หลังจากงานเลี้ยงน้ำชา ที่ตระกูลหลี่จัดขึ้นผ่านไปได้ไม่นาน ก็เริ่มมีแม่สื่อเดินทางมาเยือนตระกูลหลี่มากมาย เพื่อเจรจาขอหมั้นหมายคุณหนูสาม หลี่ชิงเหมียว ให้แก่คุณชายจากตระกูล ที่พวกตนได้รับการว่าจ้างมา
ทว่ากลับไม่มีแม่สื่อจากตระกูลใดเลย ที่ทำงานสำเร็จ เพราะท่านเจ้าสำนักศึกษาตระกูลหลี่กล่าวว่า เรื่องการออกเรือนให้บุตรสาวตัดสินใจ“ต่างก็บอกกันว่า บุตรเชื่อฟังบิดา เหตุใดท่านเจ้าสำนักศึกษาตระกูลหลี่ ถึงได้ไม่ตัดสินใจเองเล่า ปล่อยให้บุตรีทำเรื่องเหลวไหลได้เช่นไรกัน” จ้านฮูหยินบ่นออกมา หลังจากที่แม่นมคนสนิทส่งแม่สื่อกลับออกไป“ฮูหยินไม่รู้อันใด เดิมทีคุณหนูสามนั้น ไม่ได้รับความโปรดปรานในจวนอยู่แล้ว ทว่าหลังจากที่นางหายดี ท่านเจ้าสำนักศึกษาตระกูลหลี่ กลับให้ความสำคัญต่อนางขึ้นมา”แม่นมข้างกายรายงาน พลางนึกรังเกียจในการกระทำ ของท่านเจ้าสำนักศึกษาตระกูลหลี่ เป็นถึงมหาบัณฑิต ที่อบรมสั่งสอนคน มีลูกศิษย์มากมาย ทว่ากลับทำหน้าที่บิดาได้ไม่ดีพอ“ย่อมเป็นเช่นนั้น นับว่ายังไม่สายเกินไป เพราะอย่างน้อยคุณหนูสามผู้นั้น ก็ยังไม่ได้ออกเรือน ยังมีโอกาสใหนายท่านหลูนิ่งเงียบ ทว่าในใจกลับบังเกิดความรู้สึกเจ็บปวด ยามนั้น…เหลียนเอ๋อร์ของเขา จะต้องทนทุกข์ต่อความเจ็บปวดมากเพียงใด คลอดบุตรออกมาก็สิ้นใจ แม้แต่บุตรชาย หรือบุตรีก็มิอาจรับรู้ได้“เหลียนเอ๋อร์… เฉินเอ๋อร์นั้น เป็นคนที่รักมั่นในเจ้ายิ่งนัก การที่เขาแต่งงานใหม่ หาใช่ความต้องการของเขาไม่ แต่เป็นความต้องการของพ่อกับแม่เอง เจ้าอย่าถือโทษโกรธเคืองเขาเลยนะลูก” นายท่านหลูกล่าวออกมา หลี่ชิงเหมียวส่ายหน้าพลางยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย“ข้าไม่เคยโกรธเขาเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ ถึงวันนี้สตรีที่แต่งกับเขา จะไม่ใช่ข้าคนนี้ ข้าก็จะไม่โกรธเขา เพราะข้าเองก็อยากเห็นเขามีความสุข อยากให้้เขาปล่อยวางเรื่องราวในอดีต การจากไปของข้า หาใช่ความผิดของผู้ใดไม่ แต่ทุกสิ่งล้วนเป็นไปเพราะโชคชะตาฟ้ากำหนด ไม่มีผู้ใดที่สามารถฝืนชะตาได้”“แล้วในยามนี้เขาดีต่อเจ้าหรือไม่” หลูฮูหยินเอ่ยถามบุตรีออกมา“ถึงเขามิอาจมีใจ ให้ข้าในร่างนี้ แต่เขาก็ยังคงให้เกียรติข้า เพียงแค่ข้าได้อยู่ข้างกายเจ๋อเอ๋อร์ ข้าก็ไม่ต้องการสิ่งใดแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่”
นานนับเค่อ กว่าที่หลี่ชิงเหมียวจะกล่าวออกมา นางทรุดกายลงไปนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ก้มคำนับมารดาอย่างนอบน้อม แม้นางในยามนี้ จะเกิดใหม่เป็นบุตรีของผู้อื่นแล้ว ทว่าจิตวิญญาณที่ไม่ให้นางหลงลืม ความทรงจำในอดีต ย่อมมีเหตุผลที่นางต้องรู้“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย เพราะเหตุใด…เพราะเหตุใดกันฮึก….”หลูฮูหยินร่ำไห้ออกมา นางไม่คิดว่าบุตรีจะจดจำเรื่องราวในชีวิตก่อนได้ แม้นางจะรู้สึกยินดีกับการที่บุตรีได้เกิดใหม่จริงๆ แต่เพราะเหตุใดกัน สวรรค์ถึงต้องให้นางจดจำ เรื่องราวในชีวิตก่อนได้ด้วยเหตุใดมิให้นางเริ่มต้นใหม่ ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ดี หากนางไม่ได้ออกเรือนมาที่นี่ ไม่เท่ากับเป็นการทำให้นางต้องทนทุกข์ทรมานใจหรอกหรือหลูฮูหยินประคองร่างระหง ให้ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงอุ่นกับตน พลางประคองกอดนางเอาไว้ในอ้อมอก สองแม่ลูกพากันร่ำไห้ออกมา ในที่สุดวันที่หลูฮูหยินรอคอยก็มาถึงสักทีสวรรค์ไม่ได้กลั่นแกล้งผู้ที่กระทำความดี สามปีที่ผ่านมา นางกับสามี เดินทางไปแสวงบุญทั่วแคว้น ทำบุญทำทานไปตั้งมากมาย ก็หวังให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นในสักวันแม่นมซิ่วยืนอยู่ด้านนอก ได้ยินใน
ภายในเรือนหนิงอัน หลี่ชิงเหมียวเชิญให้หลูฮูหยิน นั่งลงยังเตียงอุ่นตัวยาว ซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่างของห้องรับรอง หลูฮูหยินหันมองไปรอบๆ ก็พบว่าการตกแต่งของเรือนนี้ เป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่ทว่ายังคงมีความรู้สึกถึงกลิ่นอาย คล้ายความเป็นบุตรสาวของนางผสมผสานอยู่“ท่าน…คงจะคิดถึงบุตรีของท่านมากใช่หรือไม่”หลี่ชิงเหมียวรินน้ำชาให้แก่หลูฮูหยินด้วยตนเอง ยามนี้พวกนางนั่งกันอยู่ตามลำพังภายในห้อง ไม่ให้สาวรับใช้คอยอยู่รับใช้ เพราะหลี่ชิงเหมียว ต้องการหยั่งเชิงมารดาในอดีตดูอีกสักครา ว่าอีกฝ่ายเชื่อในเรื่องราวลี้ลับมากเพียงใดคราแรกที่นางหยั่งเชิง นั่นก็คือลวดลายบนผ้าพันคอ ที่นางปักเย็บด้วยตนเอง และยามที่หลูฮูหยินได้เห็น ลวดลายเหล่านั้น ก็แสดงอาการตื่นตระหนกออกมาไม่น้อย ทำให้นางรู้สึกว่า มารดาในชีวิตก่อน อาจจะรู้เรื่องการกลับมาเกิดใหม่ของนางก็เป็นได้“ใช่…นางเกิดมาอาภัพ ต้องจากไปก่อนวัยอันควร แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่พวกเราสองสามีภรรยา รับรู้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว" หลูฮูหยินตอบ ก่อนที่จะยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ด้วยมือที่สั่นเทา“พวกท่านรู้… รู
ครั้นผู้ใหญ่ทั้งสี่เดินไปถึงเรือนรับรอง ก็ได้พบกับแม่นมซิ่ว ด้านหน้าของแม่นมซิ่วยังมีสตรีวัยแรกแย้ม ที่มีรูปโฉมงดงาม กำลังยืนฉีกยิ้มมาให้พวกตน หัวใจของนายท่านหลู และหลูฮูหยินบังเกิดความรู้สึกตื้นตัน ตีตื้นขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ราวกับว่าพวกตนกำลังจะได้สิ่งที่หายไปกลับคืนมาหลี่ชิงเหมียวเองก็ไม่ต่างกัน เพราะหัวใจของนางในยามนี้ช่างเต้นแรงยิ่งนัก ทั้งพยายามกลั้นน้ำตา ไม่ให้ไหลลงมา บิดามารดาในชีวิตก่อนของนาง บัดนี้มาอยู่ตรงหน้านางแล้ว พวกเขาดูสูงวัยกว่าครั้งที่นางยังมีชีวิตอยู่ยิ่งนัก“คารวะนายท่านหลู คารวะหลูฮูหยินเจ้าค่ะ เจ๋อเอ๋อร์…คำนับท่านตากับท่านยายของเจ้าสิลูก”หลี่ชิงเหมียวพยายามดึงสติกลับมา จากนั้นจึงย่อกายกล่าวคำนับทักทายสองสามีภรรยา พลางหันไปบอกบุตรชายตัวน้อย ที่ยืนอยู่ด้านข้างของตนหลัวอี้เจ๋อเชื่อฟังคำของมารดายิ่งนัก เขารีบคำนับท่านตาท่านยาย ทว่ากลับไม่ได้เข้าไปหา ยังคงยืนอยู่เคียงข้างมารดาเช่นเดิมนายท่านหลูกับหลูฮูหยินพยักหน้า รับการคำนับทักทายของสองแม่ลูกต่างสายเลือด ก่อนที่พวกเขาจะหันกลับมามองหน้าสบตากัน พลางพยักหน้าขึ้นลงให้ก
คิ้วคมดุจกระบี่ ขมวดเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า ยามที่ได้ฟังเรื่องราวในอดีต ของภรรยาในนาม หลัวอี้เฉินก็ไม่รู้ว่า นี่จะเรียกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ หรือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจดี จากเด็กที่โง่เขลา ไม่รู้ความ สมองราวกับเด็กเล็กๆ จะเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เพียงแค่ตกลงไปในน้ำจริงๆ น่ะหรือ“สระน้ำในสำนักศึกษาตระกูลหลี่ เป็นสระน้ำวิเศษหรืออย่างไรกัน เหตุใดถึงได้เปลี่ยนคนไร้ปัญญา มาเป็นคนที่เฉลียวฉลาดได้” หลัวอี้เฉินกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม คุณหนูสามตระกูลหลี่ในยามนี้ เหมือนดังคำบอกเล่าในอดีตของนางเสียที่ใดกัน“มีคนกล่าวว่า หลังจากที่ฮูหยินน้อยฟื้นมาในครานั้น ราวกับว่านางได้เกิดใหม่เลยขอรับ”กู้อี้เองก็ประหลาดใจเช่นกัน เรื่องที่เขาได้ฟังมา มันน่าเหลือเชื่อจนเกินไป แต่นั่นก็เป็นเรื่องจริง เพราะเขามิได้สอบถามชาวบ้านเพียงแค่คนเดียว ทว่าบ่าวในจวนเขาก็แอบสอบถามมาแล้ว“อ้อ…ที่น่าขนลุกก็คือ ช่วงที่ฮูหยินน้อยนางจมน้ำสลบไป เป็นช่วงเดียวกับที่อดีตฮูหยินน้อยได้ล่วงลับพอดี”กู้อี้เคยได้ยินจิ่งอี๋ ภรรยาของเขาเล่าว่า แม่นมซิ่วเคยบอกกับนาง
หลี่ชิงเหมียวมองตามหลัวอี้เฉินออกไป จนร่างสูงของอีกฝ่ายลับสายตา นางจึงหันกลับมาสนใจบุตรชาย นัยน์ตาที่ทอดมองเขานั้นทอแสงอ่อนโยนออกมา นางค่อยๆ ล้มตัวลงนอนข้าง ๆ เขา ความปรารถนาของนาง ในการได้กลับมาเกิดใหม่นั่นก็คือได้อยู่เคียงข้างบุตรชาย ไปจนเขาเติบใหญ่ก็เท่านั้น นางไม่กล้าหวัง ที่จะได้ครองใจของบุรุษที่เพิ่งเดินจากไปอีกหน หากนางหวัง นั่นก็มิเท่ากับว่า นางโลภมากหรอกหรือ หลี่ชิงเหมียวถอนหายใจออกมาก่อนที่จะปิดเปลือกตาลงหลังจากนอนกลางวันไปเกือบหนึ่งชั่วยาม สองแม่ลูกก็พากันตื่นขึ้นมา หลี่ชิงเหมียวให้แม่นมซิ่ว พาคุณชายน้อยกลับไปที่เรือนของเขา เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์เสียใหม่ หลัวอี้เจ๋อไม่ดื้อรั้น ยอมทำตามความต้องการของมารดาทันทีเพราะเขารู้ดี ว่าอีกประเดี๋ยวก็ได้กลับมาอยู่กับมารดาเช่นเดิม เขาจึงกลับเรือนนอนของตนไปพร้อมกับแม่นมซิ่วและบรรดาบ่าวรับใช้อย่างร่าเริง“พรุ่งนี้ท่านอาจารย์ กับท่านอาจารย์แม่ของข้าจะมาเยือนที่จวน ท่านแม่บอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่”หลัวอี้เฉินที่เดินกลับเข้ามาภายในเริือนหอหลังจากที่บุตรชายกลับเรือนนอนไปเกือบสองเค่อ เขาเอ่ยถามภรรยาที่ก
หลังจากมื้ออาหารกลางวันพ้นผ่าน หลัวอี้เฉินก็ไม่มีทีท่าว่า จะกลับออกไปทำงานที่สำนักมือปราบอีก เขาเอาแต่นั่งมองสองแม่ลูก ที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมหลี่ชิงเหมียวไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอันใด ในท่าทีแปลกๆ ของสามี เพราะถ้าหากว่าเขา ได้สงสัยในสิ่งใดขึ้นมาแล้ว เขาก็มักจะไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆ ดังเช่นในยามนี้ ที่เขากำลังสงสัยในตัวนาง“คุณชาย…ท่านไม่ออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือเจ้าคะ” แม่นมซิ่วตัดสินใจเอ่ยถามท่านใต้เท้าหลัวออกมา เพราะเมื่อก่อนไม่เคยมีวันไหนเลย ที่เขาจะอยู่ติดจวน“ไม่ไปแล้ว แม่นมซิ่ว…ท่านเองก็ไปพักผ่อนเถิด ที่นี่มีข้าอยู่ ท่านไม่ต้องมายืนเฝ้าเขาหรอก ถึงยามที่เขาต้องอาบน้ำ ท่านค่อยมาพาเขาไป”หลัวอี้เฉินเหลือบมองแม่นมของอดีตภรรยา พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียง ที่ให้ความเคารพอีกฝ่ายอยู่หลายส่วน เขาไม่อยากทำให้แม่นมของอดีตภรรยาต้องลำบาก อีกทั้งหลัวอี้เจ๋อ ก็มีคนช่วยดูแลเขาแทนอยู่แล้ว“แต่ว่า…” แม่นมซิ่วอยากดูสองแม่ลูก ใช้เวลาร่วมกันจึงไม่อยากจากไปเท่าใดนัก“แม่นม…ท่านไปพักผ่อนก
“ท่านแม่”หลัวอี้เจ๋อหันไปร้องเรียกมารดา พลางฉีกยิ้มตาหยีออกมา แม่นมซิ่วยกแขนเสื้อขึ้นมาซับน้ำตา โดยที่ฮูหยินใหญ่และฮูหยินน้อย ต่างก็ไม่มีผู้ใดทันได้สังเกตเห็น“อ้อ…วันพรุ่งนี้ท่านตากับท่านยายของเจ๋อเอ๋อร์จะแวะเข้ามาเยี่ยม เจ้าก็อยู่ด้วยกัน ช่วยแม่ต้อนรับพวกเขาเถิด นายท่านหลูถือได้ว่าเป็นท่านอาจารย์ของเฉินเอ๋อร์ เจ้าพบหน้าคำนับทักทายพวกเขาหน่อย ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ไม่เหมาะ”จู่ๆ หลัวฮูหยินก็นึกขึ้นได้ ถึงกำหนดการมาเยือนของอดีตพ่อตาและแม่ยายของบุตรชาย นางจึงได้บอกกล่าวกับลูกสะใภ้ล่วงหน้าความจริงแล้ว วันก่อนนางได้ส่งเทียบเชิญ ไปให้แก่สองสามีภรรยา เพื่อให้พวกเขาได้มาเห็น ว่าสตรีที่นางเลือกมาดูแลหลานชาย เป็นสตรีที่ดีและมีความสามารถมากเพียงใด ผ่านไปแค่เพียงเดือนเดียว หลานชายของพวกตน ก็รักใคร่สนิทสนมกับมารดาเลี้ยงผู้นี้เสียแล้วหลี่ชิงเหมียวได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกว่าหัวใจของนางนั้นเต้นแรงขึ้น นานแค่ไหนแล้ว ที่นางไม่ได้พบหน้าบิดามารดาในชีวิตก่อน ถึงแม้ว่านางจะมีชีวิตใหม่ กลายมาเป็นผู้อื่น ทว่าสายใยในอดีต ก็มิอาจตัดให้ขาดได้ มิเช่นนั้นน
“กู้อี้…เจ้าช่วยไปสืบเรื่องราวในอดีตของฮูหยินน้อยมาให้ข้าที เรื่องนี้กระทำการอย่างลับๆ ภรรยาเจ้าก็ห้ามให้นางรู้เป็นอันขาด” กู้อี้ขมวดคิ้วเข้าหากัน พลางเอ่ยถามท่านหัวหน้าออกมาด้วยความสงสัย“เหตุใดถึงต้องสืบเรื่องในอดีตของฮูหยินน้อยด้วยเล่าขอรับ นางก็เป็นสตรีที่ดี อยู่ในจวนสกุลหลัวอย่างสงบเสงี่ยมมิใช่หรือขอรับ”“แต่นางมีบางอย่าง ที่ทำให้ข้ามองเห็นเหลียนเอ๋อร์ในตัวนาง”“ท่านหัวหน้าสงสัยว่า ฮูหยินน้อย…”กู้อี้มองหลัวอี้เฉินนัยน์ตาเบิกโต เพราะเขาไม่เห็นว่าฮูหยินน้อย จะมีท่าทีสนใจในตัวท่านหัวหน้าเลยสักนิด มีบ้างที่จะปฏิบัติตน ตามหน้าที่ของภรรยา แต่ก็มิได้ก้าวก่าย หรือล้ำเส้นท่านหัวหน้าแต่อย่างใดแล้วนางจำเป็นที่จะต้องวางแผน เลียนแบบอดีตฮูหยินน้อยด้วยหรือ เพื่อสิ่งใดกัน หรือว่านี่จะเป็นเล่ห์เหลี่ยมของสตรี ที่แสร้งปล่อยเพื่อจับ กู้อี้คิดอยู่ภายในใจ ทว่าไม่กล้ากล่าววาจาใดออกมา“ข้าไม่รู้…แต่นางมีลักษณะนิสัย คล้ายคลึงกับเหลียนเอ๋อร์หลายอย่าง หากนางจงใจจะเข้ามาอยู่เคียงข้างข้า ข้าจะได้รีบถอ