หวงจื่อหนิงในโลกเดิมเป็นนักโภชนาการ และนักวิจัยด้านอาหารที่ทำงานในศูนย์โภชนาการและสุขภาพโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง โดยมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านอาหาร สำหรับคนไข้เฉพาะทางและนักกีฬา
หน้าที่หลักของนักโภชนาการทางการแพทย์ คือการออกแบบแผนโภชนาการ สำหรับผู้ป่วยที่ต้องควบคุมอาหาร เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องฟื้นฟูร่างกาย ทำงานร่วมกับแพทย์และกำหนดอาหารเพื่อช่วยฟื้นฟูสุขภาพคนไข้ผ่านอาหาร วิจัยถึงผลกระทบของสารอาหารต่อโรคและสุขภาพของผู้ป่วย
ที่ปรึกษาด้านโภชนาการสำหรับนักกีฬา ดูแลเรื่องอาหารสำหรับนักกีฬาที่ต้องการเพิ่มพลังงานและสมรรถภาพ ออกแบบ
สูตรอาหารสำหรับการเพิ่มกล้ามเนื้อและฟื้นฟูร่างกาย ทดสอบระดับสารอาหารในร่างกายเพื่อปรับแผนอาหารให้เหมาะสมวิจัยอาหารผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทำงานในห้องวิจัยโภชนาการ ศึกษาว่าอาหารชนิดใดช่วยป้องกันโรคได้ วิจัยเกี่ยวกับอาหารฟังก์ชั่น เช่น โปรไบโอติกส์ที่ช่วยดูแลลำไส้ สารสกัดจากพืชที่ช่วยลดไขมันในเลือด และอาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
ทั้งยังเป็นเจ้าของเพจโภชนาการและสุขภาพ ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับ “อาหารบำบัดโรค” และ “เคล็ดลับสุขภาพ” รีวิวอาหารเพื่อสุขภาพของผู้คน รวมถึงให้ความรู้เกี่ยวกับการกินอาหารให้ถูกต้อง
ในสายงานนี้เธอมีความเชี่ยวชาญด้านอาหารบำบัดโรค เธอสามารถวิเคราะห์สุขภาพของแต่ละคน แล้วออกแบบอาหาร
ที่เหมาะสม การวิจัยสูตรอาหารที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และเข้าใจโครงสร้างสารอาหารอย่างลึกซึ้งแต่แล้ววันหนึ่งหวงจื่อหนิงที่ได้รับการว่าจ้าง จากบริษัทอาหารเสริมชื่อดังแห่งหนึ่ง เพื่อวิจัยเกี่ยวกับสารอาหารสำหรับคนที่อยากลดน้ำหนัก เธอพบว่าบริษัทชื่อดังใช้สารอันตรายในผลิตภัณฑ์ ที่อ้างว่าช่วยลดน้ำหนักได้รวดเร็ว ซึ่งมีผลข้างเคียงที่ร้ายแรงต่อร่างกาย
เมื่อพบเจอเรื่องที่เป็นอันตรายกับผู้บริโภค หวงจื่อหนิงไม่มีทางทำงานร่วมกับคนเหล่านี้อีก ‘ไม่ได้เรื่องนี้จะปล่อยผ่านไม่ได้เด็ดขาด หากไม่นำหลักฐานสำคัญไปส่งให้ถึงมือสื่อช่องต่าง ๆ รวมถึงตำรวจในเมืองนี้ คนที่กินอาหารเสริมชนิดนี้เข้าไปต้องเป็นอันตรายแน่ ๆ’
หวงจื่อหนิงรวบรวมข้อมูลทั้งหมดลงในแฟลชไดร์ หลังจากนั้นเธอยังคงทำตัวตามปกติ แต่ความจริงแล้วเธอลักลอบติดต่อนักข่าว และทีมสืบสวนของสถานีตำรวจไว้แล้ว เพื่อนัดแนะสถานที่ในการส่งมอบหลักฐาน
แต่หวงจื่อหนิงไม่รู้ว่าเผลอแสดงตัวมีพิรุธ จนถูกคนในบริษัทจับได้ตอนไหนก็ไม่อาจทราบได้ เพราะโทรศัพท์ของเธอเริ่มมีเบอร์แปลก ๆ โทรมาทุกวัน ซึ่งเบอร์เหล่านั้นล้วนโทรมาข่มขู่ เพื่อห้ามเธอไม่ให้เปิดโปงบริษัทอาหารเสริมแห่งนี้
ตื้ด ตื้ด ตื้ด หวงจื่อหนิงขมวดคิ้วมุ่นหันไปมองโทรศัพท์มือถือ ก่อนหยิบมันขึ้นมาและกดรับสาย “ฮัลโหล ใครคะ?”
เสียงทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความเย็นชา พูดข่มขู่ขึ้นทันทีที่เธอกดรับสายนั่น “คุณหวง คุณกำลังยุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่งนะ”
หวงจื่อหนิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนขยับปากพูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง “พวกคุณเป็นใคร?”
“หึ ๆ ๆ มันไม่สำคัญหรอกว่าผมเป็นใคร สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องหยุดทุกอย่างที่กำลังทำอยู่”
หวงจื่อหนิงกำโทรศัพท์ในมือไว้แน่น ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้น “พวกคุณคิดจะปิดปากฉันอย่างนั้นเหรอ? ฉันมีหลักฐานทั้งหมดนั่นอยู่ในมือ! ถ้าฉันเงียบนั่นหมายความว่า พวกคุณมีบางอย่างที่ปกปิดผู้บริโภคใช่ไหม”
เสียงของชายปริศนาเริ่มพูดให้หวงจื่อหนิงกลัวยิ่งกว่าเดิม “คุณฉลาดเกินไปแล้วคุณหวง และคนฉลาดมักจะมีจุดจบที่ไม่ดีเท่าไหร่”
แม้ตอนนี้หวงจื่อหนิงจะใจเต้นแรงด้วยความกลัว แต่ยังพยายามพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “ฉันไม่กลัวพวกคุณ! ถ้าพวกคุณไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วจะกลัวอะไรล่ะ?”
“กล้าหาญดีนี่ แต่ผมขอเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้าย วางมือซะ! มิฉะนั้นคุณอาจไม่มีวันได้ตื่นขึ้นมาทำงานที่คุณรักอีกต่อไป ติ๊ด!”
เมื่อถูกเบอร์ปริศนาโทรมาข่มขู่ถึงชีวิต หวงจื่อหนิงจึงคิดจะนำหลักฐานไปมอบให้นักข่าว รวมถึงตำรวจที่เธอติดต่อไว้ในคืนนี้ ขืนเธอปล่อยให้เรื่องมันยืดเยื้อต่อไป ในแต่ละวันเธอคงจะกลายเป็นคนขี้ระแวงไปเสียก่อน
หวงจื่อหนิงหายใจเข้าแรง ๆ เธอมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ที่เพิ่งดับลง “พวกมันกล้าขู่ฉันขนาดนี้เลยเหรอ”
เธอมองไปที่แฟลชไดร์สองชิ้นบนโต๊ะ มือกำแน่นด้วยความโกรธ “ฉันต้องเปิดโปงเรื่องนี้ให้ได้!” แต่เธอไม่รู้เลยว่าคืนนี้คือคืนสุดท้ายของชีวิตเธอในโลกนี้
ห้องทำงานหรูหราในตึกสูง ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชื่อดัง ชั้นสูงสุดของสำนักงานใหญ่บริษัทเฟิ่งหวงกรุ๊ป หญิงสาวในชุดสูทสีดำนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ราคาแพง และมองเอกสารในมือด้วยสายตาเย็นชา เพราะข้อมูลที่หวงจื่อหนิงได้ไปนั้นล้วนเป็นหลักฐานสำคัญที่สามารถมัดตัวเธอได้ “หลักฐานพวกนี้ถ้าหลุดออกไปเราจะเสียหายอย่างหนัก”
“เราจัดการกับคนที่ขโมยข้อมูลมาแล้ว แต่หวงจื่อหนิงยังมีหลักฐานอีกชุดหนึ่งในมือ”
“ฉันให้เวลาพวกแกมานานเกินไปแล้ว”
“เธอกำลังหาทางนำหลักฐานไปมอบให้สื่อ ถ้าเราไม่ลงมือคืนนี้เกรงว่าพรุ่งนี้ข่าวจะกระจายไปทั่ว”
“งั้นก็ให้แน่ใจว่าเธอจะไม่มีวันไปถึงที่นั่น”
“เข้าใจแล้วครับ เราจะทำให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุ และจะไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ ให้ตำรวจสาวมาถึงตัวได้แน่”
“ดีมาก แต่อย่าทำให้มันดูน่าเกลียดจนเกินไปล่ะ ฉันจะรอฟังข่าวดีจากพวกนายอยู่ที่นี่”
“รับทราบครับ”
เสียงพึมพำเบา ๆ ของหญิงสาวในชุดสูทสีดำ ขณะที่เธอนั่งจิบไวน์แดงและสั่งการเสียงเข้มกับลูกน้องคนสนิท “เธอฉลาดเกินไปน่าเสียดายความสามารถของเธอจริง ๆ หวงจื่อหนิง ฮ่า ๆ ๆ”
ณ ลานจอดรถของโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเป็นสถานที่ที่หวงจื่อหนิงจะทำการมอบหลักฐาน เธอเร่งฝีเท้าเดินไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปที่รถของตนและกำลังรอใครบางคนอย่างใจจดใจจ่อ หลักฐานที่เธอได้มาใช้เวลาหลายเดือน กว่าจะรวบรวมเกี่ยวกับสารอันตราย ที่ผสมลงไปในอาหารเสริมของบริษัทใหญ่แห่งนี้
จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของหวงจื่อหนิงก็ดังขึ้น แต่เบอร์และชื่อที่ปรากฏเป็นเพื่อนที่ทำงานของเธอเอง “จื่อหนิง! ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน”
“ฉันอยู่ในลานจอดรถของโรงพยาบาล กำลังรอส่งหลักฐานให้สื่อกับตำรวจ หมอหลิวฉันแน่ใจในข้อมูลพวกนี้ พวกเขาใช้สารต้องห้ามในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร!”
หมอหลิวรีบบอกกับหวงจื่อหนิงด้วยน้ำเสียงร้อนรน “หนีไปจื่อหนิง! พวกเขารู้ตัวแล้วว่ามีคนขโมยข้อมูลและฉันคิดว่า...”
ทันใดนั้น ไฟหน้ารถคันหนึ่งก็ส่องสว่างจ้า มันพุ่งเข้าหาเธอด้วยความเร็วสูง เสียงล้อบดพื้นถนนดังเอี๊ยด! กรี๊ดดด! โครม! ตุบ อัก
“มะ มะ ไม่นะ ชะ ชะ ฉันยังไม่ได้เปิดโปงเรื่องนะ...” หวงจื่อหนิงกำแฟลชไดร์ไว้ในมือแน่น เธอหันหลังหมายจะหนีแต่มันสายเกินแก้ เสียงรถชนร่างของเธออย่างรุนแรงก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป
ในโลกเดิมใบนี้หวงจื่อหนิงไม่มีอะไรให้ห่วง พ่อแม่และน้องชายต่างย้ายไปอยู่ในเมืองใหญ่ ปล่อยทิ้งให้เธออยู่กับคุณยายตั้งแต่เด็ก ซึ่งคุณยายของเธอเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ส่วนคนรักของเธอก็เลิกรากันไปไม่ดีเท่าไหร่นัก สำหรับพ่อแม่ของเธอจะรู้สึกกับการตายของเธอยังไง ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ส่วนตัวของเธอคงได้ไปเกิดใหม่อีกครั้ง
แน่นอนว่าหวงจื่อหนิงย่อมได้กลับไปเกิดใหม่ แต่การเกิดใหม่ของเธอนั้นกลับมีชีวิตที่ลำบากกว่าชาตินี้เสียอย่างนั้น กว่าจะหาทางหลบหนีออกจากตระกูลชั่ว ๆ ได้ ก็เล่นเอาหวงจื่อหนิงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
เมื่อจื่อหนิงรับปากหลี่อ๋องไว้แล้ว ว่าจะดูแลเรื่องอาหารบำรุงให้ ไม่ว่าจะเป็นยามอยู่ที่จวนหรือยามไปทำงานที่ค่ายทหาร ดังนั้นในวันที่สองกับการได้อยู่จวนอ๋องแห่งนี้ จื่อหนิงจึงตื่นตั้งแต่ยามเหม่าเพื่อเตรียมอาหาร และสิ่งที่นางทำในเช้าวันนี้ก็คือโจ๊กข้าวกล้องใส่พุทราแดง ที่ช่วยลดอาการจุกแน่นรวมถึงเสริมพลังให้ร่างกายแต่สิ่งที่ทำให้บ่าวไพร่ตกใจจนทำตัวไม่ถูก แม้แต่ชางอวี่ก็ยังไม่อยากเชื่อสายตาของตน คือการที่หลี่อ๋องมานั่งรับสำรับเช้ากับซื่อจื่อน้อยที่เรือนหยางชู ซึ่งยามนี้ชางเซิ่งกำลังคุกเข่าขออภัยซื่อจื่อ และร้องไห้เพราะดีใจและเสียใจไปพร้อมกัน“ฮึก ซื่อจื่อเป็นบ่าวที่ไม่ดีปล่อยให้ท่านตกอยู่ในอันตราย โปรดอภัยให้บ่าวผู้นี้ด้วยขอรับ ต่อไปบ่าวจะไม่ยอมอยู่ห่างกายท่านอีกแล้ว ฮึก คนพวกนั้นทำร้ายซื่อจื่อหรือไม่ขอรับ”ซื่อจื่อน้อยมององครักษ์ของตนและกลั้นยิ้ม เพราะท่าทางของชางเซิ่งที่ร้องไห้เป็นเด็ก มันช่างขัดกับรูปร่างหน้าตาของเขายิ่งนักแต่จะหัวเราะออกมาซึ่งหน้าก็ไม่ได้“ชางเซิ่งเจ้าหยุดร้องไห้เถิด ข้าไม่โทษเจ้าหรอกที่ช่วยข้าไว้ไม่ทัน เป็นคนพวกนั้นที่วางแผนได้ดีเกินคาด จึงพาตัวข้าไปจากเจ้าได้แต่ตอนนี
หลังจากยืนรอให้หลี่อ๋องเสวยอาหารเสร็จ จื่อหนิงที่เอาแต่ยืนยิ้มด้วยความดีใจ ที่ขาทองคำยอมทานอาหารของนาง ซึ่งหลี่อ๋องยอมรับว่าอาหารที่จื่อหนิงทำนั้น ช่างเป็นรสชาติที่ถูกใจตนเองมาก ทำให้หลี่อ๋องจับตามองจื่อหนิงมากกว่าเดิม“อะ ฮึ่ม แม่นางจื่อหนิง”“หือ อ๊ะ ท่านอ๋องทรงเรียกหม่อมฉันหรือเพคะ”“ใช่ เปิ่นหวางแค่จะบอกเจ้าว่าฝีมือการทำอาหารของเจ้าใช้ได้ และสิ่งที่เจ้าพูดมานั้นก็ถูกต้องไม่น้อย ถ้าเช่นนั้นต่อไปอาหารทุกมื้อของเปิ่นหวาง รบกวนแม่นางจื่อหนิงช่วยดูแลด้วยก็แล้วกัน ยกเว้นวันที่ต้องไปค่ายทหารนอกเมืองเจ้าไม่ต้องทะ...”“ได้อย่างไรเพคะ! ถึงท่านอ๋องต้องออกไปที่ค่ายทหาร แต่ยังต้องมีอาหารติดไปเสวยระหว่างทางด้วยสิ จะขาดมื้อใดมื้อหนึ่งไม่ได้เด็ดขาดจนกว่าอาการปวดท้องจะหายดีเพคะ”หลี่อ๋องกำลังคิดว่าท่าทางที่จื่อหนิงกำลังทำอยู่ ช่างเหมือนกับมารดาบ่นด้วยความเป็นห่วงบุตร ซึ่งหลี่อ๋องก็เคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงทำให้หลี่อ๋องเผลอยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว“ในเมื่อแม่นางจื่อหนิงเป็นกังวลเรื่องสุขภาพของเปิ่นหวาง หากไม่ลำบากจนเกินไปนักเจ้าก็ทำตามความต้องการของเจ้าเถิด”“ท่านอ๋องพูดจริงหรือเพคะ! อย่าหลอกให
ทางด้านเรือนหยางชูของซื่อจื่อน้อยหลี่จื่อคัง ยามนี้จื่อหนิงที่ได้ชำระล้างร่างกายผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว กำลังนำวัตถุดิบที่ได้เอ่ยขอกับพ่อบ้าน นำมาปรุงเป็นอาหารมื้อกลางวัน สำหรับเจ้านายตัวน้อยที่ตนได้ช่วยชีวิตเอาไว้ โดยมีเจตนาแอบแฝงเพื่อเกาะขาทองคำอย่างหลี่อ๋องจื่อหนิงไม่รู้ว่าหลี่อ๋องจะกลับจวนมาเมื่อใด แต่นางมีใจทำอาหารมื้อกลางวันไว้เผื่อด้วยเช่นกัน ซึ่งอาหารที่นางทำย่อมเป็นอาหารบำรุงร่างกาย และถูกต้องตามหลักโภชนการที่นางทำอยู่เสมอ เนื่องจากจื่อหนิงสังเกตเห็นท่าทางยามที่หลี่อ๋องมีโทสะ เขาแอบใช้มือข้างหนึ่งกุมที่ท้องไว้แน่น‘เสี่ยวถังเป่าเจ้าว่าหลี่อ๋องจะมีอาการป่วยหรือไม่’‘เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าหลี่อ๋องมีอาการป่วย หรือเจ้าสังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติ’‘อืม ใช่แล้วล่ะข้าแอบเห็นหลี่อ๋องกุมท้อง ยิ่งตอนที่มีโทสะการหายใจก็ผิดปกติเช่นกัน’‘หากเป็นเช่นที่เจ้าว่ามา นี่เป็นโอกาสดีที่เจ้าจะช่วยรักษา เมื่อหลี่อ๋องเห็นถึงความสามารถของเจ้าย่อมรั้งเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไป เช่นนี้ยามหลี่อ๋องเสด็จไปเมืองหลวง เจ้าคงได้ติดตามไปพร้อมกับเสี่ยวอวี้ อย่าปล่อยให้โอกาสดี ๆ ให้หลุดมือไปเด็ดขาดนะจื่อหนิง’‘แน่นอนเสี่ยว
สิ่งที่หลี่อ๋องพูดกับหวงฉุนฟางนั้น สร้างความตกตะลึงให้กับคนในครอบครัวอย่างมาก พวกเขาแค่คิดว่านางมีนิสัยเอาแต่ใจ มิใช่คนใจร้ายถึงขั้นคิดฆ่าคนได้มาก่อนนายท่านหวงคิดว่าตนเองหูฝาด จึงได้เอ่ยถามกับหลี่อ๋องอีกครั้งให้แน่ใจ “ทะ ทะ ท่านอ๋องท่านบอกว่าผู้ใดคือคนร้ายนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิได้หูฝาดเพราะอายุมากใช่หรือไม่ท่านอ๋อง”“นะ นะ นี่นางใจกล้าคิดสังหารลูกของเจี๋ยเอ๋อร์งั้นหรือ แต่นั่นเป็นหลานชายของนางนะ ต่างก็มีสายเลือดเดียวกันเหตุใดถึงทำได้ลงคอ ฮึก” เฉินฮูหยินร้องไห้ด้วยนึกสงสารบุตรสาวและหลานชายของตนยิ่งนักหวงฉุนฟางละล่ำละลักแก้ตัวเป็นพัลวัน “มะ มะ ไม่จริงนะเพคะท่านอ๋อง ต้องมีคนอิจฉาที่หม่อมฉันเข้าออกจวนอ๋องบ่อย ๆ ถึงได้จ้างคนให้ทำการลักพาตัวซื่อจื่อและโยนความผิดมาให้หม่อมฉัน ท่านอ๋องเชื่อหม่อมฉันเถิดหม่อมฉันไม่ได้ทำจริง ๆ เพคะ”“หึ เจ้าไม่ยอมรับว่าเป็นคนสั่งการสินะ ได้ เปิ่นหวางจะทำให้เจ้ายอมรับแต่โดยดี ชางอวี่นำคนเข้ามา” ในเมื่อคนร้ายไม่ยอมรับสารภาพ การเบิกตัวพยานย่อมไม่ต้องรั้งรอกันอีก“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”ชางอวี่ออกไปเพียงชั่วอึดใจก็กลับเข้ามาพร้อมพยาน ซึ่งพยานคนนี้ยิ่งทำให้หวงฉุนฟางถึง
รถม้าคันใหญ่ที่หลี่อ๋องเคยใช้แทบนับครั้งได้ วันนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่หลี่อ๋องจะนั่งรถม้า เพื่อไปสะสางปัญหาความวุ่นวายที่หวงฉุนฟางได้ทำกับจวนอ๋องเอาไว้ชาวบ้านในเมืองหลงเฉิงเกิดความสงสัย เมื่อจวนอ๋องมีความเคลื่อนไหวโดยมีกำลังทหาร คอยเดินตามรถม้าจำนวนหลายสิบนาย มีหลายคนนึกถึงเรื่องที่ซื่อจื่อถูกลักพาตัว จึงชักชวนกันเดินตามรถม้าอยู่ห่าง ๆจนกระทั่งรถม้ามาหยุดอยู่หน้าจวนตระกูลหวง บ่าวไพร่ที่เห็นว่าผู้มาเยือนคือใคร ถึงกับวิ่งเข้าไปรายงานเจ้าของจวน เพื่อออกมาต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ด้วยตนเอง นายท่านหวงเมื่อได้ยินบ่าวเข้ามารายงานว่าหลี่อ๋องเสด็จมาเยือนที่จวน จึงได้เร่งฝีเท้าของตนออกมาต้อนรับแฮ่ก ๆ ๆ “ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะเสด็จมาขออภัยที่ออกมาต้อนรับล่าช้า”หลี่อ๋องปรายตามองมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ “นายท่านหวงอย่าได้กล่าวเช่นนั้น อย่างไรเสียพวกเราก็เกี่ยวดองเป็นญาติกัน เป็นฝ่ายเปิ่นหวางเสียมากกว่าที่มาโดยไม่บอกกล่าว”“หามิได้ ๆ พ่ะย่ะค่ะ เชิญท่านอ๋องเข้าไปด้านใน ดื่มน้ำชาก่อนแล้วค่อยพูดคุยกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หวงซวนถานนายท่านของจวน รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตั
ชางอวี่ติดตามเหมยลี่ไปจนถึงจวนตระกูลหวง จึงต้องใช้วิธีอื่นในการลอบเข้าจวนแห่งนี้ เพื่อต้องการสืบให้รู้ว่าผู้ที่เหมยลี่มาพบเป็นผู้ใด เมื่อมาถึงเรือนเล็กหลังหนึ่งก็พบว่า เหมยลี่หันมองซ้ายขวาก่อนจะหายเข้าไปด้านใน ตัวของชางอวี่จึงยืนแอบอยู่ด้านหลังหน้าต่างเงียบ ๆหวงฉุนฟางที่กำลังนั่งพักผ่อนกลับต้องแปลกใจ เมื่อเห็นว่าเหมยลี่มีท่าทางลุกลี้ลุกลนคล้ายกับพบเจอเรื่องตกใจ จนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ “เหมยลี่เจ้ามาทำอันใดที่เรือนของข้า”“คุณหนูสามแย่แล้วเจ้าค่ะ แย่แล้ว!”“แย่อะไรของเจ้าพูดมาให้ชัดกว่านี้มิได้รึ เจ้าเอาแต่พูดว่าแย่ ๆ แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามันคือเรื่องอะไร” หวงฉุนฟางเริ่มไม่สบอารมณ์ เมื่อเหมยลี่เอาแต่พูดคำว่าแย่กับนาง“ที่บ่าวบอกว่าแย่แล้วเป็นเพราะวันนี้ซื่อจื่อถูกคนช่วยไว้ได้ และกลับมาที่จวนบ่าวถึงได้รีบหาวิธีออกมารายงานคุณหนูเจ้าค่ะ” เหมยลี่รีบพูดเพราะนางเกรงว่าโจรพวกนั้นจะถูกจับตัวได้แล้วพรึบ! “เจ้าว่าอะไรนะ! เด็กนั่นมีคนช่วยเอาไว้และกลับมาที่จวนแล้วเช่นนั้นรึ ไหนเจ้าบอกว่าไอ้พวกชั้นต่ำทำงานได้ดีมิใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ หา! เหมยลี่” หวงฉุนฟางลุกขึ้นตะคอกเหมย
เรื่องราวที่ออกจากปากของซื่อจื่อน้อย ทำเอาเจ้าของจวนรวมถึงพ่อบ้านห้าวและชางอวี่ เกิดอาการตกใจจนแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน คาดไม่ถึงว่าสาวใช้ของฮูหยินรองจะมีนิสัยร้ายกาจ ถึงกับกลั่นแกลังบุตรของเจ้านายเช่นนี้ได้แต่คนที่มีโทสะมากกว่าผู้ใดคงหนีไม่พ้นหลี่อ๋อง เขากำหมัดแน่นพยายามควบคุมอารมณ์โกรธของตน เพราะไม่อยากทำให้บุตรชายต้องตกใจ “ชางอวี่! ไปลากตัวสาวใช้ของน้องสะใภ้มาที่นี่ เดี๋ยวนี้! เปิ่นหวางจะไต่สวนนางด้วยตนเอง”ชางอวี่ที่รู้สึกโกรธเช่นกันรับคำสั่งไม่มีรีรอ “พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”จื่อหนิงยังไม่อยากให้เรื่องมันจบเร็วเกินไป นางจึงรีบเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “ประเดี๋ยวก่อนเพคะท่านอ๋อง”“แม่นางจื่อหนิงห้ามเปิ่นหวางด้วยเหตุใดรึ?”“หม่อมฉันมิได้คิดจะห้ามไม่ให้ท่านอ๋องไต่สวนเพคะ เพียงแต่เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นฝีมือของสาวใช้ผู้นั้นคนเดียว มิสู้ท่านอ๋องลองสังเกตท่าทีของนาง เมื่อได้เห็นว่าซื่อจื่อกลับมาอย่างปลอดภัย เผื่อว่าสาวใช้ผู้นั้นจะนำความไปบอกกล่าวใครบางคน คราวนี้จะได้รู้เสียทีว่าใครที่คิดทำร้ายซื่อจื่อเพคะ” จื่อหนิงย่อมอยากมีผลงานเพื่อแสดงความสามารถให้ขาทองคำได้เห็น ว่านางมิได้เก่งเพียงแค่เรื่อง
ภายในเรือนหย่งเจิงที่หลี่อ๋องใช้ทำงานเกี่ยวกับกองทัพ เจ้าของเรือนยังคงมีสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดไม่จางหาย ที่เป็นเช่นนี้เพราะยังไม่ได้รับข่าวจากคนของตน เกี่ยวกับหลานชายเพียงคนเดียวที่หายไป แต่ความกังวลใจของหลี่อ๋องกำลังจะถูกคลี่คลาย เมื่อเสียงเล็ก ๆ ที่คุ้นเคยเรียกตนเองอยู่ด้านหน้าประตู“เสด็จพ่อ ๆ เสี่ยวอวี้กลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หลี่อ๋องเริ่มขมวดคิ้วคมดุจกระบี่เข้าหากัน และเอ่ยถามชางอวี่ถึงที่มาของเสียงเล็ก ๆ นั่น “หือ ชางอวี่เจ้าได้ยินเสียงเด็กเหมือนข้าหรือไม่ เสียงนั่นคล้ายเสียงของเสี่ยวอวี้มาก หรือเพราะเปิ่นหวางเป็นห่วงเสี่ยวอวี้มากเกินไปจนหูฝาดงั้นหรือ”ซื่อจื่อน้อยยังคงส่งเสียงเรียกหลี่อ๋องอีกครั้ง “เสด็จพ่อออ! ท่านอยู่ด้านในหรือไม่เสี่ยวอวี้กลับมาหาท่านแล้ว”ชางอวี่ที่ตั้งใจฟังเสียงเล็ก ๆ เพื่อความแน่ใจ เมื่อรับรู้ได้ว่ามีคนอยู่ด้านนอกจริง จึงรีบตอบคำถามของหลี่อ๋องทันที “ท่านอ๋องพระองค์มิได้หูฝาดพ่ะย่ะค่ะ มีคนอยู่ด้านหน้าประตูเรือนหย่งเจิงจริง ๆ หรือว่าเสียงที่พระองค์ได้ยินจะเป็นเสียงของซื่อจื่อพ่ะย่ะค่ะ”จื่อหนิงเห็นซื่อจื่อน้อยเริ่มมีสีหน้าไม่ดี นางจึงอาสาเคาะประตูให้แต่ช่างบัง
ส่วนจื่อหนิงนั้นเดินทางจากเมืองหลันเถียน โดยการจ้างรถม้าคันขนาดกลางที่ใช้นอนพักได้ยามกลางคืน นางพาซื่อจื่อน้อยนั่งรถม้าผ่านมาสามสี่วันแล้ว ในที่สุดก็มองเห็นกำแพงเมืองหลงเฉิงเสียทีเมื่อผ่านการตรวจป้ายประจำตัวจากทหาร จื่อหนิงก็ให้รถม้าไปส่งนางที่จวนของหลี่อ๋อง คราแรกคนบังคับรถม้าจะไม่ยอมไป นางจำเป็นต้องเพิ่มเงินอีกเล็กน้อย เพื่อให้คนงานคนนี้มีกำลังใจในการทำงาน ซึ่งมีซื่อจื่อน้อยคอยบอกทางเสร็จสรรพจนกระทั่งรถม้ามาหยุดอยู่ด้านหน้าจวนขนาดใหญ่ ซึ่งมีบ่าวไพร่มายืนเฝ้าระวังเวรยามที่มองมายังรถม้าอย่างสนใจ ว่าด้านในจะใช่สตรีหน้าด้านคนใดอีกหรือไม่ พอเห็นว่าเป็นสตรีรูปร่างซูบผอมเล็กน้อย กลับกลายเป็นความแปลกใจว่านางมาทำอันใดที่นี่“แม่นางเจ้ามาทำอันใดที่จวนแห่งนี้หรือ”หลังจากจื่อหนิงลงมายืนด้านล่างได้อย่างมั่นคงแล้ว จึงเงยหน้าตอบคำถามของบ่าวที่ยืนรอคำตอบอยู่ “อ้อ พี่ชายท่านนี้ข้ามีเรื่องสำคัญมากและมันเกี่ยวกับซื่อจื่อของจวนอ๋อง ไม่ทราบว่าท่านอ๋องอยู่ด้านในจวนหรือไม่ รบกวนพี่ชายไปรายงานให้ข้าทีเถิด”“เจ้าว่าอะไรนะ! ที่เจ้านั่งรถม้ามาจวนของท่านอ๋อง เพราะเรื่องของซื่อจื่องั้นหรือ นี่แม่นางเจ้าอย่า