ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเห็นแก่ใคร ตราบใดที่มีโอกาสก็พอ“ฝ่าบาทโปรดชี้แนะด้วยเพคะ”เวินซื่อกล่าวอย่างนอบน้อมฮ่องเต้น้อยลุกขึ้น เดินไปที่ตรงหน้าเวินซื่อ แล้วคืนป้ายคำสั่งให้นาง“ในช่วงสองปีมานี้ ทางใต้ของแคว้นเกิดภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง ราษฎรทุกข์ร้อน เราค่อนข้างกังวล จำเป็นต้องมีใครสักคน คอยอธิษฐานขอพรให้แคว้นและราษฎรจากใจจริง”“หม่อมฉันยินดีเพคะ!”เวินซื่อตอบตกลงทันทีฮ่องเต้น้อยกลับส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม “เจ้ายินดียังไม่พอ อารามสุ่ยเยว่บนภูเขาหนานที่อยู่นอกเมืองหลวง ผู้ดูแลอารามคือซือไท่ที่มีคุณธรรมและบุญบารมีสูงส่ง ถ้าหากซือไท่ท่านนั้นก็เห็นด้วยเช่นกัน เราจะตอบตกลงเจ้า” “เพคะ ขอบพระทัยฝ่าบาท!”“อย่าเพิ่งด่วนขอบคุณ ถ้าหากซือไท่ไม่เห็นด้วย เราจะไม่อนุโลมเจ้า”กล่าวจบ ฮ่องเต้น้อยก็โบกมือ “ไปเถอะ เรารอข่าวจากเจ้า”สำหรับเวินซื่อ ตอนนี้นางไม่มีทางเลือกอื่นแล้วดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ขอแค่สามารถไปจากสกุลเวิน ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ นางก็จะลองดูสักตั้งในตอนที่เวินซื่อหมุนกายเตรียมจากไป จู่ๆ ฮ่องเต้น้อยก็เรียกนางอีก“รอก่อน”เวินซื่อหยุดฝีเท้า หันกลับไปมองด้วยความสงสัยเมื่อเห็น
ก่อนหน้านี้ เวินซื่อที่เสียเลือดมากเกินไป คุกเข่าอยู่ในห้องทรงพระอักษรเพียงแค่ครู่เดียวก็เกิดอาการหน้ามืดเล็กน้อยตอนนางลุกขึ้นจะกลับแต่นางอดกลั้นไม่ได้เสียมารยาทต่อหน้าฮ่องเต้ เดิมทีคิดว่าจะไปพักผ่อนในรถม้าสักเดี๋ยว แต่ใครจะรู้ว่าทันทีที่เดินออกจากห้องทรงอักษรพระก็ภาพตรงหน้าก็มือไป เห็นข้างหน้าไม่ชัดเจน ครู่ต่อมาที่เต๋อกงกงอุทานว่า “อ๋องผู้สำเร็จราชการแทน” ก็ชนโดนใครคนหนึ่งอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน?หลังจากถูกประคอง เวินซื่อปลายกัดลิ้นตัวเองทีหนึ่งแรง ๆ เมื่อรู้สึกเจ็บ สมองก็แจ่มชัดขึ้นมากเมื่อเงยหน้าเห็นว่าคนที่ประคองนางเป็นใคร ต่อให้ใบหน้าที่เฉยเมยนั้นจะหล่อเหลาเพียงใด นางยังตกใจจนหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มผมสีเงินที่เป็นเอกลักษณ์นั่น ทั้งราชวงศ์ต้าหมิงมีใครไม่รู้จัก?นี่ก็คือเทพสงครามที่สังหารผู้คนนับไม่ถ้วน อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนแห่งราชสำนัก…เป่ยเฉินหยวน“หม่อมฉันเสียมารยาท อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนโปรดอภัยด้วยเพคะ”เวินซื่อรีบยืนตัวตรง คำนับอย่างนอบน้อมแน่นอนว่าสิ่งที่นางกลัวไม่ใช่ฉายาเทพสังหารของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน อย่างไรเสีย ปัจจุบันราชวงศ์ต้าหมิงสามารถสงบสุขเช่นนี้ ล้
ฮ่องเต้น้อยกล่าวอย่างยิ้มแย้ม“แต่ม่อโฉวซือไท่จุกจิกมาก เราว่าเป็นไปได้มากที่นางต้องกลับมาพร้อมกับความผิดหวัง”บททดสอบที่ฮ่องเต้น้อยมอบให้เวินซื่อฟังดูง่าย แต่ทุกคนที่เคยใกล้ชิดม่อโฉวซือไท่รู้ดี ม่อโฉวซือไท่แห่งอารามสุ่ยเยว่เป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนหัวโบราณและดื้อรั้น อย่าว่าแต่ฮ่องเต้น้อยเลย ต่อให้เป็นอดีตฮ่องเต้ยืนอยู่ตรงหน้านาง ก็ไม่คิดไว้หน้าเลยถ้าหากนางรู้สึกว่าเวินซื่อไม่ผ่าน เช่นนั้นเวินซื่อก็ไม่มีโอกาสเด็ดขาดดังนั้นฮ่องเต้น้อยจึงมั่นใจว่า เวินซื่อไปอารามสุ่ยเยว่แล้วต้องผิดหวังแน่นอน ถ้าหากสามารถทำให้นางล้มเลิกความคิดออกบวชเป็นชีได้ก็ยิ่งดีอย่างไรเสียเขาก็ไม่ค่อยอยากส่งลูกสาวของท่านอาหลานไปเป็นแม่ชีนักแม้กล่าวเช่นนี้ แต่เมื่อเป่ยเฉินหยวนนึกถึงตอนที่นางหนูน้อยล้มลงแล้วลุกขึ้นอีกครั้ง แม้ร่างกายยังคงแบกรับความเจ็บปวด กลับไม่โอนเอน และยังคงเดินจากไปอย่างแน่วแน่ เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือเห็นด้วยกับคำพูดของฮ่องเต้น้อยเวลานี้เวินซื่อยังไม่รู้ว่าโอกาสที่นางได้รับนี้ ความจริงแล้วมีความหวังไม่มากนักแต่ต่อให้นางรู้ นางก็ไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาดในรถม้า เวินซื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอา
“ซือไท่กับท่านพ่อของข้า?”เมื่อเวินซื่อได้ยินเช่นนี้ ตะลึงงันครู่หนึ่งเสี่ยวเต๋อจื่อเหมือนกำลังคุยเล่นเรื่องที่น่าสนใจ พลางชื่นชมพระอาทิตย์ขึ้นที่อยู่ซ้ายมือ พลางกล่าวกับเวินซื่อ“เรื่องนี้พูดถึงก็น่าสนใจ เมื่อก่อนม่อโฉวซือไท่ไม่เคยลงเขา และน้อยครั้งที่จะออกจากอารามซุ่ยเยว่ แต่ในปีที่คุณหนูห้าเกิด ม่อโฉวซือไท่สั่งให้คนส่งของขวัญแสดงความยินดีไปที่จวนเจิ้นกั๋วกง คนนอกจึงจะรู้ว่าที่แท้ม่อโฉวซือไท่ที่ไม่สนใจเรื่องทางโลกท่านนั้นรู้จักกับจวนเจิ้นกั๋วกง”“ทุกคนล้วนคิดว่าเพราะใต้เท้าเจิ้นกั๋วกง แต่หลังจากนั้นม่อโฉวซือไท่ก็ไม่เคยไปมาหาสู่กับจวนเจิ้นกั๋วกง กระทั่งวันที่ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงป่วยหนักกำลังจะสิ้นใจ ม่อโฉวซือไท่รีบลงจากเขา และได้ส่งฮูหยินเจิ้นกั๋วกงครั้งสุดท้าย”“หลังจากฝังศพนาง ม่อโฉวซือไท่ด่าทอเจิ้นกั๋วกงว่าเป็นคนเนรคุณ ทำผิดต่อฮูหยินของเขาอย่างเกรี้ยวกราดต่อหน้าผู้คน อีกทั้งยังสาบานว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนของจวนเจิ้นกั๋วกงอีกเด็ดขาด”ตอนนั้นผู้คนจึงจะเข้าใจ ที่แท้คนที่ม่อโฉวซือไท่รู้จักไม่ได้เจิ้นกั๋วกง แต่รู้จักกับฮูหยินเจิ้นกั๋วกงเสี่ยวเต๋อจื่อกล่าวเบาๆ “คุณหนูห้า มารดาของท่
จื่อจวิน หลานจื่อจวิน คือชื่อจริงของแม่นางม่อโฉวซือไท่กับมารดาของนางรู้จักกันจริงๆ ด้วยเวินซื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิด คิดว่านางคือมารดา จึงโน้มตัวคำนับ “ข้าน้อยชื่อเวินซื่อ คำนับม่อโฉวซือไท่เจ้าค่ะ” ม่อโฉวซือไท่ชะงักสีหน้าของนางกลับมาเย็นชาและใจร้ายทันที นางหมุนกายถือกล้วยไม้เข้าไปในอีกด้านของลานกว้างบนชั้นวางไม้ที่มีกล้วยไม้ต่างๆ ยังมีที่ว่างอีกหนึ่งทีหลังจากวางกระถางกล้วยไม้ในอ้อมแขนที่ดูเหมือนเพิ่งผ่านการตกแต่งลงไป ม่อโฉวเอ่ยปากอย่างเย็นชา พูดย้ำคำพูดเมื่อครู่อีกหนึ่งรอบ“ที่นี่ไม่ใช่วิหารของอาราม หากสีกาต้องการสักการะ เดินออกไปแล้วเลี้ยวขวาก็จะถึง”เวินซื่อจุๆ ในใจซือไท่ท่านนี้อคติกับสกุลเวินมากจริงๆ ด้วยคำพูดนี้ฟังเหมือนบอกทาง แต่ไม่ต่างอะไรกับไล่คนเลย“ซือไท่ วันนี้ข้าน้อยไม่ได้มาที่นี่เพื่อสักการะ แต่มีเรื่องอยาก…”“ในเมื่อไม่ได้มาเพื่อสักการะ เช่นนั้นสีกาก็เชิญกลับเถอะ อารามซุ่ยเยว่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน”ก่อนที่เวินซื่อจะกล่าวจบ ม่อโฉวซือไท่ก็กล่าวขัดนางอย่างไม่เกรงใจแต่น่าเสียดาย วันนี้นางจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายเวินซื่อเ
พลันเวินซื่อตะลึงนางมองใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของซือไท่ อดไม่ได้ที่จะยิ้มในใจวันเกิดของนางคืออีกสองเดือนข้างหน้าจริงๆถ้าหากไม่มีการปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิดของเวินเยวี่ย ตามกฎก็ควรจัดพิธีปักปิ่นให้นางในอีกสองเดือนข้างหน้าจริงๆแต่เพราะ ‘อยากจัดพิธีปักปิ่นพร้อมกับพี่หญิง’ คำเดียวของเวินเยวี่ย ท่านพ่อกับพวกพี่ชายของนางก็ไม่สนใจความเห็นของนาง บังคับให้นางจัดพิธีปักปิ่นล่วงหน้าสองเดือน พร้อมกับในวันเกิดเมื่อวานของเวินเยวี่ยนี่ก็คือบิดากับเหล่าพี่ชายที่แสนดีของนางแต่หลังจากเกิดใหม่ เวินซื่อไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มีอะไรน่าแปลกใจแต่สิ่งที่ทำให้เวินซื่อคิดไม่ถึงคือ ม่อโฉวซือไท่ก็จำวันเกิดของนางได้อย่างชัดเจนนางได้รู้มาจากปากของเต๋อกงกงว่าม่อโฉวซือไท่เคยไปจวนเจิ้นกั๋วกงตอนที่นางเกิดก็จริงแต่ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ก็ยังจำได้ คิดว่ามิตรภาพของมารดากับม่อโฉวซือไท่ในสมัยนั้นต้องแน่นแฟ้นมากแน่ๆ“ซือไท่ใจเย็นๆ ไม่จำเป็นต้องโกรธเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เจ้าค่ะ”ระหว่างคิ้วของเวินซื่ออ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว นางกล่าวเตือน “ก็แค่พิธีปักปิ่น ตอนนี้ข้าน้อยไม่อยากอยู่บ้านสกุลเวินอีกแล้ว และข้าน้อยก็ไ
เพราะจู่ๆ คำพูดของม่อโฉวซือไท่ก็ทำให้นางพบว่า กล้วยไม้กระถางนี้ เป็นดอกไม้อวยพรพิธีปักปิ่นเพียงหนึ่งเดียวที่นางได้รับในตลอดสองชาตินางจ้องดอกกล้วยไม้เล็กๆ นั่น มองจนเหม่อลอยเล็กน้อยกล้วยไม้กระถางนี้ถูกตกแต่งอย่างดี มองปราดเดียวก็รู้ว่าได้รับการดูแลอย่างเอาใจใส่ทุกวัน นางเคยสังเกต ต่อให้เป็นกล้วยไม้ต้นอื่นๆ ที่อยู่ในลานก็สู้กระถางนี้ไม่ได้แต่เพราะเหตุใดม่อโฉวซือไท่จึงปลูกกล้วยไม้มากมายเช่นนี้ และเลือกกระถางที่ได้รับการดูแลดีที่สุดให้นางล่ะ?เพียงเพราะชอบกล้วยไม้หรือ?หรือเพราะสาเหตุอื่น…?กล้วย…กล้วยไม้[1] หลานจื่อจวิน…หรือเป็นเพราะท่านแม่?จู่ๆ เวินซื่อก็นำไปเชื่อมโยงกับมารดาของตัวเอง รู้สึกประหลาดใจกับการคาดเดานี้เล็กน้อยตกลงซือไท่กับมารดาเกี่ยวข้องกันอย่างไร? แล้วตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?เวลานี้ เวินซื่ออยากรู้มากนางกัดฟัน กล่าวกับข้างนอก “เต๋อกงกง หยุดรถก่อน”การเดินทางกลับค่อนข้างเร็ว ตอนที่จอดรถม้า ก็ได้มาถึงเชิงเขาของภูเขาหนานแล้วเวินซื่อกอดกล้วยไม้กระถางนั้นลงจากรถม้าอีกครั้ง นางเงยหน้ามองทางขึ้นเขาแวบหนึ่ง สูงมาก“คุณหนูห้ามีของอะไรลืมไว้ที่อารามซุ่ยเย
เมื่อคนผู้นั้นกล่าวเช่นนี้ มีหลายคนที่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่งทันที“ต้องใช้แน่ๆ เวินซื่อเพิ่งถูกชุยซื่อจื่อถอนหมั้นเมื่อวาน วันนี้ก็หนีมาเรียกร้องความสนใจที่ภูเขาหนานแล้ว”“เกรงว่าไม่รู้ไปได้ยินมาจากที่ใด รู้ว่าวันนี้พวกเราจะมาเที่ยวชมธรรมชาติที่ภูเขาหนาน ดังนั้นจึงจงใจมาแสดงละครให้พวกเราดูที่นี่”แต่ก็บังเอิญเช่นกัน กลุ่มคนที่พูดล้วนเป็นเหล่าคุณชายที่ปกติค่อนข้างมีความใกล้ชิดกับชุยเส้าเจ๋อเดิมทีวันนี้พวกเขานัดกันมาเที่ยวชมธรรมชาติที่ภูเขาหนาน แต่เมื่อวานชุยเส้าเจ๋อทำให้จวนเจิ้นกั๋วกงอับอายต่อหน้าผู้คนกับเรื่องถอนหมั้น จึงถูกจงหย่งโหวขังไว้ในบ้าน ไม่อนุญาตให้ออกมาดังนั้นวันนี้จึงมีเพียงพวกเขาไม่กี่คนแน่นอนว่าเวินซื่อก็สังเกตเห็นพวกเขาแล้วเช่นกันแต่นางเลือกที่จะมองข้ามอย่าว่าแต่พวกเขาเลย วันนี้ต่อให้ชุยเส้าเจ๋อมาก็อย่าคิดจะขวางนางด้วยความสัมพันธ์ของชุยเส้าเจ๋อ คุณชายเหล่านั้นไม่แม้แต่จะเที่ยวชมธรรมชาติแล้ว พวกเขายืนจ้องเวินซื่อที่ริมทางทั้งเช่นนี้ มองดูนางกราบไหว้ตั้งแต่เชิงเขาขึ้นไปข้างบนแรกเริ่มคนทั้งกลุ่มยังเยาะเย้ยถากถางไม่หยุด แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ ผ่านไปหน
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม
เป่ยเฉินหยวนยังไม่รู้ถึงความคิดของลูกน้องที่ทั้งดีใจและกลัดกลุ้มใจแทนเขาไปในเวลาเดียวกันแต่อย่างไรก็ตามระหว่างการเดินทางไปยังภูเขาหนาน อารมณ์ของเขาค่อนข้างดีเลยทีเดียวแม้กระทั่งตอนที่ได้รับข่าวซึ่งส่งมาจากลู่โจว ใครบางคนได้หลบหนีไปแล้ว อารมณ์ของเขาก็ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจากนั้นพอได้เห็นเวินซื่อ ความขุ่นเคืองเพียงเล็กน้อยนั้นก็พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย“อู๋โยว”น้ำเสียงของเป่ยเฉินหยวนก็พลันดังขึ้นที่หน้าประตูเรือนเล็กเมื่อเวินซื่อที่กำลังดูแลจัดการแปลงสมุนไพรทั้งสองแปลงในลานบ้านได้ยินเข้า ก็หันขวับกลับไปทันที ทันทีที่เห็นเป่ยเฉินหยวน เวินซื่อก็พลันดีใจขึ้นมา“ท่านจัดการธุระเสร็จเร็วเพียงนี้เชียว?”ก่อนหน้านี้ เมื่อรู้ว่าเป่ยเฉินหยวนต้องออกจากเมืองหลวงไปเพราะสืบพบบางอย่าง นางคิดว่าเขาคงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะกลับมาได้ ไม่คิดว่าเพิ่งจะผ่านไปเพียงสี่ห้าวันเท่านั้น เขาก็กลับมาแล้วพอเห็นรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง เป่ยเฉินหยวนก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปาก “ใช่ จัดการเสร็จไปชั่วคราวแล้ว”หลังจากที่หัวหน้าสายลับต่างเผ่าผู้นั้นหนีไปแล้ว เขาก็นำคนไป “เยี่ยมเยียน” ท
หรือว่ายังคิดจะขายนางอีกครั้ง?อันหลันซินกำหมัดแน่น ในแววตาฉายประกายอันตรายแวบผ่าน ก้นบึ้งของดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังช่างเถอะอย่างไรเสียนางก็ได้อาศัยคนผู้นี้หนีออกมาแล้วไม่ว่าอันปี่เค่อเขาจะยังต้องการใช้นางเป็นหมากอีกหรือไม่ นางก็จะกลับเมืองหลวงให้ได้เมื่อคิดได้ดังนี้ อันหลันซินก็ใช้มืออีกข้างที่ยังดีอยู่หยิบกริชที่ตกบนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็เดินออกจากตรอกไปทีละก้าว เงาร่างอันผอมบางก็หายลับไปในความมืดมิดยามค่ำคืนอย่างรวดเร็ว......เมืองหลวงจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนเป่ยเฉินหยวนที่กำลังนอนพักผ่อนอยู่บนเตียง หลังจากที่หลับไปได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ก็ลืมตาขึ้นฉับพลันเวลาผ่านไปสามสี่วันแล้ว แต่สีแดงฉานในดวงตาคู่นั้นยังคงไม่จางหายไปยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงสองสามวันนี้ นับวันเขาก็ยิ่งไม่อาจข่มตาหลับลงได้เป็นเวลานานนานที่สุดคือสองชั่วยาม สั้นที่สุดคือครึ่งชั่วยาม ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหันเหมือนเช่นในตอนนี้ไม่ใช่ว่าเป่ยเฉินหยวนไม่อยากนอนหลับ แต่เป็นเพราะทุกครั้งที่เขาหลับตา ในความฝันก็จะปรากฏภาพอันน่าสยดสยองของจวนเป่ยเฉินอ๋องที่เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำนับตั้งแต่ที่ได
อันหลันซินที่ได้ยินคำพูดนี้ รูม่านตาก็หดลงในทันทีนางถอยหลังไปยังปากตรอกด้านหลังทีละก้าว พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้า...เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าไม่ได้บอกหรอกหรือว่า ท่านพ่อของข้าเป็นคนที่จ่ายเงินสองพันตำลึงเพื่อว่าจ้างพวกเจ้าให้คุ้มครองข้ากลับเมืองหลวง?!”“ใช่แล้ว ถูกต้อง ใต้เท้าอันจ่ายเงินจ้างพวกเราจริง แต่ใต้เท้าอันยังได้สั่งการไว้อีกประโยคหนึ่งด้วย”คนชุดดำนั่นมองการกระทำของอันหลันซินออก ก้าวเท้าเดินตรงเข้าไปหานาง“ประโยคอะไร?”อันหลันซินจ้องเขาตาเขม็ง“ใต้เท้าอันกล่าวว่า บุตรสาวของเขารู้เรื่องราวต่างๆ มากเกินไปแล้ว ดังนั้น ทางที่ดีคุณหนูอันควรจะปิดปากเงียบไปตลอดกาล”พอสิ้นคำพูดนี้ อันหลันซินก็แทบจะหันหลังวิ่งหนีไปทันที ไม่ลังเลแม้แต่น้อยแต่นางเพิ่งจะวิ่งออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ด้านนอกตรอกก็พลันปรากฏคนหลายคนขึ้นมาสวมชุดแบบเดียวกับคนชุดดำผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกเดียวกันตกอยู่ในสถานการณ์หนีเสือปะจระเข้ อันหลันซินที่ไม่มีทางหนีออกจากตรอกนี้ไปได้อย่างแน่นอนจึงจำต้องหยุดฝีเท้าลง“เอาละ นี่ก็จวนจะได้เวลาแล้ว หากชักช้าไปกว่านี้ เกรงว่าคนของจวนหนิงหย่วนโหวจะต
“อ๊า!”ในยามวิกาล ไม่ว่าใครก็ตามที่จู่ๆ ได้มาเห็นภาพเช่นนี้ ย่อมตกใจจนขวัญหนีดีฝ่ออันหลันซินก็เป็นเช่นนั้น ตกใจเสียจนกรีดร้องออกมา ทั้งคนหงายหลังล้มลงไปกองกับพื้น ศีรษะยังกระแทกเข้ากับโต๊ะอีกด้วยเสียงดังโครมครามทำให้คนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเข้ามาทันที“ปัง!”“เกิดอะไรขึ้น?!”สาวใช้และองครักษ์หลายคนพังประตูเข้ามา เมื่อเห็นอันหลันซินล้มลงไปกองอยู่กับพื้น พวกเขาก็รีบกวาดตามองไปรอบๆ ทันที แต่น่าเสียดายที่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ“ผะ...ผี! มีผีอยู่บนหลังคา!”อันหลันซินในเวลานี้ยังคงคิดว่านั่นเป็นผีจริงๆ ตกใจเสียจนไม่กล้ามองอีก ได้แต่ยกมือขึ้นชี้ไปยังหลังคาอย่างสั่นเทาแต่เมื่อเหล่าสาวใช้และองครักษ์เงยหน้ามองขึ้นไป กลับไม่เห็นสิ่งใดเลยเหล่าองครักษ์ถึงกับออกไปข้างนอก แล้วปีนขึ้นไปตรวจดูบนหลังคาโดยตรงแต่กลับไม่พบอะไรเลยเหล่าสาวใช้และองครักษ์ที่คอยจับตาดูอันหลันซินต่างพากันคิดไปว่า นี่คงเป็นกลอุบายอะไรสักอย่างที่อันหลันซินคิดขึ้นมาเพื่อหลอกตาการเฝ้าระวังของพวกเขา ดังนั้น แต่ละคนจึงแสดงสีหน้าเย็นชา“คุณหนูอัน ทางที่ดีท่านควรจะสงบเสงี่ยมหน่อย อย่าเล่นลูกไม้อะไรอีก มิฉะนั้นพวกเราจะทำต