Masuk
หลังจากหลบลี้หนีหน้าไปกว่าสามเดือน วันนี้ปานระพีก็ได้กลับมาเหยียบบ้านที่เธอใช้ซุกหัวนอนมาหลายปี ในสภาพที่ยังคงมองไม่เห็น แต่มาถึงที่นี่ได้เพราะได้รับการช่วยเหลือจากปิยฉัตรและสามีของอีกฝ่าย ที่มาวันนี้ไม่ใช่ว่าจะกลับมาอยู่ หากแต่เธอกลับมาสะสางบางเรื่องแบบไม่ให้ใครรู้ เพื่อที่จะจากไปอย่างเงียบๆ
คล้อยหลังปิยฉัตรที่ประคองเธอขึ้นมายังห้องหนังสือบนชั้นสองของเรือนไม้หลังเล็ก ร่างที่เคยอวบอัดแต่มาบัดนี้กลับผ่ายผอมก็ค่อยๆ คลำทางไปตามชั้นวางหนังสือที่ทำจากไม้ขัดเงาซึ่งมีระดับสูงท่วมหัว ขณะนับในใจว่าไปถึงช่องไหนแล้ว ก่อนจะหยุดลงตรงช่องที่เก้า ยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ถอนหายใจหนักๆ แล้วเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มหนา ที่ต้องควานหาขนาดนั้นเพราะเธอซุกซ่อนบางอย่างเอาไว้ข้างในหนังสือเล่มนั้น
แอ๊ด!!!
เสียงแง้มประตูทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์สะดุ้งเล็กน้อย คุณหมอสาวที่มิอาจรักษาใครได้อีกกะพริบตา อย่างเรียกสติ ก่อนจะเปล่งน้ำเสียงแผ่วเบาออกมา
“มาแล้วเหรอคะคุณยุทธนา”
ครั้นเอ่ยออกไปแล้วอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ว่ากระไรคิ้วเรียวเหนือนัยน์ตาโศกก็ขมวดเล็กน้อย เงี่ยหูฟังจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ก้าวมาหยุดลงตรงหน้า ท่ามกลางชั้นหนังสือสองข้างขนาบกัน
“เอ่อ…หมอปี่คงบอกแล้วใช่ไหมคะ ว่าฉันอยากขอให้คุณช่วยส่งใบหย่าไปให้สามีฉัน”
พอเอ่ยออกไปอีกหนึ่งคำรบแล้วอีกฝ่ายก็ยังนิ่งเงียบ ทำให้คนที่มองไม่เห็นนึกกระวนกระวายใจ ทันใดนั้นเธอก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วเขาก็ผวาตามมาคว้าข้อมือเรียว เพราะกลัวว่าเธอจะเสียหลักจนได้รับบาดเจ็บ
“ตาของคุณบอดเหรอ!?”
น้ำเสียงติดจะสะท้านทำให้ปานระพีทำหน้าฉงน ขณะบิดข้อมือของตัวเองออกจากอุ้งมืออุ่นอย่างละมุนละม่อม เสียงของคนที่ยังไม่เคยได้เจอหน้าค่าตา ไม่รู้จัก และเพิ่งได้พบปะเป็นครั้งแรก ช่างคุ้นหูอย่างน่าประหลาด แต่เธอคงหูฝาด หรือไม่ก็ฟังผิดเพี้ยน ซึ่งเป็นผลพวงมาจากหูชั้นกลางอักเสบ อันเนื่องมาจากการเป็นไข้หวัดและติดเชื้อเมื่อสองอาทิตย์ก่อน อาการลุกลามจนเกือบจะเป็นหูน้ำหนวก ดีหน่อยที่ไปหาหมอได้ทันท่วงที แต่ก็ทำให้เธอมีปัญหาในเรื่องการได้ยิน คือหูอื้อเหมือนคนเป็นหวัดตลอดเวลา ถึงแม้จะไปรักษากับหมอเฉพาะทาง แต่ก็ยังไม่หายเป็นปกติ การได้ยินของเธอยังคงบกพร่อง ฟังขาดๆ หายๆ และผิดเพี้ยนจนน่าหงุดหงิด คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ
คิดได้ดังนั้นปานระพีก็ฝืนยิ้ม แล้วเอ่ยตอบเสียงผาดแผ่วชวนเวทนา
“ค่ะ ตาของฉันบอดสนิททั้งสองข้าง ฉันทำเรื่องขอรับบริจาคดวงตาจากสภากาชาดไทยไว้แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไหร่ เพราะมีคนบริจาคดวงตาน้อยมาก บางรายต้องรอคิวสามถึงสี่ปี”
ท้ายประโยคเธอเอ่ยอย่างเศร้าๆ แล้วยื่นกระดาษในมือส่งให้อีกฝ่าย ทว่าเขากลับไม่รับมันไป แล้วเธอก็เดาเอาแบบส่งๆ ว่าอีกฝ่ายคงอึ้งเพราะอาจเห็นข้อความตรงหัวกระดาษเข้า
“คุณคงสงสัยใช่ไหมคะ ว่าคนตาบอดเซ็นใบหย่าได้ยังไง” เธอเปรยเรียบเรื่อย แล้วเอ่ยต่อ “ที่จริงฉันเซ็นมันไว้นานแล้วค่ะ เซ็นตามคำสั่งของสามี แต่ใจไม่กล้าพอที่จะไปจากเขา ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขารังเกียจ เขาไม่ต้องการเมียที่ได้มาเพราะการคลุมถุงชนของผู้ใหญ่ แต่ในที่สุดฉันก็กล้าแล้วค่ะ”
เอ่ยมาถึงจุดนี้ปานระพีก็น้ำตาไหลพราก เม้มปากสั่นระริกกลั้นก้อนสะอื้น ชั่วอึดใจถึงได้เอ่ยต่อ
“ตาที่บอดทำให้ฉันมีความกล้า เพราะชั่งใจแล้วว่าไม่มีผู้ชายคนไหนอยากได้เมียตาบอดไว้เป็นภาระ อีกอย่างก็ได้ยินข่าวด้วยแหละ ว่าเขากำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่เขารัก ฉะนั้นคนที่เขาเกลียดเข้าไส้อย่างฉันก็ควรจะไปตามทางของตัวเองเสียที หากไม่มีฉันแล้วชีวิตเขาคงมีความสุข”
“…”
“คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอคะ หรือว่านึกสงสารผู้หญิงอาภัพอย่างฉัน”
“…”
ครั้นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบเธอก็เอ่ยต่อ
“อย่าสงสาร เวทนา หรือรู้สึกอะไร กับสภาพตาบอดของฉันเลยค่ะ เพราะถึงแม้ว่ามันจะเป็นอุปสรรคกับการใช้ชีวิตอย่างใหญ่หลวง แม้ว่ามันจะยังไม่ชิน อึดอัด และหงุดหงิดที่มองอะไรไม่เห็นดังเดิม แต่ฉันก็เชื่อว่าสักวันตัวเองจะเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้อย่างไม่เป็นทุกข์ และก็อาจจะถึงสุขทั้งที่อยู่ในโลกมืด”
“คุณจะให้ผมไปส่งที่ไหน”
อยู่ๆ อีกฝ่ายก็เอ่ยตัดบทเสียดื้อๆ ซึ่งเธอก็เดาเอาว่าเขาคงเบื่อที่จะเสวนากับคนตาบอด ก็แหงล่ะ ตั้งแต่เจอหน้ากันเธอก็เหมือนคนบ้าเพราะพูดอยู่ฝ่ายเดียว นานๆ ทีเขาถึงจะตอบโต้คืนบ้าง
“สนามบินสุวรรณภูมิค่ะ”
“คุณกำลังจะไปต่างประเทศงั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ฉันบินไฟล์ทหนึ่งทุ่ม แต่คุณไปส่งฉันตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้ค่ะ เผื่อว่าคุณมีธุระต้องไปทำต่อ”
หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยท่าทีเกรงใจ ก่อนจะผวาเฮือก เมื่อมือของอีกฝ่ายแตะลงตรงหัวไหล่ แล้วโอบประคองพาเดินออกมาจากซอกของชั้นหนังสือสูงท่วมหัว
“คุณจะไปประเทศไหน”
ชายหนุ่มเอ่ยคล้ายชวนคุย ขณะพาเธอเดินออกมาจากห้องหนังสือ เสียงปิดประตูแผ่วเบาทำให้ปานระพีแน่ใจว่าตัวเองพ้นจากห้องหนังสือแล้วจริงๆ
“อเมริกาค่ะ ฉันทำเรื่องและส่งใบสมัครขอรับสุนัขนำทางไว้” ปานระพีเอ่ยตอบและบอกจุดประสงค์สั้นๆ แล้วก็ต้องหลุดอุทานออกมา เมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายก็ช้อนร่างของเธอขึ้นอุ้มเสียดื้อๆ
“เอ่อ…ปล่อยฉันลงเถอะค่ะ ฉันแค่อยากขอให้คุณช่วยเอาใบหย่าไปให้สามีฉัน แต่ไม่อยากจะเป็นภาระของคุณ เพราะแค่ข้อร้องให้หมอปี่ไหว้วานให้คุณช่วยเป็นธุระให้ก็เกรงใจจะแย่”
“ฮื่อ…อย่าเกรงใจไปเลยน่า ต่อไปนี้ผมจะคอยเป็นดวงตาให้คุณเอง”
“คุณจะเป็นดวงตาให้ฉัน?”
“ช่ายยยย…”
“คะ…คุณ ไม่ใช่คุณยุทธนา!”
คราวนี้คนที่ตกอยู่ในโลกมืดเอ่ยเสียงสะท้าน ตัวสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น และเสียงหัวเราะกลั้วลำคอที่ดังแว่วเข้าหูนั้นก็ทำให้เธอตัวแข็งทื่อ
“นั่นก็ใช่อีกแหละทูนหัว”
“แล้วคุณเป็นใคร?”
“ผม…มหรรณพ นิธิธาดา สามีของคุณยังไงล่ะ”
วาจาที่ได้สดับตรับฟังทำให้หญิงสาวเบิกตาค้าง แล้วดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการแกร่ง ทว่าการมองไม่เห็นอะไรกลับเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงจนน่าใจหาย เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายอุ้มเธอไปยังที่ใด กระทั่งแผ่นหลังบางแตะกับพื้นเตียงนุ่ม ร่างระหงถึงได้ทะลึ่งพรวดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสายไปเสียแล้ว
ให้ตาย! เขาโทรหายัยเด็กดื้อเงียบนั่นตั้งเกือบห้าสิบสาย คนที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับโทรศัพท์สบถในใจด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน และเพราะมัวแต่สนใจเครื่องมือสื่อสารที่ว่า เขาจึงไม่รับรู้ถึงการมาของลูกน้องคนสนิท “ผมไม่เคยเห็นนายหมกมุ่นกับเรื่องของผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน”น้ำคำเหมือนชวนคุยแต่เต็มไปด้วยความสงสัยอย่างมากล้น ทำให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาต่อสายโทรศัพท์ชะงัก เงยขึ้น สีหน้าไม่สบอารมณ์พลันเฉยชาในบัดดล “ฉันให้แกมารายงานเรื่องที่ให้ไปสืบ ไม่ใช่ให้มาตั้งคำถาม” เสียงห้วนจัดรวนกลับ “คนนี้จริงจังใช่ไหมครับ”ร่างสง่าที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยกมืนขึ้นกอดอกถ่วงเวลาด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย เล่นกับความรู้สึกคนรอท่าคำตอบ แล้วถึงขยับปากเอ่ยออกมา “นั่นเมียกูไหม”“ก็ไหนว่าไม่เต็มใจจดทะเบียนสมรสไงครับ”ไอ้ลูกน้องเวร! มันยังไม่เลิกเซ้าซี้อีก“มึงจะมาอยากรู้อะไรนักหนาวะ”“งั้นนายก็ตอบมาสิครับ ผมจะได้ไม่ถามให้รำคาญอีก”หึ! ได้คืบจะเอาศอก “ถ้ามึงไม่พูดเรื่องที่กูให้ไปจัดการ ก็ไสหัวไปไกลๆ ตีน”มหรรณพเอ่ยอย่างเฉียบขาด เขาไม่คิดจะอธิบายเรื่องส่วนตัวให้ลูกน้องฟังอยู่แล
“เอ่อ…พี่แพรกับคุณหวงไม่ได้รักกันหรอกเหรอคะ”หลังจากอึ้งไปอึดใจปิยฉัตรก็เอ่ยถามอย่างไม่เต็มเสียงมากนัก เพราะเกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาทกับการละลาบละล้วง อีกอย่างก็กลัวจะไปกระทบจิตใจอีกฝ่ายเข้า “ถ้าจะรัก ก็คงมีแค่พี่ที่แอบรักสามีตัวเองข้างเดียวมาตั้งแต่เล็กจนโต รักทั้งที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ รักจนยอมสละไตข้างหนึ่งให้เขาในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุปางตาย”“การสละไตข้างหนึ่งที่ทำให้หมอคนที่เพิ่งไปกับคุณหวงเป็นข่าว และถูกยกย่องว่าเป็นนางฟ้าชุดกาวน์ใช่ไหมคะ”ปิยฉัตรละล่ำละลักอย่างตกใจ เริ่มเดาได้ว่าสาวสวยที่เพิ่งจากไปคือคนที่มาชุบมือเปิบเอาความดีความชอบที่ปานระพีสมควรจะได้รับไปอย่างหน้าตาเฉย “ฮื่อ…”“แล้วทำไมพี่แพรไม่บอกความจริงกับคุณหวงไปตรงๆ ล่ะคะ” ปิยฉัตรเริ่มเป็นเดือดเป็นร้อนแทน รู้สึกสงสารคนที่ทำตัวปิดทองหลังพระเช่นปานระพีจับจิต “มันไม่มีประโยชน์หรอก เขาไม่ได้รักพี่ และเราสองคนก็กำลังจะหย่ากัน”ปานระพีส่ายหน้า แล้วยิ้มเศร้า จากนั้นก็ปรับทุกข์กับอีกฝ่ายอีกนิดหน่อย ส่วนปิยฉัตรก็เล่าถึงสาเหตุที่เธอต้องมาขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย ตบท้ายด้วยการขอร้องให้ปานระพีช่วยบอกเธอ หากว่าเห็นอะไรไม่
บ่ายวันนั้น หลังจากตรวจคนไข้ที่โรงพยาบาลรักษ์เสร็จ ปานระพีก็ถูกมหรรณพลากติดมือไปขึ้นรถ ครั้นจะหาทางหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะพ่อคุณดันมานั่งเฝ้าหน้าห้องตรวจก่อนเวลาตั้งสองชั่วโมง ด้วยกลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้าดีเดือดตามที่ได้ข่มขู่ไว้ เธอจึงไม่กล้าโวยวายและขัดขืน แต่น่าแปลก!มหรรณพดูมึนตึง เย็นชา และหมางเมินจนน่าใจหาย มันเกิดอะไรขึ้น? ถ้าว่าเขาทำตามแผนที่คุณย่าโทรมาเล่าให้ฟังในตอนเที่ยง มันจะเวอร์ไปหน่อยไหม ในเมื่อคณิสราไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยเสียหน่อย แล้วเขาจะเล่นละครไปเพื่ออะไร เอ๊ะ! หรือว่าเขาจะโกรธเธอเรื่องหย่าที่ฝากคนเป็นย่าไปบอก โกรธแล้วยังไง?ต่อให้ยังตัดใจจากเขาไม่ได้ เธอก็จะหย่าอยู่ดี ตอนแรกนั้นปานระพีงงหนักมาก ที่อยู่ๆ มหรรณพก็พามาที่ค่ายมวยแห่งหนึ่ง กระทั่งได้พบและทำความรู้จักอย่างเป็นทางการกับจอมพล อาศิระ เจ้าพ่อมาเฟียแดนใต้ และแพทย์หญิงปิยฉัตร สิทธิประเสริฐ ซึ่งสาวห้าวที่ว่ามาสมทบทีหลัง จริงๆ ปานระพีพอจะรู้จักสองคนอยู่ก่อนแล้ว เธอได้มีโอกาสรู้จักจอมพลผ่านทางนลินนิภา ส่วนปิยฉัตรนั้นก็เป็นรุ่นน้องสมัยเรียน ทำงานที่โรงพยาบาลรักษ์เหมือนกัน แถมยังเคยอยู่ในเหตุการณ์
“มันหนาว ขอกอดหน่อย”ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ วงแขนแกร่งกระชับเอวคอดมากยิ่งขึ้น แล้วเอ่ยเหมือนชวนคุย “เมื่อกี้เกือบไม่เสร็จแน่ะ ต้องหลับตานึกถึงหน้าแดงๆ ของแพรตอนผมขึ้นขี่แบบเมื่อคืนแทบแย่”อึ๋ยยย ดูพูดเข้า! คนอะไรไร้ยางอายสิ้นดี! “ทุเรศ! น่าเกลียดที่สุด!”“น่าเกลียดตรงไหน ‘ช่วยตัวเอง’ เป็นเรื่องธรรมดาจะตาย โลกสวยด้วยมือเราน่ะเคยได้ยินไหม”ทนความไร้ยางอายของอีกฝ่ายไม่ไหว ปานระพีก็หลับตาลงเป็นเชิงยุติบทสนทนา ซึ่งเขาก็กอดกระชับเอวคอดมากยิ่งขึ้น แล้วพึมพำนัดหมาย ว่าจะพาเธอไปที่ไหนสักแห่งในวันพรุ่งนี้ ตบท้ายด้วยการจุมพิตหน้าผากมนอย่างแผ่วพลิ้ว ทำเอาคนแสร้งหลับตัวเกร็ง ใช้เวลาทำใจให้สงบอยู่นานกว่าจะหลับลง รุ่งเช้าลูกน้องของมหรรณพก็มาเคาะประตูห้อง เอาเสื้อผ้ามาให้เจ้านาย อาบน้ำชำระร่างกายเสร็จ เจ้าของร่างทรงพลังก็เดินผิวปากออกมาจากห้องน้ำ โดยมีผ้าขนหนูของเธอที่พอไปพันอยู่ตรงเอวสอบกลับดูสั้นจู๋ไปถนัดตา ส่วนมือก็ใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดผมด้วยท่าทีสบายๆ ยืนอวดหุ่นทรมานใจอย่างหน้าตาเฉย “งายยยย…ชอบที่เห็นไหมพิกกี้” น้ำคำสัพยอกทำให้คนที่เอาแต่นอนจ้องเขาได้สติ กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะอุบอิบออกมา “บ้
“เด็กดี”คนได้ดั่งใจเอ่ยชมอย่างยิ้มๆ ขณะเอื้อมมือมาโยกหัวน้อยเบาๆ คนตัวเล็กเงยหน้าถลึงตาใส่ ปัดมือใหญ่ออกจากหัวตัวเอง แต่กลับต้องหลุดสะดุ้ง เมื่ออีกฝ่ายเลื่อนฝ่ามือกระด้างลงมาไล้ที่ลำคอระหง “ผู้ใหญ่ให้ของต้องทำยังไงครับ” คำว่า ‘ครับ’ ง่ายๆ ที่ใครๆ ก็พูดกัน แต่พอเป็นเขาพูดเธอกลับใจสั่นซะงั้น “ไม่ได้อยากได้สักหน่อย” คนหน้าตูมย่นจมูก หลุดอุทานหน้าตื่น เมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายก็รั้งลำคอระหงเข้าหา ในจังหวะที่เขายื่นหน้าข้ามโต๊ะเข้ามาใกล้ แล้วทำให้เธอตัวแข็งทื่อ แทบหยุดหายใจ ด้วยการประกบปากหยักเข้ากับปากอิ่ม ปานระพีอึกอักประท้วง แต่แทนที่จะหลุดพ้นกลับโดนล้วงชิมความหวานล้ำจนหนำใจ“คราวหน้าคราวหลังถ้าผมให้อะไร ต้องขอบคุณแบบเมื่อกี้นะลูกหมูน้อย” หลังจากถอนปากห่างอย่างอ้อยอิ่ง จอมเจ้าเล่ห์ก็เอ่ยบอกอย่างครึ้มอกครึ้มใจ พลางหลิ่วตาให้ จากนั้นคนโดนปล้นจูบจนปากเจ่อก็จัดการกับของกินตรงหน้าโดยไม่พูดไม่จา ไม่ยอมสบตากับคนที่นั่งอยู่ในฝั่งตรงข้าม ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนจนมหรรณพนึกอยากจะทำอะไรบ้าๆ ลงไป “ขอชิมหน่อยสิ”เขาว่าพลางจ้องจานสลัดของเธอนิ่งๆ “คุณไม่ชอบกินผักไม่ใช่เหรอคะ”“รู้ได้ไง”
ไม่อยากจะเชื่อว่าเสาร์อาทิตย์นี้มหรรณพจะขลุกอยู่กับเธอตลอด ไล่ยังไงก็ไม่ไป แถมยังทำตัวน่าหมั่นไส้ เธอเดินไปไหนก็เดินตาม ถึงแม้จะอยู่ในห้องแคบๆ ที่แค่ปรายตามองก็รู้แล้ว ว่าเธอกำลังทำอะไร อยู่ตรงไหน แต่เขาก็ยังตามมาอยู่ใกล้ๆ นับวันยิ่งทำตัวประหลาดชวนให้ลากไปเช็กประสาทเข้าไปทุกที เมื่อเลี่ยงไม่ได้ หนีหน้าเขาก็ไม่ได้ เพราะนอกจากเธอจะทำงานหนักมาทั้งสัปดาห์ เมื่อคืนยังถูกเขาสูบพลังจนแทบกระดิกนิ้วไม่ไหว ฉะนั้นที่ทำได้ก็คือหมกตัวอยู่แต่ในห้อง นอนกลางวันให้ร่างพังๆ ได้ชาร์ตพลังงาน และพยายามไม่สนใจแขกไม่ได้รับเชิญ ที่ชอบทำตัวมีปัญหาเรียกร้องความสนใจอยู่บ่อยครั้ง พอตกเย็นเธอก็ทำอาหารง่ายๆ โดยไม่ลืมเผื่อเขาด้วย ไม่ใช่ว่าเต็มใจแต่โดนคนบ้าอำนาจบังคับ “ทำอะไรกินหืม…”เสียงห้าวเจือแหบของคนที่ยืนซ้อนหลังกระซิบงึมงำชิดซีกแก้มนวลปลั่ง ก่อนจะขโมยจูบเร็วๆ จนนับครั้งไม่ถ้วน ครั้นคนหน้าร้อนจี๋จะเอนตัวหนีเขาก็รวบเอวคอดเอาไว้ แล้วแถมจุ๊บให้อีกหลายหน “ว่างายยยย…ลูกหมูน้อย ถามทำไมไม่ตอบ” เธอเกลียดเสียงยานคางกวนประสาทนั่นชะมัด“ทำข้าวผัดแหนมคะ เอ่อ…คุณไปรอที่โต๊ะกินข้าวดีกว่านะคะ ทำแบบนี้ฉันไม่







