สายตาของหลี่อ้ายเจียจ้องเขม็งไปที่หลินเจิ้งเทียน ลูกชายคนที่สามของเธอ ใบหน้าของหลินเจิ้งเทียนซีดเผือดด้วยความรู้สึกผิด เขารู้สึกเหมือนเป็นลูกอกตัญญู
"ฉันจะให้เงินพวกแกค่าแยกบ้าน 10 หยวนเท่านั้น" หลี่อ้ายเจียประกาศเสียงดัง "พวกแกก็ไสหัวออกไปอยู่บ้านเก่าตระกูลหลินที่ด้านท้ายหมู่บ้าน ฉันจะยกหม้อกับแป้งและเมล็ดข้าวโพดอย่างละ3ถุง เท่านั้นส่วนอย่างอื่นพวกแกหวังว่าจะได้อะไรไป ส่วนแปลงนา แกก็รับผิดชอบไปตามเดิมแล้วกัน"
หลินเจิ้งเทียนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คำพูดกลับติดอยู่ในลำคอ เขารู้ว่าแม่ของเขาโกรธมาก และการพูดอะไรออกไปตอนนี้อาจทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก
"เอาล่ะ ไปเก็บข้าวของของพวกแก แล้วออกไปจากบ้านฉันซะ" หลี่อ้ายเจียตะโกนไล่หลัง
"หนูไม่เอาคำพูดปากเปล่า คุณย่าต้องทำหนังสือสัญญาแยกบ้านให้หนูด้วย และทุกๆ ปีหนูจะให้ข้าวและแป้งและเงินอีก 5 หยวน เพื่อแสดงความกตัญญูต่อคุณย่า" หลินชิงชิงพูดดักหน้าคนเป็นย่า เธอจะไม่ยอมถอย ถ้าหากไม่ได้สิ่งที่เธอต้องการ
หลี่อ้ายเจียเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เธอไม่คิดว่าหลินชิงชิง หลานสาวที่เธอเคยมองว่าเป็นเพียงเด็กสาวหัวอ่อน จะกล้าท้าทายอำนาจของเธอได้ถึงเพียงนี้ ความโกรธเกรี้ยวพลุ่งพล่านขึ้นในอก หลี่อ้ายเจียกัดฟันแน่น "แกคิดว่าแกเป็นใครถึงมาสั่งฉัน?" เธอเอ่ยถามเสียงกร้าว
หลินชิงชิงเงยหน้าขึ้นสบตากับหลี่อ้ายเจียอย่างไม่เกรงกลัว "หนูก็เป็นหลานสาวของคุณย่า เป็นคนในครอบครัวนี้ และหนูก็มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องความเป็นธรรม เงินที่พ่อของหนูหามาได้ก็เอาเข้ากองกลางไปหมด จนทำให้ทุกวันนี้พวกเราไม่มีแม้แต่เงินติดตัวสักหยวน"
หลินเสี่ยวหลงก้าวไปข้างหน้าและยืนเคียงข้างพี่สาวของเขา
"คุณย่า พวกเราจะไม่ไปไหนจนกว่าจะได้หนังสือสัญญา"
หลี่อ้ายเจียกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ เธอไม่คิดว่าหลานๆ ที่เธอเลี้ยงดูมาจะกล้าท้าทายอำนาจของเธอเช่นนี้
ในขณะที่ความตึงเครียดกำลังจะปะทุ หมอหลี่ ก็เอ่ยขึ้น "ไหนๆ พวกเขาก็จะแยกบ้าน ก็ทำให้ถูกต้องไปเลยสิหลี่อ้ายเจีย"
คำพูดของท่านหมอหลี่ที่เป็นที่นับถือของพวกชาวบ้าน ทำให้ทุกคนที่อยู่ในลานบ้านตระกูลหลินตกตะลึง หลี่อ้ายเจียหันไปมองหมอประจำหมู่บ้านด้วยความประหลาดใจ
"ฉันจะลงชื่อไปเป็นพยานให้บ้านสามเอง" หมอหลี่พูดต่อ
หลินชิงชิงและหลินเสี่ยวหลงมองไปที่ท่านหมอหลี่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง พวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครเข้าข้างพวกเขาในสถานการณ์เช่นนี้
"ดี ถ้าแกอยากแยกบ้าน ฉันจะทำให้พวกแกสมใจอยาก" หลี่อ้ายเจียตะโกนด้วยความโกรธ
เธอหันไปสั่งหลินซื่อเฉิง หลานชายคนโต "ซื่อเฉิงแกไปเอาหมึกกับพู่กันมา เดี๋ยวนี้ แล้วเขียนหนังสือสัญญาแยกบ้านให้พวกมันซะ"
หลินซื่อเฉิงมองหน้าผู้เป็นย่าของเขาอย่างลังเล เขาไม่อยากให้บ้านสามแยกบ้านแล้วใครจะเป็นคนลงแปลงนาแลกแต้มเข้าบ้านใหญ่ แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ยอมทำตามคำสั่ง เขาเดินเข้าไปในบ้าน หยิบพู่กันกับหมึกออกมา วางบนโต๊ะไม้เก่า ๆ กลางลานบ้าน แล้วเริ่มบรรจงเขียนหนังสือสัญญาอย่างช้า ๆ
ในขณะที่หลินซื่อเฉิงกำลังเขียนหนังสือสัญญา บรรยากาศในลานบ้านก็เริ่มผ่อนคลายลง หลินชิงชิงและหลินเสี่ยวหลงถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขารู้ว่าในที่สุดพวกเขาก็จะได้รับอิสรภาพที่พวกเขาต้องการ
หลังจากที่หลินซื่อเฉิงเขียนหนังสือสัญญาเสร็จ เธอก็โยนมันไปให้หลินเจิ้งเทียน
"เอาไป เจ้าสามนี่คือหนังสือสัญญาแยกบ้านของพวกแก" หลี่อ้ายเจียพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลินชิงชิงรับหนังสือสัญญาแล้วอ่านอย่างละเอียด เมื่อเธอแน่ใจว่าทุกอย่างถูกต้อง เธอก็พยักหน้า
"ขอบคุณค่ะ คุณย่า เดี๋ยวหนูจะเอาหนังสือนี้ไปมอบให้ผู้ใหญ่บ้านเพื่อจะได้นำส่งทางการ" หลินชิงชิงกล่าว
จากนั้นครอบครัวบ้านสามก็เดินออกจากบ้านใหญ่ไป หลินเจิ้งเทียนเดินคอตกเข้าไปในบ้าน พวกเขาเก็บข้าวของเท่าที่จำเป็นใส่ห่อผ้า แล้วเดินออกจากบ้านที่พวกเขาเคยอยู่มาทั้งชีวิต
บ้านที่ด้านหลังภูเขาเป็นบ้านหลังเก่า ๆ ที่แทบจะพังแหล่ไม่พังแหล่ แต่หลินเจิ้งเทียนก็ไม่มีทางเลือก
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความผิดหวังตีตื้นขึ้นมาในอกอีกครั้ง ทั้งที่บ้านนี้เขาทำงานหนักที่สุดในบ้านแต่ตอนแยกบ้านมาได้เงินติดตัวมานิดหน่อย แถมบ้านหลังที่เขาจะเข้าไปอยู่ก็ต้องปรับปรุงหลายอย่าง เงินที่ได้มา 10 หยวนอาจจะไม่เพียงพอ ข้าวและแป้งที่ได้มาก็คงได้แต่พอกินอีกแค่ไม่ที่วันเท่านั้น ความกลัดกลุ้มใจฉายบนใบหน้าของคนเป็นหัวหน้าครอบครัวทันที
"พ่อครับ พวกเราจะไปอยู่ที่ไหนกันเหรอ?" เสียงเล็ก ๆ ของหลินเสี่ยวหลง ดังขึ้น ทำให้หลินเจิ้งเทียนสะดุ้งออกจากภวังค์
"เราจะไปเริ่มต้นใหม่ในบ้านหลังใหม่ ไปที่ที่จะทำให้พวกเราจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้" เขาตอบ พยายามฝืนยิ้มปลอบใจลูกชาย แม้ภายในใจจะหนักอึ้ง
หลินเสี่ยวหลงมองหน้าพ่ออย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาเดินไปช่วยแม่เก็บข้าวของเท่าที่จำเป็นใส่ห่อผ้า
หลินเจิ้งเทียนมองภาพนั้นด้วยใจที่ปวดร้าว เขาไม่เคยคิดว่าชีวิตของเขาจะลงเอยแบบนี้
"พ่อ... อย่าโทษตัวเองเลยนะ" หลินชิงชิงเดินเข้ามาปลอบใจพ่อที่กำลังจมอยู่กับความรู้สึกผิด "เราไปอยู่ที่อื่นกันเถอะ อยู่บ้านหลังนี้ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น พ่อต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นเขาตั้งเยอะ แต่พวกเรากลับแทบไม่ได้กินอะไรดีๆ เลย แม้แต่ตอนปีใหม่เรายังไม่ได้กินเนื้อเลยสักชิ้น"
หลินเจิ้งเทียน เงยหน้าขึ้นมองลูกสาว น้ำตาคลอหน่วย "พ่อขอโทษนะลูก พ่อมัน... พ่อมัน..." เขาพูดไม่ออก รู้สึกผิดที่ไม่สามารถดูแลครอบครัวได้อย่างที่ควรจะเป็น
หลินชิงชิงส่ายหน้า "ไม่เป็นไรหรอกค่ะพ่อ หนูเข้าใจ เราไปเริ่มต้นใหม่ที่อื่นกันนะ ที่ที่เราจะไม่ต้องอดอยากอีกต่อไป"
หลินเจิ้งเทียนมองลูกสาวด้วยความซาบซึ้งใจ แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ลูกสาวยังคงเข้มแข็งและให้กำลังใจเขาเสมอ "พ่อจะพยายามนะลูก พ่อสัญญา"
ถึงแม้จะต้องเริ่มต้นจากศูนย์ แต่เขาก็จะไม่ยอมแพ้ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวของเขามีชีวิตที่ดีขึ้น
เมื่อเก็บข้าวของเสร็จ พวกเขาก็ออกเดินทางจากบ้านที่พวกเขาเคยอยู่มาทั้งชีวิต บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำทั้งสุขและเศร้า แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว สิ่งสำคัญคืออนาคตข้างหน้าต่างหาก
"ไปกันเถอะ" หลินเจิ้งเทียนกล่าวกับทุกคน
ขณะที่ทุกคนกำลังก้าวออกจากบ้านตระกูลหลินอันคุ้นเคย เมื่อเดินออกมาถึงหน้าบ้าน เขาก็เห็นหวังเค่อเพื่อนสนิทของเขาจูงเกวียนวัวมาพอดี
"อาเค่อ นายมาทำอะไรที่นี่?" หลินเจิ้งเทียนเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
"ฉันมาช่วยพวกนายขนของนะ เห็นว่าหลานชิงชิงบาดเจ็บอยู่ ก็เลยเป็นห่วง"
"ขอบใจนายมากนะ" หลินเจิ้งเทียนกล่าวขอบคุณ
"ไม่เป็นไรคนกันเองทั้งนั้น" หวังเค่อส่งยิ้มให้ "ชิงชิง เสี่ยวหลง ขึ้นเกวียนเลย เดี๋ยวลุงช่วยขนของไปส่งที่บ้านใหม่เอง"
หวังเค่ออาสาช่วยขนของขึ้นเกวียน จัดแจงสัมภาระอย่างคล่องแคล่ว เขาหันมายิ้มให้สองพี่น้อง
"เด็กๆ ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวลุงช่วยขนของเข้าบ้านให้เรียบร้อย"
"ขอบคุณมากค่ะลุงหวัง" หลินชิงชิงกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ
"ไม่เป็นไรหรอก หลานไม่ต้องคิดมาก" หวังเค่อตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
หลังจากพวกเขาขึ้นไปนั่งบนเกวียน เสียงล้อเกวียนไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดบนถนนดินขรุขระ หลินชิงชิงและหลินเสี่ยวหลงนั่งเคียงข้างกันบนเกวียนวัว ดวงตากลมโตของเสี่ยวหลงมองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแปลกใหม่สำหรับเขา
"พ่อครับ บ้านใหม่ของเราอยู่ไกลไหมครับ" เสี่ยวหลงเอ่ยถามเสียงใส
หวังจื้อเหยา ลูบหัวลูกชายเบาๆ "อีกไม่ไกลแล้วลูก อดทนอีกนิดนะ"
หลังจากเดินทางต่อไปอีกพักใหญ่ ในที่สุดเกวียนวัวหยุดลงพร้อมกับเสียงฝุ่นตลบอบอวล บ้านหลังใหม่ของพวกเขาปรากฏขึ้นเบื้องหน้า หลินชิงชิงมองผ่านผ้าม่านเกวียนที่ขาดวิ่น เห็นบ้านไม้เก่า ๆ ทรุดโทรม เนื้อไม้ซีดจางจากแดดฝน หลังคามุงจากก็มีรูโหว่ประปราย โชคดีที่ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูฝน ไม่เช่นนั้นคงลำบากกันน่าดู
"ถึงแล้วลูก" หวังจื้อเหยาเอ่ยขึ้นพร้อมกับลงจากเกวียนมาช่วยประคองหลินชิงชิงลงมา
บ้านหลังนี้มี 3 ห้องนอน ถือว่าไม่เล็กนักเมื่อเทียบกับฐานะของพวกเขา หลินชิงชิงถอนหายใจเบา ๆ บ้านหลังนี้เคยเป็นของตระกูลหลินมาก่อน แต่ตอนนี้คงต้องปรับปรุงซ่อมแซมอีกหลายจุด
"ไม่เป็นไรลูก" หลินเจิ้งเทียน พูดปลอบใจ "พ่อเคยเป็นช่างไม้มาก่อน เดี๋ยวพ่อจะซ่อมบ้านให้เอง"
หลินชิงชิงพยักหน้ารับ
หวังจื้อเหยาปัดกวาดเช็ดถูบ้านพอให้เข้าไปอยู่ได้ ก่อนจะปูที่นอนลงบนเตียงไม้เก่าๆ ให้หลินชิงชิง
"ชิงชิง วันนี้ลูกเสียเลือดไปมากแล้ว พักผ่อนก่อนนะ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะไปจัดการเรื่องที่บ้านเอง" หลินเจิ้งเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "พ่อว่าจะไปขอลาหัวหน้าฝ่ายผลิตสักอาทิตย์หนึ่งเพื่อมาซ่อมแซมบ้าน"
หลินชิงชิงพยักหน้าเบา ๆ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความกังวล ถ้าพ่อเธอหยุดงานที่แปลงนาที่บ้านของเธอคงไม่มีแต้มการผลิตแล้วพวกเขาคงจะต้องอดตาย
หลินเจิ้งเทียนและภรรยาเดินออกจากห้องนอนก่อนจะปิดประตูห้องนอน เพื่อให้ลูกสาวนอนพักผ่อนได้เต็มที่
หลินชิงชิงมองพ่อกับแม่เดินออกไปจัดการบ้าน บ้านหลังนี้ถึงอาจจะเก่าไปบ้าง แต่ก็ดูอบอุ่น การใช้ชีวิตในยุคนี้มันก็ไม่แย่เท่าไหร่
เสียงประทัดดังกึกก้องทั่วลานบ้านตระกูลหลิว บ่งบอกถึงความยินดีปรีดาของงานมงคลสมรสระหว่างหลิวชิงชิงและหลี่เหว่ยบ้านของเธอประดับประดาไปด้วยโคมแดงสด ตัดกับผ้าแพรสีทองอร่ามระยิบระยับ บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก ญาติมิตรต่างมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างเนืองแน่น เสียงพูดคุยจอแจ เสียงหัวเราะร่าเริงดังแทรกกับเสียงดนตรีบรรเลงเพลงมงคลภายในบ้านเจ้าสาว หลิวชิงชิงในชุดแต่งงานสีแดงสดปักลวดลายด้วยดิ้นเงินวิจิตรงดงาม จากช่างตัดเย็บฝีมือดี ที่คนรักของเธอพาไปตัดเย็บ ใบหน้าหวานละมุนแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบา เผยให้เห็นแก้มแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย หลิวชิงชิงนั่งก้มหน้ามองปลายเท้าอย่างประหม่า ขณะรอเจ้าบ่าวเข้ามาในบ้าน"ชิงชิง ลูกสาวของพ่อ" เสียงทุ้มของหลิวเหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นพร้อมกับมือหนาที่ลูบศีรษะลูกสาวอย่างอ่อนโยน "วันนี้ลูกสาวพ่อสวยที่สุดเลย"หลิวชิงชิงเงยหน้าขึ้นมองบิดาด้วยแววตาสั่นไหว "คุณพ่อ...""ไม่ต้องกังวลนะลูก" หลิวเหวินเจิ้งกล่าวปลอบ "เดี๋ยวลูกเหว่ยก็จะมารับเจ้าสาวไปงานแต่งที่โรงแรมแกรนด์""ค่ะคุณพ่อ" หลิวชิงชิงพยักหน้ารับ น้ำตาคลอหน่วยด้วยความต
หลิวเหวินชางจ้องมองหลี่อ้ายเจียเย็นชา"เรื่องที่หล่อนขโมยลูกของฉัน ฉันจะให้เจ้าหน้าที่มาจัดการกับหล่อน"หลี่อ้ายเจียทรุดตัวลงกับพื้น น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาเว้าวอน"ท่านจอมพลหลิว...ฉันขอโทษ ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำมันผิด ฉันมันเลว ฉัน...""เลว ใช่ เธอมันเลว" หลิวเหวินชางคำรามเสียงดังจนสนั่น "หลี่อ้ายเจีย เธอขโมยลูกของฉันไป เธอพรากลูกของฉันไปจากอกฉัน เธอรู้ไหมว่าฉันต้องทรมานแค่ไหน""ฉันเลอะเลือนไปแล้วถึงได้เชื่อฟังคำพี่สาว ฉันแค่ไม่อยากให้ทางบ้านสามีรู้เรื่องลูกที่เสียไปก็เท่านั้นเอง หลี่อ้ายเจียได้แต่สะอื้นไห้"แกเลยต้องมาพรากลูกคนอื่นไป แล้วลูกของคนอื่นไม่ใช่ลูกคนหรือไง " หลิวเหวินชางกัดฟันกรอด "สิ่งที่หล่อนทำมันโหดร้ายเกินไป หลี่อ้ายเจีย เธอทำลายชีวิตฉันมายาวนานหลายสิบปี""ท่านจอมพลฉันขอโทษ...ฉันขอโทษ..." หลี่อ้ายเจียได้แต่พร่ำพูดคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมาหลิวเหวินชางไม่ฟังคำขอโทษใดๆ ทั้งสิ้น เขาหันไปสั่งลูกน้องเสียงเย็นชา "พาตัวหลี่อ้ายเจียไปให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองลงโทษตามกฎหมาย""ไม่...ท่านจอมพลหลิว อย่า
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินชิงชิงลืมตาขึ้นพร้อมกับความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวทันที เรื่องราวเมื่อวานยังคงวนเวียนอยู่ในใจ กับคำพูดของท่านเจิ้ง ที่บอกว่าพ่อของเธออย่างจะไม่ใช่ลูกชายของคุณย่าหลินชิงชิงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงแล้วตรงไปยังห้องของบิดา หลินเจิ้งเทียนยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้าราวกับแบกปัญหาหนักอึ้งเอาไว้ หลินชิงชิงยืนมองบิดาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากปลุก"พ่อคะ"หลินเจิ้งเทียนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองลูกสาวด้วยความงุนงง "ชิงชิง มีอะไรรึ? ""พ่อคะ หนูว่าพวกเราไปบ้านใหญ่ตระกูลหลินกันเถอะค่ะ" หลินชิงชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "หนูอยากให้พ่อไปถามคุณย่าให้แน่ใจว่าพ่อใช่ลูกชายของท่านใช่หรือเปล่า"หลินเจิ้งเทียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาหลับตาลงราวกับกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นมองลูกสาวด้วยแววตาที่แน่วแน่"ก็ได้" เขาเองก็อยากรู้ความจริงเช่นกันหลังจากนั้นไม่นาน คนบ้านสาม ประกอบด้วยหลินเจิ้งเทียน หวังจื้อเหยา และหลินชิงชิง ต่างก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังบ้านใหญ่ตระกูลหลิน ระหว่างทาง หลินชิงชิงสังเกตเห็นสีหน้าเคร่
ท่านเจิ้งเมื่อเห็นทุกคนอยู่ในความตกตะลึง จึงเอ่ยเตือนสติขึ้นมา"เอาละๆ ทุกคน อย่ามัวแต่คุยกันเลย มาทานข้าวกันได้แล้ว ฉันชักจะเริ่มหิวแล้วสิ"หวังจื้อเหยา ได้สติก่อนใคร รีบเชื้อเชิญทุกคนให้เริ่มทานอาหาร หลินชิงชิง ตักข้าวใส่จานให้ทุกคนอย่างคล่องแคล่ว บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารน่ารับประทาน ทั้งไก่ตุ๋นโสม หมูแดงอบน้ำผึ้ง ผัดผักรวมมิตร และซุปเยื่อไผ่ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นชวนน้ำลายสอ"อืม... อร่อยมาก" เฉินเหม่ยหลิงเอ่ยชม "ฉันไม่เคยทานอาหารที่ไหนอร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย""ใช่ๆ " หลี่หย่ง พยักหน้าเห็นด้วย "รสชาติกลมกล่อม หอมเครื่องเทศกำลังดี"ท่านเจิ้งตักซุปเยื่อไผ่เข้าปากอีกคำ ซดน้ำซุปจนหมดชามแล้ววางช้อนลง พลางพยักหน้าชมด้วยสีหน้าพึงพอใจ "รสชาติดีจริงๆ กลมกล่อม หอมหวาน ซดคล่องคอ ใครเป็นคนทำอาหารมื้อนี้หรือ? "หลินชิงชิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินคำชมก็ยิ้มแก้มปริ "หนูกับแม่ช่วยกันทำค่ะ หนูเป็นเพียงแค่ลูกมือเท่านั้นค่ะ" หลินชิงชิงตอบเสียงใส ความจริงแล้วที่อาหารอร่อยเป็นเพราะวัตถุดิบที่นำมาทำอาหารล้วนมาจากมิติของเธอทั้งสิ้น ทั้งเยื่อไผ่อ่อนๆ เห็ดหอมชั้นดี และเครื่อง
แสงตะวันโพล้เพล้ทาบทาขอบฟ้า สาดสีส้มแดงระเรื่อทั่วลานบ้าน กลิ่นหอมของอาหารลอยโชยยั่วน้ำลาย หลินชิงชิงและผู้เป็นมารดาต่างก็จัดเตรียมสำรับกับข้าวหลายอย่างจนเต็มโต๊ะอาหาร ทั้งไก่ตุ๋นโสม หมูแดงอบน้ำผึ้ง ผัดผักรวมมิตร และซุปเยื่อไผ่ ส่วนของหวานและผลไม้ล้วนแต่ตัดวางอย่างสวยงาม ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเมนูเลิศรสที่แม่ของเธอตั้งใจปรุงขึ้นด้วยความพิถีพิถันกับข้าวพร้อมแล้วค่ะ" หลินชิงชิงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มหวังจื้อเหยาหันมายิ้มให้ลูกสาว "ชิงชิงไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยนะ ใกล้เวลาที่พ่อแม่สามีของหนูจะมาแล้ว"หลินชิงชิงหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ "แม่.. " เสียงของเธอเอ่ยแผ่วลง "หนู.. หนูตื่นเต้นจังเลยค่ะ ไม่รู้ว่าท่านทั้งสองจะเป็นอย่างไรบ้าง" มือบางบิดชายเสื้อไปมาอย่างประหม่า"ไม่ต้องกังวลไปหรอกลูก" หวังจื้อเหยาตบบ่าลูกสาวเบาๆ อย่างให้กำลังใจ "แม่ได้ยินมาว่าครอบครัวของท่านนายพลหลี่เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ มีชื่อเสียงเรื่องความใจดี แม่เชื่อว่าพวกท่านต้องเอ็นดูหนูเหมือนลูกสาวคนหนึ่งแน่ๆ ""แต่.. หนูยังไม่เคยพบพวกท่านเลยนี่คะ" หลินชิงชิงยังคงกังวล "แล้ว.. แล้วถ้าหนูทำ
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป นับตั้งแต่หลินชิงชิงพาครอบครัวเข้ามาในมิติแห่งนี้หลินเสี่ยวหลง เด็กน้อยวัย10ขวบ กลับมิได้วิ่งเล่นซุกซนตามประสาเด็ก แต่กลับขะมักเขม้นฝึกฝนวิชายุทธ ร่างน้อยๆ เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว กระบี่ไม้ในมือฟาดฟันไปตามกระบวนท่าที่หลินชิงชิงถ่ายทอดให้ เหงื่อไหลไคลย้อยอาบใบหน้า แต่เด็กน้อยก็ยังคงมุ่งมั่น มิย่อท้อ"ฮึบ...ฮ่า" เสียงเล็กๆ ดังขึ้นเป็นระยะหลินเจิ้งเทียน ผู้เป็นบิดา นั่งมองลูกชายอยู่ใต้ต้นหลิวใหญ่ ในใจรู้สึกทั้งภาคภูมิใจและเป็นห่วง เสี่ยวหลงเป็นเด็กดี ขยันหมั่นเพียร แต่บางครั้งก็ดื้อรั้นเกินไป"เสี่ยวหลง พักสักครู่ ลูกฝึกมาตั้งแต่เช้าแล้ว" หลินเจิ้งเทียนเอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใยหลินเสี่ยวหลงหยุดฝึกซ้อม เช็ดเหงื่อที่ไหลอาบหน้า "พ่อครับ ผมยังไม่เหนื่อยครับ ผมอยากเก่งๆ จะได้ปกป้องทุกคน จะไม่ให้คุณย่ามารังแกบ้านเราได้" เด็กชายตอบเสียงใส แววตามุ่งมั่นหลินเจิ้งเทียนถอนหายใจ เรื่องบาดหมางระหว่างเขากับมารดาเป็นเรื่องที่ทำให้เขาหนักใจที่สุด เขาไม่รู้ว่าทำไมแม่ของเขาถึงได้เกลียดชังเขามากนัก ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยได้รับความรักจากท