Mag-log in
หลังจากหลบลี้หนีหน้าไปกว่าสามเดือน วันนี้ปานระพีก็ได้กลับมาเหยียบบ้านที่เธอใช้ซุกหัวนอนมาหลายปี ในสภาพที่ยังคงมองไม่เห็น แต่มาถึงที่นี่ได้เพราะได้รับการช่วยเหลือจากปิยฉัตรและสามีของอีกฝ่าย ที่มาวันนี้ไม่ใช่ว่าจะกลับมาอยู่ หากแต่เธอกลับมาสะสางบางเรื่องแบบไม่ให้ใครรู้ เพื่อที่จะจากไปอย่างเงียบๆ
คล้อยหลังปิยฉัตรที่ประคองเธอขึ้นมายังห้องหนังสือบนชั้นสองของเรือนไม้หลังเล็ก ร่างที่เคยอวบอัดแต่มาบัดนี้กลับผ่ายผอมก็ค่อยๆ คลำทางไปตามชั้นวางหนังสือที่ทำจากไม้ขัดเงาซึ่งมีระดับสูงท่วมหัว ขณะนับในใจว่าไปถึงช่องไหนแล้ว ก่อนจะหยุดลงตรงช่องที่เก้า ยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ถอนหายใจหนักๆ แล้วเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มหนา ที่ต้องควานหาขนาดนั้นเพราะเธอซุกซ่อนบางอย่างเอาไว้ข้างในหนังสือเล่มนั้น
แอ๊ด!!!
เสียงแง้มประตูทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์สะดุ้งเล็กน้อย คุณหมอสาวที่มิอาจรักษาใครได้อีกกะพริบตา อย่างเรียกสติ ก่อนจะเปล่งน้ำเสียงแผ่วเบาออกมา
“มาแล้วเหรอคะคุณยุทธนา”
ครั้นเอ่ยออกไปแล้วอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ว่ากระไรคิ้วเรียวเหนือนัยน์ตาโศกก็ขมวดเล็กน้อย เงี่ยหูฟังจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ก้าวมาหยุดลงตรงหน้า ท่ามกลางชั้นหนังสือสองข้างขนาบกัน
“เอ่อ…หมอปี่คงบอกแล้วใช่ไหมคะ ว่าฉันอยากขอให้คุณช่วยส่งใบหย่าไปให้สามีฉัน”
พอเอ่ยออกไปอีกหนึ่งคำรบแล้วอีกฝ่ายก็ยังนิ่งเงียบ ทำให้คนที่มองไม่เห็นนึกกระวนกระวายใจ ทันใดนั้นเธอก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วเขาก็ผวาตามมาคว้าข้อมือเรียว เพราะกลัวว่าเธอจะเสียหลักจนได้รับบาดเจ็บ
“ตาของคุณบอดเหรอ!?”
น้ำเสียงติดจะสะท้านทำให้ปานระพีทำหน้าฉงน ขณะบิดข้อมือของตัวเองออกจากอุ้งมืออุ่นอย่างละมุนละม่อม เสียงของคนที่ยังไม่เคยได้เจอหน้าค่าตา ไม่รู้จัก และเพิ่งได้พบปะเป็นครั้งแรก ช่างคุ้นหูอย่างน่าประหลาด แต่เธอคงหูฝาด หรือไม่ก็ฟังผิดเพี้ยน ซึ่งเป็นผลพวงมาจากหูชั้นกลางอักเสบ อันเนื่องมาจากการเป็นไข้หวัดและติดเชื้อเมื่อสองอาทิตย์ก่อน อาการลุกลามจนเกือบจะเป็นหูน้ำหนวก ดีหน่อยที่ไปหาหมอได้ทันท่วงที แต่ก็ทำให้เธอมีปัญหาในเรื่องการได้ยิน คือหูอื้อเหมือนคนเป็นหวัดตลอดเวลา ถึงแม้จะไปรักษากับหมอเฉพาะทาง แต่ก็ยังไม่หายเป็นปกติ การได้ยินของเธอยังคงบกพร่อง ฟังขาดๆ หายๆ และผิดเพี้ยนจนน่าหงุดหงิด คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ
คิดได้ดังนั้นปานระพีก็ฝืนยิ้ม แล้วเอ่ยตอบเสียงผาดแผ่วชวนเวทนา
“ค่ะ ตาของฉันบอดสนิททั้งสองข้าง ฉันทำเรื่องขอรับบริจาคดวงตาจากสภากาชาดไทยไว้แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไหร่ เพราะมีคนบริจาคดวงตาน้อยมาก บางรายต้องรอคิวสามถึงสี่ปี”
ท้ายประโยคเธอเอ่ยอย่างเศร้าๆ แล้วยื่นกระดาษในมือส่งให้อีกฝ่าย ทว่าเขากลับไม่รับมันไป แล้วเธอก็เดาเอาแบบส่งๆ ว่าอีกฝ่ายคงอึ้งเพราะอาจเห็นข้อความตรงหัวกระดาษเข้า
“คุณคงสงสัยใช่ไหมคะ ว่าคนตาบอดเซ็นใบหย่าได้ยังไง” เธอเปรยเรียบเรื่อย แล้วเอ่ยต่อ “ที่จริงฉันเซ็นมันไว้นานแล้วค่ะ เซ็นตามคำสั่งของสามี แต่ใจไม่กล้าพอที่จะไปจากเขา ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขารังเกียจ เขาไม่ต้องการเมียที่ได้มาเพราะการคลุมถุงชนของผู้ใหญ่ แต่ในที่สุดฉันก็กล้าแล้วค่ะ”
เอ่ยมาถึงจุดนี้ปานระพีก็น้ำตาไหลพราก เม้มปากสั่นระริกกลั้นก้อนสะอื้น ชั่วอึดใจถึงได้เอ่ยต่อ
“ตาที่บอดทำให้ฉันมีความกล้า เพราะชั่งใจแล้วว่าไม่มีผู้ชายคนไหนอยากได้เมียตาบอดไว้เป็นภาระ อีกอย่างก็ได้ยินข่าวด้วยแหละ ว่าเขากำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่เขารัก ฉะนั้นคนที่เขาเกลียดเข้าไส้อย่างฉันก็ควรจะไปตามทางของตัวเองเสียที หากไม่มีฉันแล้วชีวิตเขาคงมีความสุข”
“…”
“คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอคะ หรือว่านึกสงสารผู้หญิงอาภัพอย่างฉัน”
“…”
ครั้นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบเธอก็เอ่ยต่อ
“อย่าสงสาร เวทนา หรือรู้สึกอะไร กับสภาพตาบอดของฉันเลยค่ะ เพราะถึงแม้ว่ามันจะเป็นอุปสรรคกับการใช้ชีวิตอย่างใหญ่หลวง แม้ว่ามันจะยังไม่ชิน อึดอัด และหงุดหงิดที่มองอะไรไม่เห็นดังเดิม แต่ฉันก็เชื่อว่าสักวันตัวเองจะเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้อย่างไม่เป็นทุกข์ และก็อาจจะถึงสุขทั้งที่อยู่ในโลกมืด”
“คุณจะให้ผมไปส่งที่ไหน”
อยู่ๆ อีกฝ่ายก็เอ่ยตัดบทเสียดื้อๆ ซึ่งเธอก็เดาเอาว่าเขาคงเบื่อที่จะเสวนากับคนตาบอด ก็แหงล่ะ ตั้งแต่เจอหน้ากันเธอก็เหมือนคนบ้าเพราะพูดอยู่ฝ่ายเดียว นานๆ ทีเขาถึงจะตอบโต้คืนบ้าง
“สนามบินสุวรรณภูมิค่ะ”
“คุณกำลังจะไปต่างประเทศงั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ฉันบินไฟล์ทหนึ่งทุ่ม แต่คุณไปส่งฉันตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้ค่ะ เผื่อว่าคุณมีธุระต้องไปทำต่อ”
หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยท่าทีเกรงใจ ก่อนจะผวาเฮือก เมื่อมือของอีกฝ่ายแตะลงตรงหัวไหล่ แล้วโอบประคองพาเดินออกมาจากซอกของชั้นหนังสือสูงท่วมหัว
“คุณจะไปประเทศไหน”
ชายหนุ่มเอ่ยคล้ายชวนคุย ขณะพาเธอเดินออกมาจากห้องหนังสือ เสียงปิดประตูแผ่วเบาทำให้ปานระพีแน่ใจว่าตัวเองพ้นจากห้องหนังสือแล้วจริงๆ
“อเมริกาค่ะ ฉันทำเรื่องและส่งใบสมัครขอรับสุนัขนำทางไว้” ปานระพีเอ่ยตอบและบอกจุดประสงค์สั้นๆ แล้วก็ต้องหลุดอุทานออกมา เมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายก็ช้อนร่างของเธอขึ้นอุ้มเสียดื้อๆ
“เอ่อ…ปล่อยฉันลงเถอะค่ะ ฉันแค่อยากขอให้คุณช่วยเอาใบหย่าไปให้สามีฉัน แต่ไม่อยากจะเป็นภาระของคุณ เพราะแค่ข้อร้องให้หมอปี่ไหว้วานให้คุณช่วยเป็นธุระให้ก็เกรงใจจะแย่”
“ฮื่อ…อย่าเกรงใจไปเลยน่า ต่อไปนี้ผมจะคอยเป็นดวงตาให้คุณเอง”
“คุณจะเป็นดวงตาให้ฉัน?”
“ช่ายยยย…”
“คะ…คุณ ไม่ใช่คุณยุทธนา!”
คราวนี้คนที่ตกอยู่ในโลกมืดเอ่ยเสียงสะท้าน ตัวสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น และเสียงหัวเราะกลั้วลำคอที่ดังแว่วเข้าหูนั้นก็ทำให้เธอตัวแข็งทื่อ
“นั่นก็ใช่อีกแหละทูนหัว”
“แล้วคุณเป็นใคร?”
“ผม…มหรรณพ นิธิธาดา สามีของคุณยังไงล่ะ”
วาจาที่ได้สดับตรับฟังทำให้หญิงสาวเบิกตาค้าง แล้วดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการแกร่ง ทว่าการมองไม่เห็นอะไรกลับเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงจนน่าใจหาย เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายอุ้มเธอไปยังที่ใด กระทั่งแผ่นหลังบางแตะกับพื้นเตียงนุ่ม ร่างระหงถึงได้ทะลึ่งพรวดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสายไปเสียแล้ว
นักศึกษาหลายคนที่เดินผ่านไปมาตรงบริเวณลานใต้ต้นไม้หน้าคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ต่างเมียงมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ไหล่กว้าง ที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านอะไรบางอย่างบนกระดาษสีขาวอย่างสนใจ โดยเฉพาะสาวๆ เพราะไม่บ่อยนักที่จะมีชายหนุ่มหน้าตาดี ภูมิฐาน และท่าทางสมาร์ท เหมือนหลุดออกมาจากปกนิตยสารหัวนอกที่เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ จะมานั่งทอดหุ่นล่ำๆ ยั่วสายตาอยู่หน้าคณะแบบนี้ นักศึกษาสาวบางคนถึงขั้นใจกล้าเดินเฉียดกายมาใกล้โต๊ะ แต่กลับต้องหน้าหงาย เพราะเขาดูไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่ากระดาษที่กำลังเพ่งอยู่ มีบ้างที่จะก้มลงไปมองร่างจ้ำม่ำที่นอนเอาหัวหนุนตักอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวกัน และท่าทางอ่อนโยนนั้นก็ทำให้สาวๆ ต่างมองตาเยิ้ม กระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้น “พ่อจ๋า”น้ำเสียงออดอ้อนชวนเอ็นดูติดจะงัวเงียทำให้คนที่เงยหน้ากลับไปอ่านเอกสารในมือได้ไม่นาน วางงานลงบนโต๊ะหินอ่อน แล้วก้มลงไปมองร่างอ้วนจ้ำม่ำที่กำลังบิดขี้เกียจน้อยๆ “จ๋า…ว่าไงครับลูก”คำว่า ‘ลูก’ ที่หลุดออกมาจากปากหยักลึกทำให้สาวๆ ที่รอลุ้นพากันทำหน้าผิดหวังแกมเสียดาย“น้องเลิฟปวดชิ้งฉ่องค่า”เด็กหญิงปาฏิหาริย์ นิธิธาดา หรื
เสียงรองเท้ากระทบพื้นเป็นจังหวะชวนใจสั่น ทำให้ร่างใหญ่ที่กำลังนั่งปลดกระดุมกางเกงอยู่บนปลายเตียง หลังจากที่สลัดเสื้อออกจากกาย ถึงกับชะงักกึก เงยหน้าขึ้น แล้วก็ต้องตาค้าง ร่างเย้ายวนยั่วน้ำลายสวมเสื้อคุณหมอสีขาวที่ชายสั้นเต่อจนเห็นสะดือบุ๋ม และหน้าท้องที่เริ่มนูนน้อยๆ โดยบนอกเสื้อมีรูปหูฟังของหมอ ส่วนช่วงล่างก็เป็นกระโปรงบานสั้นจู๋ โอยยยย…หัวใจจะวาย น้ำลายจะหกในวินาทีที่แม่เจ้าประคุณเยื้องย่างมาหยุดลงตรงหน้า กางขาน้อยๆ กอดอกยืนจังก้า แล้วส่งสายตาหยาดเยิ้มเชิญชวนมาให้เขาก็แทบจะกระโจนเข้าใส่ “ขี้ยั่ว” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างมันเขี้ยวปนคาดโทษ “แล้วชอบไหมล่ะ?”เธอแสร้งวางมือทาบตรงหน้าอกตัวเอง จากนั้นก็ขยำเบาๆ พลางกัดปากทำท่าเซ็กซี่ขยี้ใจ แว่วเสียงคำรามกระหึ่มหลุดออกมาจากปากหยักลึกของคนที่จ้องเธอตาวาบวับ “ที่สุด”“คนหื่น”ก็จริง เขายอมรับว่าหื่นหนักมาก“พี่ดุนะหนูไหวเหรอ”“ถ้าอยากรู้ว่าไหวไม่ไหว ก็นอนลงไปจ้ะพี่จ๋า” ยังไม่ทันจะขาดคำคนตัวเล็กก็ผลักอกเขาแรงๆ จนร่างทรงพลังลงไปนอนแผ่หลาบนเตียง จากนั้นก็ขยิบตาให้หนึ่งที ตวัดลิ้นเลียปากด้วยท่าทางเซ็กซี่ แล้วค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งยอง
“พี่จะส่งเราไปให้หมอเฉพาะทางดูแลต่อนะ”“อายขอเป็นคนไข้ของพี่แพรไม่ได้เหรอคะ”น้ำคำเว้าวอน และแววตาสั่นระริกที่ส่งมาทำให้คุณหมอสาวต้องเอื้อมมือไปกุมมือเรียว แล้วบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ แกมปลอบประโลมให้อีกฝ่ายคลายกังวล“พี่เป็นหมอกระดูก ไม่ใช่นิวโรศัลย์ อาจดูเคสของเราได้ แต่ไม่สามารถผ่าตัดให้เราได้ แต่สัญญาว่าจะขอทางผู้อำนวยการของโรงพยาบาลไปสังเกตการณ์ตอนผ่าตัด” “พี่แพรสัญญาแล้วนะคะ”“จ้ะ”“อายขอร้องว่าอย่าบอกใครได้ไหมคะ”“หืม?”“เอ่อ…อายหมายถึง คนที่อาจรู้จักอายน่ะค่ะ เผื่อเขามาถามอะไรเกี่ยวกับอายจากพี่แพร”คนที่ออกอาการหวาดระแวงเอ่ยพลางบีบมือตัวเองแน่น กระทั่งเห็นคุณหมอสาวพยักหน้าเบาๆ ถึงได้ลอบผ่อนลมหายใจออกมา ปานระพีคงไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่เหตุการณ์เลวร้ายที่อารญาเคยเล่าให้ฟัง สาวน้อยตรงหน้าก็ไม่เคยเปิดใจรับใครเข้ามาในชีวิตในทุกๆ แง่ของความสัมพันธ์ อาจจะมีบ้าง แต่ก็แค่ฉาบฉวย เพราะอารญามีแผลใจจากการถูกคนใกล้ตัวหักหลังและทำร้ายอย่างเลือดเย็น ซึ่งปานระพีเป็นคนแรกที่เธอยอมเปิดใจคบหาเป็นเพื่อนตอนอยู่ต่างแดน เพราะตอนนั้นปานระพีตามองไม่เห็น ส่วนเธอก็แค่คนระหกระเหินพลัดถิ่นที่อยากได้เพื่อ
ไชโย! เมียไลน์หาถามว่าแค่เมียไลน์หาจำเป็นต้องดีใจจนเนื้อเต้นขนาดนั้นไหม สำหรับมหรรณพต้องดีใจมากอยู่แล้ว เพราะเขากับปานระพีมีข้อตกลงร่วมกัน ว่าในระหว่างที่เธอตั้งครรภ์อ่อนๆ จะไม่มีการร่วมรัก ด้วยกลัวว่าจะกระทบกระเทือนไปถึงลูก ซึ่งมันเป็นอะไรที่ทรมานฉิบหาย เขาเกือบลงแดงตายไปหลายหน แต่บอกตัวเองให้อดทน เพราะกว่าลูกจะติดได้ไม่ใช่ง่ายๆ เขากับเธอรอมาตั้งนาน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เมียเป็นฝ่ายสะกิด ก็แสดงว่าพ้นระยะอันตราย ฟีเจอริงกันได้ พิกกี้ตัวอวบ : คุณหวงขา อยู่เป็นก็เมียเขานี่แหละ อยากได้อะไรทีชอบเอาคำอ้อนหวานๆ มาล่อลวงสามี แถมพอแม่คุณท้องแล้วมันคือดี ชีวิตคู่ดีอย่างไร้คำบรรยาย เพราะเธอขี้อ้อนขึ้น ปากหวานขึ้น และที่สำคัญคือติดผัวแจ และอย่างหลังนี่แหละที่ทำให้เขาหลงเมียหนักมากจนหน้ามืดตามัว แทบจะไม่อยากห่างจากเธอ เจ้าของฟาร์มหมู (ที่มีหมูสองตัว) : ว่าไงครับพิกกี้?หมูสองตัวที่ว่าก็คือเมียกับลูกของเขานั่นเอง เมียเขาอวบเพราะช่วงนี้อยู่ในภาวะตั้งครรภ์ แม่ยอดยาหยีของเขามีน้ำมีนวลน่าจับฟัด แต่ก็ยังไม่ถึงกับอ้วน เพราะท้องยังไม่โตมากมายอะไร ยังไม่ต้องใส่ชุดคลุมท้อง พิกกี้ตัวอวบ : คิดถึงจั
สองปีผ่านไป“โอ๊ก! โอ๊ก! โอ๊ก!”เสียงประหลาดที่แว่วเข้ามาในหูตอนที่มหรรณพงัวเงียตื่น เพราะวาดมือไปข้างกาย แล้วไม่พบคนที่ตัวเองกกกอดไว้ทั้งคืน ทำให้คิ้วเข้มเหนือนัยน์ตาคมขมวดเข้าหากัน ก่อนที่เสียงประหลาดที่ว่าจะดังขึ้นอีกระลอก ทำเอาร่างใหญ่เด้งขึ้นจากที่นอน แล้วเดินแกมวิ่งไปยังห้องน้ำในสภาพที่ไม่มีเสื้อผ้าติดกายแม้แต่ชิ้นเดียว “แพร!”ทันทีที่เห็นร่างแน่งน้อยนั่งยองๆ เกาะขอบชักโครกโก่งคออาเจียนอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงห้าวก็หลุดอุทานออกมา ร่างใหญ่ถลาไปลูบหลังให้เบาๆ ครั้นเห็นเธอทำท่าขย้อนด้วยท่าทางสุดแสนทรมานก็ทำหน้าเหยเก จากนั้นก็คอยลูบหลังให้ไม่ห่าง กระทั่งเธอเงยหน้าขึ้นจากชักโครกด้วยสภาพเหนื่อยหอบ ใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยหยาดเงื่อ“มานี่มาที่รัก ผมพาไปล้างหน้า” ว่าแล้วเขาก็จัดการโอบประคองร่างอ่อนแรงไปยังเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า เปิดน้ำ แล้ววักน้ำล้างหน้าให้คนที่ยืนเอามือทั้งสองข้างค้ำขอบอ่างด้วยท่าทางยังไม่หายเหนื่อย จากนั้นก็หยิบแก้วมารองน้ำแตะมือเรียวให้เธอบ้วนปาก ปานระพีรับไปอย่างว่าง่าย บ้วนปากเสร็จก็พึมพำขอบคุณเสียงเนือยๆ ก่อนจะถูกสามีอุ้มกลับไปวางที่เตียงนอน“สีหน้าแพรไม่ดีเ
ไอ้หมาเวรติดสัด!แน่นอนมหรรณพเข้าใจในพฤติกรรมของสัตว์ ว่าจะต้องมีช่วงที่ถึงฤดูกาลหาคู่ผสมพันธุ์ แต่มันน่าโมโหตรงที่ไอ้หมาเวรลูกเทพของเมียเขา มันดันไปถูกตาต้องใจสาวเสียไกลถึงนนทบุรี และไม่ว่าจะหาหมาสาวๆ สวยๆ มาให้ไม่รู้กี่ตัวต่อกี่ตัว เจ้าซีซาร์ก็เข้าตำราหมาเมิน ไม่สน ทำเชิดหยิ่ง ไม่เข้าใกล้ และหวงตัวจนน่าหมั่นไส้ แต่อะไรก็ไม่น่าถีบเท่าตกดึกไอ้หมาจอมเรื่องมากจะร้องโหยหวนกวนประสาทรบกวนเวลานอน แถมเสียงของมันยังทำให้เมียเขาอยู่ไม่สุข จนต้องออกปากถามไถ่ถึงพฤติกรรมของมันในช่วงที่กลับมาจากไปเที่ยวในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าซีซาร์ดันไปเจอสาวที่ปั๊มน้ำมันตรงเซเว่นแห่งหนึ่งในชานเมืองนนทบุรี และไม่รู้ไปคุยกันอีท่าไหน ไม่นานมันก็พาสาวหายเข้าไปทางสุมทุมพุ่มไม้หลังห้องน้ำ ต่อมาก็มองตาละห้อยไปยังเบื้องหลังตลอดทางกลับบ้านจากนั้นไม่นานก็มีอาการกระวนกระวาย ไม่กิน ไม่นอน แถมยังทำท่าจะจับตุ๊กตาที่เขาซื้อไว้ให้ลูกที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเกิดกระทำชำเรา ตีความหมายว่า ‘ติดสัด’ แต่หาสาวมาให้ดันไม่เอา ไม่ยอมฟีเจอริง ซึ่งเขาก็เดาว่ามันคงติดใจสาวเมืองนนท์เข้าเสียแล้ว ถึงได้มีอาการกินไม่ได้ นอนไม่หลับ กร







