก็ยังดีกว่าตอนก่อนจะหมดสติไปภูดิศกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นเสาน้ำเกลือก็แน่ใจแล้วว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล ดังนั้นเงาตะคุ่ม ๆ ที่ฟุบอยู่ข้างเตียงก็ต้องเป็นสุดที่รักของเขาแน่นอนไม่รู้ว่าพริมาได้หลับไปตอนกี่โมง ภูดิศจึงปล่อยให้เธอนอนพักผ่อนไปดวงตาคมจ้องมองคนหลับสนิทไม่วางตา เจ้าของดวงหน้าหวานที่เขาแอบชอบมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อหนุ่ม ต่อให้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศมาหลายปีก็ยังไม่ลืม เพราะไม่มีใครทำให้ใจเขาเต้นแรงได้เท่าเด็กแว่นข้างบ้านคนนี้อีกแล้วนึกไปก็น่าขำ ที่เขาฝึกเล่นกีต้าร์ก็เพื่อเรียกร้องความสนใจจากน้องน้อย แต่ดันได้ความรำคาญมาเสียอย่างนั้นยังดีที่อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอจดจำเขาได้เช่นกันตอนนั้นเองอีกคนก็รู้สึกตัวตื่น พอเห็นว่าเขานอนลืมตาอยู่ก็รีบควานหาแว่นมาสวมก่อนลุกขึ้นยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ“พี่ภูฟื้นแล้ว ดีจังค่ะ”“เด็กขี้แย พี่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ภูดิศยกมือจะช่วยเช็ดน้ำตาให้คนรัก แต่เธอกลับจับมือเขาไปกุมไว้“พี่ทำให้พราวตกใจมากเลย ทำไมถึงดื่มแอลกอฮอล์ล่ะคะ”“มีคนสลับแก้วของพี่น่ะ ไ
“แกทำอะไรผัวฉัน”พอได้ยินแบบนั้นอธิปถึงเข้าไปดูสภาพเพื่อนให้ดี ๆ ก่อนจะรีบโทรตามรถพยาบาลโดยด่วนให้ตายสิ ลืมเช็กเรื่องนี้ไปได้อย่างไร นี่ถ้าไอ้ภูเป็นอะไรขึ้นมาชาตินี้เขาคงไม่มีทางให้อภัยตัวเองเป็นแน่ส่วนปภาดาที่ถูกตบถึงกับนิ่งอึ้งไปนาน เพราะคราวก่อนไม่เห็นว่ายายเด็กนี่จะทำอะไรเลย ขนาดนั่นเป็นผู้ชายที่คบกันมาตั้งหลายปี เธอจึงคิดว่ากับคนที่เพิ่งคบกันไม่กี่เดือนคงไม่หวงถึงขั้นลงไม้ลงมืออย่างนี้อัคคีเองก็ตกใจไม่แพ้กัน พอเห็นสายตาของเพื่อนร่วมงานก็ยิ่งหงุดหงิด ทำไมต้องมองเหมือนเขาเป็นคนถูกทิ้งด้วยระหว่างที่ยังไม่มีใครตั้งสติได้ พริมาก็ตบคู่กรณีเข้าอีกฉาด คราวนี้ปภาดารู้สึกตัวแล้ว“นังนี่ ผัวแกเมาแล้วข่มขืนฉันนะ”“ยังจะพูดพล่อย ๆ เอาอีกสักฉาดไหม”พริมาง้างมือจะตบอีกรอบจริง ๆ แต่อธิปเข้ามาห้ามไว้“พอแล้วพราว มาดูไอ้ภูก่อนดีกว่า”“รถฉุกเฉินยังมาไม่ถึงอีกเหรอคะ”พอเธอถามแบบนั้นอธิปจึงแยกไปดูให้ ส่วนร่างบางย่อตัวลงข้างชายหนุ่มที่นอนหมดสติอยู่บนโซฟา มือก็ช่วยจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยขึ้นหน่อย“เดี๋ยวสิยะ แกต้องเคลียร์กับฉันก่อน จะเอาตัวคุณภูไปทั้งแบบนี้ไม่ได้”ปภาดากระชากไหล่คนตัวเล็กอย่างแรงให
เวลาที่ปิดโปรเจคอะไรได้ ทีมงานมักรวมตัวไปสังสรรค์กันที่ร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริษัทมากนักภูดิศในฐานะคนคุมโปรเจคย่อมปฏิเสธไม่ได้ อีกอย่างอธิปก็บอกว่าอยากให้มารู้จักกับเจ้าของร้านเอาไว้ด้วย เผื่อพาลูกค้ามาคุยงานที่นี่จะได้สะดวกหน่อย“นี่คุณวีรกร ส่วนนี้ไอ้ภูดิศ เพื่อนสนิทผมเองครับ”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมได้ยินคุณเอสพูดถึงคุณอยู่บ่อย ๆ”วีรกรจับมือกับชายหนุ่ม อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มกลับไป“ยินดีเช่นกันครับ”“เชิญตามสบายนะครับ อยากได้อะไรก็บอกเด็ก ๆ ได้เลย”“ขอเป็นม็อกเทลให้เพื่อนผมนะครับ”อธิปกำชับเจ้าของร้าน ก่อนที่จะเดินไปร่วมวงกับคนอื่น ๆ ที่เปิดโต๊ะรออยู่ก่อนแล้ว เขาไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร ยิ่งงานเลี้ยงอย่างนี้ก็ยิ่งปล่อยตามสบายภูดิศนั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากเพื่อนสนิทได้ไม่นาน ก็มีคนมานั่งตรงเก้าอี้ข้าง ๆ“คุณภูอยากดื่มอะไรไหมคะ เดี๋ยวดาชงให้”ปภาดาขยับเก้าอี้เข้าใกล้ร่างสูงมากขึ้น เอียงหน้าเข้าไปพูดคุยราวกับกลัวอีกฝ่ายไม่ได้ยิน ทั้งที่ดนตรีเพิ่งเริ่มเล่นคลอเบา ๆ เท่านั้น ท่าทางไม่ได้เกรงใจอัคคีที่นั่งอยู่ไม่ไกลเลย“ผมไม่ดื่ม”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบพร้อมขยับเก้าอี้ออกห่าง