ภูดิศสอดมือรั้งท้ายทอยเล็กขึ้นรับจูบวาบหวาม ถึงตอนนี้ก็ยังนึกแปลกใจไม่น้อยที่เธอยังจูบเงอะงะเหมือนเด็กใหม่ ทั้งที่ก็คบกับไอ้หมอนั่นมาตั้งหลายปีแล้ว
แต่เขาไม่คิดจะถามเหตุผลแน่นอน ตอนนี้หน้าที่ฝึกฝนน้องน้อยเป็นของเขาแล้ว คนอื่นไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องอีกเป็นอันขาด
คนตัวโตนั่งลงบนโซฟาแล้วดึงร่างบางขึ้นมาคร่อมบนตักแกร่ง ริมฝีปากยังประกบกันแนบแน่น ไม่มีท่าทีว่าจะหลุดง่าย ๆ
เสียงหวานครางอืออาในลำคอฟังดูเชื้อเชิญไม่น้อย กระตุ้นให้คนฟังบีบบั้นท้ายงอนงามเข้าเต็มแรง ก่อนลากมือขึ้นมาเคล้นคลึงอกนุ่มผ่านเสื้อเชิ้ตพอดีตัว เท่านี้ก็ทำให้คนถูกลูบสั่นสะท้านได้เหมือนกัน
“อืม...พี่ภู”
“ครับ ยกก้นขึ้นหน่อยเด็กดี” เขาดึงกระโปรงสั้นขึ้นไปกองบนเอวคอด กดแผ่นหลังบางเข้าหาตัวให้กลางกายเสียดสีกันไปมา “พราวเรียกพี่ทำไมเหรอครับ”
“เรายังคุยกันไม่จบเลยนะคะ”
“มันจบตั้งแต่คืนนั้นแล้ว”
“คืนไหน”
“คืนที่เราเอากันจนเช้าไง”
คนตัวเล็กหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันใด พอถูกมือหนาสอดเข้าไปบดบี้กลางกายก็ยิ่งควบคุมสติไม่อยู่
“พี่ภู เบาได้เบาค่ะ”
“เบาไม่ได้ครับ พี่แข็งจนปวดไปหมดแล้ว เราก็รู้อยู่ไม่ใช่เหรอ”
ใบหน้าคมกดหอมแก้มนุ่มเข้าฟอดใหญ่ ก่อนเอ่ยหยอกล้อคนขี้อายต่อ
“ดีนะที่เราเครื่องติดเร็วดี บี้หน่อยก็แฉะแล้ว พี่ชอบมาก”
“คนบ้า” พริมาทุบแขนล่ำไปทีหนึ่ง “ว่าแต่พี่ภูชอบแบบนี้จริงเหรอคะ”
“นึกว่าไม่อยากรู้ซะอีก” ภูดิศกดนิ้วยาวเข้าไปในร่องชื้นแล้วงอเกี่ยวเบา ๆ “ของดีขนาดนี้จะไม่ชอบได้ไง ไอ้หมอนั่นโง่เองที่ไม่รู้จักรักษาไว้ให้ดี”
ร่างบางจ้องดวงตาสีเข้มไม่กระพริบ เพราะเขาพูดในเรื่องที่ยังค้างคาใจเธออยู่พอดี
“จริงเหรอคะ”
“พิสูจน์ไหมล่ะ”
ไม่รู้ว่าเขาล้วงอาวุธคู่กายออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ คนตัวเล็กมารู้อีกทีก็ตอนที่ถูกปลายหัวบานเต่งถูไถกับน้องสาวแล้ว
“จำได้ไหมว่าต้องขย่มยังไง”
ภูดิศถามพลางกดสะโพกผายลงกลืนกินตัวตนแข็งชัน ร่างบางจับไหล่กว้างทั้งสองข้างเป็นที่ยึดไว้ ฝืนข่มใจไม่ให้ครางเสียวจนเกินงาม
“ซี้ด แน่นจังเลย”
คำอุทานเบา ๆ ทำให้คนที่ได้รับคำชมยกยิ้มไม่หุบ
แค่นี้ก็รู้แล้วว่าใครใหญ่กว่า ฮ่ะ ๆ ๆ
ภูมิใจแล้วก็ต้องโชว์ลีลากันหน่อย ชายหนุ่มจึงเด้งเอวสอบเสยกระแทกตามจังหวะที่น้องน้อยทิ้งตัวลงมา พอได้สักพักเอวเล็กก็เปลี่ยนเป็นหมุนควงเบา ๆ แล้วขย่มต่อเนื่องสลับกันไป
สองร่างโรมรันใส่กันอย่างโหยหา เสียงตับ ๆ ดังลั่นบ้านสองชั้นหลังน้อย ยังดีที่เสียงครางไม่ดังเท่าไรนัก ไม่อย่างนั้นคุณยายข้างบ้านอาจหัวใจวายเอาได้
“อื้อ พี่ภู อย่าบี้”
ร่างบางดิ้นเร่าหนีนิ้วโป้งที่บดกระตุ้นจุดอ่อนไหวบวมเป่ง แต่ก็ถูกแขนยาวกอดรัดไว้แน่นไม่ให้ขยับไกล ใบหน้าคมฟัดอกนุ่มอย่างเมามันในอารมณ์จนขึ้นริ้วแดงหลายรอย
ห่างกันไปแค่คืนเดียวยังคิดถึงขนาดนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาติดเมียมากเพียงใด
ส่วนเธอจะติดเขาหรือเปล่าก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะอีกไม่นานต้องหลงผัวจนโงหัวไม่ขึ้นแน่นอน
นั่นแหละแผนการอันยิ่งใหญ่ของเขา และถ้าจะให้สำเร็จแน่ย่อมต้องใช้ของใหญ่ ๆ ช่วยด้วย
ภูดิศพลิกร่างบางลงนอนบนโซฟา จับขาเรียวข้างหนึ่งขึ้นพาดบ่า อีกข้างกางออกกว้างอ้ารับแรงกระแทกกระทั้นถี่ยิบ เพียงไม่นานความสาวถึงกับขึ้นสีแดงระเรื่อ
คนตัวเล็กดิ้นพล่านไปกับลีลารักที่จู่ ๆ ก็เร่าร้อนขึ้นกะทันหัน
“พี่ภูเบาหน่อยค่ะ พราวจะไม่ไหว อื้อ”
ยังไม่ทันขาดคำร่องชื้นก็ตอดรัดถี่รัว ร่างสูงขบกรามอดกลั้นไม่ให้คล้อยตามไป
เขาอยากทำให้เธอเสร็จคาลำซ้ำ ๆ จะได้ติดใจจนหนีไปไหนไม่รอด เพื่อลบภาพไอ้แฟนเก่านั่นออกไปจากใจเธอให้หมดสิ้น
ชายหนุ่มจับร่างบางลงมายืนโก้งโค้งเอาสองมือยันพนักโซฟาไว้ แอ่นก้นงอนรับบทเรียนรักอย่างต่อเนื่องไม่ให้พักหายใจ
พอน้องน้อยเสร็จสมอีกรอบ ภูดิศก็จับเปลี่ยนท่าไปนั่งกางขาอ้ารับบ้าง ส่วนตัวเองยืนย่อเข่าสาวเอวสอบระรัว จนโซฟาเขยื้อนไปชนกับกำแพงบ้านตามจังหวะเสียงดังตึง ๆ ถ้าใครผ่านมาอาจนึกว่าคนในบ้านกำลังตีกันอยู่ก็ได้
พริมาตัวเบาขึ้นสวรรค์ไปไม่รู้กี่รอบจนตาลอย สติเตลิดเปิดเปิงไปหมดแล้ว แต่คนตัวโตยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยุดเลย
“พี่ภู พราวจะไม่ไหวแล้วนะคะ”
“ใกล้แล้วเด็กดี อดทนอีกนิดนะ”
เขาเองก็ไม่คิดว่ารอบสองจะอึดได้ขนาดนี้ ส่วนรอบแรกแตกเต็มท้องน้องไปนานแล้ว
“มาครับ ช่วยขย่มให้พี่หน่อย” ภูดิศเปลี่ยนไปนั่งพักบ้าง มือประคองร่างบางให้อ้าคร่อมกลางกายเข้าหา
แต่พอพริมาคุกเข่าลงขนาบข้างต้นขาแกร่งก็มีเสียงไม้หักดังขึ้น แขนยาวรีบโอบเอวคอดลุกขึ้นยืน เธอเองก็ผวากอดคอคนตัวโตไว้แน่นเช่นกัน
นี่พวกเขาจัดหนักกันจนทำโซฟาหักเชียวหรือ
สองคนจ้องตากันไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขำออกมา
“ขอโทษครับ พี่จะเอาไปซ่อมให้นะ”
ข้าวของทุกชิ้นในบ้านหลังนี้ย่อมมีความทรงจำของเธอกับพ่อแม่อยู่ เขาจึงอยากคงสภาพเดิมเอาไว้ให้ แต่เจ้าของกลับส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ มันเก่ามากแล้ว ถือโอกาสนี้เปลี่ยนใหม่ดีกว่า”
หญิงสาวยกมือเช็ดหางตาเพราะขำจนน้ำตาเล็ด
“อุ้ยพี่ภู จะทำอะไรคะ”
“พาอุ้มไปเข้าห้องน้ำไงครับ ท่านี้ลึกดีไหม ซี้ด ตอดเบา ๆ หน่อย จะขาดแล้ว”
ภูดิศพาน้องน้อยเดินไปทางหลังบ้าน แต่กว่าจะถึงก็จับกดกับผนังแถวนั้นแล้วตอกอัดจนเสร็จเสียก่อน มันอดใจไม่ไหวแล้วจริง ๆ
พอเขาถอนแก่นกายออกก็ย่อตัวลงไปนั่งคุกเข่า ยกมือลูบเนินสาวที่บวมแดงเบา ๆ
“เจ็บไหมครับ”
“อื้อ รู้สึกแสบ ๆ ด้วยค่ะ” ก็เล่นกระแทกมาราธอนขนาดนั้น ใครจะไปเหลือ
“ขอโทษครับ งั้นเดี๋ยวพี่เป่าให้นะ”
“ไม่ต้องเลยค่ะ ขอพักสักหน่อยก็คงหาย”
ภูดิศเลยจัดการอุ้มเธอเข้าไปอาบน้ำ พริมารีบจัดการตัวเองแล้ววิ่งหนีขึ้นชั้นสอง แต่ยังไม่ทันได้เปิดตู้เสื้อผ้าก็เห็นชีเปลือยเดินไปทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนเตียงของเธอ
“พี่ภูไม่กลับบ้านเหรอคะ”
ที่จริงอยากถามว่าทำไมไม่ใส่เสื้อผ้ามากกว่า แต่กลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเสียเปล่า ๆ
“บอกไปแล้วนี่ว่าพี่จะอยู่กับเมีย” ชายหนุ่มตบที่ว่างข้างกายเบา ๆ “มามะที่รัก มานอนกอดกันดีกว่าครับ เสื้อผ้าไม่ต้องใส่หรอก แค่เนื้อแนบเนื้อก็อุ่นแล้ว”
“ใครจะไปแนบกับพี่อีกคะ บอกแล้วไงว่าขอพัก ๆ”
“พี่ก็ไม่ได้บอกว่าจะทำต่อสักหน่อย หรือเราอยากได้ก็โอเคนะ พี่ตามใจเมียอยู่แล้ว”
“พราวไม่ได้อยากได้สักหน่อยค่ะ”
พริมากอดอกจ้องคนหน้าไม่อายอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ทนความง่วงไม่ไหว ยอมเดินไปนอนให้อีกคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงได้ตามใจ
ภูดิศกดหอมกระหม่อมบางเข้าเต็มปอด “พี่จะเช่าบ้านพราวอยู่นะครับ จ่ายด้วยเงินเดือนทั้งหมดของพี่เลย”
“เดี๋ยวก่อนสิคะ” เธอคิดจะเถียงกลับ แต่ก็ถูกมือหนาลูบหัวจนชักจะเคลิ้มอ้าปากหาวหวอด “ทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ”
“ได้สิครับ พี่ยกของของพี่ให้พราวได้หมด” ชายหนุ่มกดจูบหน้าผากมน “นอนนะครับเด็กดี พรุ่งนี้เราจะได้ไปทำงานพร้อมกัน”
พริมานึกว่าเอ่ยถามไปว่าเขาทำงานที่ไหน แต่ที่จริงเธอพูดในความฝันต่างหาก
“ตื่นได้แล้วครับเด็กดี”
เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับแรงกดจูบหนัก ๆ ที่ปากนุ่ม
ร่างบางตื่นขึ้นมาเห็นแสงสว่างจ้าก็สะดุ้งผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว จนหัวเกือบกระแทกเข้ากับคนที่ยืนโน้มตัวอยู่ด้านบน
ภูดิศถึงกับต้องยกมือลูบอกเรียกขวัญตัวเอง ดีนะที่เขาว่องไวพอ ไม่อย่างนั้นคงได้ไปโรงพยาบาลกันแต่เช้า
“กี่โมงแล้วคะเนี่ย ทำไมพี่ภูไม่ปลุกพราวให้เร็วกว่านี้” เมื่อวานถูกเขาสูบพลังไปหมดจนลืมตั้งนาฬิกาปลุกเลย “ตาย ๆ ต้องไปหาอะไรกินข้างนอกแล้วมั้ง”
ปกติเธอชอบตื่นมาทำอาหารเช้ากินเองมากกว่า แต่วันนี้คงไม่ทันแล้ว
“ใจเย็น ๆ เราไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน พี่ทำอาหารไว้ให้แล้ว”
“อะไรนะคะ”
“ยังจะเหม่ออีก ไหนว่ากลัวสายไง”
“จริงด้วย”
เพียงไม่นานสองหนุ่มสาวก็พร้อมไปทำงาน พริมาถือกล่องถนอมอาหารเดินไปเปิดประตูรั้ว ส่วนภูดิศก็ขับรถออกมารอให้ร่างบางตามขึ้นมานั่งเบาะข้างคนขับ พร้อมแล้วค่อยออกเดินทางกัน
“พี่ภู...”
“ป้อนหน่อยครับ”
เธอว่าจะถามเขาเรื่องที่ทำงาน แต่พอเห็นชายหนุ่มอ้าปากรอเป็นลูกนกก็ต้องรีบเปิดกล่อง คีบข้าวปั้นลูกพอดีคำป้อนให้
“พอพราวกินแล้วช่วยบอกด้วยนะว่าพี่ทำอร่อยไหม”
ประโยคนั้นกระตุ้นความสงสัยให้คนตัวเล็ก พริมาจึงรีบคีบใส่ปากตัวเองบ้าง
พอเริ่มเคี้ยวไปสองหยับ ตากลมโตก็เป็นประกายขึ้นมาทันใด
“อร่อยจังเลยค่ะ พี่ภูทำเองแน่เหรอคะ”
“ใช่สิ ชอบไหม”
หญิงสาวพยักหน้าระรัว มือก็คีบกินเองอีกลูกจนเกือบลืมป้อนให้สารถีบ้าง
“อร่อยจริง ๆ ค่ะ ถ้าพราวทำกินเองคงไม่อร่อยขนาดนี้แน่”
“พอจะเป็นค่าเช่าบ้านได้ไหม พ่วงไปกับเซ็กส์ร้อน ๆ ที่พี่จะเสิร์ฟให้ทุกวัน
“พูดอะไรก็ไม่รู้ กิน ๆ เข้าไปเลยค่ะ” เธอรีบยัดข้าวปั้นปิดปากคนหน้าไม่อาย
“ยังจะเขินอะไรอีก ทำกันจนโซฟาหักไปตัวนึงแล้ว” พอเห็นแก้มนวลขึ้นสีแดงจัดเขาก็ยิ่งอยากแกล้งหนักขึ้น “คราวนี้สั่งโซฟาพิเศษเลยไหม เอาแบบที่รองรับได้ทุกกระบวนท่าไม่มีขาดตอน”
“หยุด ๆ พี่ภูอ้าปากทีไรพูดแต่เรื่องหื่น ๆ ตลอด เอาไปกินอีกลูกเลยค่ะ”
“ฮ่ะ ๆ ได้ครับ ๆ ถ้าเมียป้อนพี่ก็กินหมดแหละ”
ภูดิศหัวเราะอย่างอารมณ์ดีมาก ชอบใจที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างนี้
ภูดิศใจร้อนมาก พอเข้าเช้าวันจันทร์ก็พาแฟนสาวไปจดทะเบียนสมรส เปลี่ยนสถานะเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายให้เรียบร้อยแต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอนิธินันท์กับอิงฤดีที่นั่นด้วย ในมือถือเอกสารไว้ไม่ต่างกันเลย“อ้าว”“อุ้ย คือ...คุณภูขอให้เรามาเป็นพยาน...”“ไม่ต้องหาเรื่องแก้ตัวเลยย่ะ เปิดตัวได้สักทีนะเรา”พริมากอดแขนเพื่อนสนิทพากันเดินเข้าไปในสำนักงานเขต ทิ้งให้สองหนุ่มยืนมองคุมเชิงกันไปมาแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ทั้งคู่รับรู้ตรงกันว่าการแข่งขันได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้วเย็นนี้ต้องรีบกลับไปผลิตทายาททันทีต่างคนต่างเซ็นเป็นพยานให้อีกคู่หนึ่ง เพียงไม่นานธุระก็เสร็จเรียบร้อย พอดีกับที่อธิปโทรตามให้รีบเข้าบริษัท“ไปไหนกันมา ทำไมที่แผนกบัญชีมีใครสักคน”บอสหนุ่มยืนกอดอกจ้องมองคนทั้งสี่ที่ดูมีพิรุธชอบกล“กูพาเมียไปจดทะเบียนสมรสมา”ภูดิศกอดคอพริมา ทำท่าทางอวดว่านี่คือภรรยาของตน อธิปเบะปากใส่เพื่อนก่อนหันไปหาหัวหน้าแผนกบัญชี“คู่นี้ก็เลยไปจดบ้างว่างั้น”“เปล่านะคะ ๆ” อิงฤดีรีบปฏิเสธพัลวัน“เราตั้งใจไปจดของเรากันเองครับ ไม่ได้แข่งกับใครจริง ๆ”นิธินันท์เอ่ยตอบแทน แต่นั่นกลับทำให้สีหน้าบอสหนุ่มยิ่งเคร่งข
พอปรับความเข้าใจกับแฟนสาวเรียบร้อย ภูดิศก็ขึ้นไปคุยกับน้องสาวบ้าง แต่กลับเจออธิปอยู่ในห้องทำงานเพียงลำพัง“อ้าว เดมี่ล่ะ”“กูสั่งให้ลงไปช่วยเก็บกวาดที่ห้องบัญชี”“เออ ให้แก้ไขปัญหาด้วยตัวเองก็ดี จะได้รู้ว่าไม่ควรทำ”“มึงไม่กลัวเธอลงไปทะเลาะกับพราวเหรอ”“ไม่หรอก กูคุยกับพราวเข้าใจแล้ว” ภูดิศทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างที่โซฟา “กูห่วงเดมี่มากกว่า สงสัยจะทะเลาะกับแม่มาอีกแล้ว คงต้องให้หลบอยู่ที่ไทยสักระยะ”อธิปพับกระดาษใบหนึ่งเก็บใส่ลิ้นชักชั้นบนสุด ตาแอบมองเพื่อนสนิทที่นั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด“กูจะให้น้องมึงมาเป็นผู้ช่วย”“จริงเหรอ ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีสิ”“มึงจะไม่ถามเหรอว่ากูทำไปทำไม”“ไม่ล่ะ ถ้ามึงยอมช่วยเดมี่กูก็พอใจแล้ว”“แต่งานผู้ช่วยของกูมันหนักนะเว้ย เลิกงานก็ไม่เป็นเวลา ต้องตามกูไปทุกที่ ขนาดผู้ชายยังลาออกกันไปหมด”“ก็ลองให้เธอทำดูก่อน ถ้าไม่ไหวค่อยเลิก มึงโอเคไหมล่ะ”“ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้”“เออ ขอบใจมึงมาก”สีหน้าภูดิศสบายใจขึ้นเยอะ เพราะตอนอยู่ต่างประเทศก็มีอธิปนี่แหละที่เดมี่ดูจะเกรงใจบ้าง คงพอช่วยอบรมสั่งสอนได้อยู่“ถ้าเดมี่ทำตัวงอแงมึงก็ลงโทษได้เลยนะ”“มึงพูดเองนะ”อธิปถามย้ำ ภูดิศจึ
“ว่าไงนะ”“คุณภูพูดขอยายพราวแต่งงานแล้ว อิงก็เลยคิดว่าในเมื่อคู่ที่เพิ่งคบกันแค่เดือนกว่ายังคิดไปถึงขั้นนั้นได้ แล้วทำไมพวกเราถึงจะก้าวไปอีกขั้นไม่ได้”นิธินันท์รีบตบไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทาง ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวไปกอดแฟนสาวไว้แน่น“ขอบคุณครับที่คิดฝากชีวิตไว้กับพี่ พี่สัญญาว่าจะดูแลเราให้ดีที่สุด”“อิงต่างหากที่ต้องขอบคุณ นอกจากพี่นันท์แล้วคงไม่มีใครทนกินไข่เจียวกรอบในไหม้นอกของอิงหรอกค่ะ”“พูดถึงเรื่องนี้...พราวยังเปิดคอร์สสอนเราทำกับข้าวอยู่ไหม”“พี่นันท์!”“ตัวพี่น่ะไม่เท่าไหร่หรอก สงสารก็แต่ลูก”“นี่คิดไปถึงไหนแล้วคะ”“ถึงตอนทำลูกไงครับ”“คนหื่น!”ร่างบางเอ็ดเข้าให้อีกรอบ แต่คนตัวโตก็หาได้เกรงกลัว กดจูบกดหอมจนน้ำลายเปียกหน้าแฟนสาวไปหมด“ถ้าอิงอยากจัดงานแต่งแบบไหนก็บอกได้เลยนะ พี่อาจทำได้ไม่หรูหราอะไรนัก แต่พี่ก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้เราต้องอายใคร”“ไม่ต้องหรอกค่ะ เราจดทะเบียนกันเฉย ๆ ก็ได้ เก็บเงินค่าจัดงานไว้เลี้ยงลูกดีกว่า”“ไปถามพ่อแม่ก่อนไหม พี่อยากให้เกียรติเราเต็มที่ เพราะชาตินี้พี่จะแต่งงานแค่ครั้งเดียว”“อิงเคยถามแล้ว พ่อกับแม่บอกว่าให้พี่ไปผูกข้อมือที่บ้านก็พอ ไม่ต้องใ
คนป่วยรู้สึกตัวตื่นตอนเช้ามืดวันถัดมา ความรู้สึกแรกคือคันปากยิบ ๆ และหายใจไม่สะดวกเท่าไรนัก แต่ก็ยังดีกว่าตอนก่อนจะหมดสติไปภูดิศกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นเสาน้ำเกลือก็แน่ใจแล้วว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล ดังนั้นเงาตะคุ่ม ๆ ที่ฟุบอยู่ข้างเตียงก็ต้องเป็นสุดที่รักของเขาแน่นอนไม่รู้ว่าพริมาได้หลับไปตอนกี่โมง ภูดิศจึงปล่อยให้เธอนอนพักผ่อนไปดวงตาคมจ้องมองคนหลับสนิทไม่วางตา เจ้าของดวงหน้าหวานที่เขาแอบชอบมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อหนุ่ม ต่อให้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศมาหลายปีก็ยังไม่ลืม เพราะไม่มีใครทำให้ใจเขาเต้นแรงได้เท่าเด็กแว่นข้างบ้านคนนี้อีกแล้วนึกไปก็น่าขำ ที่เขาฝึกเล่นกีต้าร์ก็เพื่อเรียกร้องความสนใจจากน้องน้อย แต่ดันได้ความรำคาญมาเสียอย่างนั้นยังดีที่อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอจดจำเขาได้เช่นกันตอนนั้นเองอีกคนก็รู้สึกตัวตื่น พอเห็นว่าเขานอนลืมตาอยู่ก็รีบควานหาแว่นมาสวมก่อนลุกขึ้นยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ“พี่ภูฟื้นแล้ว ดีจังค่ะ”“เด็กขี้แย พี่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ภูดิศยกมือจะช่วยเช็ดน้ำตาให้คนรัก แต่เธอกลับจับมือเขาไปกุมไว้“พี่ทำให้พราวตกใจมากเลย ทำไมถึงดื่มแอลกอฮอล์ล่ะคะ”“มีคนสลับแก้วของพี่น่ะ ไ
“แกทำอะไรผัวฉัน”พอได้ยินแบบนั้นอธิปถึงเข้าไปดูสภาพเพื่อนให้ดี ๆ ก่อนจะรีบโทรตามรถพยาบาลโดยด่วนให้ตายสิ ลืมเช็กเรื่องนี้ไปได้อย่างไร นี่ถ้าไอ้ภูเป็นอะไรขึ้นมาชาตินี้เขาคงไม่มีทางให้อภัยตัวเองเป็นแน่ส่วนปภาดาที่ถูกตบถึงกับนิ่งอึ้งไปนาน เพราะคราวก่อนไม่เห็นว่ายายเด็กนี่จะทำอะไรเลย ขนาดนั่นเป็นผู้ชายที่คบกันมาตั้งหลายปี เธอจึงคิดว่ากับคนที่เพิ่งคบกันไม่กี่เดือนคงไม่หวงถึงขั้นลงไม้ลงมืออย่างนี้อัคคีเองก็ตกใจไม่แพ้กัน พอเห็นสายตาของเพื่อนร่วมงานก็ยิ่งหงุดหงิด ทำไมต้องมองเหมือนเขาเป็นคนถูกทิ้งด้วยระหว่างที่ยังไม่มีใครตั้งสติได้ พริมาก็ตบคู่กรณีเข้าอีกฉาด คราวนี้ปภาดารู้สึกตัวแล้ว“นังนี่ ผัวแกเมาแล้วข่มขืนฉันนะ”“ยังจะพูดพล่อย ๆ เอาอีกสักฉาดไหม”พริมาง้างมือจะตบอีกรอบจริง ๆ แต่อธิปเข้ามาห้ามไว้“พอแล้วพราว มาดูไอ้ภูก่อนดีกว่า”“รถฉุกเฉินยังมาไม่ถึงอีกเหรอคะ”พอเธอถามแบบนั้นอธิปจึงแยกไปดูให้ ส่วนร่างบางย่อตัวลงข้างชายหนุ่มที่นอนหมดสติอยู่บนโซฟา มือก็ช่วยจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยขึ้นหน่อย“เดี๋ยวสิยะ แกต้องเคลียร์กับฉันก่อน จะเอาตัวคุณภูไปทั้งแบบนี้ไม่ได้”ปภาดากระชากไหล่คนตัวเล็กอย่างแรงให
เวลาที่ปิดโปรเจคอะไรได้ ทีมงานมักรวมตัวไปสังสรรค์กันที่ร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริษัทมากนักภูดิศในฐานะคนคุมโปรเจคย่อมปฏิเสธไม่ได้ อีกอย่างอธิปก็บอกว่าอยากให้มารู้จักกับเจ้าของร้านเอาไว้ด้วย เผื่อพาลูกค้ามาคุยงานที่นี่จะได้สะดวกหน่อย“นี่คุณวีรกร ส่วนนี้ไอ้ภูดิศ เพื่อนสนิทผมเองครับ”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมได้ยินคุณเอสพูดถึงคุณอยู่บ่อย ๆ”วีรกรจับมือกับชายหนุ่ม อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มกลับไป“ยินดีเช่นกันครับ”“เชิญตามสบายนะครับ อยากได้อะไรก็บอกเด็ก ๆ ได้เลย”“ขอเป็นม็อกเทลให้เพื่อนผมนะครับ”อธิปกำชับเจ้าของร้าน ก่อนที่จะเดินไปร่วมวงกับคนอื่น ๆ ที่เปิดโต๊ะรออยู่ก่อนแล้ว เขาไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร ยิ่งงานเลี้ยงอย่างนี้ก็ยิ่งปล่อยตามสบายภูดิศนั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากเพื่อนสนิทได้ไม่นาน ก็มีคนมานั่งตรงเก้าอี้ข้าง ๆ“คุณภูอยากดื่มอะไรไหมคะ เดี๋ยวดาชงให้”ปภาดาขยับเก้าอี้เข้าใกล้ร่างสูงมากขึ้น เอียงหน้าเข้าไปพูดคุยราวกับกลัวอีกฝ่ายไม่ได้ยิน ทั้งที่ดนตรีเพิ่งเริ่มเล่นคลอเบา ๆ เท่านั้น ท่าทางไม่ได้เกรงใจอัคคีที่นั่งอยู่ไม่ไกลเลย“ผมไม่ดื่ม”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบพร้อมขยับเก้าอี้ออกห่าง