เมื่อเดินกลับไปหยิบตะเกียบออกมาอีกครั้ง นางก็เรียกทั้งสองคนนั้นโดยไม่ได้คิดอะไร “เลิกสู้กันได้แล้ว รีบมากินข้าวเร็วเข้า”จู๋เยวี่ยวางมือลงในทันใด แล้วรีบเหาะไปหาเวินซื่อทางด้านนั้นทันทีจินซือถูที่ฉวยโอกาสกำลังจะได้เปรียบอยู่แล้วก็คว้าน้ำเหลวในทันใดจินซือถู “...”ไม่มีใครต่อยตีกับเขาแล้ว เขาจึงต้องเดินตามไปด้วย จากนั้นก็ยืนบนโต๊ะหินอย่างไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง มองไปที่บะหมี่หยางชุนชามที่เพิ่มขึ้นมาชามหนึ่งแบบคล้ายสนใจแต่ก็เหมือนไม่สนใจ“ท่านเป็นถึงธิดาศักดิ์สิทธิ์ยังมาทำบะหมี่ให้คนอื่นกินอีกหรือ? ชามที่เพิ่มมานี่คงไม่ใช่ของข้ากระมัง?”เวินซื่อกินบะหมี่ของตัวเองโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ไม่ใช่ ให้จู๋เยวี่ยกิน นางค่อนข้างกินจุ”จู๋เยวี่ยพยักหน้า “อืม ๆ”จินซือถูเบิกตากว้างทันที จ้องมองจู๋เยวี่ยอย่างไม่เชื่อสายตา “เจ้ากินจุขนาดไหนกินบะหมี่ชามใหญ่ได้ตั้งสองชาม? ข้าไม่สน ตะเกียบมีสามคู่ ทำไมชามนี้ถึงไม่ใช่ของข้าล่ะ?”เขานั่งลงอย่างไม่ลังเลด้วยความโมโห หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินทันทีอย่าว่าไป แม้ว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้มีดีอะไรมากมาย อารมณ์ก็ร้าย แต่ฝีมือการทำบะหมี่หยางชุนถือว
“แน่นอนว่าต้องเป็น...ตั้งแต่ตอนที่ท่านก้าวเข้ามาในเรือนของข้า”เวินซื่อยิ้มเล็กน้อย นางมองไปที่สมุนไพรที่ปลูกไว้ในสวนสมุนไพรอีกด้านหนึ่งในเรือนเล็กของตัวเองในนั้นมียาพิษชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดภาพหลอนได้ได้ยินมาว่าข้างนอกนั้นหาซื้อสมุนไพรชนิดนี้ได้น้อยมาก แต่เนื่องจากเวินซื่อต้องการศึกษาเรื่องพิษ ดังนั้นท่ามกลางเมล็ดพันธุ์สมุนไพรเหล่านั้นที่เป่ยเฉินหยวนเก็บมาให้เขาในครั้งนี้ จึงมีเมล็ดพันธุ์ยาพิษ ตลอดจนต้นกล้าสมุนไพรอยู่ไม่น้อยตอนนี้ที่ปลูกไว้ในสวนสมุนไพรแห่งนี้ คือยาสำเร็จรูปที่กำลังจะออกดอกแล้วเป็นสิ่งที่เป่ยเฉินหยวนหามาให้นางเช่นกัน มีเพียงยาสำเร็จรูปที่หาซื้อได้ในท้องตลาดไม่กี่ต้นเท่านั้นเดิมทีเวินซื่อเห็นจินซือถูยืนอยู่ข้างนอกเรือนเล็กตลอดเวลา ยังคิดว่าเขาแยกแยะยาพิษไม่กี่ต้นนั้นได้แล้วแต่ไม่คาดคิดว่าหลังจากนั้นไม่นาน ตัวเขาเองได้เดินเข้ามาอีกครั้งเห็นได้ชัดว่าชายต่างชนเผ่าผู้นี้ถึงแม้จะใช้พิษด้วย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องยาพิษมากนักมิฉะนั้นจะไม่มีทางเสียท่าให้กับอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ส่วนบะหมี่หยางชุนชามนั้นแค่เอาไว้ใช้เร่งการออกฤทธิ์ยาภายในร่างกายข
ไม่เช่นนั้นจินซือถูคงไม่ไล่ตามมาถึงที่นี่เพื่อถามหาแมลงชีวิตจากนางโดยเฉพาะ โดยที่ไม่ได้ถามเวินเยวี่ยเลยสักคำทันใดนั้นเวินซื่อก็เกิดความใคร่รู้ขึ้นมา ถ้าหากจินซือถูอยู่ด้วย ตะขาบพิษตัวนี้จะยังเชื่อฟังนางอยู่หรือไม่?เวินซื่อขบคิดสักครู่ แล้วตัดสินใจออกไปลองดูตอนนี้“เจ้าตัวน้อย ไปเถอะ ไปหานายที่ดีของเจ้า”ไม่นานเวินซื่อก็นำตะขาบพิษตัวนั้นเข้าไปในครัวเล็ก ๆทันทีที่เข้าไปก็พบว่าจินซือถูถูกจู๋เยวี่ยมัดอยู่กับเสาด้วยมหาเงื่อนห้าบุปผา“พั่วจวิน? พั่วจวิน! เข้ามาเร็ว พั่วจวิน!”หลังจากเวินซื่อนำตะขาบพิษเข้าไปแล้ว จินซือถูที่เกือบจะฟื้นคืนสติสัมปชัญญะได้อย่างสมบูรณ์ก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่าง จึงตะโกนเรียก“ที่แท้ชื่อของเจ้าตัวน้อยก็คือพั่วจวินเองหรือ?”เวินซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าจับตะขาบพิษสีดำมันวาวตัวนั้นวางลงบนพื้นหลังจากวางลงไปแล้ว จินซือถูก็ส่ายหัวไปมาพลางตะโกนเรียกแมลงชีวิตของตัวเอง“พั่วจวิน...เข้ามาเร็ว ข้าอยู่ที่นี่...เข้ามาช่วยข้าเร็ว”เวลานี้จินซือถูยังไม่ได้สติมากนักเขาแค่ตะโกนเรียกพั่วจวินโดยจิตใต้สำนึกตะขาบพิษที่ได้ยินนายของตัวเองเรียกหา ก็เลื้อยไปยังทิศทางที่จินซือถูอ
“อื้ม! อื้ม ๆ ๆ...”เมื่อใช้เวลาอยู่ใต้น้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ จินซือถูที่ถูกมัดกับเสาก็เริ่มดิ้นรนขึ้นมาทันใดใบหน้าแดงก่ำไปหมด ราวกับหายใจไม่ออก ดวงตาสีทองทั้งคู่เบิกกว้างขึ้นอย่างมาก ใบหน้าก็เริ่มบิดเบี้ยวดูเหมือนว่าในขณะนี้ไม่ใช่แค่พั่วจวินเท่านั้นที่จมอยู่ใต้น้ำ แต่รวมถึงจินซือถูด้วย“ดังนั้นหากฆ่าตะขาบพิษตัวนี้ได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่จินซือถูจะตาย หรือไม่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสใช่ไหม?”เวินซื่อเปรียบเทียบความเป็นไปได้สองประการ นางเอนเอียงไปทางข้อสุดท้ายเพราะท้ายที่สุดแล้วหากแมลงชีวิตตัวนี้เกี่ยวพันกับชีวิตของจินซือถูแล้วล่ะก็ เขาก็คงจะไม่ปล่อยตะขาบพิษตัวนี้ออกมาง่าย ๆแต่เมื่อพิจารณาจากระดับความสนใจที่จินซือถูมีต่อแมลงชีวิตของเขา คิดว่าหากพั่วจวินตายไป ต้องมีผลกระทบต่อเขาไม่น้อยแน่นอนหลังจากเข้าใจเรื่องนี้กระจ่างแล้ว เวินซื่อก็เอื้อมมือไปเทน้ำในถังไม้ออกมาจนหมด เผยให้เห็นตะขาบพิษที่ก้นถังทันทีที่พั่วจวินได้รับการช่วยเหลือ สถานการณ์ของจินซือถูก็ผ่อนคลายลงทันทีเพียงแต่สภาพยังดูค่อนข้างแย่เหมือนเดิม ใบหน้าซีดเผือดและหลังจากผ่านความทรมานทั้งหมดนี้มาแล้ว สติสัมปชัญญะของ
ปรากฏว่าคราวนี้ไม่รอให้เวินซื่อพูดให้จบ จินซือถูก็ขัดจังหวะนางด้วยเสียงหัวเราะอีกครั้ง“เวินเยวี่ยน่ะหรือ? จิตใจบริสุทธิ์ดีงาม? ไร้เดียงสาไม่มีพิษภัย? ฮ่า ๆ ๆ ๆ นี่เป็นเรื่องที่ตลกที่สุดในใต้หล้าจริง ๆ!”จินซือถูอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นหัวเราะลั่นหัวเราะไปด่าไป “นางเป็นจอมลวงโลก นางโกหกพวกเราทุกคน กับแม่สมควรตายนับหมื่นนับพันครั้งของนางนั้นด้วย หลอกพวกเราทุกคนจนหัวหมุนไปหมด!”เมื่อจินซือถูพูดจนจบ ก็เริ่มด่าทออย่างโกรธจัดเวินซื่อจ้องมองเขาเช่นนั้น หลังจากที่เขาด่าทอจบ ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างราบเรียบ “หากเจ้ากล้าขัดจังหวะข้าอีกครั้งหนึ่ง ก็อย่าโทษที่ข้าทรมานแมลงตัวน้อยของเจ้าต่อ”เวินซื่อชี้ไปที่ถังไม้จินซือถูจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาทันที “เอาละ เจ้าพูด ๆ”“พูดเรื่องนายของเจ้าจบแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาว่าเจ้าแล้วเจ้าแมลงตัวน้อย”ตอนนี้เวินซื่อรู้สึกหมดความสนใจเล็กน้อย “นางกล่าวอย่างรายเรียบด้วยอารมณ์หมดสนุก “เจ้าตัวน้อยนี่เจ้าให้มันปล่อยพิษใส่ข้า เพราะว่ามัน ยังทำให้ข้าหลั่งเลือดไปไม่น้อย”แล้วยังดื่มน้ำทิพย์จากมิติของนางอีกด้วยตอนนี้แค่ทรมานมันสักหน่อยก็ถือว่าดีมากแล้วถ้าไม่ใช่เพราะค้
ทางที่ดีก็ขอให้ส่งต่อ?คำพูดนี้ทำให้เวินซื่ออึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นนางก็คิดอะไรออกได้อย่างฉับพลัน ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “พวกเจ้าคงไม่ใช่ไม่ได้กินยาถอนพิษมานานแล้วหรอกนะ?”จินซือถูกัดฟันกรอดทันที “ใช่ นานมาก ๆ แล้ว”พวกเขาหยุดยามาสามปีแล้ว!สามครั้งที่ออกฤทธิ์ พวกเขาต่างไม่เคยได้รับยาถอนพิษเลย!สามครั้งนี้ที่ผ่านมานี้ เดิมทีพวกเขามีอยู่สามร้อยคน เหลือเพียงไม่ถึงสองร้อยคนต่อมาก็ถูกส่งไปที่จินโจวเพื่อลอบสังหารเวินซื่อ สูญเสียไปอีกกว่าครึ่งตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น!หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าอีกไม่นาน พวกเขาทั้งหมดก็จะตายลง“แล้วทำไมพวกเจ้าไม่ฆ่านางเสียเลยเล่า?”เวินซื่อถามด้วยความแปลกใจจินซือถูเหลือบมองเวินซื่อแวบหนึ่ง “ร้ายดีอย่างไรเจ้าก็เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ เป็นแม่ชีน้อยที่ออกบวชแล้วอีกต่างหาก เหตุใดถึงเอาแต่พูดเรื่องการฆ่า ๆ ๆ ตาย ๆ ๆ?”“เจ้าจะบอกหรือไม่?”เวินซื่อจ้องเขม็งกลับไปที่เขา“บอก ๆ ๆ”จินซือถูเอนศีรษะพิงเสาข้างหลัง “พวกข้าก็อยากฆ่านางเหมือนกัน แต่แม่ของเวินเยวี่ยได้บอกพวกข้าไว้ก่อนตาย ว่านางได้ส่งต่อสูตรลับของยาถอนพิษให้แก่เวินเยวี่ย
เมื่อได้ยินว่าเวินซื่อต้องการเก็บแมลงชีวิตของตัวเองเอาไว้ จินซือถูจึงฉีกยิ้มมุมปากด้วยท่าทีฝืนใจ “เจ้า...เจ้าใช้งานพั่วจวินไม่ได้เสียหน่อย ทำไมต้องเก็บมันไว้ด้วย?”“ใครว่าข้าใช้งานไม่ได้?”เวินซื่อยิ้มเล็กน้อย “ข้าอยากศึกษาค้นคว้าพิษของแมลงตัวน้อยของเจ้าตัวนี้พอดี”“ก็ได้”จินซือถูเอ่ยอย่างจนปัญญาคนเราอยู่ใต้ชายคา ไม่ก้มหัวก็ไม่ได้จริง ๆ“เช่นนั้นเจ้าก็ปล่อยข้าไปได้แล้วใช่หรือไม่?”เวินซื่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางหมุนตัวหันหลังให้จินซือถู เอื้อมมือเข้าไปในถังไม้ หลังจากเอาตะขาบพิษเก็บไว้ในมิติ ก็พยักหน้าให้จู๋เยวี่ยจู๋เยวี่ยก้าวไปข้างหน้า กวัดแกว่งกระบี่ยาว ตัดเชือกทั้งหมดบนร่างกายของจินซือถูออกทันทีจินซือถูที่ได้รับการปลดปล่อยในที่สุดโยนเชือกที่ขาดออกจากร่างกายทิ้งไป ขยับเขยื้อนมือและเท้าสักพักแล้วถือโอกาสถามเวินซื่อว่า “เจ้าต้องการแมลงพิษชนิดใด ที่ข้าพอมีอยู่บ้าง อย่างเช่นแมงมุมเอย แมงป่องเอย มดคันไฟเอย หากเจ้าต้องการก็สามารถให้เจ้าได้จำนวนหนึ่ง แต่ต้องเอามาให้เจ้าในคราวหน้า”“เอาทุกอย่าง”เวินซื่อกล่าวอย่างไม่เกรงใจจินซือถูเบิกตาโพลงทันที “เจ้านี่ไม่เกรงใจเลยสักนิด
มีตำรับยาแต่กลับไม่มียา ต่อให้นางคิดที่จะทำก็ทำไม่ได้แต่เวินซื่อนั้นไม่เหมือนกันหลังจากอ่านจบแล้วก็พบว่าสูตรยาถอนพิษนี้มีจุดที่สามารถเป็นไปได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหญ้าฝรั่นซึ่งนางก็มีหากพวกจินซือถูเอาแต่รอให้เวินเยวี่ยศึกษาค้นคว้ายาถอนพิษให้พวกเขาต่อไป เกรงว่ารอจนตายก็เป็นไปไม่ได้ถึงแม้ว่านางสามารถทำได้ แต่ก็จะไม่มีทางทำออกมาให้พวกจินซือถูได้ง่าย ๆเพราะถึงอย่างไรคนที่ต้องการยานี้ก็ไม่ได้มีแต่พวกเขาเท่านั้นเวินซื่อถอนหายใจ เห็นทีจะต้องหาวิธีย้ายที่ปลูกให้สมุนไพรในมิติโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะหญ้าฝรั่นนี้หลังจากที่เวินซื่อมีแนวคิดคร่าว ๆ เกี่ยวกับสูตรลับของยาถอนพิษแล้ว ก็เก็บสูตรลับเอาไว้วันรุ่งขึ้น นางเตรียมตัวเดินทางลงจากภูเขาขณะที่เก็บข้าวของเสร็จและปิดประตูห้องออกมา เวินซื่อก็พบว่าต้นสือหูผิวเหล็กที่ย้ายมาปลูกใหม่เมื่อวานตอนบ่ายดูเหมือนจะเจริญเติบโตได้ดีนางเดินเข้าไปดู จู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้สวนสมุนไพรผืนนี้ถูกนางรดด้วยน้ำทิพย์ที่ผ่านการเจือจาง ดังนั้นในดินต้องมีพลังวิญญาณอยู่ไม่น้อยแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าพลังวิญญาณเหล่านี้เพียงพอที่จะค้ำชูให้ต้นสือหูผิวเหล
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม