“เป็นไปไม่ได้ ขอเพียงอยู่ในเมืองหลวง ต่อให้อยู่ในพื้นที่รัศมีร้อยลี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหาไม่พบ!”“พี่รอง ท่านอย่าหลอกข้าเลย ข้ารู้ว่าท่านอยากพูดแทนเวินซื่อ อยากแย่งชิงที่ดินสือไห่ที่ข้าครอบครองไปมอบให้เวินซื่อใช่หรือไม่? แต่นั่นเป็นที่ดินของข้านะ เป็นสิ่งที่พวกท่านตามอบให้ข้า มีสิทธิ์อะไรที่เวินซื่อบอกว่าอยากได้แล้วข้าต้องให้?!”“สิทธิ์ที่พวกเราเคยแย่งชิงที่ดินของนาง!”เสียงของเวินจื่อเฉินกลบเสียงของเขากะทันหันเขาจับหัวตัวเอง เอ่ยอย่างเจ็บปวด “เจ้าลืมไปแล้วหรือ? ตอนนั้นพวกเราแย่งที่ดินกุยอวิ๋นและภัตตาคารเฟิ่งอวิ๋นมาจากน้องห้า เพราะน้องหกบอกว่านางอยากได้”เวินจื่อเยวี่ยทำหน้าตึงแต่ไม่พูดสิ่งใดสุดท้ายเวินจื่อเฉินเอ่ยอย่างอ่อนแรง “ในฐานะพี่รองของเจ้า ข้าไม่ถือสาเรื่องที่เจ้ากับเจ้าสี่เคยทำก็ถือว่าดีมากพอแล้ว ตอนนี้ข้าขอเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ว่าเจ้าคิดอย่างไร สุดท้ายนี้ข้าได้ตัดสินใจดีแล้ว” ไม่เพียงแค่เวินจื่อเยวี่ยที่มีที่ดิน เขาเองก็มีอีกอย่างเขาพอเดาได้ว่าเวินซื่อต้องการที่ดินพวกนั้นไปทำไมดังนั้นในเมื่อน้องสาวอยากได้ ถ้าอย่างนั้นก็ให้นางให้นางทีละนิด ชดเชยได้เท่า
เวินซื่อยิ้มจางๆ “คำพูดของใต้เท้าจงหย่งโหวข้าเหมือนฟังไม่ค่อยเข้าใจ”จงหย่งโหวชะงัก เข้าใจทันที “ข้าน้อยพูดผิดเอง คำพูดของเจิ้นกั๋วกงคือ ขอถามธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องทำอย่างไรจึงจะยอมให้อภัยพวกเขา?”เวินซื่อรู้ว่าเขามาด้วยเหตุใด ดังนั้นคนต้องอยู่กับนางแน่นอนแต่คำพูดบางอย่างเมื่อไม่มีหลักฐานจึงพูดตรงเกินไปไม่ได้“ที่ดินของสกุลหลานดีมาก ก็เหมือนที่ดินกุยอวิ๋นของข้า”เวินซื่อมองจงหย่งโหว “ได้ยินว่าเมื่อก่อนท่านโหวเองก็เคยไป คิดว่าท่านก็คงคิดเช่นนั้นสินะ?”จงหย่งโหวเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า พร้อมยิ้ม “ดีมากจริงๆ”เมื่อนำข่าวมาแจ้งเวินเฉวียนเซิ่งเวินเฉวียนเซิ่งย่อมฟังเข้าใจเขาแค่นหัวเราะ “เมื่อก่อนดูไม่เคยออกเลย ว่าลูกสาวอกตัญญูคนนี้ของข้าจะโลภมากเช่นนี้”จงหย่งโหวจิบน้ำชาหนึ่งคำ เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ พวกท่านเคยแย่งที่ดินกุยอวิ๋นกับภัตตาคารเฟิ่งอวิ๋นของนางให้เวินเยวี่ย?” “นางเอากลับไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?”เวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกรำคาญเล็กน้อยจงหย่งโหวยิ่งไม่สบอารมณ์เขาถูกต้องว่าเอากลับไปแล้ว แต่นั่นก็เป็นของนังหนูแต่เดิมอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นสิ่งที
“อู๋โยว ข้าขอทำด้วยตัวเองได้...”“ไม่ได้”“พลั่ก!”เวินซื่อฟาดกระบองลงไปอย่างไม่ออมมือ ตีจนเวินจื่อเฉินหมดสติเพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน นางยังปิดตาของทั้งสองคนเอาไว้ จากนั้นมัดแขนมัดขาด้วยต่อมานำพวกเขาออกจากมิติ“จู๋เยวี่ย”เวินซื่อเรียกขานหนึ่งครั้ง จู๋เยวี่ยปรากฏตัวนอกห้องทันที จากนั้นเปิดประตูเข้ามา“พาตัวพวกเขาไปเถอะ พาไปที่กระท่อมหลังนั้นของเวินจื่อเฉิน”“ได้”วันนั้นตอนเที่ยงวัน เวินเฉวียนเซิ่งก็ได้รับข่าว “ไปรับตัวลูกทรพีสองคนนั้นกลับมาให้ข้า!”……เมื่อเวินจื่อเฉินกับเวินจื่อเยวี่ยฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาได้กลับมาถึงจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว“ท่านพ่อ...”เวินจื่อเยวี่ยที่เพิ่งลืมตาขึ้นได้เห็นเวินเฉวียนเซิ่งจึงดีใจมากทว่าวินาทีต่อมาใบหน้าของเขากลับถูกฟาดอย่างแรง“เจ้าลูกไม่เอาไหน ต่อไปหากออกไปก่อเรื่องอีก เจ้าจงไสหัวออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงพร้อมลูกทรพีเวินจื่อเฉินได้เลย!”ครั้งนี้เวินเฉวียนเซิ่งโกรธมากจริงๆ ดังนั้นตอนลงมือตบเวินจื่อเยวี่ยจึงไม่ออมมือสักนิด รุนแรงจนทำให้เวินจื่อเยวี่ยที่หิวโซอยู่แล้วหน้ามืด จนแทบหมดสติไปอีกครั้ง“ท่านพ่ออย่าตีอีกเลย พี่สามแค่...แค่อยากแก
เพราะนางหมายตาที่ดินในมือของสี่พี่น้องเวินจื่อเยวี่ยเอาไว้นานแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ด้วยเรื่องบางอย่างจึงทำให้ไม่ทันได้ลงมือนึกไม่ถึงว่านางแพศยาอย่างเวินซื่อแย่งที่ดินกุยอวิ๋นกับภัตตาคารเฟิ่งอวิ๋นไปไม่พอ ยังคิดเหมือนนาง หมายตาที่ดินในมือพวกเวินจื่อเยวี่ยเอาไว้นางจะไม่ปล่อยให้นางแพศยาเวินซื่อสมหวัง!ขณะที่เวินเยวี่ยคิดเช่นนี้ จู่ๆ กลับสังเกตเห็นสีหน้าของบิดาพวกนางที่ดูผิดปกติ“ท่านพ่อ มีอะไรหรือ?”เวินเยวี่ยมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างสงสัย “ทำไมสีหน้าของท่านจึงดูย่ำแย่เช่นนี้?”แรกเริ่มเวินเฉวียนเซิ่งนิ่งเงียบ ผ่านไปสักครู่จึงเอ่ยกับเวินจื่อเยวี่ยเชื่องช้า “ที่ดินสือไห่ของเจ้ากับที่ดินชิงเฟิงของเจ้ารอง ล้วนถูกเวินซื่อเอาไปแล้ว”“อะไรนะ?!”“อะไรนะ?!”เวินจื่อเยวี่ยลุกพรวดในทันทีทันใดแต่เพราะท่าทางรวดเร็วเกินไป ร่างกายที่ยังไม่ฟื้นตัวทั้งหมดจึงโงนเงน จนเกือบล้มลงไปอีกครั้งเวินเยวี่ยโกรธจนเบิกตากว้าง นางนึกไม่ถึงว่าทางเวินจื่อเยวี่ยไม่เกิดเรื่อง กลับเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของนางที่เกิดเรื่องแทน!เวินเยวี่ยโกรธจนแทบอาละวาดเวินจื่อเยวี่ยเองก็ไม่อยากจะเชื่อ เขาทั้งโกรธทั้งตะลึง “ท่
“ท่านพ่อ!”เวินจื่อเยวี่ยยิ่งผิดหวังและตะลึงกับคำพูดของเขา “ตอนนี้ท่าน...ตอนนี้ท่านก็จะช่วยเวินซื่อเหมือนกับพี่รองแล้วหรือ?!”“เจ้าลองมองดูก่อนว่าตอนนี้เจ้ายืนอยู่ที่ใด แล้วคิดดูให้ดีกับคำพูดนี้ที่เจ้าพูดอกมา!”เวินเฉวียนเซิ่งทำหน้าเอือมระอา “หากพ่อเข้าข้างเวินซื่อจริง เหตุใดยังต้องไปตามเจ้ากลับมา? ไม่สู้ให้เจ้าตายอยู่ที่นั่นนะดีแล้ว”“แต่ท่านพ่อตอนนี้ท่านหมายความว่าอย่างไร? ท่านไม่ให้ข้าออกไป ท่านไม่อยากให้ข้าไปหานังเด็กบ้าเวินซื่อนั่น ไม่ใช่เพราะอยากขัดขวางไม่ให้ข้าไปทวงที่ดินคืนมาจากนางหรือ?!”ในน้ำเสียงโกรธเคืองของเวินจื่อเยวี่ยแฝงไว้ด้วยความน้อยใจ “นั่นเป็นที่ดินที่พวกท่านตามอบให้ข้า ท่านมีสิทธิ์อะไรมาเอาที่ดินของข้าไปให้เวินซื่อ!”“เพราะวันๆ เจ้าเอาแต่เที่ยวเตร่ ก่อเรื่องไม่ว่างเว้น เจ้าลองนึกดูสิช่วงเวลานี้ที่เจ้ากับเจ้าสี่อยู่ด้วยกัน ทำให้จวนเจิ้นกั๋วกงต้องเสียหน้ามากี่ครั้งแล้ว? อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ แปลงสมุนไพรกับสมุนไพรที่ถูกทำลายในที่ดินกุยอวิ๋นเป็นฝีมือของเจ้ากับเจ้าสี่ พวกเจ้าทำงานไม่เรียบร้อย ให้คนจับได้ ตอนนี้แค่เสียที่ดินไปหนึ่งแห่งเท่านั้น แล้วครั้งหน้าล่ะ? เจ้า
“เดิมทีหากพี่สามอยู่บ้านกับข้าแต่โดยดีไม่ออกไปไหน เขาก็คงไม่ถูกลงโทษหรอก ทว่าน่าเสียดายที่เขาดันมุทะลุเกินไป ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเหมือนพี่รองเมื่อก่อน พอถูกท้าทายก็คิดแต่จะไปจัดการคนผู้นั้น กลับไม่รู้ว่าการทำเช่นนั้นจะตกหลุมพรางเวินซื่อ ดังนั้นจึงถูกท่านพ่อลงโทษกักบริเวณ”เวินเยวี่ยฟังมาถึงตรงนี้ถึงได้เข้าใจ“ดังนั้นที่ท่านพ่อโกรธไม่ใช่เพราะพวกท่านทำเรื่องพวกนั้น แต่โกรธเพราะทั้งที่พี่สามรู้ว่าพี่หญิงห้าท้าทาย แต่ก็ยังตกหลุมพรางของพี่หญิงห้า ทำให้ตอนหลังเกือบเอาชีวิตไปทิ้ง ดังนั้นท่านพ่อจึงโกรธมากงั้นหรือ?”“เอาชีวิตไปทิ้ง?”เวินอวี้จือเลิกคิ้ว เรื่องนี้เขากลับไม่รู้เวินเยวี่ยรีบบอกเล่าเรื่องราวให้เวินอวี้จือฟังหนึ่งรอบ หลังฟังจบเวินอวี้จือเข้าใจทันที“เวินซื่อช่างเหลี่ยมจัดนัก”เวินอวี้จือเอ่ยเสียงเรียบ “ตั้งแต่แรกเป้าหมายของนางก็คือที่ดินสือไห่ของพี่สาม”เวินเยวี่ยแสร้งแปลกใจ “แต่นางไม่กลัวจะทำให้พี่สามอดตายจริงหรือ? ได้ยินพี่สามบอกว่าตอนถูกขัง เขาทนหิวอยู่ถึงห้าวันเต็ม”ใบหน้าเวินอวี้จือกลับเผยสีหน้าดูแคลนจางๆ “นางไม่กล้าหรอก”“แม้พี่รองจะออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงไปแล้ว ทว่าจนกระทั่
เวินอวี้จือมองเวินเยวี่ยที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ได้ยินคำพูดของนางที่เต็มไปด้วยความห่วงใย ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยนทันที“น้องหกอย่ากลัว แค่ฝีมือเล็กน้อยของเวินซื่อพวกนั้น ทำอะไรพี่สี่ของเจ้าไม่ได้หรอก”“เช่นนั้นก็ดี ต้องโทษข้าที่เป็นห่วงเกินไป พี่สี่ฉลาดขนาดนั้น จะเกิดเรื่องได้อย่างไรกัน”เวินเยวี่ยเข้าใจศักดิ์ศรีที่น่าสงสารของเวินอวี้จือมากที่สุดดังนั้นหลังจากเผยความกังวลที่จริงแท้แน่นอนเสร็จแล้ว ต่อมาจึงยิ้มแล้วรีบเอ่ยชมเวินอวี้จือทันทีรอยยิ้มเวินอวี้จือกว้างขึ้นตามคาด “วางใจเถอะ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง แต่เรื่องที่ดินลวี่ซุ่ยข้าพูดจริงนะ”“ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเวินซื่อละโมบขนาดนี้ แย่งสินเดิมของท่านแม่ไปแล้วไม่พอ ยังแย่งที่ดินกุยอวิ๋นภัตตาคารเฟิ่งอวิ๋นไปจากเจ้าอีก ตอนนี้แม้แต่ที่ดินของพี่รองและพี่สามก็ยังไม่เว้น ดูท่านางคงวางแผนแย่งที่ดินของข้ากับพี่ใหญ่ด้วย ดังนั้นหากต้องถูกนางแย่งไป ไม่สู้ตอนนี้มอบให้น้องหกดีกว่า อย่างน้อยถ้ารู้สึกว่าเจ้าดีใจ ที่ดินตรงนั้นก็ถือว่ามีค่าแล้ว”ในใจเวินเยวี่ยเต้นตุบๆนางนึกไม่ถึงว่าเจ้าขี้โรคคนนี้ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้างอย่างน้อยเรื่
“แอ๊ด”ประตูเรือนถูกเปิดจากด้านในเวินฉางอวิ้นเป็นผู้มาเปิดเองช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาไล่บ่าวในเรือนของตัวเองออกไปบางส่วน เหลือไว้เพียงบ่าวชายที่ไม่ทรยศเขา เอาไว้รับใช้ใกล้ชิดเพียงหนึ่งคนเท่านั้น เพื่อดูแลความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของเขา “เจ้ารองกลับมาตั้งแต่เมื่อใด? เขากับเจ้าสามเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”เวินฉางอวิ้นเอ่ยปากสอบถาม สายตาที่มองเวินเยวี่ยไม่อ่อนโยนเหมือนเก่า เหลือไว้เพียงความเย็นชาเวินเยวี่ยกัดริมฝีปากเบาๆ นางพูดด้วยท่าทางเศร้าสร้อย “พี่ใหญ่ ตอนนี้ท่านเกลียดชังเยวี่ยเอ๋อร์เพียงนี้เชียวหรือ? แต่เยวี่ยเอ๋อร์สำนึกผิดแล้ว...”“อย่าพูดเรื่องเหล่านี้กับข้าอีก”เวินฉางอวิ้นขมวดคิ้วพูดขัดนนางขึ้นมา ในน้ำเสียงยังเจือด้วยวาจาติดจะรำคาญ “ไหนเจ้าว่าจะบอกข้าเรื่องเจ้ารองกับเจ้าสามไม่ใช่หรือ? หากเจ้าไม่พูด ก็จงไปซะ ข้าจะไปถามคนอื่นเอง”ระหว่างที่พูดเวินฉางอวิ้นจะปิดประตูอีกครั้ง“ข้าพูด ข้าพูด พี่ใหญ่ท่านอย่าปิดประตู!”เวินเยวี่ยรีบเอ่ยปาก “ก่อนหน้านี้เรื่องที่ประตูใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกงถูกราดอาจม เกิดขึ้นเพราะเรื่องบางอย่างที่พวกพี่สามก่อเอาไว้ ระหว่างที่พี่หญิงห้าไม่อยู่เมืองหลวง
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม