จวนเจิ้นกั๋วกงห้องหนังสือ“ท่านพ่อ พี่รองกลับมาแล้วขอรับ”เวินอวี้จือแจ้งเวินเฉวียนเซิ่งเวินเฉวียนเซิ่งวางพู่กันในมือลง แล้วกวาดมองเขาราบเรียบ “เขากลับมาเอง หรือว่าเจ้าเป็นคนพากลับมา?”“ลูกเป็นคนพากลับมาขอรับ”เวินอวี้จือหลุบตาลงเวินเฉวียนเซิ่งทำเสียงฮึดฮัดทันใดจากนั้นเขาลุกขึ้น “ไปเถอะ พ่อจะไปดูเขาสักหน่อย”นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เวินเฉวียนเซิ่งมาเยือนห้องลับของเวินอวี้จือแต่เวินจื่อเยวี่ยและเวินจื่อเฉินสองพี่น้องฝาแฝดเพิ่งเคยเข้ามาครั้งแรกตั้งแต่พวกบ่าวค้นพบห้องลับนี้ภายในห้องของเวินอวี้จือ แม้เวินเฉวียนเซิ่งจะโกรธ แต่ไม่ได้สั่งให้เขาปิดตายห้องนี้ ภายหลังกลับบอกเวินอวี้จือเป็นการส่วนตัวว่าให้เขาศึกษายาพิษของตนเองต่อไปได้เพียงแต่ห้ามใช้กับคนในครอบครัวโดยพลการกระนั้นนึกไม่ถึงว่าผ่านไปเพียงไม่นาน คำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งกลับถูกทำลายโดยตัวเขาเอง“เจ้ารอง คิดว่าคำพูดต่างๆ เจ้าสามเจ้าสี่คงพูดกับเจ้าอย่างชัดเจนหมดแล้ว พ่อจะถามเจ้าเพียงคำเดียว เจ้าจะรับปากไปหาเวินซื่อหรือไม่?”เวินจื่อเฉินแตกต่างจากฝาแฝดเวินจื่อเยวี่ยที่ถูกถอนพิษผงเอ็นอ่อนไปตั้งแต่แรก ตอนนี้เขาถูกคนวางไว้บ
“เท่านี้ก็ได้แล้วหรือ?”เวินจื่อเยวี่ยที่มองดูอยู่ข้างกันถามอย่างสงสัย“ขณะนี้ยากำลังออกฤทธิ์ เพราะให้กินในปริมาณมาก คงต้องรออีกสักพัก อีกครึ่งชั่วยามก็เรียกให้เขาตื่นได้แล้ว”“งั้นก็ดี ข้าจะเฝ้าเขาเอง”เวินจื่อเยวี่ยหันมองเวินจื่อเฉินแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านพ่อ ท่านกับน้องสี่ออกไปพักด้านนอกเถอะ อีกเดี๋ยวข้าค่อยไปเรียกพวกท่าน”“ได้ ถ้างั้นที่นี่ขอมอบให้เจ้า”เดิมทีเวินเฉวียนเซิ่งคิดจะเฝ้าดูด้วยตัวเองแต่น่าเสียดายที่ตอนนี้สุขภาพของเขาไม่เป็นเหมือนก่อนนี้เมื่อเทียบกับเจ้าสี่ที่สุขภาพร่างกายอ่อนแอ เขาดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้นหลังจากรอให้พวกเขาออกไปแล้ว ภายในห้องลับมีเพียงเวินจื่อเยวี่ยกับเวินจื่อเฉินที่อยู่บนแท่นหินเพียงสองคนเวินจื่อเฉินนั่งอยู่ด้านข้าง สายตาจ้องมองพี่ชายฝาแฝดที่ใบหน้าเหมือนเขามากเขาอดถอนหายใจไม่ได้ “พี่รอง ท่านดูท่านสิ ไฉนจึงต้องทำเช่นนี้”เขาให้โอกาสเวินจื่อเฉินหลายครั้งแล้วแต่เสียดายที่พี่รองไม่ยอมรับปากตอนนี้กลายเป็นเช่นนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่ายาของน้องสี่เป็นอย่างไรบ้างหวังเพียงผลข้างเคียงอย่างรุนแรงนักและอย่าทำร้ายร่างกายพี่รองผู้ป่วยผู
“ปัง! ปัง! ปัง!”“เวินซื่อ เวินซื่อ! เจ้าไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”นอกอารามสุ่ยเยว่ เวินจื่อเฉินทุบประตูใหญ่อย่างบ้าคลั่งความเคลื่อนไหวอึกทึกครึกโครม จนทำให้ผู้มีจิตศรัทธาที่เข้าออกอารามตกใจกันหมด“นี่เขาเป็นอะไรไป?”“นี่เกิดเรื่องใดขึ้น?”“เวินซื่อ? นั่นไม่ใช่นามของธิดาศักดิ์สิทธิ์ก่อนออกบวชหรือ? คนผู้นี้มาหาธิดาศักดิ์สิทธิ์หรือ?”“ดูเหมือนจะใช่ เอ๊ะ ช้าก่อน! ข้านึกออกแล้วว่าเขาคือใคร”“ใครหรือ?”“เขาคือคุณชายรองแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง อดีตพี่ชายคนรองของธิดาศักดิ์สิทธิ์”“เป็นเขาหรือ? แล้วทำไมเขาถึงทำท่าทางดุร้ายอย่างนั้น? ดูราวกับมาหาเรื่องธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างไรอย่างนั้น”“เฮ้อ พวกเจ้ายังไม่รู้...”ขณะนี้ผู้มีจิตศรัทธาในอารามสุ่ยเยว่ส่วนมากเป็นผู้มาจากต่างถิ่น แต่ก็มีชาวเมืองหลวงหลายคน หลังจากเห็นเหตุการณ์ จึงเล่าเรื่องราวก่อนหน้าที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงอย่างดุเดือดให้พวกเขาฟังอย่ากระตือรือร้นดังนั้นในไม่ช้า ผู้คนต่างรู้เรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างจวนเจิ้นกั๋วกงและธิดาศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นจึงมีคนไม่น้อยที่เมื่อหันกลับมามองเวินจื่อเฉินใหม่ สายตาล้วนเปลี่ยนไปแล้วเวินจื่อเฉินไม่สั
ทั้งสองสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวนอกประตูใหญ่อารามสุ่ยเยว่ต่อไป“เวินจื่อเฉิน ท่านเป็นบ้าอะไร? กินยาผิดมาหรือ?”เวินซื่อไม่ได้อ้อมค้อมเหมือนศิษย์พี่หญิงอู๋ขู่ จ้องเวินจื่อเฉินเยือกเย็น ด่ากลับไปอย่างไม่เกรงใจสักนิด“เจ้าว่าอะไรนะ?”เวินจื่อเฉินเบิกตาโตทันใด “เจ้าไปกินดีหมีหัวใจเสือมาหรืออย่างไร? ถึงได้กล้าพูดจากับข้าที่เป็นพี่รองเช่นนี้? !”“อ่อ ใช่สิ ตอนนี้เจ้ามีฝ่าบาทกับอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนคอยหนุนหลัง แม้แต่จวนเจิ้นกั๋วกงก็ไม่อยู่ในสายตา นึกจะออกบวชก็ออกบวช ดูจากท่าทางของเจ้า คงไม่เห็นหัวพี่รองอย่างข้าแล้วสินะ? !”เวินซื่อรู้สึกว่าเขาแปลกประหลาดมากนางหรี่ตาทั้งคู่ลงเล็กน้อย “เวินจื่อเฉิน ตกลงท่านมาทำอะไรกันแน่?”“ที่ข้ามาไม่มีเรื่องอื่น แค่ขัดหูขัดตาท่าทางยโสโอหังของเจ้าในตอนนี้ ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ วันนี้หากเจ้าไม่ตามข้าไปพาน้องหกออกมาจากวังหลวง ข้าจะทำให้เจ้าไม่มีวันสงบสุข!”“เพียะ!”เวินซื่อตบฝ่ามือลงไปบนใบหน้าเวินจื่อเฉินอย่างไม่เกรงใจนางจ้องมองอีกฝ่ายเยือกเย็น “ดูท่าคงกินยาผิดมาจริงๆ เป็นอย่างไร ได้สติขึ้นมาบ้างหรือไม่?”เวินจื่อเฉินกุมใบหน้าตัวเอง แล้วหันมองเวินซ
“พวก...พวกเจ้าบ้าไปแล้วหรือ? !”เวินจื่อเฉินนอนกุมหัวตัวเองอยู่บนพื้น เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดที่รัวลงมาบนตัวเขาราวลมพายุฝนกระหน่ำ ทำให้เขาอดตะโกนเสียงดังไม่ได้ “ข้าเป็นคุณชายรองแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงนะ”ทว่าหลังจากเสียงตะโกนของเวินจื่อเฉินดังขึ้น ผู้คนที่ล้อมเขาเอาไว้กลับลงมือหนักกว่าเดิม“จะตีคนจากจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างพวกเจ้านี่ละ!”ผู้มีจิตศรัทธาจากต่างถิ่นซัดอย่างเมามันเพราะอย่างไรตีเสร็จพวกเขาก็จากไปต่อให้เจิ้นกั๋วกงร้ายกาจเพียงใด จะสามารถตามหากลุ่มคนต่างถิ่นที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อไปจนถึงสุดหล้าฟ้าเขียวได้หรือ?ยิ่งพวกชาวจินโจวยิ่งใจกล้ากว่าผู้ใดรอให้พวกเขาตีเสร็จกลับไปจินโจว เรื่องมีเกียรติที่ได้ปกป้องธิดาศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเองเช่นนี้ พวกเขามิต้องป่าวประกาศไปสามวันสามคืนหรือ?รอให้ทุกคนตีจนพอสมควรแล้วเวินซื่อถึงได้เอ่ยปากห้ามทุกคนผู้มีจิตศรัทธาต่างถิ่นรีบหยุดทันใด“วันนี้ขอบคุณทุกคนมากที่ช่วยเหลือ”เวินซื่อเพิ่งเอ่ยปาก ผู้มีจิตศรัทธาจากจินโจวรีบกล่าวทันที “ธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่าได้เกรงใจพวกข้าเด็ดขาด!”“ถูกต้อง ถูกต้อง มีโอกาสปกป้องธิดาศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นเกียรติของพวกเรา!”“
หลังจู๋เยวี่ยออกไป เวินซื่อหลุบตามองเวินจื่อเฉินบนพื้น จากนั้นยื่นมือไปจับตัวเขาจากการหาบน้ำปลูกสมุนไพรในช่วงที่ผ่านมา ร่างกายของนางมีพละกำลังมากกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัดแบกคนน่าจะแบกไม่ไหว แต่ลากคนยังพอทำได้เวินซื่อลากตัวเวินจื่อเฉินที่ดิ้นรนเล็กน้อยเข้ามาภายในห้องหลังปิดประตู วินาทีต่อมา สองพี่น้องหายไปจากที่เดิมทันที“อื้อ?”แต่เดิมเวินจื่อเฉินเป็นคนฝึกยุทธ์อยู่แล้ว แม้จะถูกปิดตาเอาไว้ ทว่าเมื่อสภาพแวดล้อมรอบด้านเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เขาสามารถรับรู้ถึงความผิดปกติได้บ้างเหมือนกับตอนนี้ที่เพิ่งเข้าสู่มิติ เสียงรอบด้านที่หายไปฉับพลัน รวมถึงสภาพแวดล้อมที่เงียบสงัด ล้วนทำให้เวินจื่อเฉินรู้สึกถึงความผิดปกติแต่ว่าเขายังไม่ทันได้คิดมากกว่านี้ เวินซื่อก็กระชากตัวเขาให้ลุกขึ้นอีกครั้ง แล้วลากไปที่แท่นหินชั้นหนึ่ง“เวินจื่อเฉิน ท่านพูดอีกรอบสิ วันนี้ท่านมาทำอะไร?”หลังจากเวินซื่อดึงก้อนผ้าที่อุดปากของเขาออก พลางหอบเหนื่อยพลางเอ่ยถาม อีกทั้งยังนำเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ออกมาเวินจื่อเฉินได้ยินเพียงข้างหูมีเสียงก๊องแก๊งดังขึ้น ยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้ในที่สุดเมื่อ
หลังจากนั้น เวินซื่อก็ขังเวินจื่อเฉินไว้ในมิติเพียงลำพังนางออกจากมิติ แล้วเดินมาถึงเรือนเล็ก“จู๋เยวี่ย ช่วยไปส่งข่าวให้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที บอกว่าข้ามีเรื่องอยากขอให้เขาช่วย”เวินซื่อเอ่ยปาก ไม่นานเป่ยเฉินหยวนก็มาแล้วยังคงควบม้ามาคนเดียวอย่างรวดเร็วไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ก็มาถึงเรือนเล็กของเวินซื่อ“อู๋โยว ข้ามาแล้ว”ขณะที่เป่ยเฉินหยวนมาถึง เวินซื่อยังคงเตรียมอาหารเย็นอยู่ในห้องครัวเล็กๆ ของนางฝีมือการทำอาหารของนางไม่ได้ดีมากนัก พวกอาหารจานใหญ่ที่ซับซ้อนนั้นทำไม่ได้ แต่อาหารง่ายๆ นั้นกลับทำได้“เหตุใดถึงมาเร็วขนาดนี้? ไปนั่งรอที่โต๊ะหินข้างนอกก่อนเถิด ข้าทำอาหารจานเล็กๆ สองอย่างนี้เสร็จก็จะออกไป”นางเป็นนักบวช แตะต้องเนื้อสัตว์ไม่ได้ดังนั้นอาหารที่ทำจึงเป็นอาหารมังสวิรัติทั้งหมด“ไม่เป็นไร ข้าสามารถช่วยเจ้าที่นี่ได้ ไฟในเตาแรงพอหรือไม่ ต้องการเติมฟืนหรือไม่?”แม้จะเป็นเพียงอาหารมังสวิรัติ เป่ยเฉินหยวนก็ดีใจมากถึงอย่างไรนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลองชิมฝีมือของเวินซื่อตอนที่เป่ยเฉินหยวนพูดประโยคนี้ เวินซื่อก็ชะงักไปเล็กน้อย “เอ๊ะ? ก่อนหน้านี้ท่านไม่เคยลองชิมฝีมือ
เป่ยเฉินหยวนที่มือว่างเปล่าไปกะทันหัน เงยหน้าขึ้นมองเวินซื่อ ถึงได้รู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้นใบหน้าหล่อเหลานั้นก็ขึ้นสีแดงระเรื่อตาม แดงไปจนถึงใบหู“มะ...ไม่โดนลวกก็ดีแล้ว ข้าไปเติมฟืนต่อ”ขณะที่เป่ยเฉินหยวนเอ่ยปากก็เกือบจะกัดลิ้นตนเอง คนตัวสูงใหญ่ขนาดนั้นมุดเข้าไปใต้เตา แทบอยากจะมุดแผ่นดินหนีลงไป!เหตุใดเขาถึงได้บุ่มบ่ามขึ้นมาเช่นนั้น?ถึงกับต้องจับมือคนอื่นมาดูให้ได้?อดใจไม่ได้เลยจริงๆ สมควรโดนตี!“เพียะ!”เป่ยเฉินหยวนถึงกับซ่อนตัวอยู่ใต้เตา แล้วแอบตบหน้าตัวเองอีกหนึ่งทีแต่สิ่งที่เขาคิดว่าแอบ กลับดูเหมือนจะออกแรงมากเกินไปหน่อยเสียงนั้นดังยิ่งกว่าเสียงผัดกับข้าวในกระทะเสียอีกชั่วขณะหนึ่ง...เวินซื่อ “...”เป่ยเฉินหยวน “...”ทำอย่างไรดี น่าอับอายยิ่งนักหลังจากนั้นไม่นาน เวินซื่อตักกับข้าวใส่จานเสร็จแล้ว ก็กระแอมหนึ่งทีแล้วเอ่ยขึ้น “อาหารเสร็จแล้ว รีบออกมากินเถิด”“อืม”เป่ยเฉินหยวนขดตัวอยู่ใต้เตา ตอบเสียงอู้อี้เวินซื่อที่ถือจานกับข้าวอยู่ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ข้ายังไม่ได้เอาชามกับตะเกียบออกมา ท่านอย่าลืมเอาออกมานะ ตะเกียบสามคู่ ชามสามใบ”หลังจากที่เป่ยเฉิน
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม