หลังจากเขาขายเนื้อหมูเสร็จ หลินเจิ้งเทียนแบกเนื้อหมูส่วนที่เหลือไว้บนบ่ามุ่งหน้าไปยังบ้านของหมอหลี่ หมอเดินเท้าประจำหมู่บ้าน ผู้เปรียบเสมือนที่พึ่งพิงยามเจ็บไข้ได้ป่วยของชาวบ้านทุกคน
"หมอหลี่ครับ หมอหลี่" หลินเจิ้งเทียนตะโกนเรียกเสียงดังเมื่อมาถึงหน้าบ้าน
ไม่นานนัก ประตูบ้านก็เปิดออก เขาเห็นหลี่เหว่ยถูกหมอหลี่รักษาบาดแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว
"อ้าว เจิ้งเทียน มาได้จังหวะพอดีเลย ลุงรักษาพ่อหนุ่มยุวชนปัญญาเสร็จพอดี เด็กคนนี้ถูกลูกสาวของเจ้ารักษามาก่อนหน้านี้แล้วตอนนี้แผลไม่เป็นอะไรมาก เลือดของเขาหยุดไหลไปแล้ว" หมอหลี่กล่าวพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญให้หลินเจิ้งเทียน เข้าไปในบ้าน
หลินเจิ้งเทียน เขาขมวดคิ้วสงสัย "ชิงชิงไปรักษาให้เด็กคนนี้ได้อย่างไร?" ลูกสาวของเขา เป็นเพียงเด็กสาววัย 16 ปี เธอไม่เคยเรียนรู้การแพทย์แผนโบราณมาก่อน
เขาเดินตามหมอหลี่เข้าไปในบ้าน พบเด็กหนุ่มนอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่ ใบหน้าซีดเซียว แต่ดวงตาของเขาแสดงถึงความเฉลียวฉลาด เด็กหนุ่มคนนี้เป็นยุวชนปัญญาที่จากเมืองหลวง เขาถูกส่งมาทำงานในชนบท แต่เนื่องจากความฉลาดของเขาทำให้สามารถสอบเข้ามาเป็นคุณครูที่โรงเรียนประถมในหมู่บ้านหลงเหมินได้
หลินเจิ้งเทียนวางเนื้อหมูลงบนโต๊ะ ก่อนจะกล่าวกับหลี่เหว่ย "พ่อหนุ่มนี้เนื้อหนูส่วนแบ่งของพ่อหนุ่ม รับไว้เสียสิ"
"ขอบคุณมากครับลุงเจิ้งเทียน ที่อุตส่าห์แบ่งเนื้อหมูมาให้ผม" หลี่เหว่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
"ไม่เป็นไร นี้เป็นค่าแรงที่พ่อหนุ่มสมควรจะได้อยู่แล้ว"หลินเจิ้งเทียนกล่าว
หลังจากพูดคุยกับหมอหลี่และหลี่เหว่ยอีกเล็กน้อย หลินเจิ้งเทียนก็ขอตัวกลับบ้าน เขาแบกเนื้อหมูส่วนที่เหลือกลับมาบ้านด้วยในใจที่เบิกบาน เมื่อนึกถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มของสมาชิกในครอบครัว
"ทกคนพ่อสัญญาว่าจะทำให้ครอบครัวของพวกเรา ไม่หิวโซ เหมือนกับที่อยู่ในบ้านใหญ่"หลินเจิ้งเทียนกล่าวกับตัวเองด้วยความแน่วแน่
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาเห็นหวังจื้อเหยาและหลินชิงชิงกำลังทำแกงผักป่าอยู่ในห้องครัว ส่วนลูกชายคนเล็กก็วิ่งเข้ามาหาเขาทันทีที่เห็นเขาแบกหมูป่าเข้ามา
"พ่อกลับมาแล้ว!" เสียงเล็กๆ ของหลินเสี่ยวหลงดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
หลินเจิ้งเทียนวางเนื้อหมูลงบนโต๊ะไม้ผุพัง กลิ่นหอมของเนื้อหมูอบอวลไปทั่วทั้งบ้าน ดวงตาของทุกคนเป็นประกาย
"วันนี้พ่อขายเนื้อหมูป่ามาได้เงินมาเยอะเลยได้คูปองมา 50 ใบกับเงินอีก 80 หยวน" หลินเจิ้งเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ ขณะวางเนื้อหมูและกำคูปองไว้บนโต๊ะไม้
"ว้าว! ตอนนี้ครอบครัวเราก็มีเงินกันแล้ว!" หลินเสี่ยวหลง กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
หวังจื้อเหยา ผู้เป็นภรรยายิ้มออกมาอย่างมีความสุข เธอรีบนำเนื้อหมูไปล้างทำความสะอาด ก่อนจะลงมือเตรียมอาหารเย็นอย่างคล่องแคล่ว
กลิ่นหอมของอาหารค่อยๆ โชยไปทั่วบ้าน ไม่นานนัก กับข้าวก็เสร็จเรียบร้อย หวังจื้อเหยาตะโกนเรียกทุกคนมารวมตัวกันที่โต๊ะอาหาร
"ทุกคนมาทานข้าวกันเถอะ! วันนี้ชิงชิงเก็บเกี่ยวของจากป่าได้มาเยอะเลย ทุกคนมาลองชิมผักป่าที่ชิงชิงเก็บมา สดกรอบมาก" เธอพูดพลางตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่ถ้วยให้ทุกคน
หลินชิงชิง หน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย เธอช่วยแม่ยกจานผัดหมูป่ามาวางบนโต๊ะ
"หนูแค่บังเอิญไปเจอผักที่ชายป่า เห็นว่ามันดูน่าทานเลยเก็บมาให้ทุกคนลองชิมดูค่ะ"
หลินเจิ้งเทียนตักผักป่าเข้าปาก เคี้ยวกร้วมๆ ก่อนจะพยักหน้าชม "อร่อยมาก ชิงชิงเก่งจริงๆ"
หลินเสี่ยวหลงรีบตักผัดผักป่าเข้าปากบ้าง เขาตาโตเบิกกว้าง "อร่อยจริงๆ ด้วย! อร่อยกว่าผักที่ผมเคยกินเสียอีก"
หลินชิงชิงอมยิ้มเมื่อเห็นทุกคนทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ผักที่อยู่ในมิติของเธอย่อมต้องเป็นของดีอยู่แล้ว นอกจากอร่อยแล้วยังช่วยบำรุงร่างกายของทุกคนให้แข็งแรง
เมื่อทุกคนทานข้าวเสร็จ หลินชิงชิงก็ยกผลไม้หลากชนิดที่เก็บมาจากมิติออกมาวางบนโต๊ะ "ทุกคนลองชิมผลไม้พวกนี้ดูสิ หวานอร่อยมากเลยนะ"
หวังจื้อเหยาหยิบองุ่นสีม่วงเข้มลูกโตขึ้นมาอย่างสนใจ ก่อนจะส่งเข้าปาก "หวานมากเลย แม่ไม่เคยกินองุ่นที่ไหนอร่อยแบบนี้มาก่อน"
หลินเจิ้งเทียนผู้เป็นพ่อหยิบลูกท้อขึ้นมาดู "ลูกท้อพวกนี้มันแปลก ๆ นะ ผิวมันดูเนียนสวยกว่าลูกท้อทั่วไปตั้งเยอะ" ว่าแล้วก็กัดเข้าไปคำโต "โอ้โห หวานฉ่ำชื่นใจจริง ๆ"
"อร่อยกว่าผลไม้อะไรที่ผมเคยกินมาทั้งหมดเลย" หลินเสี่ยวหลงร้องขึ้นอย่างตื่นเต้นพลางยกแอปเปิ้ลแดงสดขึ้นมาโชว์ "พี่สาวดูสิ แอปเปิ้ลลูกนี้มันแดงเงาวับเลย"
หลินชิงชิงหัวเราะกับท่าทางของทุกคน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
"ทุกคนค่ะวันนี้ตอนหนูเข้าไปในป่า หนูเจอสมุนไพรล้ำค่าตามที่หนูเห็นในความฝันด้วยนะ หนูเจอทั้งโสมคน และเห็ดหลินจือ"
ทุกคนที่กำลังทานผลไม้อยู่ต่างหยุดชะงัก มองหน้ากันด้วยความตกใจ
"จริงเหรอชิงชิง?" หลินเจิ้งเทียนเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
"จริงค่ะพ่อ"เธอกล่าวพร้อมเดินไปหยิบตะกร้าที่บรรจุโสม100ปี และเห็ดหลินจือทั้งดอกเล็กดอกใหญ่มา
หวังจื้อเหยาถึงกับน้ำตาคลอเบ้าด้วยความตื้นตันใจ "ชิงชิงของแม่ ช่างโชคดีเสียจริงๆ" เธอเอื้อมมือไปลูบผมลูกสาวอย่างรักใคร่
หลินเจิ้งเทียน พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ "ชิงชิง หนูเป็นดาวนำโชคของครอบครัวเราเสียจริง ๆ"
หลินชิงชิงยิ้มกว้าง เธอมีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มของทุกคนในครอบครัว
"หนูว่าจะเอาโสมกับเห็ดหลินจือดอกใหญ่ ๆ นำไปขายที่ตลาดมืดค่ะ" เธอพูดแผนการให้ทุกคนฟัง
"ส่วนดอกเล็ก ๆ แม่กับพ่อเก็บไว้กินบำรุงร่างกายนะคะ"
หลินเจิ้งเทียนวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มกลับเคร่งขรึมลงทันที ช่วงนี้ทหารแดงออกตรวจตราอย่างเข้มงวด การค้าขายในตลาดมืดเป็นเรื่องที่เสี่ยงอย่างยิ่ง
"เดี๋ยวพ่อจะไปเป็นเพื่อนลูกเอง" เขาเอ่ยด้วยความกังวลใจ
หลินชิงชิงส่ายหน้าเบา ๆ "พ่อไม่ต้องไปด้วยหรอกค่ะ ไปกันเยอะพวกทหารแดงจะยิ่งสงสัยเอาได้ ฉันไปคนเดียวคล่องตัวกว่าค่ะ"
หลินเจิ้งเทียนและหวังจื้อเหยาสบตากันด้วยความเป็นห่วง พวกเขารู้ดีว่าลูกสาวของพวกเขาเป็นคนฉลาดแต่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
"ชิงชิง ระวังตัวด้วยนะลูก" หวังจื้อเหยาเอ่ยเสียงแผ่ว
หลินชิงชิงพยักหน้ารับ "ค่ะแม่ หนูจะระวังตัวให้ดี"
หลังจากพูดคุยกับครอบครัวเสร็จ เธอก็กลับห้องไปพักผ่อน เธอจัดแจงล็อกห้องนอนอย่างแน่นหนาเพื่อไม่ให้คนอื่นเข้ามาในห้องช่วงที่เธออยู่ในมิติ เธอหลับตาลงและปล่อยให้สติของเธอถูกดึงเข้าสู่ห้วงมิติ
เมื่อเข้ามาในมิติ หลินชิงชิงตรงไปยังห้องปรุงยาทันที เธอหยิบตำราแพทย์เก่าแก่ขึ้นมาเปิดอ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน
"พรุ่งนี้ต้องไปตลาดมืดแล้วสินะ" เธอพึมพำกับตัวเอง "ต้องเตรียมของดีๆ เอาไปขายซะหน่อย"
สายตาของเธอไล่อ่านตัวอักษรที่เรียงรายอยู่บนหน้ากระดาษอย่างตั้งใจ เธอเลือกสูตรสบู่และครีมบำรุงผิวที่ไม่ซับซ้อนนัก เพราะเธอรู้ดีว่าสิ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเธอพิเศษกว่าใครคือ "น้ำวิเศษ" ที่มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่ครอบครอง
หลินชิงชิงลุกขึ้นไปหยิบขวดเล็กๆ ที่บรรจุของเหลวใสแจ๋วราวกับคริสตัลออกมาจากชั้นปรุงยา เธอเทน้ำวิเศษลงในชามผสมอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเติมส่วนผสมอื่นๆ ลงไปตามสูตร
"น้ำวิเศษนี่มันวิเศษจริงๆ นะ" เธอพูดพลางคนส่วนผสมในชาม "แต่ใช้เยอะไปก็ไม่ดี เดี๋ยวคนอื่นจะสงสัยเอาได้"
เธอนำน้ำวิเศษมาเจือจางลง ก่อนจะคนส่วนผสมไปเรื่อยๆ จนได้เนื้อสบู่และครีมที่เนียนละเอียด กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรลอยฟุ้งไปทั่วห้อง
หลังจากเทสบู่แม่พิมพ์เสร็จ หลินชิงชิงก็นึกขึ้นได้ว่าเธอลืมเตรียมภาชนะสำหรับใส่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปขาย
"โอ๊ย! ตายจริงยัยชิงชิงแกลืมเรื่องสำคัญได้ยังไงเนี่ย" เธอตบหน้าผากตัวเองเบาๆ "พรุ่งนี้ต้องรีบไปหาซื้อในเมืองแต่เช้าเลย"
ถึงแม้จะมีเรื่องให้ต้องกังวลอยู่บ้าง แต่หลินชิงชิงก็ยังเธอมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์สบู่สูตรและครีมบำรุงผิวของเธอจะต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะไม่มีใครสามารถปฏิเสธพลังของน้ำวิเศษที่เธอผสมลงไปได้ สบู่ก้อนนี้ ไม่เพียงแต่จะชำระล้างร่างกายให้สะอาด แต่ยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง มีออร่า ราวกับสาวแรกรุ่น
"รอก่อนนะ ตลาดมืด พรุ่งนี้ฉันจะไปหาเงินเยอะๆ เลย" เธอพูดอย่างมั่นใจ ก่อนจะเก็บข้าวของและเดินออกจากห้องปรุงยา ก่อนจะกลับมาสู่โลกของความเป็นจริง เธอล้มตัวลงนอน หลับฝันดี พร้อมกับจินตนาการถึงเงินทองมากมาย ที่กำลังจะไหลมาเทมา
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากหลินชิงชิงทานข้าวกับครอบครัวเสร็จ เธอก็จัดแจงแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเรียบง่ายแต่ดูสะอาดตา
"ทุกคนค่ะ หนูจะเข้าไปในเมืองแล้วนะ" เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานใส
"เดินทางดีๆ นะลูก ระวังตัวด้วย" หวังจื้อเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ก่อนจะเดินเข้ามาลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน
"พี่สาว กลับมาเร็วๆ นะซื้อขนมมาฝากผมด้วยนะครับ" หลินเสี่ยวหลงโบกมือลาพี่สาวด้วยดวงตากลมโต
"ได้จ้ะน้องเล็กเดี๋ยวพี่ซื้อขนมอร่อยๆ มาฝาก" หลินชิงชิงรับคำ ก่อนจะหยิบตะกร้าหวายใบโปรดขึ้นมาสะพายไหล่ เธอสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดลึกๆ แล้วก้าวเท้าออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังลานหน้าหมู่บ้าน
เสียงประทัดดังกึกก้องทั่วลานบ้านตระกูลหลิว บ่งบอกถึงความยินดีปรีดาของงานมงคลสมรสระหว่างหลิวชิงชิงและหลี่เหว่ยบ้านของเธอประดับประดาไปด้วยโคมแดงสด ตัดกับผ้าแพรสีทองอร่ามระยิบระยับ บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก ญาติมิตรต่างมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างเนืองแน่น เสียงพูดคุยจอแจ เสียงหัวเราะร่าเริงดังแทรกกับเสียงดนตรีบรรเลงเพลงมงคลภายในบ้านเจ้าสาว หลิวชิงชิงในชุดแต่งงานสีแดงสดปักลวดลายด้วยดิ้นเงินวิจิตรงดงาม จากช่างตัดเย็บฝีมือดี ที่คนรักของเธอพาไปตัดเย็บ ใบหน้าหวานละมุนแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบา เผยให้เห็นแก้มแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย หลิวชิงชิงนั่งก้มหน้ามองปลายเท้าอย่างประหม่า ขณะรอเจ้าบ่าวเข้ามาในบ้าน"ชิงชิง ลูกสาวของพ่อ" เสียงทุ้มของหลิวเหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นพร้อมกับมือหนาที่ลูบศีรษะลูกสาวอย่างอ่อนโยน "วันนี้ลูกสาวพ่อสวยที่สุดเลย"หลิวชิงชิงเงยหน้าขึ้นมองบิดาด้วยแววตาสั่นไหว "คุณพ่อ...""ไม่ต้องกังวลนะลูก" หลิวเหวินเจิ้งกล่าวปลอบ "เดี๋ยวลูกเหว่ยก็จะมารับเจ้าสาวไปงานแต่งที่โรงแรมแกรนด์""ค่ะคุณพ่อ" หลิวชิงชิงพยักหน้ารับ น้ำตาคลอหน่วยด้วยความต
หลิวเหวินชางจ้องมองหลี่อ้ายเจียเย็นชา"เรื่องที่หล่อนขโมยลูกของฉัน ฉันจะให้เจ้าหน้าที่มาจัดการกับหล่อน"หลี่อ้ายเจียทรุดตัวลงกับพื้น น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาเว้าวอน"ท่านจอมพลหลิว...ฉันขอโทษ ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำมันผิด ฉันมันเลว ฉัน...""เลว ใช่ เธอมันเลว" หลิวเหวินชางคำรามเสียงดังจนสนั่น "หลี่อ้ายเจีย เธอขโมยลูกของฉันไป เธอพรากลูกของฉันไปจากอกฉัน เธอรู้ไหมว่าฉันต้องทรมานแค่ไหน""ฉันเลอะเลือนไปแล้วถึงได้เชื่อฟังคำพี่สาว ฉันแค่ไม่อยากให้ทางบ้านสามีรู้เรื่องลูกที่เสียไปก็เท่านั้นเอง หลี่อ้ายเจียได้แต่สะอื้นไห้"แกเลยต้องมาพรากลูกคนอื่นไป แล้วลูกของคนอื่นไม่ใช่ลูกคนหรือไง " หลิวเหวินชางกัดฟันกรอด "สิ่งที่หล่อนทำมันโหดร้ายเกินไป หลี่อ้ายเจีย เธอทำลายชีวิตฉันมายาวนานหลายสิบปี""ท่านจอมพลฉันขอโทษ...ฉันขอโทษ..." หลี่อ้ายเจียได้แต่พร่ำพูดคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมาหลิวเหวินชางไม่ฟังคำขอโทษใดๆ ทั้งสิ้น เขาหันไปสั่งลูกน้องเสียงเย็นชา "พาตัวหลี่อ้ายเจียไปให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองลงโทษตามกฎหมาย""ไม่...ท่านจอมพลหลิว อย่า
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินชิงชิงลืมตาขึ้นพร้อมกับความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวทันที เรื่องราวเมื่อวานยังคงวนเวียนอยู่ในใจ กับคำพูดของท่านเจิ้ง ที่บอกว่าพ่อของเธออย่างจะไม่ใช่ลูกชายของคุณย่าหลินชิงชิงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงแล้วตรงไปยังห้องของบิดา หลินเจิ้งเทียนยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้าราวกับแบกปัญหาหนักอึ้งเอาไว้ หลินชิงชิงยืนมองบิดาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากปลุก"พ่อคะ"หลินเจิ้งเทียนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองลูกสาวด้วยความงุนงง "ชิงชิง มีอะไรรึ? ""พ่อคะ หนูว่าพวกเราไปบ้านใหญ่ตระกูลหลินกันเถอะค่ะ" หลินชิงชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "หนูอยากให้พ่อไปถามคุณย่าให้แน่ใจว่าพ่อใช่ลูกชายของท่านใช่หรือเปล่า"หลินเจิ้งเทียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาหลับตาลงราวกับกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นมองลูกสาวด้วยแววตาที่แน่วแน่"ก็ได้" เขาเองก็อยากรู้ความจริงเช่นกันหลังจากนั้นไม่นาน คนบ้านสาม ประกอบด้วยหลินเจิ้งเทียน หวังจื้อเหยา และหลินชิงชิง ต่างก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังบ้านใหญ่ตระกูลหลิน ระหว่างทาง หลินชิงชิงสังเกตเห็นสีหน้าเคร่
ท่านเจิ้งเมื่อเห็นทุกคนอยู่ในความตกตะลึง จึงเอ่ยเตือนสติขึ้นมา"เอาละๆ ทุกคน อย่ามัวแต่คุยกันเลย มาทานข้าวกันได้แล้ว ฉันชักจะเริ่มหิวแล้วสิ"หวังจื้อเหยา ได้สติก่อนใคร รีบเชื้อเชิญทุกคนให้เริ่มทานอาหาร หลินชิงชิง ตักข้าวใส่จานให้ทุกคนอย่างคล่องแคล่ว บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารน่ารับประทาน ทั้งไก่ตุ๋นโสม หมูแดงอบน้ำผึ้ง ผัดผักรวมมิตร และซุปเยื่อไผ่ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นชวนน้ำลายสอ"อืม... อร่อยมาก" เฉินเหม่ยหลิงเอ่ยชม "ฉันไม่เคยทานอาหารที่ไหนอร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย""ใช่ๆ " หลี่หย่ง พยักหน้าเห็นด้วย "รสชาติกลมกล่อม หอมเครื่องเทศกำลังดี"ท่านเจิ้งตักซุปเยื่อไผ่เข้าปากอีกคำ ซดน้ำซุปจนหมดชามแล้ววางช้อนลง พลางพยักหน้าชมด้วยสีหน้าพึงพอใจ "รสชาติดีจริงๆ กลมกล่อม หอมหวาน ซดคล่องคอ ใครเป็นคนทำอาหารมื้อนี้หรือ? "หลินชิงชิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินคำชมก็ยิ้มแก้มปริ "หนูกับแม่ช่วยกันทำค่ะ หนูเป็นเพียงแค่ลูกมือเท่านั้นค่ะ" หลินชิงชิงตอบเสียงใส ความจริงแล้วที่อาหารอร่อยเป็นเพราะวัตถุดิบที่นำมาทำอาหารล้วนมาจากมิติของเธอทั้งสิ้น ทั้งเยื่อไผ่อ่อนๆ เห็ดหอมชั้นดี และเครื่อง
แสงตะวันโพล้เพล้ทาบทาขอบฟ้า สาดสีส้มแดงระเรื่อทั่วลานบ้าน กลิ่นหอมของอาหารลอยโชยยั่วน้ำลาย หลินชิงชิงและผู้เป็นมารดาต่างก็จัดเตรียมสำรับกับข้าวหลายอย่างจนเต็มโต๊ะอาหาร ทั้งไก่ตุ๋นโสม หมูแดงอบน้ำผึ้ง ผัดผักรวมมิตร และซุปเยื่อไผ่ ส่วนของหวานและผลไม้ล้วนแต่ตัดวางอย่างสวยงาม ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเมนูเลิศรสที่แม่ของเธอตั้งใจปรุงขึ้นด้วยความพิถีพิถันกับข้าวพร้อมแล้วค่ะ" หลินชิงชิงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มหวังจื้อเหยาหันมายิ้มให้ลูกสาว "ชิงชิงไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยนะ ใกล้เวลาที่พ่อแม่สามีของหนูจะมาแล้ว"หลินชิงชิงหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ "แม่.. " เสียงของเธอเอ่ยแผ่วลง "หนู.. หนูตื่นเต้นจังเลยค่ะ ไม่รู้ว่าท่านทั้งสองจะเป็นอย่างไรบ้าง" มือบางบิดชายเสื้อไปมาอย่างประหม่า"ไม่ต้องกังวลไปหรอกลูก" หวังจื้อเหยาตบบ่าลูกสาวเบาๆ อย่างให้กำลังใจ "แม่ได้ยินมาว่าครอบครัวของท่านนายพลหลี่เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ มีชื่อเสียงเรื่องความใจดี แม่เชื่อว่าพวกท่านต้องเอ็นดูหนูเหมือนลูกสาวคนหนึ่งแน่ๆ ""แต่.. หนูยังไม่เคยพบพวกท่านเลยนี่คะ" หลินชิงชิงยังคงกังวล "แล้ว.. แล้วถ้าหนูทำ
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป นับตั้งแต่หลินชิงชิงพาครอบครัวเข้ามาในมิติแห่งนี้หลินเสี่ยวหลง เด็กน้อยวัย10ขวบ กลับมิได้วิ่งเล่นซุกซนตามประสาเด็ก แต่กลับขะมักเขม้นฝึกฝนวิชายุทธ ร่างน้อยๆ เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว กระบี่ไม้ในมือฟาดฟันไปตามกระบวนท่าที่หลินชิงชิงถ่ายทอดให้ เหงื่อไหลไคลย้อยอาบใบหน้า แต่เด็กน้อยก็ยังคงมุ่งมั่น มิย่อท้อ"ฮึบ...ฮ่า" เสียงเล็กๆ ดังขึ้นเป็นระยะหลินเจิ้งเทียน ผู้เป็นบิดา นั่งมองลูกชายอยู่ใต้ต้นหลิวใหญ่ ในใจรู้สึกทั้งภาคภูมิใจและเป็นห่วง เสี่ยวหลงเป็นเด็กดี ขยันหมั่นเพียร แต่บางครั้งก็ดื้อรั้นเกินไป"เสี่ยวหลง พักสักครู่ ลูกฝึกมาตั้งแต่เช้าแล้ว" หลินเจิ้งเทียนเอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใยหลินเสี่ยวหลงหยุดฝึกซ้อม เช็ดเหงื่อที่ไหลอาบหน้า "พ่อครับ ผมยังไม่เหนื่อยครับ ผมอยากเก่งๆ จะได้ปกป้องทุกคน จะไม่ให้คุณย่ามารังแกบ้านเราได้" เด็กชายตอบเสียงใส แววตามุ่งมั่นหลินเจิ้งเทียนถอนหายใจ เรื่องบาดหมางระหว่างเขากับมารดาเป็นเรื่องที่ทำให้เขาหนักใจที่สุด เขาไม่รู้ว่าทำไมแม่ของเขาถึงได้เกลียดชังเขามากนัก ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยได้รับความรักจากท