เวินอวี้จือมองเวินเยวี่ยที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ได้ยินคำพูดของนางที่เต็มไปด้วยความห่วงใย ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยนทันที“น้องหกอย่ากลัว แค่ฝีมือเล็กน้อยของเวินซื่อพวกนั้น ทำอะไรพี่สี่ของเจ้าไม่ได้หรอก”“เช่นนั้นก็ดี ต้องโทษข้าที่เป็นห่วงเกินไป พี่สี่ฉลาดขนาดนั้น จะเกิดเรื่องได้อย่างไรกัน”เวินเยวี่ยเข้าใจศักดิ์ศรีที่น่าสงสารของเวินอวี้จือมากที่สุดดังนั้นหลังจากเผยความกังวลที่จริงแท้แน่นอนเสร็จแล้ว ต่อมาจึงยิ้มแล้วรีบเอ่ยชมเวินอวี้จือทันทีรอยยิ้มเวินอวี้จือกว้างขึ้นตามคาด “วางใจเถอะ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง แต่เรื่องที่ดินลวี่ซุ่ยข้าพูดจริงนะ”“ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเวินซื่อละโมบขนาดนี้ แย่งสินเดิมของท่านแม่ไปแล้วไม่พอ ยังแย่งที่ดินกุยอวิ๋นภัตตาคารเฟิ่งอวิ๋นไปจากเจ้าอีก ตอนนี้แม้แต่ที่ดินของพี่รองและพี่สามก็ยังไม่เว้น ดูท่านางคงวางแผนแย่งที่ดินของข้ากับพี่ใหญ่ด้วย ดังนั้นหากต้องถูกนางแย่งไป ไม่สู้ตอนนี้มอบให้น้องหกดีกว่า อย่างน้อยถ้ารู้สึกว่าเจ้าดีใจ ที่ดินตรงนั้นก็ถือว่ามีค่าแล้ว”ในใจเวินเยวี่ยเต้นตุบๆนางนึกไม่ถึงว่าเจ้าขี้โรคคนนี้ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้างอย่างน้อยเรื่
“แอ๊ด”ประตูเรือนถูกเปิดจากด้านในเวินฉางอวิ้นเป็นผู้มาเปิดเองช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาไล่บ่าวในเรือนของตัวเองออกไปบางส่วน เหลือไว้เพียงบ่าวชายที่ไม่ทรยศเขา เอาไว้รับใช้ใกล้ชิดเพียงหนึ่งคนเท่านั้น เพื่อดูแลความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของเขา “เจ้ารองกลับมาตั้งแต่เมื่อใด? เขากับเจ้าสามเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”เวินฉางอวิ้นเอ่ยปากสอบถาม สายตาที่มองเวินเยวี่ยไม่อ่อนโยนเหมือนเก่า เหลือไว้เพียงความเย็นชาเวินเยวี่ยกัดริมฝีปากเบาๆ นางพูดด้วยท่าทางเศร้าสร้อย “พี่ใหญ่ ตอนนี้ท่านเกลียดชังเยวี่ยเอ๋อร์เพียงนี้เชียวหรือ? แต่เยวี่ยเอ๋อร์สำนึกผิดแล้ว...”“อย่าพูดเรื่องเหล่านี้กับข้าอีก”เวินฉางอวิ้นขมวดคิ้วพูดขัดนนางขึ้นมา ในน้ำเสียงยังเจือด้วยวาจาติดจะรำคาญ “ไหนเจ้าว่าจะบอกข้าเรื่องเจ้ารองกับเจ้าสามไม่ใช่หรือ? หากเจ้าไม่พูด ก็จงไปซะ ข้าจะไปถามคนอื่นเอง”ระหว่างที่พูดเวินฉางอวิ้นจะปิดประตูอีกครั้ง“ข้าพูด ข้าพูด พี่ใหญ่ท่านอย่าปิดประตู!”เวินเยวี่ยรีบเอ่ยปาก “ก่อนหน้านี้เรื่องที่ประตูใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกงถูกราดอาจม เกิดขึ้นเพราะเรื่องบางอย่างที่พวกพี่สามก่อเอาไว้ ระหว่างที่พี่หญิงห้าไม่อยู่เมืองหลวง
คำพูดสองประโยคของเวินฉางอวิ้นทำให้เวินเยวี่ยอยากจะฆ่าเขาขึ้นมาทันทีเล็บมือทั้งสองข้างจิกเข้าไปในเนื้อฝ่ามือ จนเนื้อเกือบขาด จนเลือดเกือบซิบออกมาเวินเยวี่ยพยายามรักษาสีหน้าตัวเองสุดฤทธิ์ จากนั้นก่อนจะสูญเสียการควบคุมก็เปลี่ยนความโกรธเป็นความเศร้าทันที“พี่ใหญ่...”ระหว่างที่พูดเวินเยวี่ยทำเสียงสะอื้น “ข้า...ข้ารู้แล้ว ความจริงข้ารู้มาตลอดว่าพี่หญิงห้าดีมาก นางไม่ได้อำมหิตเหมือนที่ท่านพี่หลายคนบอก ดังนั้นเมื่อก่อนข้าเคยเตือนพี่รองกับพี่สามพวกเขาหลายครั้งแล้ว เพียงแต่ตอนหลังชาติกำเนิดของข้าเปิดเผย ข้าเองก็มีศักดิ์ศรีนะพี่ใหญ่ ข้ารู้สถานะของตัวเองมาตลอด ดังนั้นข้าไม่ได้ตั้งใจทำเรื่องเหล่านั้นจริงๆ นะ”“พี่ใหญ่ ตกลงต้องทำอย่างไรท่านถึงจะยอมเชื่อเยวี่ยเอ๋อร์?”“นับจากที่คนของเจ้าลงมือกับร่างของท่านแม่พวกเรา ระหว่างเจ้ากับข้าก็ไม่มีอะไรให้ต้องคุยกันอีกแล้ว บางทีเจ้าอาจจะบอกว่าคนพวกนั้นทำโดยพลการ แต่ในสายตาข้าไม่มีสิ่งใดแตกต่าง”เวินฉางอวิ้นมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย “น้องหก ข้าไม่เคยเสียใจที่เคยรักและเอ็นดูน้องสาวอย่างเจ้า แต่ข้าเสียใจ ที่เคยทำร้ายน้องสาวแท้ๆ ของตัวเองเพื่อเจ้า”“ดังน
เวินเฉวียนเซิ่งได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?”ข้ารับใช้กล่าวว่า “หนึ่งเดือนก่อนคุณชายใหญ่ก็ได้ให้คนในเรือนเล็กของเขาออกไปหมดแล้ว เหลือไว้เพียงบ่าวชายคนสนิทคนเดียวขอรับ”บ่าวชายคนนั้นเติบโตมาพร้อมกับคุณชายใหญ่ตั้งแต่เด็ก ความจงรักภักดีต่อคุณชายใหญ่นั้นไม่ต้องพูดถึงเวินเฉวียนเซิ่งได้ยินดังนั้น ก็เงียบไปอีกครั้ง ช่วงนี้เขายุ่งมากจริงๆ ไม่มีเวลาไปสนใจทางฝั่งลูกชายคนโต ดังนั้น จึงเพิ่งทราบเรื่องเหล่านี้ในตอนนี้“ช่างเถอะ ในเมื่อคุณชายใหญ่ไม่ชอบให้มีคนอื่นอยู่ข้างกาย เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปแล้ว ปกติเวลาคุณชายใหญ่เข้าออกให้คอยสังเกตให้มากหน่อย หากมีอะไรผิดปกติ ให้รีบมารายงานข้าทันที”“ขอรับ!”ทางฝั่งจวนเจิ้นกั๋วกง สถานการณ์ภายในกำลังปั่นป่วน อีกด้านหนึ่ง ภายในอารามสุ่ยเยว่ก็ไม่สงบเช่นกันคืนนี้ ฟ้าเพิ่งจะมืดเวินซื่อที่เพิ่งจะเสร็จงานที่แปลงสมุนไพรหลังเขา พอกลับมาถึงเรือนเล็ก ก็ได้พบกับอาหารอร่อยๆ เต็มโต๊ะที่ฉางเสี่ยวหานเป็นคนทำเอาไว้“ธิดาศักดิ์สิทธิ์กลับมาแล้ว อาหารทำเสร็จพอดี รีบมากินเถอะเจ้าค่ะ”ฉางเสี่ยวหานวางอาหารจานสุดท้ายที่เพิ่งตักเสร็จลง แล้วกล่าวกับเวินซื่
เวินซื่อให้จินซือถูพาคนเข้ามาในห้องครัวเล็กหลังจากเข้าไปแล้ว ภายใต้แสงเทียนที่ส่องสว่าง เวินซื่อจึงมองเห็นรูปร่างหน้าตาของคนที่อยู่บนตัวจินซือถูได้อย่างชัดเจนนั่นคือชายรูปร่างสูงใหญ่ที่มีหนวดเคราเต็มใบหน้า ขณะนี้กำลังสั่นเทาไปทั้งตัว สีหน้าซีดเผือด ริมฝีปากที่กัดแน่นจนแทบจะมีเลือดไหลออกมา“พิษในร่างกายของเขากำเริบแล้ว!”ในห้องครัวเล็กมีพื้นที่ไม่มาก นอกจากเตาแล้วก็ไม่มีโต๊ะอื่นใด ดังนั้นจินซือถูจึงวางคนลงบนพื้นโดยตรงหลังจากที่เวินซื่อฟังจินซือถูพูดไปรอบหนึ่งแล้ว ก็เข้าใจสถานการณ์ทันทีสั่นเทาไปทั้งตัวเพราะความเจ็บปวด สีหน้าซีดเผือดเพราะพิษหลังจากล้างมือแล้ว นางก็ตรวจดูตา จมูก ปาก และหูของชายรูปร่างสูงใหญ่คนนั้นอย่างละเอียด จากนั้นก็วางนิ้วแตะลงบนชีพจรของอีกฝ่าย“ลมปราณและโลหิตในร่างกายของเขาเกิดความปั่นป่วนและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่แปลกใจเลยที่จะเจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะทนได้ไม่เกินคืนนี้”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์พอจะมีวิธีหรือไม่?!”จินซือถูแสดงสีหน้ากังวลและร้อนรน “ท่านไม่ได้ต้องการสืบเรื่องไป๋ชูโหรวผู้นั้นหรอกหรือ? เก๋อเอ่อร์เขารู้เรื่องราวบางอย่างใ
“พวกเจ้า?”เวินซื่อมองเก๋อเอ่อร์ด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง “ขออภัย ในตัวพวกเจ้าไม่มีอะไรที่ข้าอยากได้ และข้าก็ไม่อยากเลี้ยงสุนัข”แม้ว่านางจะพูดเช่นนี้ ทว่าเก๋อเอ่อร์ก็ยังคงจ้องมองนางอย่างไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไร“เอาละเก๋อเอ่อร์ เจ้าเก็บตัวอยู่อย่างสันโดษในช่วงก่อนหน้านี้ อาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ให้ข้าแนะนำให้เจ้าเถิด”จินซือถูรีบเอ่ยขึ้น “ท่านนี้คือธิดาศักดิ์สิทธิ์คนแรกของราชวงศ์ต้าหมิงที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งเมื่อสามเดือนก่อน และยังเป็นบุตรภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงในอดีต”จินซือถูเน้นเสียงที่คำว่า “บุตรภรรยาเอก”เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เก๋อเอ่อร์ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตั้งสติได้“ท่านเป็นบุตรภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกง? เป็นบุตรสาวของหลานจื่อจวินผู้นั้น?”เวินซื่อพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เป็นลูกสาวของหลานจื่อจวิน แต่ตอนนี้ไม่ใช่บุตรภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว”แต่อาจเป็นเพราะเหตุนี้ เก๋อเอ่อร์ที่ตึงเครียดและระมัดระวังตัวมาตลอด จึงได้ผ่อนคลายลง“เป็นเช่นนี้นี่เอง คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เจ้าเด็กจินซือถูนี่บอกว่าสามารถแก้พิษในร่างกายของพวกเราได้ก็คือท่าน”เ
ชาติกำเนิดเช่นนี้ หากอยู่ในตระกูลที่เคร่งครัดในกฎระเบียบ นางคงถูกตีตายไปพร้อมกับแม่ตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแล้วแต่ความสัมพันธ์ระหว่างไป๋ชูโหรวและเจิ้นกั๋วกงเวินเฉวียนเซิ่งกลับไม่ธรรมดาทั้งสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ต่างมีใจให้กัน ทว่าเวินเฉวียนเซิ่งในตอนนั้นยังเป็นซื่อจื่อของจวนเจิ้นกั๋วกง เพราะความทะเยอทะยาน เพราะอำนาจ จึงเลือกที่จะทอดทิ้งไป๋ชูโหรว แล้วหันไปแต่งงานกับหลานจื่อจวินซึ่งเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของสกุลหลาน ด้วยความช่วยเหลืออย่างเต็มที่จากสกุลหลาน ในที่สุดก็ทำให้ความทะเยอทะยานของเขาเป็นจริงได้ ทำให้เขาและจวนเจิ้นกั๋วกงกลายเป็นผู้มีอำนาจล้นฟ้าในราชสำนักในช่วงหนึ่งแต่ในเวลานี้ ไป๋ชูโหรวที่ถูกเขาทอดทิ้ง เพราะไม่ยอมจึงกลับมาหาเขาอีกครั้ง และวางแผนให้ได้อยู่ร่วมกันหนึ่งคืนหลังจากนั้น ไป๋ชูโหรวก็หายตัวไปอีกครั้งเมื่อมีข่าวคราวของนางอีกครั้ง ก็คือตอนที่นางตั้งครรภ์และใกล้จะคลอดแล้วไป๋ชูโหรว เนื่องจากสัมผัสกับยาพิษมาเป็นเวลานาน ร่างกายจึงไม่ค่อยแข็งแรงนัก หากยืนกรานที่จะคลอดบุตรคนนี้ นางก็อาจจะตายได้แต่นางก็จะคลอดนางรักเวินเฉวียนเซิ่ง แต่ก็เกลียดเวินเฉวียนเซิ่งเช
นางคิดเช่นนั้น ในวินาทีต่อมา คำพูดของเก๋อเอ่อร์ก็ยืนยันสิ่งที่นางคาดเดาไว้ในใจ...“ดอกไม้นั่น ตั้งแต่เมล็ดงอกจนเติบโตถึงออกดอก ตลอดทั้งกระบวนการจะปล่อยสารพิษที่ไม่มีสีไม่มีกลิ่นออกมา และสารพิษนี้จะค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของมนุษย์ เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายของมนุษย์ก็จะค่อยๆ อ่อนแอลง แย่ลงเรื่อยๆ คนทั่วไปจะตายด้วยพิษของดอกไม้นี้ภายในเวลาประมาณสองเดือน และตั้งแต่ได้รับพิษจนถึงตายก็จะไม่รู้สึกตัวใดๆ คิดเพียงว่าตัวเองป่วย แม้กระทั่งตอนตายก็ยังคิดว่าป่วยตาย”“ท่านแม่ของท่านน่าจะได้รับพิษชนิดนี้มานานแล้ว ดังนั้น ตอนที่คลอดท่านจึงคลอดยาก บางทีไป๋ชูโหรวอาจจะตั้งใจให้ตายทั้งแม่ทั้งลูก เพื่อจะได้ตายตามนางไป แต่คาดไม่ถึงว่านางจะรอดพ้นจากช่วงเวลานั้นมาได้”เวินซื่อกำมือแน่น สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ฝ่ามือทั้งสองข้างกลับจิกจนเลือดออกเก๋อเอ่อร์ยังคงพูดต่อ “อาจจะเป็นเจิ้นกั๋วกง หรืออาจจะเป็นสกุลหลาน สรุปแล้วน่าจะมีคนพยายามช่วยยื้อชีวิตท่านแม่ของท่านไว้ จึงมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกระยะหนึ่ง”แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นสุดท้ายท่านแม่ของนางก็ยังถูกผู้หญิงที่ชั่วร้ายอย่างไป๋ชูโหรวคนนั้นทำร
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม