หลินชิงชิงมองร่างของหลี่เหว่ยที่นอนแน่นิ่งอยู่ข้างกายด้วยความกังวล เธอเขย่าตัวเขาเบาๆ แต่เขาไม่มีท่าทีตอบสนอง
"พี่เหว่ย... พี่เหว่ย" เธอเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
หัวใจของหลินชิงชิงเต้นระรัว เธอรีบพยุงร่างชายหนุ่มขึ้นมาอย่างทุลักทุเล หลี่เหว่ยตัวสูงใหญ่กว่าเธอมาก แต่ด้วยความที่เธอมีร่างกายแข็งแรงจากการดื่มน้ำวิเศษเข้าไป หญิงสาวจึงสามารถพยุงเขาออกจากตรอกเปลี่ยว นั้นได้
ทันทีที่พ้นจากซอย เธอเห็นกลุ่มชาวบ้านที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ หลินชิงชิงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ
"ทุกคนค่ะ ช่วยฉันด้วย" เธอตะโกนเสียงดัง
พวกชาวบ้านต่างหันมามองเธอด้วยความตกใจ พวกเขาเห็นหลินชิงชิงพยุงร่างของหลี่เหว่ยอยู่ จึงรีบเข้ามาสอบถาม
"เกิดอะไรขึ้นหรือนังหนู?" ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถาม
"พอดีเมื่อกี้มีกลุ่มอันธพาล 5-6 อยู่ๆ ก็เข้าทำร้ายพวกเราค่ะ แต่โชคดีที่มีพลเมืองดีมาช่วยขับไล่พวกมันไม่ได้" หลินชิงชิงแสร้งตอบเสียงสั่น "ตอนนี้คนรู้จักของฉันเขาโดนพวกอันธพาลจัดการ เขาเลยหมดสติไปนะคะ"
พวกชาวบ้านต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ "ไอ้พวกอันธพาลพวกนั้นมันคงเป็นลูกน้องของต้าเหนิง" ชายชราคนหนึ่งพูดขึ้น "มันคุมแถวนี้ ใครๆ ก็รู้"
หลินชิงชิงแสร้งทำสีหน้าตื่นตระหนกพลางพยักหน้ารับ “อย่างนั้นเหรอคะคุณตา” เธอแอบลอบมองหลี่เหว่ยที่นอนสลบไสลอยู่ข้างกาย “แต่ตอนนี้ฉันต้องทำยังไงดีคะ ฉันไม่รู้จะพาเขาไปรักษาที่ไหน”
“ถ้าอย่างนั้นหนูรีบพาเพื่อนไปโรงพยาบาลประจำเมืองเถอะ” ชายวัยกลางคนคนเดิมเอ่ยขึ้น “อยู่ไม่ไกลจากที่นี่หรอก นั่งรถลากไปแป๊บเดียวก็ถึง”
“ขอบคุณนะคะ” หลินชิงชิงกล่าวขอบคุณพลางก้มหัวให้ แต่เนื่องจากเธอพึ่งมาเมืองเฉิงตูเลยไม่รู้ว่าพวกรถลากอยู่แถวไหนเธอแสร้งทำตัวน่าสงสาร “แต่ว่า...ฉันไม่มีเงินค่ารถเลยค่ะ” เธอกล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตา
ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างพากันสงสารหลินชิงชิง บ้างก็ควักเงินออกมาให้ บ้างก็อาสาจะไปส่งหลินชิงชิงและหลี่เหว่ยที่โรงพยาบาล
“เดี๋ยวพวกเราจะไปส่งแม่หนูเอง” ชายหนุ่มสองคนเดินออกมาจากกลุ่มคน “พวกเราจะช่วยพาเพื่อนเธอไปโรงพยาบาลเอง”
หลินชิงชิงมองชายหนุ่มทั้งสองด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ “ขอบคุณจริงๆ นะคะ”
ชายหนุ่มทั้งสองช่วยกันพยุงหลี่เหว่ยพาไปขึ้นรถลาก หลินชิงชิงรีบขึ้นตามไป
ระหว่างทาง ร่างบางได้พูดคุยกับชายหนุ่มทั้งสอง จึงได้รู้ว่าทั้งคู่ชื่อ หวังต้าหลง และ จางเสี่ยวหู่ เป็นเพื่อนกัน ทำงานเป็นกรรมกรในโรงงานทอผ้า
“แล้วพวกเธอสองคนมาทำอะไรกันแถวนี้ล่ะ” หวังต้าหลงถามขึ้น
“พวกเรามาทานข้าวที่ร้านอร่อยโอชาค่ะ” หลินชิงชิงตอบ “แต่ดันมาเจอเรื่องไม่ดีเข้าเสียก่อน”
“โชคดีนะที่พวกเธอรอดมาได้ ไม่งั้นพวกเธอแย่แน่” จางเสี่ยวหู่กล่าว
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล หลินชิงชิงมองร่างของหลี่เหว่ยที่ถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินด้วยความกังวล เธอภาวนาขอให้เขาปลอดภัย
เวลาผ่านไปไม่นานประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก หมอหนุ่มเดินออกมาด้วยสีหน้าอ่อนล้า หลินชิงชิงรีบตรงเข้าไปหาทันที
"หมอคะ สหายขอฉันเป็นยังไงบ้างคะ" เธอถามด้วยความเป็นห่วง
"คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ ไม่มีเลือดคั่งในสมอง มีแต่อาการฟกช้ำเท่านั้นครับ" หมอหนุ่มตอบ "ญาติสามารถเข้าเยี่ยมได้ครับ"
หลินชิงชิงรอไม่นานนัก หลี่เหว่ยค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อย ๆ ปรับโฟกัสจนเห็นใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยความกังวล
"ชิงชิง... พี่ขอโทษที่ปกป้องเราไม่ได้" หลี่เหว่ยเอ่ยเสียงแหบพร่า รู้สึกผิดที่ไม่สามารถคุ้มครองเธอได้
หลินชิงชิงส่ายหน้าเบา ๆ "พี่เหว่ยอย่าโทษตัวเองเลยค่ะ พี่ทำดีที่สุดแล้ว" เธอบีบมือเขาเบา ๆ ให้กำลังใจ
หลี่เหว่ยพยายามขยับตัวเล็กน้อย แต่ก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด "แล้วนี่พวกเรารอดมาได้ยังไง?"
หลินชิงชิงเม้มปากเล็กน้อย ก่อนจะตอบ "พอดีมีพลเมืองดีเข้ามาจัดการไอ้พวกอันธพาลนะคะ แล้วก็ช่วยพยุงพี่เหว่ยมาโรงพยาบาลค่ะ ตอนนี้พวกมันหนีเผ่นแน่บหนีไปแล้วค่ะ"
หลี่เหว่ยขมวดคิ้ว "พลเมืองดี?"
"ค่ะ" หลินชิงชิงพยักหน้า "พวกเขาใจดีมากเลยค่ะ"
หลี่เหว่ยถอนหายใจออกมาเบา ๆ "ยังไงพี่ก็ฝากขอบคุณพวกเขาด้วยนะ"
"ค่ะ" หลินชิงชิงยิ้มบาง ๆ แต่ในใจกลับรู้สึกผิดที่โกหกเขาออกไป
หลี่เหว่ยหลับตาลงอีกครั้ง ความเจ็บปวดจากบาดแผลทำให้เขารู้สึกอ่อนเพลีย
"พี่เหว่ยจะเอายังไงกับเรื่องนี้ค่ะ จะแจ้งความหรือเปล่า" หลินชิงชิงถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด
หลี่เหว่ยพยายามสูดหายใจเข้าลึก "พี่จะแจ้งความครับ" เขาตอบเสียงแหบพร่า
ริมฝีปากของหลินชิงชิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพึงพอใจ "ดีค่ะ พวกอันธพาลไม่หวั่นเกรงกฎหมาย พี่เหว่ยต้องเอาเรื่องพวกมันให้ถึงที่สุดนะคะ"
หลี่เหว่ยพยักหน้าอย่างยากลำบาก เขาไม่เคยคิดว่าการไปช่วยหลินชิงชิงจากพวกอันธพาลจะทำให้ตัวเองต้องบาดเจ็บหนักขนาดนี้
"พี่เหว่ยพักผ่อนเถอะค่ะ บาดแผลจากการถูกหมูป่าไล่ล่ายังไม่หายดียังมาถูกพวกอันธพาลรุมทำร้ายอีก เดี๋ยวฉันจะไปดูแลเรื่องแจ้งความให้เอง" หลินชิงชิงพูดกับเขาเบาๆ
หลี่เหว่ยมองหลินชิงชิงด้วยความเป็นห่วง "ชิงชิงดูแลตัวเองด้วยนะครับ"
"ค่ะ..พี่เหว่ย"หลินชิงชิงกล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็หายไป เหลือเพียงแววตาเย็นชาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น
'ฉันชักอยากจะรู้แล้วสิ ว่าแม่นางเอกดอกบัวขาวจะทำยังไงถ้าพวกไอ้พวกอันธพาลโดนจับ' หลินชิงชิงยกยิ้มในใจ
เมื่อเธอเดินมาถึงเคาน์เตอร์ของโรงพยาบาล หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาที่ติดบนผนังห้อง ตอนนี้บ่ายโมงกว่าแล้ว สายตาของเธอฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด หากเธอกลับบ้านล่าช้าครอบครัวเธอจะต้องเป็นห่วงอย่างแน่นอน เธอรีบก้าวออกจากโรงพยาบาล มุ่งหน้าสู่สถานีตำรวจทันที
ทันทีที่ก้าวเข้าสู่สถานีตำรวจ หลินชิงชิงก็ตรงไปยังโต๊ะประชาสัมพันธ์ ด้วยใบหน้าเรียบเฉย
"สวัสดีค่ะฉันมาแจ้งความค่ะ" หลินชิงชิงเอ่ยเสียงเครียดเมื่อพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ
"คุณชื่ออะไรครับ แล้วจะมาแจ้งความเรื่องอะไร"เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบถามข้อมูล
"ฉันชื่อหลินชิงชิงค่ะ เป็นชาวบ้านหมู่บ้านหลงเหมิน พวกเราถูกพวกอันธพาลกลุ่มของต้าเหนิง ได้ทำร้ายค่ะ ตอนนี้ยุวชนปัญญาชื่อหลี่เหว่ยที่หมู่บ้านเดียวกับฉัน ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บจากการถูกพวกอันธพาลรุมทำร้าย ต้องนอนรักษาบาดแผลอยู่ที่โรงพยาบาลเฉิงตูค่ะ"
ผู้กองหวังขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อ 'ต้าเหนิง' ชายผู้นี้เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะหัวหน้าแก๊งอันธพาลที่มักก่อเรื่องวุ่นวายในเมืองเฉิงตูอยู่เสมอ
"พวกมันบังอาจมากที่มาก่อเรื่องร้ายแรงช่วงเวลาสำคัญตอนที่ท่านผู้นำระดับสูงจะมาเยี่ยมเมืองเฉิงตูพอดี" รองสารวัตรจางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน "การก่อเรื่องในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าพวกเรา"
"ใช่ครับหัวหน้า" ผู้กองหวังกล่าวเสริม "เราต้องไม่ปล่อยให้พวกมันลอยนวล พวกมันต้องได้รับบทลงโทษที่สาสม พวกเราต้องจับกุมพวกไอ้ต้าเหนิงให้ได้โดยเร็วที่สุด"
"คุณหลินครับ ช่วยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผมฟังอย่างละเอียดได้ไหมครับ" ผู้กองหวังเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ
หลินชิงชิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด "วันนี้ฉันได้เจอสหายหลี่ที่เป็นยุวชนปัญญาจากหมู่บ้านหลงเหมินโดยบังเอิญนะคะ หลังจากฉันซื้อของเสร็จกำลังจะกลับหมู่บ้าน ทันใดนั้นก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์เข้ามาทำร้ายพวกเรา พวกเขากล่าวหาว่าฉันไปแย่งคู่หมั้นของใครบางคน แต่ฉันไม่รู้เรื่องเลยค่ะ และอีกอย่างสหายหลี่ที่ฉันได้เจอโดยบังเอิญก็ยังไม่มีคู่หมั้น"
"คุณพอจะรู้ไหมครับว่าใครเป็นคนว่าจ้างพวกนั้น" ชายหนุ่มถามต่อ
หลินชิงชิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ฉันไม่แน่ใจค่ะ พวกคุณต้องไปจับกุมพวกต้าเหนิงมาสอบปากคำ" เธอแสร้งทำเป็นหวาดกลัว แม้ในใจจะรู้ดีว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง แต่ว่าเธอก็ไม่มีหลักฐานอยู่ในมือนอกจากคำพูดของพวกอันธพาล
ผู้กองหวังขมวดคิ้วครุ่นคิด "เรื่องนี้มันซับซ้อนกว่าที่คิดนะ ดูเหมือนจะมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ พวกเราจะต้องสืบหาความจริงให้ได้"
หลินชิงชิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย "ฉันก็คิดอย่างนั้นค่ะ ฉันอยากให้พวกเจ้าหน้าที่เปิดโปงคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงของเมืองเฉิงตูของพวกเรา" ได้ทีหลินชิงชิงก็เติมเชื้อไฟให้พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงกวาดล้างผู้มีอิทธิพลอยู่ด้วย
"ผมเข้าใจครับ คุณหลิน ไม่ต้องกังวลนะครับ พวกเราจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือคุณ" ผู้กองหวังให้คำมั่นสัญญา
หลินชิงชิงมองนายตำรวจด้วยแววตาขอบคุณ "ขอบคุณมากค่ะคุณตำรวจ"
ผู้กองหวังยิ้มให้เธออย่างให้กำลังใจ "เอาล่ะครับ ตอนนี้คุณกลับไปพักผ่อนก่อนนะครับ ถ้ามีอะไรคืบหน้าเราจะติดต่อไป"
หลินชิงชิงลุกขึ้นโค้งให้นายตำรวจก่อนจะเดินออกจากห้องสอบสวนไป
ทันทีที่หลุดพ้นจากสายตาของเจ้าหน้าที่ รอยยิ้มหวานบนใบหน้าก็หายไปจากใบหน้าของหลินชิงชิง เธอแสยะยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา
‘หวังอ้ายหลิน เธอจะทำยังไงถ้าหากไอ้พวกอันธพาลที่เธอจ้างมาโดนจับกุม’ หลินชิงชิงพึมพำกับตัวเอง ดวงตาของเธอเป็นประกายวาวโรจน์
หลินชิงชิงไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ หากใครคิดร้ายกับเธอ เธอจะเอาคืนให้สาสม!
"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเกมเท่านั้น หวังอ้ายหลิน ฉันจะทำให้แกเสียใจที่คิดมาเล่นงานคนอย่างฉัน" หลินชิงชิงกล่าวก่อนจะเดินออกจากสถานีตำรวจไป
เสียงประทัดดังกึกก้องทั่วลานบ้านตระกูลหลิว บ่งบอกถึงความยินดีปรีดาของงานมงคลสมรสระหว่างหลิวชิงชิงและหลี่เหว่ยบ้านของเธอประดับประดาไปด้วยโคมแดงสด ตัดกับผ้าแพรสีทองอร่ามระยิบระยับ บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก ญาติมิตรต่างมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างเนืองแน่น เสียงพูดคุยจอแจ เสียงหัวเราะร่าเริงดังแทรกกับเสียงดนตรีบรรเลงเพลงมงคลภายในบ้านเจ้าสาว หลิวชิงชิงในชุดแต่งงานสีแดงสดปักลวดลายด้วยดิ้นเงินวิจิตรงดงาม จากช่างตัดเย็บฝีมือดี ที่คนรักของเธอพาไปตัดเย็บ ใบหน้าหวานละมุนแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบา เผยให้เห็นแก้มแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย หลิวชิงชิงนั่งก้มหน้ามองปลายเท้าอย่างประหม่า ขณะรอเจ้าบ่าวเข้ามาในบ้าน"ชิงชิง ลูกสาวของพ่อ" เสียงทุ้มของหลิวเหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นพร้อมกับมือหนาที่ลูบศีรษะลูกสาวอย่างอ่อนโยน "วันนี้ลูกสาวพ่อสวยที่สุดเลย"หลิวชิงชิงเงยหน้าขึ้นมองบิดาด้วยแววตาสั่นไหว "คุณพ่อ...""ไม่ต้องกังวลนะลูก" หลิวเหวินเจิ้งกล่าวปลอบ "เดี๋ยวลูกเหว่ยก็จะมารับเจ้าสาวไปงานแต่งที่โรงแรมแกรนด์""ค่ะคุณพ่อ" หลิวชิงชิงพยักหน้ารับ น้ำตาคลอหน่วยด้วยความต
หลิวเหวินชางจ้องมองหลี่อ้ายเจียเย็นชา"เรื่องที่หล่อนขโมยลูกของฉัน ฉันจะให้เจ้าหน้าที่มาจัดการกับหล่อน"หลี่อ้ายเจียทรุดตัวลงกับพื้น น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาเว้าวอน"ท่านจอมพลหลิว...ฉันขอโทษ ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำมันผิด ฉันมันเลว ฉัน...""เลว ใช่ เธอมันเลว" หลิวเหวินชางคำรามเสียงดังจนสนั่น "หลี่อ้ายเจีย เธอขโมยลูกของฉันไป เธอพรากลูกของฉันไปจากอกฉัน เธอรู้ไหมว่าฉันต้องทรมานแค่ไหน""ฉันเลอะเลือนไปแล้วถึงได้เชื่อฟังคำพี่สาว ฉันแค่ไม่อยากให้ทางบ้านสามีรู้เรื่องลูกที่เสียไปก็เท่านั้นเอง หลี่อ้ายเจียได้แต่สะอื้นไห้"แกเลยต้องมาพรากลูกคนอื่นไป แล้วลูกของคนอื่นไม่ใช่ลูกคนหรือไง " หลิวเหวินชางกัดฟันกรอด "สิ่งที่หล่อนทำมันโหดร้ายเกินไป หลี่อ้ายเจีย เธอทำลายชีวิตฉันมายาวนานหลายสิบปี""ท่านจอมพลฉันขอโทษ...ฉันขอโทษ..." หลี่อ้ายเจียได้แต่พร่ำพูดคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมาหลิวเหวินชางไม่ฟังคำขอโทษใดๆ ทั้งสิ้น เขาหันไปสั่งลูกน้องเสียงเย็นชา "พาตัวหลี่อ้ายเจียไปให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองลงโทษตามกฎหมาย""ไม่...ท่านจอมพลหลิว อย่า
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินชิงชิงลืมตาขึ้นพร้อมกับความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวทันที เรื่องราวเมื่อวานยังคงวนเวียนอยู่ในใจ กับคำพูดของท่านเจิ้ง ที่บอกว่าพ่อของเธออย่างจะไม่ใช่ลูกชายของคุณย่าหลินชิงชิงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงแล้วตรงไปยังห้องของบิดา หลินเจิ้งเทียนยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้าราวกับแบกปัญหาหนักอึ้งเอาไว้ หลินชิงชิงยืนมองบิดาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากปลุก"พ่อคะ"หลินเจิ้งเทียนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองลูกสาวด้วยความงุนงง "ชิงชิง มีอะไรรึ? ""พ่อคะ หนูว่าพวกเราไปบ้านใหญ่ตระกูลหลินกันเถอะค่ะ" หลินชิงชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "หนูอยากให้พ่อไปถามคุณย่าให้แน่ใจว่าพ่อใช่ลูกชายของท่านใช่หรือเปล่า"หลินเจิ้งเทียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาหลับตาลงราวกับกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นมองลูกสาวด้วยแววตาที่แน่วแน่"ก็ได้" เขาเองก็อยากรู้ความจริงเช่นกันหลังจากนั้นไม่นาน คนบ้านสาม ประกอบด้วยหลินเจิ้งเทียน หวังจื้อเหยา และหลินชิงชิง ต่างก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังบ้านใหญ่ตระกูลหลิน ระหว่างทาง หลินชิงชิงสังเกตเห็นสีหน้าเคร่
ท่านเจิ้งเมื่อเห็นทุกคนอยู่ในความตกตะลึง จึงเอ่ยเตือนสติขึ้นมา"เอาละๆ ทุกคน อย่ามัวแต่คุยกันเลย มาทานข้าวกันได้แล้ว ฉันชักจะเริ่มหิวแล้วสิ"หวังจื้อเหยา ได้สติก่อนใคร รีบเชื้อเชิญทุกคนให้เริ่มทานอาหาร หลินชิงชิง ตักข้าวใส่จานให้ทุกคนอย่างคล่องแคล่ว บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารน่ารับประทาน ทั้งไก่ตุ๋นโสม หมูแดงอบน้ำผึ้ง ผัดผักรวมมิตร และซุปเยื่อไผ่ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นชวนน้ำลายสอ"อืม... อร่อยมาก" เฉินเหม่ยหลิงเอ่ยชม "ฉันไม่เคยทานอาหารที่ไหนอร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย""ใช่ๆ " หลี่หย่ง พยักหน้าเห็นด้วย "รสชาติกลมกล่อม หอมเครื่องเทศกำลังดี"ท่านเจิ้งตักซุปเยื่อไผ่เข้าปากอีกคำ ซดน้ำซุปจนหมดชามแล้ววางช้อนลง พลางพยักหน้าชมด้วยสีหน้าพึงพอใจ "รสชาติดีจริงๆ กลมกล่อม หอมหวาน ซดคล่องคอ ใครเป็นคนทำอาหารมื้อนี้หรือ? "หลินชิงชิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินคำชมก็ยิ้มแก้มปริ "หนูกับแม่ช่วยกันทำค่ะ หนูเป็นเพียงแค่ลูกมือเท่านั้นค่ะ" หลินชิงชิงตอบเสียงใส ความจริงแล้วที่อาหารอร่อยเป็นเพราะวัตถุดิบที่นำมาทำอาหารล้วนมาจากมิติของเธอทั้งสิ้น ทั้งเยื่อไผ่อ่อนๆ เห็ดหอมชั้นดี และเครื่อง
แสงตะวันโพล้เพล้ทาบทาขอบฟ้า สาดสีส้มแดงระเรื่อทั่วลานบ้าน กลิ่นหอมของอาหารลอยโชยยั่วน้ำลาย หลินชิงชิงและผู้เป็นมารดาต่างก็จัดเตรียมสำรับกับข้าวหลายอย่างจนเต็มโต๊ะอาหาร ทั้งไก่ตุ๋นโสม หมูแดงอบน้ำผึ้ง ผัดผักรวมมิตร และซุปเยื่อไผ่ ส่วนของหวานและผลไม้ล้วนแต่ตัดวางอย่างสวยงาม ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเมนูเลิศรสที่แม่ของเธอตั้งใจปรุงขึ้นด้วยความพิถีพิถันกับข้าวพร้อมแล้วค่ะ" หลินชิงชิงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มหวังจื้อเหยาหันมายิ้มให้ลูกสาว "ชิงชิงไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยนะ ใกล้เวลาที่พ่อแม่สามีของหนูจะมาแล้ว"หลินชิงชิงหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ "แม่.. " เสียงของเธอเอ่ยแผ่วลง "หนู.. หนูตื่นเต้นจังเลยค่ะ ไม่รู้ว่าท่านทั้งสองจะเป็นอย่างไรบ้าง" มือบางบิดชายเสื้อไปมาอย่างประหม่า"ไม่ต้องกังวลไปหรอกลูก" หวังจื้อเหยาตบบ่าลูกสาวเบาๆ อย่างให้กำลังใจ "แม่ได้ยินมาว่าครอบครัวของท่านนายพลหลี่เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ มีชื่อเสียงเรื่องความใจดี แม่เชื่อว่าพวกท่านต้องเอ็นดูหนูเหมือนลูกสาวคนหนึ่งแน่ๆ ""แต่.. หนูยังไม่เคยพบพวกท่านเลยนี่คะ" หลินชิงชิงยังคงกังวล "แล้ว.. แล้วถ้าหนูทำ
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป นับตั้งแต่หลินชิงชิงพาครอบครัวเข้ามาในมิติแห่งนี้หลินเสี่ยวหลง เด็กน้อยวัย10ขวบ กลับมิได้วิ่งเล่นซุกซนตามประสาเด็ก แต่กลับขะมักเขม้นฝึกฝนวิชายุทธ ร่างน้อยๆ เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว กระบี่ไม้ในมือฟาดฟันไปตามกระบวนท่าที่หลินชิงชิงถ่ายทอดให้ เหงื่อไหลไคลย้อยอาบใบหน้า แต่เด็กน้อยก็ยังคงมุ่งมั่น มิย่อท้อ"ฮึบ...ฮ่า" เสียงเล็กๆ ดังขึ้นเป็นระยะหลินเจิ้งเทียน ผู้เป็นบิดา นั่งมองลูกชายอยู่ใต้ต้นหลิวใหญ่ ในใจรู้สึกทั้งภาคภูมิใจและเป็นห่วง เสี่ยวหลงเป็นเด็กดี ขยันหมั่นเพียร แต่บางครั้งก็ดื้อรั้นเกินไป"เสี่ยวหลง พักสักครู่ ลูกฝึกมาตั้งแต่เช้าแล้ว" หลินเจิ้งเทียนเอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใยหลินเสี่ยวหลงหยุดฝึกซ้อม เช็ดเหงื่อที่ไหลอาบหน้า "พ่อครับ ผมยังไม่เหนื่อยครับ ผมอยากเก่งๆ จะได้ปกป้องทุกคน จะไม่ให้คุณย่ามารังแกบ้านเราได้" เด็กชายตอบเสียงใส แววตามุ่งมั่นหลินเจิ้งเทียนถอนหายใจ เรื่องบาดหมางระหว่างเขากับมารดาเป็นเรื่องที่ทำให้เขาหนักใจที่สุด เขาไม่รู้ว่าทำไมแม่ของเขาถึงได้เกลียดชังเขามากนัก ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยได้รับความรักจากท