“ถึงคราวพวกเจ้าแล้ว” นางทุบกำไลหยกโลหิตให้แตกออกจากกัน เหล่าวิญญาณร้ายส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด มีกระดาษแผ่นน้อยอยู่ในก้อนหยกกลมแต่ละก้อน นับรวมกันได้ราวสิบเอ็ดแผ่นพอดี
“คุณหนูหลินสิ่งนี้คือ” แม่ทัพเหลียนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าจะมีกระดาษแผ่นน้อยอยู่ในหยกแต่ละก้อน
“หากข้าเดาไม่ผิด สิ่งที่เขียนไว้ในนี้คือแปดอักษรของผู้ตาย ทำให้วิญญาณร้ายผูกติดอยู่กับหยกแต่ละก้อน เมื่อคุณชายหยางสวมใส่ เขาจึงถูกวิญญาณร้ายสิบเอ็ดดวง ควบคุมจิตวิญญาณเอาไว้”
“ท่านพี่สิ่งนี้พี่สาวของท่านมอบให้มา เหตุใดนางถึงได้คิดร้ายกับฟู่เอ๋อร์ได้ ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ” เมิ่งฮูหยินสะเทือนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก นางได้แต่เฝ้ามองดูบุตรชายที่หลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเก้าอี้
“สิ่งนี้เป็นของพวกนักพรตสายดำ ข้าจะทำลายพิธีกรรมของพวกมัน สิ่งชั่วร้ายจะสะท้อนกลับไปหาคนผู้นั้นเอง” หลินซือเยว่เห็นเหล่าดวงวิญญาณ รวมกลุ่มกันเป็นหนึ่งเดียว มีใบหน้าบิดเบี้ยวสลับกันไปมา พยายามอ้าปากกว้างขึ้นเพื่อที่จะเขมือบนางลงท้อง
“เฮอะ ! ช่างไม่เจียมตัว” นางกัดปลายนิ้ว เลือดหมาดำหรือจะสู้เลือดอดีตปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ วาดยันต์ทำลายล้างผีร้ายอย่างรวดเร็ว นำยันต์ที่วาดวางลงบนเศษกำไลหยกโลหิต แม้กำไลจะแตกไปแล้วแต่ยังไม่ถูกทำลาย ผีร้ายยังยึดติดไปไหนไม่ได้
หลินซือเยว่ปากท่องคาถามือประกบร่ายวิชา เหล่าผีร้ายรู้ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว พากันสร้างลมพายุขึ้นภายในห้อง โต๊ะเก้าอี้เคลื่อนตัวตามแรงลม แต่ถูกหลินซือเยว่ใช้พลังต้านทานเอาไว้ สิ่งของเหล่านั้นจึงไม่สามารถ ทำอันตรายคนที่อยู่ในห้องนี้ได้
นางร่ายคาถามากด้วยพลังเวท ก่อนชี้ปลายนิ้วไปที่ยันต์ทำลายล้าง ไม่ช้าเพลิงก็ลุกเผาไหม้ขึ้น เหล่าผีร้ายส่งเสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน เหมือนหลินซือเยว่ยังไม่สาแก่ใจ นางเพิ่มพลังแห่งเพลิงให้เผาไหม้รุนแรงขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่ทุกอย่างจะหายวับไปกับตา วิญญาณร้ายสลายเป็นควันหายไปในอากาศ
“แม่ทัพเหลียนข้าจงใจเผาเพลิงให้มากกว่าปกติ คาดว่าเรือนของคนผู้นั้นคงถูกเผาไม่มากก็น้อย แต่วางใจได้ข้าจำกัดให้ไฟไหม้แค่รอบ ๆ ตัวคนผู้นั้น ไฟไม่อาจลามไปยังห้องหรือเรือนผู้อื่นได้” นางเอ่ยเป็นนัยให้รู้ ว่าคนร้ายยามนี้กำลังเจอกับภัยร้ายอยู่ ซึ่งหากอยู่ในเมืองเหลียงแห่งนี้ คงหาตัวได้ไม่ยากนัก
จวนแห่งหนึ่งในเมืองเหลียง
ผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังถูกไฟไหม้ลามไปทั้งตัว ทำให้ภายในห้องที่เขาพักอาศัยถูกไฟไหม้ตามไปด้วย เป็นไฟอาคมที่ใช้น้ำดับไม่ได้ ผู้เฒ่ารีบวิ่งออกจากห้อง เพื่อหาแหล่งน้ำแล้วร่ายคาถาดับไฟ แต่กว่าจะดับได้เนื้อตัวก็ถูกเผาไหม้ไปกว่าครึ่ง ซ้ำห้องที่พักอาศัยยังถูกไฟไหม้จนเกือบหมด
“ใครมันบังอาจทำลายอาคมข้า !” เลือดก้อนโตถูกพ่นออกมา หลังจากนั้นผู้เฒ่าคนนี้ก็หมดสติลงไป
ภายในห้องนอนของหยางเฉินฟู่ ทุกอย่างสงบลงความหนาวยะเยือกหายไป เหลือเพียงไออุ่นของเตียงเตา หลินซือเยว่บอกให้ทั้งคู่แก้มัดบุตรชายได้ พวกเขารีบพาร่างอันไร้กำลังของหยางเฉินฟู่ กลับไปวางนอนลงบนเตียง
เมิ่งฮูหยินรู้สึกไม่วางใจ “คุณหนูหลิน”
“ข้ากำจัดวิญญาณร้ายไปแล้ว”
“นับเป็นเรื่องดี ขอบคุณคุณหนูหลินมาก” เมิ่งฮูหยินรีบเอ่ยคำขอบคุณ แต่แววตาของนางยังเศร้าสลดอยู่
หลินซือเยว่หันไปมองคนบนเตียงนอน “คุณชายหยางถูกวิญญาณร้ายครอบงำมานับเดือน กินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายเลยผ่ายผอม ฮูหยินเชิญท่านหมอมารักษาอาการป่วยของคุณชายหยางเถิด”
เมิ่งฮูหยินหันไปมองหน้าสามีตนเองเล็กน้อย
“ข้ากำจัดภูตผีได้ แต่เรื่องการรักษานั้น ให้หมอที่เชี่ยวชาญทำเถอะ อีกอย่างข้าเป็นแค่นักโทษถูกเนรเทศมาชายแดน หากต้องเข้า ๆ ออก ๆ จวนแม่ทัพเหลียนทุกวัน คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าใดนัก” นางคิดเผื่อเชื่อเสียงของแม่ทัพเหลียนด้วย
“ฮูหยินทำตามที่คุณหนูหลินบอกเถอะ”
“ได้เจ้าค่ะท่านพี่” เมิ่งฮูหยินหันไปบอกแม่นมให้คนไปตามท่านหมอ มาดูอาการของบุตรชายเป็นการเร่งด่วน
หลินซือเยว่เดินเข้าไปหาคนบนเตียงนอน นางล้วงหยิบยันต์รูปสามเหลี่ยมออกมาสองใบ ยัดใส่อกเสื้อของหยางเฉินฟู่
“ดวงวิญญาณค่อนข้างอ่อนแรง พกยันต์แคล้วคลาดกับยันต์รักษาโรคภัย ช่วยป้องกันไม่ให้ดวงวิญญาณหลุดลอย และยังเสริมพลังหยินหยางให้สมดุล ร่างกายแข็งแรงในเร็ววัน”
“ขอบคุณคุณหนูหลินมาก” ยามนี้แม่ทัพเหลียนเริ่มศรัทธาในหลักวิชาเต๋า เพราะได้เห็นพิธีการขับไล่สิ่งชั่วร้ายด้วยตัวเอง สีหน้าบุตรชายของเขายังมีเลือดฝาดปรากฏ ไม่ได้ซีดเผือดราวผีดิบเหมือนก่อนหน้า
“ท่านหมอมาแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมเดินเข้ามารายงาน
หลินซือเยว่หลบทางให้ท่านหมอได้จับชีพจรคนบนเตียง ท่านหมอใช้เวลาอยู่นาน ก่อนมีสีหน้าผ่อนคลายลง หันมาทางแม่ทัพเหลียน “ท่านแม่ทัพท่านได้หมอเทวดาที่ไหน มารักษาอาการให้คุณชายหยาง ชีพจรถึงได้เต้นเป็นปกติ เพียงแค่อ่อนแรงเท่านั้น ไม่ได้อันตรายเหมือนก่อนหน้า”
แม่ทัพเหลียนกับเมิ่งฮูหยินหันไปมองทางหลินซือเยว่เป็นสายตาเดียวกัน
“แม่นางน้อยผู้นี้รึ”
“ข้าไม่ใช่หมอ ข้าใช้หลักแห่งเต๋ามาขจัดสิ่งอัปมงคลเท่านั้น การรักษาหลังจากนี้เชิญท่านหมอรักษาได้ตามปกติ” ความรู้ด้านการรักษานางย่อมเป็นเลิศ เพียงแต่นางใช้พลังงานไปค่อนข้างมาก ยามนี้ง่วงนอนเต็มทน
“เช่นนั้นข้าคงต้องฝังเข็มให้คุณชายก่อน กินยาต้มควบคู่กันไปด้วย” ท่านหมอเอ่ยกับบิดามารดาของผู้ป่วย จากนั้นก็ส่งเทียบยาให้เมิ่งฮูหยิน ก่อนหันไปฝังเข็มให้หยางเฉินฟู่บนเตียง
เมิ่งฮูหยินส่งสายตาให้หลินซือเยว่ตามนางออกไปนอกห้อง ยื่นเทียบยาให้หลินซือเยว่ดู “คุณหนูหลินไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจท่านหมอ เพียงแต่อยากมั่นใจว่าเทียบยานี้ ไม่มีอะไรผิดปกติเท่านั้น”
หลินซือเยว่รับเทียบยามาอ่านดู “เทียบยานี้ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เพียงแต่ร่างกายของคุณชายอ่อนแอ เพราะขาดสารอาหารมาหลายวัน เจ็ดวันแรกให้กินข้าวต้มรสอ่อน ๆ ไปก่อน หลังจากนั้นค่อยเพิ่มพวกโสมบำรุงร่างกาย ทางที่ดีควรปรึกษากับท่านหมออีกทาง โสมบางตัวมีฤทธิ์ร้อน อาจไม่ถูกกับอาการป่วยของคุณชายหยาง”
“ขอบคุณคุณหนูหลินที่ชี้แนะ แม่นมให้คนไปซื้อยาตามนี้” เมิ่งฮูหยินยื่นเทียบยาให้แม่นมของตนเอง จากนั้นเชิญหลินซือเยว่เข้าไปในเรือนพักรับรอง
“หากข้าจะขอนอนพักที่นี่สักสองชั่วยาม พอจะเป็นไปได้ไหม” หลินซือเยว่เอ่ยออกไป พลันเห็นหัวคิ้วของเมิ่งฮูหยินขมวดเข้าหากันแน่ จึงรีบเอ่ยชี้แจง“ปกติข้ากำจัดวิญญาณร้ายครั้งละดวงสองดวง หนนี้ข้ากำจัดทีเดียวสิบเอ็ดดวง ร่างกายจึงต้องการการพักผ่อน หวังว่าฮูหยินจะเข้าใจ”
ได้ยินเหตุผลของนาง เมิ่งฮูหยินเป็นอันเข้าใจได้ในทันที “ได้แน่นอน คุณหนูหลินท่านนอนหลับพักผ่อนให้สบาย ข้าจะสั่งให้บ่าวไพร่ เตรียมอาหารให้ยามท่านตื่นนอน”
“ข้าไม่รบกวนท่านนานหรอก” นางเอ่ยเท่านั้นก็หมุนตัวเข้าไปในห้องนอน ปีนขึ้นเตียงแล้วหลับสนิทในทันที
เมิ่งฮูหยินอดตะลึงไม่ได้ นางเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ เห็นว่าหลินซือเยว่หลับไปแล้วจริง ๆ จึงได้ปิดประตูแล้วเดินออกไป ไม่วายกำชับสาวใช้ให้คอยดูแลอยู่หน้าประตูห้องนอน
นางเดินออกมายังห้องโถงของเรือนหลัก พบสามีกำลังนั่งทำหน้าดำทะมึนอยู่ ด้านข้างมีทหารนายหนึ่งคำนับรายงาน ครั้นเห็นนางเดินมา นายทหารผู้น้อยก็ขอตัวลาในทันที
“ฮูหยินคุณหนูหลินล่ะ” แม่ทัพเหลียนเงยหน้าขึ้นมาถาม
“นางหลับไปแล้วเจ้าค่ะ เห็นว่าคราวนี้ขับไล่วิญญาณผีร้ายไปถึงสิบเอ็ดดวง ร่างกายเลยอ่อนล้าต้องการพักผ่อน สักสองชั่วยาม นางหัวถึงหมอนก็หลับไปเลยเจ้าค่ะ”
“นางอายุเท่านี้แต่มากความสามารถเหลือเกิน คนของอารามเต๋านั้นดูแคลนไม่ได้จริง ๆ มองแค่รูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้เลย คราวนี้โชคดียิ่งนักหากนางไม่เดือดร้อน คงไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเรา”
“คงเป็นวาสนาของพวกเราเจ้าค่ะ ว่าแต่เมื่อครู่มีเรื่องด่วนอันใดหรือเจ้าคะ ข้าเห็นท่านพี่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก”
“เฮอะ จะเรื่องอะไรเสียอีกล่ะ เรือนพี่สาวข้าเกิดไฟไหม้ ตอนนี้ทหารกำลังไปช่วยกันดับไฟอยู่ คนของข้ามารายงานว่าเรือนที่ไฟไหม้นั้น มีนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งอาศัยอยู่ ร่างกายได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ตอนนี้พี่สาวของข้ากำลังตามหมอมารักษาให้”
เมิ่งฮูหยินพอจะรู้สาเหตุของเรื่องไฟไหม้ นางจำคำพูดของหลินซือเยว่ได้ดี “นี่เป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ เหตุใดพี่สาวของท่านพี่ถึงได้มุ่งร้ายกับฟู่เอ๋อร์ของเราได้”
แม่ทัพเหลียนหลับตาลงแน่น ๆ พี่สาวของตนทำเช่นนี้เพราะรู้ว่าเขามีบุตรชายแค่คนเดียว หากไม่มีหยางฟู่เฉินสักคน ทรัพย์สมบัติ หรือกระทั่งตำแหน่งหน้าที่การงาน คงได้ยกให้แก่บุตรชายของนางเป็นแน่
ท่านพี่ท่านละโมบเกินไปแล้ว
สองชั่วยามผ่านไปหลินซือเยว่ได้ตื่นขึ้นมา ร่างกายของนางยังอ่อนเพลีย แต่ไม่มากเหมือนเช่นตอนก่อนนอน เมิ่งฮูหยินให้คนนำอาหารมาวางไว้บนโต๊ะ รอกระทั่งนางกินอิ่มถึงได้ให้คนไปเชิญแม่ทัพเหลียนมา นางไม่สนใจว่าจวนแม่ทัพเหลียนจะจัดการกับคนมุ่งร้ายอย่างไร นางสนใจเพียงแค่ว่า แม่ทัพเหลียนผู้นี้จะรักษาคำพูดหรือไม่
“คุณหนูหลินข้าเพียงไม่เข้าใจ เจ้าช่วยเหลือตระกูลหลินข้าไม่ว่า แต่เหตุใดถึงต้องช่วยตระกูลหยางด้วยเล่า” แม่ทัพเหลียนเอ่ยในเรื่องที่ตนไม่เข้าใจ
หลินซือเยว่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้าหลินซือเยว่มีกฎอยู่เหมือนกัน หนึ่งในนั้นคือข้า ไม่ช่วยคนเลว”
แม่ทัพเหลียนพลันยืดอกขึ้นตรงในทันที ไม่ช่วยคนเลวอย่างนั้นรึ นั่นหมายความว่าตระกูลหลินกับตระกูลหยาง ไม่ใช่คนเลว แต่เหตุใดพวกเขาถึงต้องถูกเนรเทศมาอยู่ที่นี่
“ได้ข้าจะมอบงานที่เหมาะสมให้กับพวกเจ้าเอง”
“แม่ทัพเหลียนท่านไม่คิดว่านางบำเรอทหารในค่าย เป็นเรื่องผิดศีลธรรมหรอกรึ หากตรองให้ดีวันใดวันหนึ่งตระกูลของท่าน หรือของผู้อื่นถูกคนให้ร้าย จนต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นข้า ท่านลองตรองดูให้ดีก็แล้วกัน ยกเลิกได้ก็ยกเลิกเถอะ”
หลินซือเยว่ทิ้งคำพูดไว้ให้แม่ทัพเหลียนคิดเอาเอง จากนั้นนายทหารคนเดิมก็พานางขี่ม้ากลับเข้าค่ายไป พร้อมกับสั่งคนที่ดูแลกระโจมไม่ต้องให้นางทำงานอีก หลินซือเยว่จึงได้นอนหลับไปตลอดช่วงบ่าย
หลินจื่อรั่วที่ซักผ้าจนมือเปื่อย กลับมาในกระโจมเห็นอีกคนนอนหลับอย่างสบายใจ นางก็ไม่สบอารมณ์ในทันที แต่กลับไม่มีผู้ใดสนใจนาง เพราะแต่ละคนกำลังห่วงมือที่แห้งเหี่ยวจากการถูกน้ำเย็น ๆ ตลอดทั้งวัน
“หึ กลับมาหมดเรี่ยวแรงเช่นนี้ คงเจอศึกหนักมาล่ะสิท่า” นางทำได้เพียงแค่เอ่ยลอย ๆ เท่านั้น
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ