“เจ้าบอกมาดีๆ สองวันก่อนเจ้าเข้าวังไปขอร้องฝ่าบาทใช่หรือไม่?!”ชุยเส้าเจ๋อกระโดดลงจากรถม้าด้วยความโมโห เดินเข้าไปตะคอกถามใส่หน้าเวินซื่ออย่างฉับไวเวินซื่อขมวดคิ้วเบาๆ “ข้าเข้าวังหลวงจริง แต่เกี่ยวอะไรกับ…”“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีทางละทิ้งความคิดชั่วๆ ของเจ้า!”เมื่อชุยเส้าเจ๋อได้ยินนางยอมรับ ก็ไม่รอให้นางกล่าวจนจบ และยังตะคอกใส่หน้านางด้วยสีหน้าเย็นชารังเกียจโดยตรง “เจ้าคิดว่าเจ้าไปขอร้องฝ่าบาท ก็ทำให้ข้ายกเลิกการถอนหมั้นได้แล้วหรือ? ข้าจะบอกให้นะ ไม่มีทาง!”“ข้าบอกแต่แรกแล้ว ชาตินี้ข้าชุยเส้าเจ๋อจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงอำมหิตเยี่ยงเจ้าเด็ดขาด ต่อให้ฝ่าบาทมีพระราชโองการด้วยพระองค์เอง ข้าก็ไม่มีทางให้เจ้าสมใจ!”ในใจเวินซื่อหนาวเหน็บนางรู้สึกว่าชุยเส้าเจ๋อตลกมาก “ใช่ ข้าเข้าวังจริง แต่เจ้าเอาอะไรมาคิดว่าข้าเข้าวังเพราะเจ้า?”“เจ้ายังคิดจะแถอีก! เยวี่ยเอ๋อร์เล่าคำพูดที่เจ้าพูดกับนางให้ข้าฟังหมดแล้ว!”ขณะที่ชุยเส้าเจ๋อถามเวินซื่อ เวินเยวี่ยก็ลงมาจากรถม้าที่อยู่ข้างหลังเขาเวินเยวี่ยไม่อยู่บ้านสกุลเวิน กลับนั่งรถม้ากลับมากับชุยเส้าเจ๋อแทนมองปราดเดียวก็รู้ว่าไปหาชุยเส้าเจ๋อโด
สิ่งที่เวินเยวี่ยชอบไม่ได้พิศวาสตัวตนของชุยเส้าเจ๋อ แต่เป็นฐานะของเขาต่างหากชาติที่แล้วนางจำได้อย่างชัดเจน ต่อมาชุยเส้าเจ๋อเพราะไม่เห็นใครอยู่ในสายตา หลังจากล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกินแล้ว ก็ถูกหักหาทั้งสองข้าง กลายเป็นคนพิการและก็เป็นครั้งนั้นเอง เวินเยวี่ยทิ้งเขาอย่างไม่ลังเล“พี่หญิงห้าไม่ต้องพูดแล้ว ท่านจะด่าก็ด่าข้าเถอะ อย่าด่าพี่เส้าเจ๋อได้หรือไม่?”เวินเยวี่ยรู้สึกว่าช่วงสองวันนี้ เวินซื่อเหมือนกินยาผิด ผิดปกติมากขึ้นทุกทีเมื่อเห็นนางยังคิดจะแฉตัวเอง เวินเยวี่ยใช้แผนซ้อนแผน แสร้งทำตัวน่าสงสารทันทีชุยเส้าเจ๋อหลงกลอย่างที่คาด“เจ้าเลิกมายุแยงพวกเราได้แล้ว!”ชุยเส้าเจ๋อไม่เชื่อคำพูดของเวินซื่อเลย เขาป้องเวินเยวี่ยไว้ข้างหลัง กล่าวด้วยความโกรธ “เยวี่ยเอ๋อร์ไม่เหมือนเจ้า นางเป็นคนจิตใจดีไร้เดียงสา และยิ่งไม่มีพิษมีภัย นางดีกว่าเจ้าเป็นพันเท่าหมื่นเท่า ผู้หญิงที่จิตใจอำมหิตเช่นเจ้าไม่มีวันเทียบนางได้!”เวินซื่อเหลือบเห็นอะไรบางอย่างอย่างตาดี ครู่ต่อมานางก็เหวี่ยงฝ่ามือไปหาชุยเส้าเจ๋ออีกครั้ง“เพียะ!”ตบซ้ายตบขวาข้างละที ตบจนชุยเส้าเจ๋อหน้าบวมคราวนี้ทำเอาชุยเส้าเจ๋อโกร
ทุกคนมองเวินซื่อที่อยู่ข้างหน้าสุดอย่างไม่กล้าเชื่อสายตาอย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่เวินซื่อก็ตะลึงอยู่ตรงที่เดิมนางคิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งนางเป็น ‘ธิดาศักดิ์สิทธิ์’ตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ต้าหมิงจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีธิดาศักดิ์สิทธิ์บัดนี้นางกลับเป็นคนแรกอีกทั้งยังมีฉายาว่า ‘ฝูหมิง’ชั่วขณะเวินซื่อที่เหม่อลอยลืมกระทั่งรับราชโองการแล้ว เต๋อกงกงเตือนนางด้วยรอยยิ้ม “ธิดาศักดิ์สิทธิ์รีบรับราชโองการเถอะ”รอหลังจากเวินซื่อขอบคุณและรับราชโองการมา ก็ถูกเต๋อกงกงประคองลุกขึ้นด้วยสองมือ “ต่อไปท่านคุกเข่าไม่ได้แล้ว นอกจากฟ้าดินก็มีแต่ฝ่าบาทกับพุทธองค์”ความหมายอีกนัยของคำพูดนี้ก็คือ ต่อไปเหนือนางมีแค่ฝ่าบาท ต่อให้เป็นเจิ้นกั๋วกงบิดาของนางอยู่ที่นี่ ก็ข่มนางไม่ลง“ขอบพระทัยฝ่าบาท เวินซื่อจะอธิษฐานขอพรให้บ้านเมืองด้วยความจริงใจ ไม่ให้ฝ่าบาทผิดหวังเด็ดขาด”หลังจากเต๋อกงกงเห็นนางเข้าใจแล้ว ก็กล่าว “ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์เก็บสัมภาระก่อนเถอะ ต่อไปท่านจะย้ายไปอยู่อารามสุ่ยเยว่แล้ว ของบางอย่างที่ควรพกไม่ควรพก คิดว่าท่านก็น่าจะรู้ดี หลังจากนี้ครึ่งชั่วยามจะมีคนคุ้มกันส่งท่านไปจนถึงอารามสุ่
“เวินจื่อเฉิน ท่านนับได้อย่างชัดเจนหรือไม่ว่าตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาท่านลงมือกับข้าไปกี่ครั้งแล้ว?”เวินจื่อเฉินกล่าวโต้แย้งทันที “นั่นถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าต้องทำตัวเป็นศัตรูกับน้องหกให้ได้หรือ น้องหกเป็นน้องสาวคนเล็ก ข้าย่อมต้องปกป้องนาง!”เวินซื่อผิดหวังอีกครั้งนางกำลังจ้องเวินจื่อเฉิน กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “แต่ข้าก็เป็นน้องสาวของพวกท่านเช่นกัน”พวกเขาเกือบจะลืมไปแล้ว ก่อนหน้าที่เวินเยวี่ยจะมาตระกูลเวิน น้องสาวคนเล็กของตระกูลก็คือนาง!เวินซื่อที่เจ็บช้ำน้ำใจอย่างหนักมานานไม่อยากจะพูดกับพวกเขาให้มากความอีก หลังจากพูดประโยคนั้นจบ นางก็หันหลังกลับแล้วเดินออกจากที่นี่ กลับห้องไปจัดการเก็บกวาดเวินฉางอวิ้นและคนอื่น ๆ ที่ยังอยู่ที่เดิมมองไปทางเวินจื่อเฉินพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายเวินฉางอวิ้นเอ่ยปากพูดอย่างไม่เห็นด้วย “พี่รอง ช่วงนี้ท่านลงมือกับน้องห้าบ่อยจริง ๆ ครั้งก่อนในพิธีปักปิ่นก็เหมือนกัน ท่านไม่สนใจกาลเทศะเลยสักนิด ตบหน้าน้องห้าจนแดงขนาดนั้น”“นั่นยังไม่ใช่เพราะว่า...เพราะว่า...”เวินจื่อเฉินอยากจะออกมาพูดว่าเป็นความผิดของเวินซื่ออีกแบบไม่รู้ตัวแต่ครั้งนี้หลังจากที่เขาเอ่ยปาก
เวินจื่อเฉินพวกเขาอยากจะเยี่ยมเวินซื่อ แต่เวินซื่อกลับไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในห้องของนาง“ปัง” หลังจากมีเสียงปิดประตูดังขึ้น นางก็รีบนำสิ่งของทั้งหมดในห้องที่เป็นของนางเก็บเข้าไปในมิติน่าเสียดายที่พวกเขาอยู่ด้านนอก ไม่อย่างนั้นนางยังอยากจะไปที่ห้องของท่านแม่ถึงแม้ว่าท่านแม่จะจากไปหลายปีแล้ว แต่ห้องของนางยังคงอยู่ จะมีคนเข้าไปทำความสะอาดทุกวันและคนที่จัดการเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือท่านพ่อของนางเมื่อชาติก่อน เป็นเพราะเรื่องพวกนี้นางจึงไม่เคยสงสัยในความสัมพันธ์ของเวินเฉวียนเซิ่งและเวินเยวี่ยเลยสักนิดนางคิดว่าเวินเยวี่ยเป็นดั่งที่ท่านพ่อพูดแบบนั้นจริง ๆ เป็นเพียงบุตรสาวของผู้มีพระคุณของเขาจนกระทั่งต่อมาเวินเยวี่ยเปิดเผยตัวตนอย่างลำพองใจต่อหน้าของนาง นางถึงได้รู้ว่าตนกับท่านแม่ต่างก็ถูกคำหลอกลวงของท่านพ่อต้มเข้าให้แล้ว!เวินเยวี่ยไม่ใช่บุตรสาวของผู้มีพระคุณอะไรเลย แต่เป็นบุตรสาวของเวินเฉวียนเซิ่งกับอดีตนางในดวงใจคนนั้นของเขาต่างหาก!สิ่งที่ทำให้นางโมโหที่สุดก็คือ นางยังเป็นคนสุดท้ายที่รู้ความจริงเรื่องนี้พวกพี่ชายของนางรู้เร็วกว่านาง กลับไม่มีใครโกรธแค้นแทนท่านแม่เลยสักคน ในท
แม้ว่าเมื่อหลายปีก่อนตอนที่ครั้งหนึ่งเขาป่วยหนักไข้สูงจนนอนซมอยู่บนเตียง นางเคยเฝ้าเขาอยู่สามวันสามคืนเต็ม ๆ จนกระทั่งเขาไข้ลดฟื้นขึ้นมาถึงได้กลับไปพักผ่อนเวินเยวี่ยจ้องมองเวินอวี้จือเดินจากไป แสยะยิ้มที่มุมปากด้วยความลำพองใจอย่างยากที่จะสังเกตเห็นถึงแม้จะไม่รู้ว่าเวินซื่อนั่นใช้กลอุบายอะไรไปทูลขอสถานะนักบุญหญิงจากฝ่าบาท แต่ขอเพียงคนของสกุลเวินพวกนี้ยังถูกควบคุมอยู่ในมือของนาง จะมีอะไรที่นางไม่สามารถได้มาครองกันล่ะ?ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งนักบุญหญิงของเวินซื่อ ในที่สุดก็จะต้องเป็นของนางเวินเยวี่ยอยู่ดี!เมื่อคิดเช่นนี้ ความริษยาภายในใจของเวินเยวี่ยก็ลดลงไปบางส่วนแต่ว่าตอนนี้ นางจะต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนว่าเวินซื่อใช้วิธีการใดในการเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทหรือว่าบนตัวของนางยังมีความลับอะไรที่ตนไม่รู้อีก?เวินเยวี่ยเม้มริมฝีปาก ดวงตามีความเกลียดชังปรากฏขึ้นแวบหนึ่งในเวลานี้ จู่ ๆ เวินซื่อก็เปิดประตูออกมาหลังจากปิดประตูแล้วก็หันหลังแล้วเดินออกไปทันทีโดยไม่แม้แต่มองพวกเขาสักแวบทันทีที่เวินจื่อเฉินเห็นยังนึกว่านางกำลังจะหนี รีบเข้าไปขวางนางเอาไว้ “หยุดนะ เจ้าคิดจะไปไหน ข้าขอบอกเจ้านะเวินซ
เวินซื่อหลุบตาลง เหมือนกับว่าหัวเราะเยาะตนเอง “ใช่สิ เป็นเพราะเหตุใดกันแน่นะ?”“คำตอบของคำถามข้อนี้ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ หรือว่าท่านพ่อไม่รู้อย่างนั้นหรือ?”นัยน์ตาของเวินเฉวียนเซิ่งมีความไม่พอใจปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง “เวินซื่อ ข้าจะพูดอีกรอบ เจ้าอย่าก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นอีก ไม่เช่นนั้นครั้งนี้ข้าอาจจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่”“ถ้าข้าจะก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นอีกล่ะ?เมื่อเวินซื่อได้ยินประโยคนี้ก็เงยหน้าขึ้นมาทันที สบตากับเวินเฉวียนเซิ่งตรง ๆ อย่างไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย “ท่านยังคิดจะทำอย่างไรอีก? ถ้าเฆี่ยนห้าสิบทีไม่พอ เช่นนั้นก็หนึ่งร้อยที? ถ้าหนึ่งร้อยทียังไม่พออีกละก็ เช่นนั้นท่านก็ตีข้าให้ตายไปเลยเป็นอย่างไร?”“เวินซื่อ”“ท่านพ่อ”เวินจื่อเฉินกับเวินฉางอวิ้นส่งเสียงออกมาพร้อมกันเวินจื่อเฉินคิดไม่ถึงว่าวันนี้เวินซื่อจะเป็นเหมือนกับคนเสียสติไปแล้วอยากจะเอาคืนเขาก็ช่างเถอะ ไม่คิดเลยว่ายังจะทำตัวท้าทายเช่นนี้ต่อหน้าท่านพ่ออีก!นางอยากรนหาที่ตายใช่หรือไม่?ถึงแม้ว่าเวินฉางอวิ้นเองก็รู้สึกว่าเวินซื่อจะทำตัวเหลวไหลเกินไปแล้วจริง ๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่สามารถให้ท่านพ่
แต่ชุยเส้าเจ๋อกลับคิดว่านางกำลังปากแข็ง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะอธิบายอย่างไร เจ้าทำเพื่อให้ข้ารู้ถึงใจจริงของเจ้า จงใจไปที่ภูเขาหนาน ให้พวกสหายฉีที่สนิทกับข้าเห็นเจ้าเดินหนึ่งก้าวคุกเข่าหนึ่งทีโขกหัวหนึ่งหนขึ้นเขา? หรือว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่แผนการของเจ้า?”เวินจื่อเฉินสีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะทำเพื่อเขาถึงขั้นนี้?”หลังจากที่เวินเยวี่ยอึ้งไปครู่หนึ่ง ในไม่ช้าก็ได้สติกลับคืนมา ทำเป็นพูดด้วยความโศกเศร้าเสียใจ “ทั้งหมดต้องโทษข้า เป็นเพราะคืนนั้นข้าไม่ได้รับปากพี่หญิง พี่หญิงถึงได้ทรมานตนเองเช่นนี้เพื่อพี่เส้าเจ๋อ”คนอื่นถูกคำพูดของเวินเยวี่ยชักจูงในทันที“เวินซื่อ เพื่อผู้ชายคนหนึ่ง เจ้าถึงกับจะเป็นจะตายเช่นนี้ ถึงขั้นที่ไม่สนใจชื่อเสียงของสกุลเวิน?”“เวินซื่อ ถ้าหากเจ้านึกเสียใจแล้วจริง ๆ แล้วเหตุใดจึงไม่รีบพูดออกมาแต่แรก?”“เจ้ามีเรื่องอะไรจะบอกกับพวกข้าไม่ได้หรือ?”“เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งแค่นี้ เจ้าถึงกับต้องทำจนทุกคนรู้ให้ได้หรือ?”เหล่าพี่น้องตระกูลเวินพากันเริ่มพูดจาสั่งสอนเวินซื่อเหล่าคุณชายซึ่งมีคุณชายฉีเป็นผู้นำและอยู่ด้านข้างในตอนนี้ เดิมทีแค่อยากจะให้
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม