ในคืนนั้น ร่างหนึ่งหลบเลี่ยงคนทั้งหมดของจวนเจิ้นกั๋วกง ปรากฏตัวขึ้นในห้องของเวินอวี้จืออย่างเงียบเชียบจู๋เยวี่ยที่ยืนอยู่ข้างเตียงจ้องมองคนที่อยู่บนเตียง กริชเล่มหนึ่งแนบชิดกับลำคอของเวินอวี้จืออย่างเงียบงันทันทีที่คมกริชอันเย็นเฉียบเข้ามาใกล้ คอของเวินอวี้จือก็ปรากฏรอยเลือดเส้นหนึ่งดูเหมือนว่าเพียงออกแรงอีกนิด ก็จะสามารถตัดหลอดลมของเขาได้โดยตรงแต่น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วจู๋เยวี่ยก็ไม่ได้ลงมือต่อ“จะให้พวกเขาตายเมื่อไรก็ได้ แต่ข้าไม่อยากให้พวกเขาตายง่ายเกินไป การแก้แค้นของข้า ตั้งแต่แรกก็คือต้องการให้พวกเขามีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็น”นี่คือคำพูดที่เวินซื่อเคยกล่าวกับจู๋เยวี่ยจู๋เยวี่ยไม่เข้าใจ แต่ไม่เป็นไร ขอเพียงเป็นสิ่งที่นายหญิงของนางกล่าว นางก็จะทำตามหลังจากเก็บกริชกลับไป จู๋เยวี่ยก็หยิบแมงมุมขนาดเท่าฝ่ามือออกมา วางไว้บนตัวของเวินอวี้จือแมงมุมตัวนั้นไต่ไปทั่วตัวของเวินอวี้จือสองสามรอบ สุดท้ายเหมือนจะหาที่ได้ มันไต่ไปที่คอของเวินอวี้จือ แล้วกัดลงไปเวินอวี้จือที่กำลังหลับใหลดูเหมือนจะรับรู้ถึงบางสิ่ง ร่างกายขยับเล็กน้อยอย่างดิ้นรน แต่สุดท้ายก็ยังคงหลับสนิทต่อไป
หากมีคนมาหยั่งเชิง นั่นก็ต้องเป็นคนของเวินเยวี่ยอย่างแน่นอนหากไม่มีใครมา เช่นนั้นก็น่าจะเป็นไปได้ว่าคือผู้ช่วยที่เวินเฉวียนเซิ่งเชิญมาจากข้างนอก และดูจากสถานการณ์เมื่อคืน ก็เป็นประเภทที่คอยคุ้มกันเวินเยวี่ยเท่านั้นเวินซื่อหรี่ตาลงเล็กน้อย สั่งให้จู๋เยวี่ยระมัดระวังตัวและนางยังได้ฝังบางสิ่งบางอย่างไว้ใกล้ๆ กับอารามสุ่ยเยว่แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางคิดมากไปเองหรือไม่ ผ่านไปหลายวันแล้ว จวนเจิ้นกั๋วกงนั่นก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ หรือว่าจะเป็นผู้ช่วยที่เวินเฉวียนเซิ่งเชิญมาจริงๆ?จะเป็นผู้ช่วยหรือไม่นั้นก็ยังไม่รู้ แต่ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่จู๋เยวี่ยไปที่จวนเจิ้นกั๋วกง เวินอวี้จือก็อาการทรุดหนักอีกครั้งและในครั้งนี้บรรดาหมอทั้งหมดรวมทั้งหมอหลวง หลังจากตรวจดูอาการของเวินอวี้จือแล้วต่างบอกว่าหมดหนทางรักษา ถึงขนาดมีบางคนบอกให้เวินเฉวียนเซิ่งเตรียมตัวสำหรับงานศพแต่หลายวันผ่านไป ภายในจวนเจิ้นกั๋วกงกลับไม่มีข่าวคราวใดๆ เล็ดลอดออกมาคนภายนอกที่ได้ยินข่าวลือบางอย่างต่างก็พูดกันไปต่างๆ นานาบางคนพูดว่าคุณชายสี่แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงคงจะตายไปแล้วอย่างแน่นอนส่วนบางคนก็คาดเดาว่าน่าจะย
จวนเจิ้นกั๋วกง“พี่สี่ วันนี้ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือไม่?”เวินเยวี่ยมาเยี่ยมเวินอวี้จืออีกแล้วนางนั่งลงข้างเตียงของเวินอวี้จือ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สีหน้าแฝงไปด้วยความกังวลบนเตียง เวินอวี้จือมีสีหน้าซีดเซียว สภาพจิตใจย่ำแย่มาก แต่เมื่อเห็นเวินเยวี่ยมา ก็ยังฝืนยิ้มออกมา “วันนี้รู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อวานอีก ต้องขอบคุณยาของน้องหก ไม่เช่นนั้น เกรงว่าพี่สี่ของเจ้าคงจะไปอยู่ที่ปรโลกแล้ว”“พี่สี่อย่าพูดเช่นนี้ พี่สี่เป็นคนดีมีวาสนา ย่อมไม่เป็นอะไร ที่จริงแล้วยาของข้านั่นแหละ หากมันดีกว่านี้อีกหน่อย ก็คงจะไม่ทำให้พี่สี่ต้องเป็นแบบนี้ เป็นความผิดของข้า...”เวินเยวี่ยก้มหน้าลง แสดงสีหน้าตำหนิตัวเองอย่างเต็มที่ตอนนี้เวินอวี้จือจะไปโทษนางได้อย่างไร “ไม่ นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า และต้องขอบคุณยาของเจ้าด้วยซ้ำ ทำให้ข้ารอดชีวิตมาได้ การที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ก็ดีมากแล้ว”เขาฝืนยิ้มแม้ว่าปากจะพูดเช่นนั้น แต่สวรรค์รู้ว่าตอนนี้เขาได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจมากแค่ไหนสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดก็คือการที่คนอื่นมองว่าเขาเป็นคนพิการไร้ประโยชน์เพราะว่าเขาเพียงแค่ร่างกายอ่อนแอขี้โรคเท่านั
เวินเยวี่ยยังคงแสร้งทำท่าทางไร้เดียงสาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เวินอวี้จือก็จ้องมองไปที่ใบหน้าของนาง สบตากับนางครู่หนึ่งเวินเยวี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง ถูกเขามองจนรู้สึกผิดเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูกมองนางแบบนี้ทำไม?เดี๋ยวก่อน หรือว่าเวินอวี้จือจะพบอะไรบางอย่างแล้ว?เวินเยวี่ยหัวใจเต้นแรงทันที จากนั้นกลืนน้ำลายแต่ในตอนนั้นเอง เวินอวี้จือก็เผยรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้งออกมา “น้องหก ที่จริงเจ้าไม่ต้องกลัว พี่สี่ของเจ้ารู้ทุกอย่าง ดังนั้น เจ้าไม่ต้องเสแสร้งต่อหน้าพี่สี่ก็ได้ ปล่อยตัวตนที่แท้จริงของเจ้าออกมาเถิด”เวินเยวี่ย “...”ไม่ใช่สิ เขารู้อะไรกัน?ตอนนี้สีหน้าของเวินเยวี่ยดูฝืนๆ ยิ่งกว่าเวินอวี้จือเมื่อครู่นี้เสียอีกโชคดีที่เวินอวี้จือมองนางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าอยากจะเสแสร้งก็แล้วแต่เจ้าเถิด พี่สี่ไม่ถือสา”เวินเยวี่ยไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ต่อแล้ว จึงเปลี่ยนเรื่องอย่างกระทันหัน “จริงสิ พี่สี่ ดอกไม้กระถางนั้นที่ข้าให้ท่านก่อนหน้านี้ยังอยู่หรือไม่?”เวินอวี้จือพยักหน้า “แน่นอน ข้าวางไว้ในห้องลับ เกิดอะไรขึ้น?”“เมื่อวานข้าเพิ่งรู้ว่าดอกไม้นั่นก็เป็นสม
ปีนี้จวนเจิ้นกั๋วกงถูกกำหนดให้ต้องใช้ชีวิตอย่างไม่สงบสุขแต่ปีนี้เวินซื่อกลับใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจมาก“คืนพรุ่งนี้ลงเขาไปดูงานโคมไฟหรือไม่?”วันนี้เป่ยเฉินหยวนเอ่ยชวนขึ้นมากะทันหัน“งานโคมไฟ?”เวินซื่อชะงักไปครู่หนึ่ง “งานโคมไฟอะไร?”เป่ยเฉินหยวน “คืนพรุ่งนี้ก็เป็นวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว ในเมืองหลวงก็จัดงานโคมไฟเหมือนกับทุกปี”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เวินซื่อก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เวลาผ่านไปครึ่งปีแล้วนับตั้งแต่ที่นางทูลขอพระบรมราชานุญาตออกบวช เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงวันส่งท้ายปีเก่าแล้วเมื่อผ่านพ้นวันส่งท้ายปีเก่าไปก็จะเป็นเทศกาลปีใหม่ และก็จะเป็นปีใหม่แล้วเวินซื่อพ่นลมหายใจอุ่นๆ ออกมา ถูมือเล็กๆ ที่เริ่มจะแข็งเพราะความหนาวเย็น ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ได้สิ แต่ว่าข้าต้องถามท่านอาจารย์ก่อน”สายตาของเป่ยเฉินหยวนจับจ้องอยู่ที่มือเล็กๆ ของนางที่เริ่มแดงเพราะความหนาวเย็นวันรุ่งขึ้น หลังจากทำสิ่งที่ต้องทำเสร็จแล้ว เวินซื่อก็บอกเรื่องนี้กับม่อโฉวซือไท่“ได้แน่นอน”ม่อโฉวซือไท่ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ไปเที่ยวเล่นให้สนุกเถิด อย่าตึงเครียดกับตัวเองมากเกินไป”ไม่ใช่แค่เวินซื่อเท่านั้น หลังจากทำ
เขาชินเสียแล้วตรงกันข้าม หากไม่ได้เจออู๋โยวของเขาสักสองสามวัน เขาถึงจะรู้สึกไม่ชินครั้งนี้ เป่ยเฉินหยวนมารับเวินซื่อด้วยตัวเอง ก็ยังคงเป็นนางนั่งรถม้า เขาขี่ม้าตอนมาก็รีบร้อน ตอนกลับก็ค่อยๆ ไปเป่ยเฉินหยวนควบคุมม้าตัวใหญ่ที่อยู่ใต้ร่างของตนเอง อยู่ข้างๆ รถม้าที่เคลื่อนไปข้างหน้าไม่เร็วนักด้วยความเร็วที่ไม่ช้าและไม่เร็วเหลือบมองเล็กน้อย ก็ยังสามารถมองเห็นเวินซื่อที่นั่งอยู่ข้างใน พูดคุยหัวเราะกับฉางเสี่ยวหานผ่านหน้าต่างรถม้าที่ม่านถูกลมพัดปลิวเป็นครั้งคราวสายตาเลื่อนผ่านใบหน้าเล็กๆ ของนาง เป่ยเฉินหยวนก็เอ่ยขึ้นทันที “ในรถมีเตาอุ่นมือ ท่านหยิบออกมาอุ่นมือสักหน่อย อย่าให้เป็นหวัด”เวินซื่อได้ยินดังนั้น ก็มองหาในรถม้า ก็พบเตาอุ่นมือที่เป่ยเฉินหยวนพูดถึงแทบจะในทันทีไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่มีถึงสองอันอันหนึ่งประณีตและเล็กกะทัดรัด เหมาะกับมือของเวินซื่อพอดี มองแวบเดียวก็รู้ว่าเตรียมไว้ให้เวินซื่ออีกอันหนึ่งอยู่ที่ด้านหลังที่นั่งของฉางเสี่ยวหาน แม้ว่าจะไม่ประณีตเท่า แต่เมื่อสัมผัสก็อุ่นมากเช่นกันไม่ต้องพูดฉางเสี่ยวหานก็เข้าใจได้ทันที นี่จะต้องเป็นสิ่งที่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน
สองชั่วยามต่อมา ในที่สุดรถม้าก็มาถึงเมืองหลวงประจวบกับม่านราตรีคล้อยลงปกคลุมท้องฟ้าเมืองหลวงในค่ำคืนนี้ไม่มีประกาศห้ามออกจากเคหสถานในยามราตรี หลังจากที่เวินซื่อและคณะเข้าเมืองมาแล้วก็เห็นปรากฏการณ์ไฟระยิบระยับนับหมื่นดวงตั้งแต่เข้ามาในเมือง ถนนทุกสายต่างประดับประดาด้วยโคมไฟ ประกายไฟสว่างพร่างพราว คึกคักมีชีวิตชีวามากทีเดียวเมื่อถึงถนนที่จัดเทศกาลโคมไฟประดับโคม ก็เห็นโคมไฟหลากชนิด รวมทั้งการละเล่นสนุกสนานต่าง ๆ เช่นการชมโคมไฟ ทายปริศนาโคมไฟ เชิดมังกรและอื่น ๆ เห็นแล้วฉางเสี่ยวหานก็ร้อง “ว้าว” ตลอดทางไม่หยุดเลยขณะที่ใกล้จะถึงสถานที่จัดงาน ถนนเบื้องหน้าไม่สามารถเปิดให้รถม้าสัญจรได้แล้ว เวินซื่อและพวกของนางก็ลงจากรถปะปนไปกับคลื่นมหาชน“ให้”ในขณะนี้ จู่ ๆ เป่ยเฉินหยวนก็โยนถุงเงินใส่มือของฉางเสี่ยวหาน“ในงานเทศกาลโคมไฟประดับโคมของเมืองหลวงมีการละเล่นมากมายสำหรับเด็ก ๆ ให้จู๋เยวี่ยพาเจ้าไปเที่ยวเล่น”“หืม?! หม่อมฉันไม่ใช่เด็กนะเพคะ!”ฉางเสี่ยวหานที่เด็กกว่าเวินซื่อเพียงหนึ่งขวบปี แต่เพราะรูปร่างเตี้ย จึงดูไม่ต่างจากอายุสิบสองหรือสิบสามปี จ้องเขม็งพลางเอ่ยอย่างขุ่นเคืองทันที“
เวินซื่อนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะยิ้มออกมา “ตกลง แม่ชีเข้าใจแล้ว”“แม่ชี?”เป่ยเฉินหยวนยังคงมองดูนาง เหมือนยังไม่ยอมเลิกราง่าย ๆเวินซื่อจนปัญญาขึ้นมาทันที “ตกลง ๆ ข้าเข้าใจแล้ว”บัดนี้แม้แต่คำแทนตัวก็เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆเมื่อพูดถึงตรงนี้ เวินซื่อก็ตระหนักถึงบางอย่างโดยพลันดูเหมือนว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนจะไม่ค่อยแทนตัวเองว่า “ข้าผู้เป็นอ๋อง” เมื่ออยู่ต่อหน้านาง และไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใดแต่ในเมื่ออ๋องผู้สำเร็จราชการแทนก็เป็นเช่นนี้ นางก็เลยตามเลยแล้วกัน“ค่ำคืนนี้ยาวนาน คืนงานเทศกาลโคมไฟ อู๋โยวมาร่วมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กับข้า สนุกให้เต็มที่กันเถอะ?”หลังจากนั้นทั้งสองก็ละลายไปกับฝูงชนในเทศกาลโคมไฟ ในระเบียงยาวภายใต้โคมไฟประดับ เดินเตร่ไปทั่วถนนทั้งสาย ชมตรงนี้ จับจ่ายตรงนั้น ไม่นานเป่ยเฉินหยวนก็ถือของเต็มมือมีโคมไฟประดับที่ซื้อพร้อมกับเวินซื่อ โคมลอยน้ำที่สามารถลอยได้ โคมไฟหลากสีสันที่ได้มาจากการทายปริศนาโคมไฟ ยังมีมันเทศอบไว้กิน และของหวานไว้ดื่ม อย่างแล้วอย่างเล่าในตอนแรกยังคงถือไว้ในมือของเวินซื่อ แต่สักพักก็มาอยู่ในมือของเป่ยเฉินหยวน อีกครึ่งทางข้างหน้าก็น่า
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม