หลินชิงชิงนักศึกษาสาว หลังเธอประสบอุบัติเหตุทำให้เธอทะลุมิติมาในนิยายที่เธออ่าน เธอมาอยู่ในร่างนางร้าย ไปๆมาๆทำไมพระเอกถึงได้มาติดหนึบเธอแถมเธอยังโดนนางเอกหมายหัว แล้วเธอจะเอาชีวิตรอดในยุคนียังไง
Lihat lebih banyakแสงแดดอ่อนๆ ยามบ่ายส่องลอดผ่านหน้าต่างห้องสมุดเล็กๆ ในมหาวิทยาลัยชื่อดัง หลินชิงชิงกำลังอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ ตัวอักษรแต่ละตัวดูเหมือนมีชีวิตชีวาขึ้นมาในสายตาของเธอ พาเธอเข้าไปสู่โลกแห่งจินตนาการที่เธอหลงใหล
ข้างๆ เธอ จ้าวเหม่ยหลิง เพื่อนสนิท กำลังคร่ำเคร่งกับตำราเรียน เตรียมตัวสำหรับการสอบที่กำลังจะมาถึง แต่หลินชิงชิงกลับจมอยู่ในโลกของนิยาย
"ชิงชิง! จะสอบอีกไม่กี่วันแล้วนะ เธออ่านหนังสือถึงไหนแล้วเนี่ย" เสียงจ้าวเหม่ยหลิง เพื่อนสนิทของหลินชิงชิงดังขึ้น ทำให้เธอหลุดออกจากโลกแห่งนิยายที่กำลังดำดิ่งอยู่
หลินชิงชิงถอนหายใจ เธอเงยหน้าจากนิยายเล่มโปรดมองเพื่อนสนิทที่กำลังคร่ำเคร่งกับตำราเรียนตรงหน้า เธอรู้ดีว่าจ้าวเหม่ยหลิงเป็นห่วง แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการอ่านหนังสือสอบ
"ฉันอ่านไปบ้างแล้วล่ะน่า" เธอตอบปัดๆ
จ้าวเหม่ยหลิงส่ายหัวอย่างระอาใจ เธอรู้ดีว่าเพื่อนของเธอคนนี้เป็นคนหัวดีมีความสามารถ แต่ก็ขี้เกียจเป็นที่หนึ่ง แถมยังชอบเพ้อฝัน ชอบจินตนาการว่าตัวเองเป็นนางเอกในนิยาย จนบางครั้งก็แยกโลกแห่งความจริงกับโลกในนิยายไม่ออก
"ชิงชิง เธอรู้ไหมว่าทำไมเธอยังไม่มีแฟนสักที" จ้าวเหม่ยหลิงพูดขึ้น
หลินชิงชิงชะงัก เธอรู้ว่าเพื่อนกำลังจะพูดอะไร
"ก็เพราะเธอตั้งสเปคไว้สูงเกินไปไง เธอจะหาผู้ชายที่เพอร์เฟกต์เหมือนพระเอกในนิยายในโลกแห่งความจริง เธอจะไปเจอได้ที่ไหนกัน"
หลินชิงชิงยิ้มแหยๆ เธอรู้ว่าจ้าวเหม่ยหลิงพูดถูก แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้พบกับผู้ชายที่เหมือนหลุดออกมาจากนิยายจริงๆ
"ชิงชิงแล้วนี้เธออ่านนิยายเล่มหนาขนาดนี้ เธอไม่เบื่อบ้างหรือไง"
หลินชิงชิง ยิ้มให้เพื่อนเล็กน้อย "ไม่เบื่อหรอก ฉันชอบนะ มันเหมือนกับฉันได้ไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง"
จ้าวเหม่ยหลิงส่ายหัว "แต่เธอใช้เวลาไปกับมันมากเกินไปแล้วนะ ชีวิตจริงของเธอก็สำคัญเหมือนกัน"
"บางทีฉันอาจจะกำลังรอพระเอกในชีวิตจริงของฉันอยู่ก็ได้"
จ้าวเหม่ยหลิงหัวเราะ "พระเอกในนิยายน่ะเหรอ? คงหายากหน่อยนะแก"
หลินชิงชิงยิ้ม เธอรู้ว่ามันเป็นความฝันที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่เธอก็ยังคงเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่ง เธอจะได้พบกับ 'เขา' คนนั้น
"แล้วนิยายเล่มนี้สนุกเหรอ ฉันเป็นแกจับไม่ปล่อยมา 2 ชั่วโมงละ?"
หลินชิงชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตอบ "ก็มันสนุกนี่นา นางเอกน่าสงสารจะตาย พระเอกก็ซื่อบื้อไม่รู้ใจตัวเองสักที อ่านแล้วมันหงุดหงิด" เธอบ่นอุบอิบพลางทำหน้ามุ่ย
จ้าวเหม่ยหลิงหัวเราะเบาๆ กับท่าทางของเพื่อนสนิท "ถ้ามันหงุดหงิดขนาดนั้น ทำไมยังอ่านอยู่ล่ะ?"
ชิงชิงถอนหายใจ "ก็อยากรู้ไง ว่าสุดท้ายแล้วพระเอกมันจะหายซืนหรือหรือเปล่า" เธอพูดพลางทำท่าฮึดฮัด
"แกนี่มันอินจัดจริงๆ เลยนะ เดี๋ยวเครียดจนสอบตกหรอก" จ้าวเหม่ยหลิงแอบแซว
"ไม่ตกหรอกน่า แกก็รู้ว่าฉันหัวดีแค่ไหน"
" แล้วการอ่านนิยายก็เหมือนได้พักผ่อนสมองไปในตัวนั้นละ" หลินชิงชิงหัวเราะร่วนให้กับเพื่อนสนิท
"แต่ฉันขัดใจในนิยายอยู่เรื่องเดียวทำไมตัวร้ายต้องชื่อ 'หลินชิงชิง' ด้วยล่ะ" เธอทำหน้าบึ้งเล็กน้อย
จ้าวเหม่ยหลิงหัวเราะร่วน "เอาน่า ชื่อซ้ำกันบ้างก็ได้ นี่นิยายนะ ไม่ใช่ชีวิตจริงสักหน่อย" เธอยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
หลินชิงชิงยังคงขมวดคิ้ว "แต่ก็อดคิดไม่ได้นี่นา ว่าถ้ามีคนชื่อหลินชิงชิงอ่านนิยายเรื่องนี้เข้า จะรู้สึกยังไง"
"ก็คงขำๆ มั้ง" จ้าวเหม่ยหลิงตอบ "หรือบางทีอาจจะอินจัด รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนางร้ายในนิยายไปเลยก็ได้ ใครจะรู้" เธอพูดติดตลก
หลินชิงชิงส่ายหัว "ไม่เอาหรอก ฉันไม่อยากเป็นนางร้ายนะ" เธอพูดพลางนึกถึงพล็อตเรื่องที่ตัวละครชื่อหลินชิงชิงคอยกลั่นแกล้งนางเอกสารพัด
จ้าวเหม่ยหลิงหัวเราะคิกคัก "ฉันว่าเธอเนี่ย บางทีก็เหมือนตัวร้ายในนิยายนะ"
หลินชิงชิงหัวเราะ "บ้า! ฉัน ไม่เหมือนตัวร้ายในนิยายสักหน่อย"
"เหรอออออ..." จ้าวเหม่ยหลิงลากเสียงยาว พร้อมกับส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้เพื่อนสนิท
หลินชิงชิงหัวเราะให้กับเพื่อนสาว ก่อนจะก้มลงอ่านนิยายต่อ แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า... หรือจริงๆ แล้วเธอจะแอบมีด้านร้ายๆ เหมือนตัวละครในนิยายบ้างก็ไม่รู้?
"บางที...ชีวิตจริงก็คงเหมือนในนิยายแหละ มีทั้งคนดีและคนร้าย มีทั้งเหตุผลและความไร้เหตุผล" หลินชิงชิงพึมพำกับตัวเอง
"ชิงชิงแกอย่าคิดไร้สาระเลยเดี๋ยวได้เวลาเลิกเรียนแล้ว กลับบ้านกันเถอะ"
หลินชิงชิง วางหนังสือนิยายลง ยิ้มบางๆ ให้เพื่อนสนิท "จริงด้วย เดี๋ยวจะกลับบ้านค่ำ คืนนี้มีซีรี่ย์เรื่องโปรดของฉันฉายด้วย ไปกันเถอะ" เธอลุกขึ้น พลางจัดการยืมหนังสือนิยายเล่มนั้น
เมื่อเธอจัดการธุระเสร็จเรียบร้อย เธอและจ้าวเหม่ยหลิงก็พากันเดินออกมาจากตัวอาคารมหาวิทยาลัย บรรยากาศยามเย็นทาบทาแสงสีส้มจางๆ ลงบนทางเดิน สองข้างทางมีนักศึกษาเดินกันขวักไขว่ หลินชิงชิงกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างเหม่อลอย ก่อนจะสะดุดตากับร้านขายของเก่าเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมถนนหน้ามหาวิทยาลัย
หญิงชราเจ้าของร้านนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เก่าๆ ท่ามกลางข้าวของมากมายที่วางระเกะระกะ ทั้งแจกันลายคราม โคมไฟทองเหลือง นาฬิกาโบราณ และอื่นๆ อีกมากมายที่ดูเหมือนจะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน หลินชิงชิงรู้สึกสงสารหญิงชราขึ้นมาจับใจ เธอจึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
"แกจะซื้อของเหรอชิงชิง ฉันเห็นมีแต่ของเก่าๆ ดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้" จ้าวเหม่ยหลิงกระซิบถามเพื่อนสาวเบาๆ ขณะที่เดินตามหลังมา หลินชิงชิงไม่ได้ตอบอะไร เธอเพียงแต่ยิ้มบางๆ ให้เพื่อนสนิท ก่อนจะก้มลงพิจารณาข้าวของในร้านอย่างตั้งใจ
"แม่หนูต้องการอะไรหรือ"หญิงชราเอ่ยถาม
"หนูไม่รู้จะซื้ออะไรคะ คุณยายมีอะไรจะแนะนำหนูไหมคะ" เธอเอ่ยถามหญิงชราด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
หญิงชราเงยหน้าขึ้นมอง เธอหยิบสร้อยข้อมือเส้นหนึ่งออกมาจากลิ้นชักเก่าๆ แล้วส่งให้หลินชิงชิงดู
"นี่เป็นของที่ตกทอดมาในตระกูลของยาย ยายขายให้หนูถูกๆ 1000 หยวนเท่านั้น มันจะนำโชคดีมาให้หนู"
จ้าวเหม่ยหลิงหันมาหาเพื่อนสนิทก่อนจะกระซิบเบาๆ
"แกอย่าเอาเลย แกโดนยายหลอกเอาแล้วละ สร้อยบ้าอะไรเส้นละ 1000 หยวน เก่าก็เก่า" เธอพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
แต่หลินชิงชิงกลับไม่คิดเช่นนั้น เธอรู้สึกถูกชะตากับสร้อยข้อมือเส้นนี้อย่างประหลาด เหมือนกับว่ามันกำลังเรียกหาเธอ
"หนูเอาเส้นนี้" เธอพูดพร้อมกับส่งเงินให้คุณยาย
หญิงชรายิ้มอย่างอบอุ่น "ขอให้แม่หนูโชคดีนะ"
หลินชิงชิงรับสร้อยข้อมือเส้นนั้นมา สวมมันไว้บนข้อมือข้างซ้าย เธอไม่รู้เลยว่าสร้อยเส้นนี้กำลังจะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล
"ขอบคุณนะคะคุณยาย" เธอพูดพร้อมกับโค้งให้หญิงชรา
ทั้งสองสาวเดินจากร้านของคุณยายมา แต่จ้าวเหม่ยหลิงยังคงบ่นไม่หยุด
"ชิงชิงแกโดนพวกสิบแปดมงกุฎหลอกเอาแล้วละ" ใบหน้าสวยของจ้าวเหม่ยหลิงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
หลินชิงชิงยิ้มแห้งๆ "เอาน่า แกอย่าคิดมากเลย ถือว่าช่วยคุณยาย แกดูน่าสงสารออก ถึงแม้สร้อยเส้นนี้จะไม่ใช่ของเก่าแก่ ก็ถือว่าให้เงินยายแกไปใช้ก็แล้วกัน" เธอพยายามปลอบเพื่อนรัก
"แต่แกเสียไปตั้งพันหยวนนี่นะ" จ้าวเหม่ยหลิงยังคงบ่นไม่เลิก
"เงินทองเป็นของนอกกาย แกอย่าคิดมากเลย" หลินชิงชิงพูดพลางยกสร้อยเส้นปัญหาขึ้นมาดู มันเป็นสร้อยเงินธรรมดาๆ ที่มีจี้หยกเล็กๆ ห้อยอยู่ แม้จะไม่ใช่ของมีค่า แต่ก็ดูสวยงามน่ารักดี เธอคิดว่าอย่างน้อยมันก็ทำให้คุณยายคนนั้นมีเงินไปซื้อข้าวกินได้หลายมื้อ
เมื่อมาถึงทางแยก หลินชิงชิง โบกมือลาเพื่อนสาวที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถโดยสาร
"เหม่ยหลิน..เจอกันพรุ่งนี้นะ!"
"โอเค บาย!" จ้าวเหม่ยหลิงตะโกนตอบกลับมา
หลินชิงชิงหันหลังกลับแล้วก้าวมารอทางม้าลาย มุ่งหน้าสู่คอนโดที่อยู่ไม่ไกล
เมื่อแสงไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว หลินชิงชิงสาวเท้าก้าวข้ามทางม้าลายอย่างมั่นใจ ทว่า...
เอี๊ยดดดด!
เสียงเบรกดังสนั่นกึกก้องไปทั่วบริเวณ หลินชิงชิงหันขวับไปมอง แววตาเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ รถบรรทุกขนาดยักษ์กำลังพุ่งเข้ามาหาเธอด้วยความเร็วราวกับปีศาจคลั่ง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินกว่าจะตั้งตัว หลินชิงชิงแข็งทื่อ ร่างกายไม่ยอมตอบสนอง
โครม!
รถบรรทุกพุ่งเข้าชนร่างบอบบางของหญิงสาวอย่างจัง ร่างของเธอปลิวลอยละลิ่วไปกระแทกกับพื้นถนนอย่างแรง โลหิตสีแดงฉานไหลทะลักออกจากร่างกาย อาบไปทั่วสร้อยข้อมือที่เธอสวมใส่อยู่ สร้อยเส้นนั้นดูราวกับกำลังเปล่งประกายเรืองรองขึ้นมา
"อึก..." หลินชิงชิงครางแผ่วเบา ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่วร่างกาย ความร้อนแผดเผาบริเวณข้อมือ
และแล้ว...สติของเธอก็ดับวูบลงไปในความมืดมิด...
เสียงประทัดดังกึกก้องทั่วลานบ้านตระกูลหลิว บ่งบอกถึงความยินดีปรีดาของงานมงคลสมรสระหว่างหลิวชิงชิงและหลี่เหว่ยบ้านของเธอประดับประดาไปด้วยโคมแดงสด ตัดกับผ้าแพรสีทองอร่ามระยิบระยับ บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก ญาติมิตรต่างมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างเนืองแน่น เสียงพูดคุยจอแจ เสียงหัวเราะร่าเริงดังแทรกกับเสียงดนตรีบรรเลงเพลงมงคลภายในบ้านเจ้าสาว หลิวชิงชิงในชุดแต่งงานสีแดงสดปักลวดลายด้วยดิ้นเงินวิจิตรงดงาม จากช่างตัดเย็บฝีมือดี ที่คนรักของเธอพาไปตัดเย็บ ใบหน้าหวานละมุนแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบา เผยให้เห็นแก้มแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย หลิวชิงชิงนั่งก้มหน้ามองปลายเท้าอย่างประหม่า ขณะรอเจ้าบ่าวเข้ามาในบ้าน"ชิงชิง ลูกสาวของพ่อ" เสียงทุ้มของหลิวเหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นพร้อมกับมือหนาที่ลูบศีรษะลูกสาวอย่างอ่อนโยน "วันนี้ลูกสาวพ่อสวยที่สุดเลย"หลิวชิงชิงเงยหน้าขึ้นมองบิดาด้วยแววตาสั่นไหว "คุณพ่อ...""ไม่ต้องกังวลนะลูก" หลิวเหวินเจิ้งกล่าวปลอบ "เดี๋ยวลูกเหว่ยก็จะมารับเจ้าสาวไปงานแต่งที่โรงแรมแกรนด์""ค่ะคุณพ่อ" หลิวชิงชิงพยักหน้ารับ น้ำตาคลอหน่วยด้วยความต
หลิวเหวินชางจ้องมองหลี่อ้ายเจียเย็นชา"เรื่องที่หล่อนขโมยลูกของฉัน ฉันจะให้เจ้าหน้าที่มาจัดการกับหล่อน"หลี่อ้ายเจียทรุดตัวลงกับพื้น น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาเว้าวอน"ท่านจอมพลหลิว...ฉันขอโทษ ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำมันผิด ฉันมันเลว ฉัน...""เลว ใช่ เธอมันเลว" หลิวเหวินชางคำรามเสียงดังจนสนั่น "หลี่อ้ายเจีย เธอขโมยลูกของฉันไป เธอพรากลูกของฉันไปจากอกฉัน เธอรู้ไหมว่าฉันต้องทรมานแค่ไหน""ฉันเลอะเลือนไปแล้วถึงได้เชื่อฟังคำพี่สาว ฉันแค่ไม่อยากให้ทางบ้านสามีรู้เรื่องลูกที่เสียไปก็เท่านั้นเอง หลี่อ้ายเจียได้แต่สะอื้นไห้"แกเลยต้องมาพรากลูกคนอื่นไป แล้วลูกของคนอื่นไม่ใช่ลูกคนหรือไง " หลิวเหวินชางกัดฟันกรอด "สิ่งที่หล่อนทำมันโหดร้ายเกินไป หลี่อ้ายเจีย เธอทำลายชีวิตฉันมายาวนานหลายสิบปี""ท่านจอมพลฉันขอโทษ...ฉันขอโทษ..." หลี่อ้ายเจียได้แต่พร่ำพูดคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมาหลิวเหวินชางไม่ฟังคำขอโทษใดๆ ทั้งสิ้น เขาหันไปสั่งลูกน้องเสียงเย็นชา "พาตัวหลี่อ้ายเจียไปให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองลงโทษตามกฎหมาย""ไม่...ท่านจอมพลหลิว อย่า
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินชิงชิงลืมตาขึ้นพร้อมกับความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวทันที เรื่องราวเมื่อวานยังคงวนเวียนอยู่ในใจ กับคำพูดของท่านเจิ้ง ที่บอกว่าพ่อของเธออย่างจะไม่ใช่ลูกชายของคุณย่าหลินชิงชิงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงแล้วตรงไปยังห้องของบิดา หลินเจิ้งเทียนยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้าราวกับแบกปัญหาหนักอึ้งเอาไว้ หลินชิงชิงยืนมองบิดาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากปลุก"พ่อคะ"หลินเจิ้งเทียนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองลูกสาวด้วยความงุนงง "ชิงชิง มีอะไรรึ? ""พ่อคะ หนูว่าพวกเราไปบ้านใหญ่ตระกูลหลินกันเถอะค่ะ" หลินชิงชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "หนูอยากให้พ่อไปถามคุณย่าให้แน่ใจว่าพ่อใช่ลูกชายของท่านใช่หรือเปล่า"หลินเจิ้งเทียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาหลับตาลงราวกับกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นมองลูกสาวด้วยแววตาที่แน่วแน่"ก็ได้" เขาเองก็อยากรู้ความจริงเช่นกันหลังจากนั้นไม่นาน คนบ้านสาม ประกอบด้วยหลินเจิ้งเทียน หวังจื้อเหยา และหลินชิงชิง ต่างก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังบ้านใหญ่ตระกูลหลิน ระหว่างทาง หลินชิงชิงสังเกตเห็นสีหน้าเคร่
ท่านเจิ้งเมื่อเห็นทุกคนอยู่ในความตกตะลึง จึงเอ่ยเตือนสติขึ้นมา"เอาละๆ ทุกคน อย่ามัวแต่คุยกันเลย มาทานข้าวกันได้แล้ว ฉันชักจะเริ่มหิวแล้วสิ"หวังจื้อเหยา ได้สติก่อนใคร รีบเชื้อเชิญทุกคนให้เริ่มทานอาหาร หลินชิงชิง ตักข้าวใส่จานให้ทุกคนอย่างคล่องแคล่ว บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารน่ารับประทาน ทั้งไก่ตุ๋นโสม หมูแดงอบน้ำผึ้ง ผัดผักรวมมิตร และซุปเยื่อไผ่ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นชวนน้ำลายสอ"อืม... อร่อยมาก" เฉินเหม่ยหลิงเอ่ยชม "ฉันไม่เคยทานอาหารที่ไหนอร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย""ใช่ๆ " หลี่หย่ง พยักหน้าเห็นด้วย "รสชาติกลมกล่อม หอมเครื่องเทศกำลังดี"ท่านเจิ้งตักซุปเยื่อไผ่เข้าปากอีกคำ ซดน้ำซุปจนหมดชามแล้ววางช้อนลง พลางพยักหน้าชมด้วยสีหน้าพึงพอใจ "รสชาติดีจริงๆ กลมกล่อม หอมหวาน ซดคล่องคอ ใครเป็นคนทำอาหารมื้อนี้หรือ? "หลินชิงชิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินคำชมก็ยิ้มแก้มปริ "หนูกับแม่ช่วยกันทำค่ะ หนูเป็นเพียงแค่ลูกมือเท่านั้นค่ะ" หลินชิงชิงตอบเสียงใส ความจริงแล้วที่อาหารอร่อยเป็นเพราะวัตถุดิบที่นำมาทำอาหารล้วนมาจากมิติของเธอทั้งสิ้น ทั้งเยื่อไผ่อ่อนๆ เห็ดหอมชั้นดี และเครื่อง
แสงตะวันโพล้เพล้ทาบทาขอบฟ้า สาดสีส้มแดงระเรื่อทั่วลานบ้าน กลิ่นหอมของอาหารลอยโชยยั่วน้ำลาย หลินชิงชิงและผู้เป็นมารดาต่างก็จัดเตรียมสำรับกับข้าวหลายอย่างจนเต็มโต๊ะอาหาร ทั้งไก่ตุ๋นโสม หมูแดงอบน้ำผึ้ง ผัดผักรวมมิตร และซุปเยื่อไผ่ ส่วนของหวานและผลไม้ล้วนแต่ตัดวางอย่างสวยงาม ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเมนูเลิศรสที่แม่ของเธอตั้งใจปรุงขึ้นด้วยความพิถีพิถันกับข้าวพร้อมแล้วค่ะ" หลินชิงชิงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มหวังจื้อเหยาหันมายิ้มให้ลูกสาว "ชิงชิงไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยนะ ใกล้เวลาที่พ่อแม่สามีของหนูจะมาแล้ว"หลินชิงชิงหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ "แม่.. " เสียงของเธอเอ่ยแผ่วลง "หนู.. หนูตื่นเต้นจังเลยค่ะ ไม่รู้ว่าท่านทั้งสองจะเป็นอย่างไรบ้าง" มือบางบิดชายเสื้อไปมาอย่างประหม่า"ไม่ต้องกังวลไปหรอกลูก" หวังจื้อเหยาตบบ่าลูกสาวเบาๆ อย่างให้กำลังใจ "แม่ได้ยินมาว่าครอบครัวของท่านนายพลหลี่เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ มีชื่อเสียงเรื่องความใจดี แม่เชื่อว่าพวกท่านต้องเอ็นดูหนูเหมือนลูกสาวคนหนึ่งแน่ๆ ""แต่.. หนูยังไม่เคยพบพวกท่านเลยนี่คะ" หลินชิงชิงยังคงกังวล "แล้ว.. แล้วถ้าหนูทำ
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป นับตั้งแต่หลินชิงชิงพาครอบครัวเข้ามาในมิติแห่งนี้หลินเสี่ยวหลง เด็กน้อยวัย10ขวบ กลับมิได้วิ่งเล่นซุกซนตามประสาเด็ก แต่กลับขะมักเขม้นฝึกฝนวิชายุทธ ร่างน้อยๆ เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว กระบี่ไม้ในมือฟาดฟันไปตามกระบวนท่าที่หลินชิงชิงถ่ายทอดให้ เหงื่อไหลไคลย้อยอาบใบหน้า แต่เด็กน้อยก็ยังคงมุ่งมั่น มิย่อท้อ"ฮึบ...ฮ่า" เสียงเล็กๆ ดังขึ้นเป็นระยะหลินเจิ้งเทียน ผู้เป็นบิดา นั่งมองลูกชายอยู่ใต้ต้นหลิวใหญ่ ในใจรู้สึกทั้งภาคภูมิใจและเป็นห่วง เสี่ยวหลงเป็นเด็กดี ขยันหมั่นเพียร แต่บางครั้งก็ดื้อรั้นเกินไป"เสี่ยวหลง พักสักครู่ ลูกฝึกมาตั้งแต่เช้าแล้ว" หลินเจิ้งเทียนเอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใยหลินเสี่ยวหลงหยุดฝึกซ้อม เช็ดเหงื่อที่ไหลอาบหน้า "พ่อครับ ผมยังไม่เหนื่อยครับ ผมอยากเก่งๆ จะได้ปกป้องทุกคน จะไม่ให้คุณย่ามารังแกบ้านเราได้" เด็กชายตอบเสียงใส แววตามุ่งมั่นหลินเจิ้งเทียนถอนหายใจ เรื่องบาดหมางระหว่างเขากับมารดาเป็นเรื่องที่ทำให้เขาหนักใจที่สุด เขาไม่รู้ว่าทำไมแม่ของเขาถึงได้เกลียดชังเขามากนัก ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยได้รับความรักจากท
เช้าวันถัดมา หลังจากหลินชิงชิงตื่นนอน เธอพบพ่อกับแม่ของเธอกำลังจะออกจากบ้าน หญิงสาวเลยเอ่ยถามคนทั้งคู่"พ่อกับแม่จะไปไหนกันแต่เช้าคะ" หลินชิงชิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตสีดำสนิทจับจ้องไปที่บิดามารดาที่กำลังเตรียมตัวออกจากบ้าน"พ่อกับแม่จะเข้าป่าไปหาของป่ามาขายน่ะลูก" หลินเจิ้งเทียน ผู้เป็นพ่อตอบพลางลูบศีรษะลูกสาวด้วยความเอ็นดู "ถึงแม้ช่วงนี้บ้านเราจะพอมีเงินจากที่ลูกขายสมุนไพรได้ แต่พ่อก็อยากเก็บเงินส่วนนั้นไว้ให้ลูก ๆ ได้เรียนหนังสือสูง ๆ ไม่อยากให้ลูกต้องลำบากเหมือนพ่อกับแม่"หลินชิงชิงได้ฟังก็รู้สึกตื้นตันใจในความรักของพ่อแม่ น้ำตาคลอหน่วยเล็กน้อย แต่ในใจก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะเปิดเผยความลับบางอย่างที่เก็บงำไว้ "พ่อคะ แม่คะ หนูมีเรื่องสำคัญจะบอกค่ะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "เดี๋ยวหนูพาพ่อกับแม่ไปดูอะไรบางอย่าง แต่พ่อและแม่ห้ามบอกเรื่องนี้กับใครนะคะ ไม่อย่างนั้นหนูอาจเป็นอันตรายได้"หลินเจิ้งเทียนและภรรยาหันมามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ไม่เคยเห็นลูกสาวพูดจาจริงจังแบบนี้มาก่อน "มีอะไรเหรอลูก บอกพ่อกับแม่ได้เลย" หลินเจิ้งเทียนเอ่ยถามห
หวังอ้ายหลินรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในอก ภาพเหตุการณ์ก่อนเกิดอุบัติเหตุยังคงวนเวียนในหัว ราวกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน รถบรรทุกที่พุ่งเข้ามาหา เสียงกรีดร้องของผู้คน กลิ่นไหม้ของยางรถยนต์ และความเจ็บปวดที่แล่นริ้วไปทั่วร่างกายแต่แล้วภาพเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เธอเหมือนล่องลอยอยู่ในห้วงมิติอันว่างเปล่า รอบตัวเธอมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง มีเพียงความเงียบงันที่ดังก้องอยู่ในโสตประสาททันใดนั้น แสงสว่างวาบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ดึงดูดให้เธอเคลื่อนที่เข้าหาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเข้าใกล้ แสงสว่างนั้นก็ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นภาพ เป็นภาพเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า รถยนต์รูปทรงแปลกตาที่วิ่งไปมาบนท้องถนน ผู้คนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแตกต่างจากยุคสมัยที่เธอจากมาอย่างสิ้นเชิง"นี่มันที่ไหนกัน" หวังอ้ายหลินพึมพำกับตัวเองด้วยความตกตะลึงเธอล่องลอยไปตามท้องถนน มองดูผู้คนใช้ชีวิตประจำวันด้วยความสนใจ ราวกับกำลังท่องเที่ยวอยู่ในโลกอนาคต กระทั่งสายตาของเธอสะดุดเข้ากับร้านหนังสือแห่งหนึ่ง เธ
หลังจากขึ้นบ้านใหม่เสร็จเรียบร้อย สมาชิกบ้านสามต่างก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังใหม่อันกว้างขวางเมื่อคืนพวกเขานอนหลับสนิทอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อาจเป็นเพราะความตื่นเต้นกับบ้านหลังใหม่หลินเสี่ยวหลงลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่หน้าต่าง เบื้องหน้าคือสวนหลังบ้านที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน เขาสูดหายใจเข้าลึก อากาศยามเช้าสดชื่น"บ้านของเราสวยจังเลยครับ" หลินเสี่ยวหลงอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นหลินชิงชิงหันมายิ้มให้ "แน่นอนอยู่แล้ว พี่สาวออกแบบเองกับมือ" เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจในขณะเดียวหวังจื้อเหยา ผู้เป็นแม่ เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับรอยยิ้ม "ลูกๆ ตื่นกันแล้วเหรอ ลงไปทานข้าวกันเถอะเดี๋ยวต้องรีบไปโรงเรียน วันนี้มีสอบปลายภาคไม่ใช่เหรอ" เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางลูบผมลูกชายอย่างเอ็นดู"แม่ครับ ผมจะตั้งใจสอบครับ" หลินเสี่ยวหลงยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยกับมารดาหวังจื้อเหยา หัวเราะเบาๆ "แม่รู้ว่าเสี่ยวหลงของแม่เก่งอยู่แล้ว ตั้งใจทำให้เต็มที่นะลูก" เธอมองลูกชายด้วยความภาคภูมิใจหลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ หลินชิงชิงก็ปั่นจักรยานจากไปส่งหลินเสี่ยว
Komen