“เสียงนี่…?”เมื่อเวินจื่อเฉินได้ยินเสียงสนทนาที่ข้างนอก เขาก็ขมวดคิ้วเบาๆพวกเขามาได้อย่างไร?“ก๊อกๆๆ!”“พี่รอง? พี่รอง!”“พี่รอง รีบเปิดประตูสิ!”“พอได้แล้วพี่รอง ข้ารู้ว่าท่านยังไม่นอน ไฟในห้องของท่านยังสว่างอยู่เลย ประตูให้ข้ากับน้องหกหน่อย”เวินจื่อเฉินไม่อยากเปิดประตู แต่ช่วยไม่ได้เสียงของพวกเขาสองคนดังมากโดยปกติเวลานี้ บริเวณโดยรอบจะเงียบสงบคืนที่เงียบสงบของคืนนี้นับว่าถูกพวกเขาทำลายอย่างสมบูรณ์แล้วท้ายที่สุดเวินจื่อเฉินก็ไปเปิดประตูให้พวกเขา“เอี๊ยด”ทันทีที่เปิดประตู เวินจื่อเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตู ขมวดคิ้วมองคนทั้งสองยังไม่สบอารมณ์“ดึกเช่นนี้แล้วพวกเจ้าไม่อยู่ในจวน มาหาข้าทำไม?”“เดี๋ยวก่อนพี่รอง ให้พวกเราเข้าไปก่อนแล้วค่อยคุย เหนื่อยมากเลย ถ้ายังไม่ได้นั่ง ขาข้าจะหักแล้ว”เวินเยวี่ยกับเวินจื่อเยวี่ยทำเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง เบียดเวินจื่อเฉินออกก็เดินเข้าไปแล้ว“นี่พวกเจ้า…”เวินจื่อเฉินไม่ทันได้ห้าม ก็โดนพวกเขาผลักออกไปแล้วรอเขาปิดประตูเสร็จและหันกลับมา พวกเขาสองคนดื่มน้ำชาในกาของเขาจนหมดแล้ว“พี่รอง ยังมีน้ำหรือไม่? ให้พวกเราอีกหน่อย กระหายมากจริงๆ!”
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เวินจื่อเยวี่ยต้องเดินออกไปอย่างไม่ลังเลโดยตรงแน่นอน แต่ตอนนี้เขากลับไปไม่ได้เขาไม่เพียงไม่ไป และยังต้องอยู่ต่ออย่างหน้าด้านพร้อมกับน้องหกไม่เช่นนั้นถ้าหากครั้งนี้ล้มเหลว เกรงว่าท่านพ่อจะไม่ให้โอกาสพวกเขาอีกแน่นอนดังนั้นไม่ว่าเพื่อเขาหรือน้องหก เขาก็ต้องอดกลั้นท้ายที่สุดเวินจื่อเยวี่ยกัดฟันอดกลั้นเอาไว้ หลังจากสงบสติอารมณ์ จึงจะเอ่ยปากอีกครั้ง “ขอโทษนะพี่รอง เมื่อครู่ท่าทีของข้าไม่ดี ท่าน…ท่านอย่าโกรธข้าเลย”เวินเยวี่ยเห็นเขาทำเช่นนี้ ก็เข้าใจแล้วเช่นกัน นางเม้มปาก ก้มหน้ากล่าวตามเวินจื่อเยวี่ย “พี่รอง ไม่ใช่ความผิดของพี่สาม เยวี่ยเอ๋อร์เอาแต่ใจเกินไป เยวี่ยเอ๋อร์กินได้เจ้าค่ะ!”เพื่อพิสูจน์คำพูดของตัวเอง นางถึงกับยอมอดกลั้นความรังเกียจในใจ หลับตาแล้วกัดไปที่ขนมแป้งแรงๆ ทีหนึ่งปรากฏว่ากัดคำนี้เกือบทำให้นางฟันร่วงแข็งมากจริงๆ!เวินเยวี่ยเจ็บฟันจนเกือบจะร้องไห้แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังกัดลงไปแรงๆ หลังจากนั้นกลืนเข้าไปทั้งน้ำตาแต่เวินเยวี่ยกลับไม่รู้ เพราะการกระทำนี้ของนางทำให้เวินจื่อเยวี่ยเริ่มสงสัยเกิดอะไรขึ้น เมื่อก่อนเวินเยวี่ยไม่เคยแตะต้องของพวกนี
“หม่ำ ๆๆ”“กินสิ พี่หญิง เหตุใดท่านถึงไม่กินเล่า?” ภายในห้องลับที่มืดสลัว เวินซื่อบาดเจ็บไปทั่วทั้งร่าง นอนคว่ำอยู่บนพื้นหายใจรวยริน โซ่เหล็กบนตัวนางส่งเสียงดังเคร้ง รัดคอและแขนขาของนางไว้ จนทำให้นางสลัดไม่หลุดเบื้องหน้าของนางมีดรุณีน้อยสวมชุดสีเหลืองอ่อนถืออาหารสุนัขไว้ในมือ หยอกล้อนางราวกับกำลังหยอกสุนัขก็มิปาน ส่วนดรุณีน้อยที่ยิ้มแย้มราวกับบุปผาผู้นี้คือน้องสาวของนาง...เวินเยวี่ยเวินเยวี่ยเอ่ยกับสาวใช้ที่อยู่ข้างหลังอย่างไม่พอใจว่า “ดูสิ พี่หญิงของข้าช่างไร้ประโยชน์เสียจริง แม้แต่สุนัขก็ยังเป็นให้ดีไม่ได้ คุณหนูอย่างข้าป้อนให้นางกินด้วยตัวเอง นางยังกล้าไม่กินอีกหรือ?” สาวใช้ก้าวเข้ามาเตะคนที่อยู่บนพื้นทันทีเตะจนคนร้องคราง สาวใช้ถึงค่อยเอ่ยเอาใจเวินเยวี่ยว่า “คุณหนูอย่าไปโต้เถียงกับนางเลยเจ้าค่ะ เกรงว่าสุนัขตัวนี้ยังคงคิดว่าตนเองเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของจวนกั๋วกง”เวินเยวี่ยหัวเราะเยาะ “เวินซื่อนับว่าเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของประเภทไหน? แม้แต่ท่านพ่อกับพวกท่านพี่ก็ไม่ยอมรับนางแล้ว การได้เป็นสุนัขก็นับว่าเป็นเกียรติที่คุณหนูอย่างข้ามอบให้นาง”“น่าเสียดายที่ไม่รู้จักเจียมตัว”
พิธีปักปิ่นอันใด?พิธีปักปิ่นของยางผ่านไปนานแล้วไม่ใช่หรือ?ความอัปยศที่ได้รับในพิธีปักปิ่นเวลานั้น นางยังคงได้จำได้จนถึงทุกวันนี้เสียงหัวเราะเยาะของแขกทั้งหลาย การเยาะเย้ยถากถางของพี่ชาย การถอนหมั้นของคู่หมั้น รวมไปถึงการตำหนิของบิดามารดา...นางเคยผ่านสถานการณ์เช่นนั้นมาแล้วครั้งหนึ่งทว่าตอนนี้ เหตุใดถึงเป็นพิธีปักปิ่นอีกเล่า? หรือว่าเวินเยวี่ยจะเล่นปาหี่ใหม่อะไรอีก อยากให้นางอับอายขายหน้าอีกครั้งแล้วค่อยส่งนางไปตายหรือ?!เวินซื่อหายใจถี่กระชั้นขึ้นในพริบตาแต่ในตอนที่นางกำลังจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ สายตาของนางกลับหยุดชะงักไปทันทีเดี๋ยวก่อน! นางเบิกตาโต จ้องมองมือสองข้างที่สมบูรณ์ไร้บาดแผลของตัวเอง แล้วก้มหน้ามองขาเท้าสองข้างของตัวเองทันที ใบหน้าค่อย ๆ ฉายแววเหมือนไม่อยากจะเชื่อมือและเท้าของนางถูกทำลายจนพิการไปแล้วไม่ใช่หรือ?เหตุใดตอนนี้กลับหายดีหมดแล้ว?นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?ควรรู้เอาไว้ว่าเอ็นมือเอ็นเท้าของนางถูกตัดจนขาดหมดแล้ว ไม่มีทางฟื้นฟูกลับมาได้อีก!เวินซื่อที่ตระหนักได้ถึงความผิดปกติจึงค่อย ๆ หันหน้ากลับมามองห้องนี้อีกครั้งเป็นการตกแต่งทั้งหมดที่ค่อย ๆ
เด็กสาวที่นั่งอยู่หน้ากระจกแต่งหน้า ไม่มีสาวใช้ปรนนิบัติ ทำได้เพียงหวีผมให้ตัวเอง นางมองเขาแวบหนึ่งแล้วข่มกลั้นความรู้สึกสะอิดสะเอียนไว้ ร้องเรียกอย่างเฉยชาว่า “พี่รอง”เวินจื่อเฉินที่บุกเข้ามาถลึงตาใส่เวินซื่อด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ “ข้าขอถามเจ้า เจ้าทำลายชุดพิธีการของน้องหกใช่หรือไม่? เหตุใดจิตใจของเจ้าถึงชั่วร้ายเพียงนี้? รู้อยู่แก่ใจว่าวันนี้ก็เป็นพิธีปักปิ่นของน้องหก เจ้ายังจะทำลายชุดพิธีการของนางอีกหรือ!” ในขณะที่เวินจื่อเฉินซักถามเวินซื่อด้วยอารมณ์รุนแรง คนที่ทำให้เวินซื่อเกลียดชังเข้ากระดูกดำผู้นั้นก็โผล่ศีรษะออกมาจากด้านหลังเวินจื่อเฉินด้วยสีหน้าขอโทษ“พี่รอง อย่าพูดเลยเจ้าค่ะ ข้าอธิบายกับท่านแล้วไม่ใช่หรือ? พี่หญิงห้านางไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ แค่ไม่ระวังเท่านั้นเอง”เวินเยวี่ยมีรูปร่างเพรียวบาง หน้าตาน่ารัก มักจะแสดงสีหน้าอ่อนแออยู่เสมอบวกกับนัยน์ตาที่มีน้ำเอ่อคลอดูขลาดกลัวเหมือนลูกกวาง ใครเห็นจะไม่เกิดความรู้สึกรักเอ็นดูได้?นางเองก็รู้ข้อดีของตนเองจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้ว่าทุกคนในจวนเจิ้นกั๋วกงรู้สึกติดค้างนางเนื่องจากเวินเยวี่ยเพิ่งจะถูกคนของจวนเจิ้นกั๋วกงต
เวินซื่อที่โซเซจนไปชนกับมุมโต๊ะเครื่องแป้งก็เม้มริมฝีปากแน่น ชาติที่แล้วนางเสียรู้ในน้ำมือของเวินเยวี่ยไปมากมายถึงเพียงนั้น ตอนนี้แค่เห็นเวินเยวี่ยทำท่าทางเช่นนี้ เวินซื่อก็รู้ว่านางจะเล่นตุกติกอะไรอีกแล้วนางหยิบชุดพิธีการที่ร่วงลงพื้นขึ้นมา“ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าข้าทำอะไรถึงทำให้น้องหกมีปฏิกิริยายกใหญ่เช่นนี้ ไม่สู้รบกวนน้องหกอธิบายให้ข้าเถิด”“เจ้าทำอะไรไว้เจ้ารู้อยู่แก่ใจ!”ไม่รอให้เวินเยวี่ยเอ่ยวาจา เวินจื่อเฉินก็ตวาดใส่นางเสียงดุดันก่อน แววตาของเวินซื่อเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆเมื่อก่อนนางยังดูไม่ออก ตอนนี้นางรู้สึกว่าเวินจื่อเฉินช่างตาบอดจริง ๆอยู่ต่อหน้าต่อตาของเขา ใครทำอะไร ใครไม่ได้ทำอะไร เขามองไม่เห็นเองทั้งนั้นบางทีต่อให้เห็น เขาก็แค่เชื่อคำพูดของคนผู้เดียวเวินจื่อเฉินถลึงตามองเวินซื่ออย่างอำมหิตแวบหนึ่งแล้วตบไหล่เวินเยวี่ยเบา ๆ ปลอบโยนด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “น้องหกไม่ต้องกลัวนะ มีเรื่องอะไรก็บอกกับพี่รอง ไม่ว่าอย่างไร พี่รองก็จะตัดสินแทนเจ้าเอง”ทั้งสองคนมีท่าทางแทบจะใกล้ชิดสนิทสนมกันมากแต่เวินจื่อเฉินกลับเหมือนไม่สังเกตเห็นเลย เขาไม่เก็บงำเลยแม้แต่น้อย ดวงตาที่
“เวินซื่อ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!”เวินเยวี่ยที่เดิมทียังนึกว่ามีโอกาสแย่งกลับมาก็ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยวอารมณ์หวั่นไหวรุนแรงราวกับว่าสิ่งที่เวินซื่อตัดคือชุดของนางเวินซื่อขยับมือไม่หยุด รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน “ตัดชุดอย่างไรเล่า พี่รองกับน้องหกเห็นแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนี้?”ดวงตาสองข้างของเวินจื่อเฉินพ่นไฟแล้ว “เจ้ายังกล้าถามข้าอีกหรือว่าเหตุใดถึงมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้?! ชุดนี้เป็นชุดที่ข้ากับพวกพี่ใหญ่ตั้งใจสั่งทำขึ้นมาเพื่อพิธีปักปิ่นของเจ้า ตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เหตุใดเจ้าต้องตัดมันจนเละด้วย?!” “เพราะว่าไม่มีใครต้องการมันแล้ว”เวินซื่อตัดลงไปดัง “ฉับ” อีกครั้ง “ข้าไม่ต้องการ น้องหกก็ไม่ต้องการ ของที่ไม่มีใครต้องการย่อมต้องจัดการทิ้ง” สีหน้าของนางเย็นชาจนทำให้เวินจื่อเฉินแทบจะรู้สึกแปลกตาใครบอกว่าข้าไม่ต้องการ?!เวินเยวี่ยโกรธจนแทบอยากจะกรีดร้อง นางแค่จงใจบอกปัดเพื่อไม่ให้เวินจื่อเฉินสงสัยเท่านั้นใครจะคิดว่าเวินซื่อกลับเสียสติถึงเพียงนี้?!ทั้ง ๆ ที่นางคิดไว้นานแล้วว่าวันนี้จะต้องสวมชุดพิธีการนี้ให้ได้ แต่ตอ
ผู้ที่มามีรูปร่างสูงสง่าราวกับไผ่สน สวมอาภรณ์เสื้อคลุมสีกรมท่า รูปลักษณ์สง่างาม โฉมหน้าหล่อเหลาชื่อของเขาคือเวินฉางอวิ้น เป็นพี่ใหญ่ของนาง และก็เป็นคุณชายใหญ่ของจวนกั๋วกง“น้องห้า เจ้ารู้ความผิดหรือไม่?” เวินฉางอวิ้นมองเวินซื่อด้วยสายตาเย็นชา ความรู้สึกกดดันที่แผ่ลงมาจากด้านบนทำให้เวินซื่อแทบหายใจไม่ออกนิดหน่อย เมื่อก่อนนางโง่งม คิดเพียงว่าเวินฉางอวิ้นรูปร่างสูงใหญ่ ถึงมอบความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ให้นาง ทว่าต่อมาจนกระทั่งเมื่อนางเห็นกับตาว่าเวินฉางอวิ้นก้มตัว ก้มหน้าให้สายตาอยู่ระดับเดียวกับเวินเยวี่ยเพียงเพื่อรับฟังความคับข้องใจจากปากของนาง เวินซื่อถึงได้เข้าใจว่าที่แท้ตนเองเป็นเพียงคนชั้นล่างที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของพี่ใหญ่ “ข้าไม่เข้าใจคำพูดของพี่ใหญ่ ไม่ทราบว่าข้ามีความผิดอันใด ขอพี่ใหญ่โปรดชี้แจงด้วย”ไม่ใช่ว่าเวินซื่อไม่เห็นชุดพิธีการที่เขาถืออยู่ในมือ ดังนั้นไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขามาเพราะเหตุใด แต่แล้วอย่างไรเล่า?ไม่ถามสักคำ มาถึงก็อยากให้นางยอมรับความผิด?มีสิทธิอันใด?เวินฉางอวิ้นทำสายตาเย็นชา แต่สายตาของเวินซื่อกลับเย็นชายิ่งกว่าเขา เวินฉางอวิ้นขมวดค
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เวินจื่อเยวี่ยต้องเดินออกไปอย่างไม่ลังเลโดยตรงแน่นอน แต่ตอนนี้เขากลับไปไม่ได้เขาไม่เพียงไม่ไป และยังต้องอยู่ต่ออย่างหน้าด้านพร้อมกับน้องหกไม่เช่นนั้นถ้าหากครั้งนี้ล้มเหลว เกรงว่าท่านพ่อจะไม่ให้โอกาสพวกเขาอีกแน่นอนดังนั้นไม่ว่าเพื่อเขาหรือน้องหก เขาก็ต้องอดกลั้นท้ายที่สุดเวินจื่อเยวี่ยกัดฟันอดกลั้นเอาไว้ หลังจากสงบสติอารมณ์ จึงจะเอ่ยปากอีกครั้ง “ขอโทษนะพี่รอง เมื่อครู่ท่าทีของข้าไม่ดี ท่าน…ท่านอย่าโกรธข้าเลย”เวินเยวี่ยเห็นเขาทำเช่นนี้ ก็เข้าใจแล้วเช่นกัน นางเม้มปาก ก้มหน้ากล่าวตามเวินจื่อเยวี่ย “พี่รอง ไม่ใช่ความผิดของพี่สาม เยวี่ยเอ๋อร์เอาแต่ใจเกินไป เยวี่ยเอ๋อร์กินได้เจ้าค่ะ!”เพื่อพิสูจน์คำพูดของตัวเอง นางถึงกับยอมอดกลั้นความรังเกียจในใจ หลับตาแล้วกัดไปที่ขนมแป้งแรงๆ ทีหนึ่งปรากฏว่ากัดคำนี้เกือบทำให้นางฟันร่วงแข็งมากจริงๆ!เวินเยวี่ยเจ็บฟันจนเกือบจะร้องไห้แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังกัดลงไปแรงๆ หลังจากนั้นกลืนเข้าไปทั้งน้ำตาแต่เวินเยวี่ยกลับไม่รู้ เพราะการกระทำนี้ของนางทำให้เวินจื่อเยวี่ยเริ่มสงสัยเกิดอะไรขึ้น เมื่อก่อนเวินเยวี่ยไม่เคยแตะต้องของพวกนี
“เสียงนี่…?”เมื่อเวินจื่อเฉินได้ยินเสียงสนทนาที่ข้างนอก เขาก็ขมวดคิ้วเบาๆพวกเขามาได้อย่างไร?“ก๊อกๆๆ!”“พี่รอง? พี่รอง!”“พี่รอง รีบเปิดประตูสิ!”“พอได้แล้วพี่รอง ข้ารู้ว่าท่านยังไม่นอน ไฟในห้องของท่านยังสว่างอยู่เลย ประตูให้ข้ากับน้องหกหน่อย”เวินจื่อเฉินไม่อยากเปิดประตู แต่ช่วยไม่ได้เสียงของพวกเขาสองคนดังมากโดยปกติเวลานี้ บริเวณโดยรอบจะเงียบสงบคืนที่เงียบสงบของคืนนี้นับว่าถูกพวกเขาทำลายอย่างสมบูรณ์แล้วท้ายที่สุดเวินจื่อเฉินก็ไปเปิดประตูให้พวกเขา“เอี๊ยด”ทันทีที่เปิดประตู เวินจื่อเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตู ขมวดคิ้วมองคนทั้งสองยังไม่สบอารมณ์“ดึกเช่นนี้แล้วพวกเจ้าไม่อยู่ในจวน มาหาข้าทำไม?”“เดี๋ยวก่อนพี่รอง ให้พวกเราเข้าไปก่อนแล้วค่อยคุย เหนื่อยมากเลย ถ้ายังไม่ได้นั่ง ขาข้าจะหักแล้ว”เวินเยวี่ยกับเวินจื่อเยวี่ยทำเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง เบียดเวินจื่อเฉินออกก็เดินเข้าไปแล้ว“นี่พวกเจ้า…”เวินจื่อเฉินไม่ทันได้ห้าม ก็โดนพวกเขาผลักออกไปแล้วรอเขาปิดประตูเสร็จและหันกลับมา พวกเขาสองคนดื่มน้ำชาในกาของเขาจนหมดแล้ว“พี่รอง ยังมีน้ำหรือไม่? ให้พวกเราอีกหน่อย กระหายมากจริงๆ!”
แล้วยังสามารถจัดการกับเวินซื่อได้อย่างเปิดเผยอีกด้วยเมื่อสมุนไพรในแปลงสมุนไพรสุกงอมแล้ว ก็จะถึงเวลาที่นางและเวินซื่อนังสารเลวนั่นจะต้องคิดบัญชีแค้นทั้งเก่าและใหม่รวมกัน!เวินเยวี่ยคิดเช่นนี้ภายในใจ ไม่ได้ปฏิเสธการลงโทษด้วยการขับไล่ให้ไปหาเวินจื่อเฉินตามคาด บิดายังไม่อาจโหดร้ายกับนางได้ลงคอเวินเยวี่ยรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องเป็นอย่างมากภายในใจแต่เห็นได้ชัดว่านางดีใจเร็วเกินไปวินาทีต่อมาก็ได้ยินเวินเฉวียนเซิ่งเอ่ยปากขึ้น “เอาล่ะ ในเมื่อพี่รองของพวกเจ้าตอนที่ออกจากบ้านไม่ได้นำอะไรไปด้วยเลย ดังนั้นพวกเจ้าก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้นำสิ่งของใด ๆ ไปด้วย และไม่ต้องกลับไปเก็บข้าวของ ออกเดินทางเลยเถิด”“อะไรนะ?!”เวินเยวี่ยตกตะลึงในทันที“ไม่กลับไปเก็บข้าวของ แล้วต่อไปพวกเราจะใส่เสื้อผ้าอะไร? แม้แต่เสื้อผ้าก็เอาไปด้วยไม่ได้เหมือนกันหรือท่านพ่อ?”เวินเฉวียนเซิ่งเอ่ยอย่างไม่ปรานี “ถูกต้อง ห้ามเอาไปด้วย มีปัญหาอะไรพวกเจ้าก็หาวิธีแก้ไขเอง หลังจากฟังเข้าใจแล้วก็อย่าเสียเวลาอีกต่อไป ออกไป”เวินเยวี่ยโกรธจนทนไม่ไหว แต่กลับไม่กล้าตั้งคำถามกับคำพูดของบิดาทำได้เพียงติดตามเวินจื่อเยวี่ยออกไปด้วย
เวินเฉวียนเซิ่งออกแรงแย่งกล่องไม้นั้นมาจากมือของเวินจื่อเยวี่ย จากนั้นก็กระแทกลงบนโต๊ะหนังสือดัง “ปัง” ชี้ไปที่ยาเม็ดข้างในพลางเอ่ยอย่างโกรธจัด “เจ้าโง่ เจ้ารู้ไหมว่าถ้าของสิ่งนี้ติดไฟ พวกเราทั้งสามคนจะติดไปด้วย! ถึงตอนนั้นใครก็ได้อย่าคิดหนี!”เวินจื่อเยวี่ยไม่นึกเลยว่าจะยังมีระดับที่ชั่วร้ายเช่นนี้ รีบถอยหลังออกไปหลายก้าวภายในชั่วขณะเดียวเมื่อมองไปที่ยาเม็ดนั้นอีกครั้ง ก็ยังรู้สึกผวาอยู่ในใจหากบิดาไม่ห้ามไว้ได้ทัน เมื่อครู่เขาคงก่อปัญหาใหญ่แล้ว!เมื่อนึกถึงตรงนี้ แม้ว่าเวินจื่อเยวี่ยจะเหงื่อแตกพลั่กในตอนนี้ แต่ก็อดกัดฟันด้วยความโกรธไม่ได้ “ใครเป็นคนทำของสิ่งนี้ขึ้นมากันแน่ ทำไมถึงได้น่าสะอิดสะเอียนและชั่วร้ายถึงเพียงนี้?!”“ใครทำออกมาพวกเราก็ไม่ต้องไปสนใจ นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราควรยุ่ง แค่จำคำพูดของพ่อไว้ให้ดี อยู่ให้ห่างจากของสกปรกเหล่านี้ รวมถึงคนที่แปดเปื้อนของสิ่งนี้ไปแล้วด้วย รู้แล้วใช่ไหม?”ตอนนี้ทั้งเวินเยวี่ยและเวินจื่อเยวี่ยมีหรือจะกล้าไม่ฟังคำพูดเขา ต่างพากันพยักหน้า “พวกเรารู้แล้ว ท่านพ่อ”เพียงแค่เสียดายเงินของเขาเท่านั้นแค่ยาเม็ดเดียวเขาก็จ่ายไปในราคาห้าสิบตำล
เวินเฉวียนเซิ่งแทบจะอดด่าทอนางอีกครั้งไม่ได้ว่า “นังโง่”จนป่านนี้เพิ่งจะรู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงแค่ไหน ไม่ใช่นังโง่แล้วจะเป็นอะไรได้?เจอแบบนี้ทีไรก็ต้องเป็นลูกสาวของตัวเองไม่รู้จริง ๆ ว่าเหมือนใครกันแน่!“ดีที่สุดของเจ้าก็คือภาวนาให้พวกเขาไม่ถูกจับ หรือไม่ก็ภาวนาให้พวกเขารีบตายเร็ว ๆ มิฉะนั้นเมื่อถึงเวลาหากพวกเขามีใครคนหนึ่งถูกจับ เจ้าลองทายดูสิว่าพวกเขาจะอดทนต่อการลงโทษของกรมอาญาได้หรือไม่?”เวินเฉวียนเซิ่งมองเวินเยวี่ยด้วยสายตาที่ไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่งเวินเยวี่ยอดกลืนน้ำลายไม่ได้ในทันที “น่าจะ…น่าจะไม่ถูกจับได้กระมัง?”คนเหล่านั้นดูชั่วร้ายมาก คิดว่าต้องเป็นคนโหดเหี้ยมแน่นอนต่อให้ถูกจับก็ต้องฆ่าตัวตายทันทีเป็นแน่ดังนั้นไม่มีทาง ไม่มีทางเด็ดขาดเวินเยวี่ยกำลังคิดเช่นนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าขณะนี้ภายในเรือนจำของกรมอาญากำลังคุมขังใครสักคนอยู่เวินเฉวียนเซิ่งขมวดคิ้วอย่างเย็นชา คร้านจะมองดูสภาพอันโง่เขลาของบุตรสาวคนนี้อีกต่อไป “พ่อให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว แต่พวกเจ้าก็ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์เลย ในเมื่อหาอะไรก็ไม่พบ เช่นนั้นก็ไสหัวไปเป็นชาวบ้านในชนบทกับพี่รองของพวกเจ้าเถอะ”เขาพูดพลา
ดวงตาของเวินซื่อขรึมลงแต่ก็ไม่เป็นไรต่อให้ไม่สามารถทำลายจวนเจิ้นกั๋วกงทั้งหมดได้โดยตรง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะบีบบังคับพวกเขาทีละก้าวให้เดินไปสู่ทางตันเวินซื่อคิดเช่นนี้ จิตใจที่เคยหุนหันพลันแล่นก็สงบลงอย่างรวดเร็วแม้ว่าจะยังไม่แน่นอน แต่ในเมื่อได้รู้ข่าวนี้แล้ว จะไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้ทำไมไม่..ลองดูสักหน่อยเล่า?เวินซื่อคิดเช่นนี้ สายตากวาดผ่านแมลงพิษหลายชนิดของนางทีละตัว สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่มดหลายตัวที่อยู่บนขอบถูกต้อง ก็แค่มดไม่กี่ตัวชื่อของมันควรจะเรียกว่ามดคันไฟนี่คือมดที่มีนิสัยก้าวร้าวมากชนิดหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับแมลงพิษร้ายแรงชนิดอื่นแล้ว น้ำพิษของมันไม่ได้มีความเป็นพิษมากนักดังนั้นเวินซื่อจึงพุ่งเป้าศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับยาพิษที่เพาะเลี้ยงพวกมันเป็นพิเศษ ไม่ได้ใช้พิษร้ายแรง แต่ใช้ยาพิษชนิดที่มีฤทธิ์คล้ายกับการเผาไหม้กัดกร่อนมาเพาะเลี้ยงพวกมันแต่มดคันไฟชนิดนี้แข็งแกร่งจริง ๆ ในตอนแรกพวกมันปฏิเสธยาพิษของเวินซื่อกว่านี้ด้วยซ้ำ ต่อให้ใช้น้ำทิพย์ก็ยังตายเป็นเบือ โชคดีที่เวินซื่อเพิ่งได้รับราชินีมดคันไฟเหล่านี้มาจากจินซือถู ก็เลยปล่อยให้พวกมันขยายพันธ
“โอ้สวรรค์ ทำไมพวกเจ้าถึงได้ออกลูกกันมากมายขนาดนี้?”หลังจากที่เวินซื่อก้มหัวหลบ ก็เงยหน้าขึ้นมองใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่กระจายตัวอย่างหนาแน่นทั่วชั้นสอง แล้วอดแสยะมุมปากไม่ได้นางไม่ได้เข้ามาหลายวันแล้ว ทำไมที่นี่กำลังจะกลายเป็นรังแมงมุมไปแล้วไม่ใช่ว่านางไม่อยากให้แมงมุมเหล่านี้ออกลูก เพียงแต่มันมากเกินไป ต่อให้นางไม่กลัวแมงมุม แต่ก็ต้องมีอาการกลัวรูแล้ว“ไม่ได้ ไม่ได้ ต้องย้ายรังให้พวกเจ้าแล้ว”ถ้าแมงมุมเหล่านี้ยังอยู่ที่นี่ต่อไป เกรงว่าวันหลังนางก็อย่าได้คิดที่จะเข้ามาเหยียบชั้นสองนี้อีกเลยเวินซื่อพูดจริงทำจริง ทันทีที่เกิดความคิด แมงมุมทั้งหมดก็พากันย้ายบ้าน ไปยังด้านนอกของห้องใต้หลังคาทั้งหมดเวินซื่อมองออกไปด้านนอก นอกจากแปลงสมุนไพรและลำธารเล็ก ๆ ไม่กี่แห่งแล้ว ที่เหลือส่วนใหญ่นั้นเป็นทุ่งหญ้า ราบเรียบไม่มีที่สิ้นสุดเหล่าแมงมุมไม่ชอบสถานที่แบบนี้หลังจากครุ่นคิดสักครู่ เวินซื่อก็ออกไปจากมิติก่อนย้ายต้นไม้ใหญ่หลายต้นเข้าไปในมิติที่อยู่หลังเขา รวมถึงพุ่มไม้ หินก้อนใหญ่ ตลอดจนตะไคร่น้ำเป็นต้นหลังจากเอาเข้ามาในมิติแล้ว ก็ได้ออกแบบป่าไม้ขนาดเล็กให้บรรดาแมงมุมอาศัยอยู่ได้ไว้
แต่ไม่คาดคิดเลยว่า เวินฉางอวิ้นได้พยายามอ้าปาก โต้แย้งด้วยเสียงอันแหบพร่าของตัวเอง “น้อง...น้องห้า...ไม่ใช่...เพราะจวน...จวนเจิ้นกั๋วกง นาง...นาง...ต่อสู้ด้วยตัวเอง...ต่อสู้มาด้วยตัวเอง”ไม่ใช่ง่าย ๆ กว่าจะพูดจบประโยคนี้ได้เพียงประโยคเดียวก็แทบจะใช้พลังทั้งหมดในร่างกายของเวินฉางอวิ้นในเวลานี้แล้วแต่เขากลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เพียงแต่ไอไปด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะไอด้วยความตื่นเต้นเกินไป จึงมีเลือดไหลออกมาจากมุมปากเล็กน้อยหลังจากฟังคำพูดของเขาจบเวินเฉวียนเซิ่งก็หัวเราะไม่ออก เขายืนตัวตรงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกไม่นึกว่าตัวเองพูดไปมากขนาดนี้แล้ว สุดท้ายลูกชายที่โง่เขลาคนนี้แค่ต้องการโต้แย้งเพียงประโยคนั้น?ในสายตาของเวินเฉวียนเซิ่ง หากเวินฉางอวิ้นคิดแบบนี้ ก็ช่างไร้เดียงสาเกินไปจริง ๆ เวินซื่อเดินมาถึงก้าวนี้แล้ว จะปฏิเสธความสัมพันธ์กับจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเขาได้อย่างไร?ลูก ๆ โตแล้ว ปีกกล้าขาแข็งแล้วคิดว่าทุกอย่างที่ตัวเองมีนั้นได้ต่อสู้มาด้วยตัวเอง แต่หากไม่มีพวกเขาจวนเจิ้นกั๋วกง แล้วจะมีเวินซื่ออย่างในวันนี้ได้อย่างไร?ช่างน่าขบขันเสียจริงขณะที่เวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกเหม
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน