เข้าสู่ระบบ“สรุปว่าเรื่องหมั้นหมายมันยังไงกันแน่ครับ พ่อแม่” วรากรเอ่ยถามผู้เป็นพ่อและแม่ขึ้นมาอีกครั้งทันที ที่แขกผู้มาเยือนกลับออกไปแล้ว
“แม่กับอรเราเคยให้คำมั่นสัญญากันไว้ตั้งแต่ที่พวกเรายังไม่มีครอบครัวแล้ว ว่าหากพวกเรามีลูกเราทั้งสองจะผูกดองกัน แล้วจะให้ลูกของพวกเราได้หมั้นหมายและแต่งงานกัน” อรอนงค์จึงบอกความจริงเรื่องในอดีตของเธอกับเพื่อนให้วรากรได้ฟัง ส่วนสามีนั้นอรอนงค์ก็พึ่งเล่าบอกไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง
“เพราะเหตุนี้หรือเปล่าครับ ที่พ่อกับแม่ไปขอผมมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพียงเพราะสิ่งนี้หรือเปล่าครับ” วรากรถามขึ้นมาทันทีที่ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟัง เพราะเขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าที่พวกท่านเอาเขามาเลี้ยง เพียงเพื่อให้ตอบแทนบุญคุณของพวกท่านเท่านั้น ไม่มีความรักความผูกพันใด ๆ เลย ใบหน้ารู้สึกผิดหวังเผยออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับเรื่องหมั้นหมายเลยนะกร” อภิเดชจึงแทรกขึ้นมาบ้าง เกรงว่าลูกชายจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
“จะไม่เกี่ยวได้ยังไงครับพ่อ นี้มันเรื่องใหญ่ในชีวิตผมเลยนะครับพ่อ”
“จริงอยู่ที่พ่อกับแม่เราไม่มีทายาทไว้สืบสกุล แต่ที่พ่อกับแม่รับกรมาเลี้ยงนั้น เพราะพ่อรักและเอ็นดูกรจริง ๆ ลูก พ่อไม่เคยคาดหวังอะไรในตัวกรเลยนะ แต่เรื่องหมั้นหมาย พ่อก็ไม่รู้ว่าแม่เขามีคำสัญญาอะไรกันแบบนี้ เพราะแม่พึ่งจะบอกพ่อเมื่อไม่กี่วันมานี้” อภิเดชรีบบอกความจริงให้วรากรฟัง เพราะเขาเองไม่มีส่วนรู้เห็นมาก่อนเลย
“ลูกทำเพื่อแม่สักครั้งนะกร” อรอนงค์เอ่ยร้องขออย่างออกอ้อนเพื่อให้วรากรเห็นใจ
“แต่แม่ครับ...”
“น่ะกร ตอนนี้กรก็ยังไม่มีใครไม่ใช่เหรอ”
“แม่รู้ได้ยังไงครับ ว่าผมยังไม่มีใคร” วรากรได้แต่เลิกคิ้วถามมารดากลับไปบ้าง
“ถ้ากรหมายถึงพวกผู้หญิงที่กรหิ้วขึ้นคอนโดพวกนั้น ก็ให้กรตัดทิ้งไปได้เลย เพราะแม่ไม่มีทางยอมรับผู้หญิงพวกนั้นมาเป็นสะใภ้แม่เด็ดขาด” อรอนงค์สั่งห้ามและยืนกรานทันที เพราะลูกชายน่าจะถูกใจผู้หญิงที่เป็นคู่นอนคนไหนสักคนเข้าแล้วถึงพูดออกมาแบบนั้น
วรากรได้แต่ก้มงุดอย่างเคร่งเครียดคิดไม่ตก เพราะเรื่องราวของเขาเองตอนนี้ก็ยังสับสนใจอยู่ และก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่าบอกความจริงกับพวกท่านอย่างไรดี
“ผมก็ไม่ได้คิดที่จะเอาผู้หญิงพวกนั้นมาเป็นลูกสะใภ้แม่เสียหน่อย” เขาบอกกับผู้เป็นแม่ออกไปอย่างมั่นใจเพื่อความสบายใจของพวกท่าน ถึงตอนนี้เขายังไม่มีใคร แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเอาคู่นอนมาเป็นคู่ชีวิตเขาอยู่แล้ว
“จะยังไงก็ช่าง ตอนนี้คือกรต้องรีบเคลียร์ผู้หญิงพวกนั้นออกไปจากชีวิตแกให้หมด แล้วรอเข้าพิธีหมั้นกับน้องพลอย” อรอนงค์ยื่นคำขาดออกไปกับลูกชายทันที
“ผมหมั้นกับใครไม่ได้จริง ๆ ครับแม่ ผมมี...”
“กรมีใคร? ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครมาจากไหน เป็นลูกเต้าเหล่าใครละ”
ยังไม่ทันที่วรากรจะได้เอ่ยจบ อรอนงค์ก็สวนขึ้นทันควันอย่างไม่พอใจ เมื่อลูกชายพูดเหมือนว่ามีคนสำคัญอยู่ในใจแล้ว
ส่วนวารากรเอง ก็ไม่รู้จะเริ่มบอกเรื่องไหนกับพวกท่านก่อนดี ได้แต่อ้ำอึ้งถอนหายใจยาวพรืดอยู่หลายต่อหลายครั้ง
“ผมไม่รู้จะพูดยังไง คือ...”
“อะไร?”
วรากรถอนยาวใจยาวอีกครั้งอย่างหนักใจ ก่อนจะหันไปมองผู้เป็นพ่อ ก็เจอกับสายตากดดันของมารดาที่ขู่มาทางตน
“แม่ครับ พ่อครับ ถ้าผมบอกว่าพ่อกับแม่เป็นปู่เป็นย่าคนแล้ว พ่อกับแม่จะเชื่อไหมครับ” วรากรลองหยั่งเชิงถามดู และคอยสังเกตุปฏิกิริยาของพวกท่านทั้งสองด้วย
“จริงเหรอกร” อภิเดชเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ ไม่รู้หรอก ว่าลูกชายพูดเรื่องจริง หรือแค่แซวเล่น เพราะความรู้สึกของคนที่ไม่เคยมีลูก เมื่อลูกชายพูดแบบนี้ความรู้สึกตื้นตันผุดขึ้นมาทันที
“ไม่ แม่ไม่เชื่อ” อรอนงค์ค้านขึ้นมาทันที เพราะไม่เชื่อในสิ่งที่ลูกชายบอก เธอเลี้ยงวรากรมา ถึงแม้จะไม่ได้เลี้ยงมาตั้งแต่เกิด แต่เธอรู้ดีว่าลูกชายเป็นคนรอบคอบขนาดไหนไม่มีทางที่จะไปทำผู้หญิงที่ไหนท้องได้แน่นอน
“ทำไมละอร” อภิเดชถามผู้เป็นภรรยากลับอย่างไว
“คุณพี่ไม่รู้จักนิสัยลูกชาย ที่คุณพี่เลี้ยงมาเองหรือค่ะว่าตากรเป็นคนแบบไหน” อรอนงค์ถามผู้เป็นสามีออกไปด้วยใบหน้าที่ผิดหวัง ที่สามีไม่เชื่อมั่นในตัวของลูกชาย
“...” อภิเดชนิ่งเงียบมองหน้าลูกชายแต่ไม่ได้พูดอะไรคิดไม่ตกไปต่าง ๆ นา ๆ
“นี่แกคิดจะมาโกหกพ่อกับแม่เพื่อที่จะไม่ต้องหมั้นกับน้องพลอยใช่ไหม” อรอนงค์จึงหันหน้ามองลูกชายด้วยสายตาที่ผิดหวัง พูดขึ้นอย่างน้อยใจที่ลูกชายรอ่านสร้างเรื่องขึ้นมาโกหก
“เรื่องจริงครับแม่ ตอนนี้ผมเป็นพ่อคนแล้ว” วรากรยืนยันด้วยคำพูดและสายตาที่หนักแน่น
“หมายความว่ายังไง แกไปทำใครท้องจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ” อภิเดชจึงถามลูกชายขึ้นอย่างจริงจัง เมื่อเห็นว่าวรากรไม่ได้โกหกแน่
“ครับ”
“ทำไมลูกไม่ป้องกันละกร แกก็รู้ว่าผู้หญิงสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้ นี้ปล่อยให้ตัวเองท้องก็คงหวังจะจับลูกละสิ” อรอนงค์ได้แต่ตำหนิ ต่อว่าลูกชายออกไปทันที แถมยังเอ่ยเย้ยหยันดูถูกถึงหญิงสาวคนนั้นด้วยสายตาที่ไม่พอใจ
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับแม่”
“แล้วมันมีเหตุผลไหนล่ะที่ผู้หญิงพวกนั้นจะปล่อยให้ตัวเองท้องได้ เพราะรู้ว่าแกเป็นใครไงลูก”
“เธอไม่ใช่พวกผู้หญิงแบบนั้นนะครับแม่ ผมยืนยันได้” วรากรยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เมื่อมารดากำลังกล่าวหาดูถูกแม่ของลูกเขา
“แล้วเป็นผู้หญิงแบบไหน เป็นแฟนกันเหรอไง แล้วคบกันมานานแค่ไหนแล้วละ” อรอนงค์ถามต่อทันที เมื่อเห็นว่าลูกชายกำลังเข้าข้างและปกป้องผู้หญิงคนนั้น
“ไม่ใช่แฟนครับ แต่รับรองว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่แม่คิดแน่นอน”
“เฮ้อะ ผู้หญิงที่ยอมนอนกับผู้ชายแล้วปล่อยให้ตัวเองท้อง จะให้แม่มองเป็นผู้หญิงแบบไหนกร แล้วลูกมั่นใจมากแค่ไหนว่าเป็นลูกของตัวเอง ไม่ใช่ว่ามั่วจนหาผู้ชายมารับผิดชอบไม่ได้หรอกนะ เลยมาจับกรแทน” อรอนงค์ได้แต่แค่นหัวเราะ เมื่อลูกชายปกป้องผู้หญิงคนนี้อย่างสุดใจ
พวกเธออยู่ในสังคมนี้มานานตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ เธอย่อมรู้ดีว่าเป็นแบบไหน เธอเองก็เคยเจอและผ่านเหตุการณ์แบบนี้มา เพราะสมัยตัวเองยังหนุ่มสาว ผู้หญิงก็เข้าหาสามีและเคยถูกแอบอ้างว่าท้องมาให้รับผิดชอบเหมือนกัน
แต่ผิดกับเธอ ที่อยู่กินกับผู้เป็นสามีมานานก็ยังไม่มีทายาทเลย ทั้งสองจึงได้ไปตรวจและได้รับรู้ว่าอภิเดชนั้นเป็นหมัน ไม่สามารถมีบุตรได้
“เพราะผมเป็นผู้ชายคนแรกของเธอครับ”
กัลยาณมิตรที่ดีบ้านสวนปานวิชญ์“กลับเฮือนมึงไปได้แล้วบักโก ให้เวลาสองแม่ลูกเขาได้พักผ่อนแหน่” (กลับบ้านมึงไปได้แล้วไอ้โก ให้สองแม่ลูกเขาได้พักผ่อนหน่อย) ชนาวิชญ์เอ่ยขึ้นมาทันที เมื่อยังเห็นเพื่อนของเขาอยู่ที่บ้านของสุทธิดาตั้งแต่เช้ายังไม่ยอมกลับไป“กูสิกลับอยู่ดอก มึงกะอย่าฟ้าวไล่กูหลาย” (กูจะกลับอยู่หรอก มึงก็อย่าพึ่งไล่กูสิ) โกสินทร์ทำเป็นไขสือและเอ่ยตอบด้วยวาจาที่ดูเหน็บแนมคนพูด“มึงจำคำที่กูเว้าได้บ่” (มึงจำคำที่กูพูดได้ไหม)“ฮืม...”โกสินทร์จำได้ดีว่าชนาวิชญ์เคยพูดอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่เพราะตัวเขาเองยังปรับปรุงตัวเองไม่ได้ และเป็นความเคยชินที่เขานั้นมักจะมุกขลุกอยู่ที่นี่เป็นประจำ เรื่องทำงานเขาได้งานทำแล้ว แค่รอวันที่ถูกเรียกตัวเท่านั้น“จำได้กะเฮ็ดให้มันได้นำแหน่” (จำได้ก็ทำให้มันได้ด้วย) ชนาวิชญ์ตอกย้ำอีกที“กลับก่อนนะธิดา” โกสินทร์จึงหันมาบอกกลับเจ้าของบ้านหลังนี้ ที่เขาใช้เวลามานั่งเล่นอยู่เกือบทั้งวันแล้ว“...” สุทธิดาได้แต่พยักหน้ารับ แล้วก็หันมาสนใจลูกสาวตัวน้อยขของเธอต่อโกสินทร์มองหน้าคุณแม่ลูกอ่อนด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ก่อนจะยอมลุกขึ้น แล้วเดินออกไปจากบ้านหลังนี้“วัน
แค่หวังดีต่อกัน“อย่ามาพูดปากเปล่าโดยที่ไม่มีอะไรมายืนยัน แกกุเรื่องขึ้นมาเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องหมั้นกับหนูหรือเปล่าใครจะไปรู้” อภิเดชสวนขึ้นมาบ้างวรากรจึงลวงโทรศัพท์มือถือของเขาในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วเปิดข้อมูลอะไรในหลาย ๆ อย่างที่เขาถ่ายเก็บไว้ ส่งให้พวกท่านดู“พ่อกับแม่ดูเอาเองดีแล้วกันครับ ว่าผมกุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า”“นี่มัน...”อรอนงค์ เมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง ในสิ่งที่ลูกชายบอกมานั้น กลับต้องเบิกตาโพลง เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง“ครับ ถ้ายังไม่ชัดเจนพอ พ่อก็เลื่อนไปอีกจะมีใบสูติบัตรที่ผมแอบถ่ายเก็บไว้อยู่ด้วย เพื่อยืนยันว่าเป็นลูกของผม” วรากรพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยบอกอีกครั้ง“กรธิดา พายุภัทร บิดาผู้ให้กำเนิด วรากร พายุภัทร มารดาผู้ให้กำเนิด สุทธิดา นพวงศ์” เป็นอภิเดชเองที่เป็นคนอ่านข้อมูลในนั้นออกมาเสียงดัง“วันเกิดนี้มัน...” อรอนงค์ตาลุกวาวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะตกใจในสิ่งที่ได้เห็น“ครับ ลูกสาวผมเกิดในวันที่ไอ้วิชญ์แต่งงาน แม่เขาเลยให้ชื่อ น้องวิวาห์” วรากรจึงเล่าบอกกับพวกท่านทั้งสองอีกครั้งใจแกร่งของผู้เป็นเต้นกระส่ำแทบจะทะลุออกมาจากอก เมื่อรับรู้ว่าตัวเองมีหลานสาว คน
เพราะผมเป็นผู้ชายคนแรกของเธอ“แม่ค่ะ ดูกรเขาไม่ค่อยพอใจที่พวกเรามาคุยเรื่องนี้กันเลยนะ” พลอยไพลินเอ่ยกับผู้เป็นแม่ ขณะที่กำลังนั่งรถออกมาจากบ้านหลังนั้นได้ไม่ไกลนัก“ไม่พอใจแล้วยังไงละลูก ตากรน่ะไม่กล้าขัดใจป้าอรกับลุงเดชหรอก” เพ็ญพรรณีเชิดหน้าพูดขึ้นอย่างมั่นหน้า และมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องสำเร็จไปตามที่เธอคาดหวังเอาไว้แน่นอน“ทำไมละคะ” พลอยไพลินได้แต่เลิกคิ้วถามผู้เป็นแม่ออกไป เพราะอะไรกันถึงทำให้มารดาเธอมั่นใจขนาดนี้“เพราะว่า จริง ๆ แล้ว ตากรไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของป้าอรกับลุงเดชยังไงละลูก” เพ็ญพรรณีจึงยอมบอกความจริงกับลูกสาวออกไป“หมายความว่า?”“ตากรเป็นเด็กกำพร้า ที่ลุงเดชกับป้าอรเขาไปขอรับมาเลี้ยง”“...” พลอยไพลินนิ่งอึ้งเมื่อรับรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้“พวกเขาทั้งสองคนมีบุญคุณกับตากรมากขนาดนั้น ใครจะกล้าขัดละลูกว่าจริงไหม ยังไงตากรกับลูกต้องได้หมั้นกันแน่นอน” เพ็ญพรรณีพูดกับลูกสาวอย่างมั่นใจ“แต่...”ถึงพลอยไพลินจะเชื่อว่าวรากรไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้มีพระคุณ แต่เธอก็ยังมีความกังวลหนักใจอยู่ดี เพราะดูแล้ววรากรไม่ใช่คนที่จะควบคุมได้ง่ายเลย“เชื่อแม่เถอะ เรื่องนี้ให้แม่กับอรจัดการเอง
ไม่ใช่แฟนครับ“สรุปว่าเรื่องหมั้นหมายมันยังไงกันแน่ครับ พ่อแม่” วรากรเอ่ยถามผู้เป็นพ่อและแม่ขึ้นมาอีกครั้งทันที ที่แขกผู้มาเยือนกลับออกไปแล้ว“แม่กับอรเราเคยให้คำมั่นสัญญากันไว้ตั้งแต่ที่พวกเรายังไม่มีครอบครัวแล้ว ว่าหากพวกเรามีลูกเราทั้งสองจะผูกดองกัน แล้วจะให้ลูกของพวกเราได้หมั้นหมายและแต่งงานกัน” อรอนงค์จึงบอกความจริงเรื่องในอดีตของเธอกับเพื่อนให้วรากรได้ฟัง ส่วนสามีนั้นอรอนงค์ก็พึ่งเล่าบอกไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง“เพราะเหตุนี้หรือเปล่าครับ ที่พ่อกับแม่ไปขอผมมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพียงเพราะสิ่งนี้หรือเปล่าครับ” วรากรถามขึ้นมาทันทีที่ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟัง เพราะเขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าที่พวกท่านเอาเขามาเลี้ยง เพียงเพื่อให้ตอบแทนบุญคุณของพวกท่านเท่านั้น ไม่มีความรักความผูกพันใด ๆ เลย ใบหน้ารู้สึกผิดหวังเผยออกมาอย่างเห็นได้ชัด“เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับเรื่องหมั้นหมายเลยนะกร” อภิเดชจึงแทรกขึ้นมาบ้าง เกรงว่าลูกชายจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้“จะไม่เกี่ยวได้ยังไงครับพ่อ นี้มันเรื่องใหญ่ในชีวิตผมเลยนะครับพ่อ”“จริงอยู่ที่พ่อกับแม่เราไม่มีทายาทไว้สืบสกุล แต่ที่พ่อกับแม่รับกรมาเลี้ยงนั้น เพร
ถึงเวลาที่ต้องทำเพื่อแม่แล้ว“เป็นจังใด๋ล่ะ กูเอิ้นนำกะบ่ทัน” (เป็นยังไงล่ะ กูเรียกไว้ก็ไม่ทัน) ชนาวิชญ์เอ่ยขึ้นมาทันที ที่เห็นโกสินทร์เดินกลับมาด้วยสีหน้าที่ดูจะผิดหวัง“บักหมอนั่น คือได้มาอยู่นี่” (ไอ้หมอนั่น ทำไมได้มาอยู่ที่นี่) โกสินทร์ถามขึ้นมาทันที“กะมันคือหมู่กู และเป็นพ่อของลูกธิดานำ” (ก็มันเป็นเพื่อนกู และเป็นพ่อของลูกธิดาด้วย)“กูกะเป็นหมู่มึง แต่กูคือบ่มีสิทธิ์ได้...” (กูก็เป็นเพื่อนมึง แต่ทำไมกูถึงไม่มีสิทธิ์ได้...) โกสินทร์ถามกลับอย่างไม่เข้าใจ เพราะตนเองก้เป็นเพื่อนกับชนาวิชญ์เช่นกัน แต่ทำไมเขาถึงไม่มีสิทธิ์พิเศษเหมือนกับวรากร“บักโก! มึงคิดว่ากูลำเอียงเห็นมันดีกว่ามึงแม่นบ่” (ไอ้โก! มึงคิดว่ากูลำเอียงเห็นมันดีกว่ามึงใช่ไหม)“...” โกสินทร์ได้แต่อ้ำอึ้งไม่ตอบ“กูสิบอกให้นะบักโก บักกรมันกะเป็นหมู่กูคือกัน แล้วมึงกะเป็นหมู่ของกู ทั้งมึงและมัน กูกะฮักและหวังดีนำทั้งสอง แต่ที่มันได้มาอยู่นี่ เพราะว่ามันบ่แมนคนแถวนี้ ส่วนมึงเฮือนอยู่แค่ปากทางมึงสิมาเฮือนกูยามใด๋กะได้” (กูจะบอกมึงให้นะไอ้โก ไอ้กรมันก็เป็นเพื่อนกูเหมือนกัน แล้วมึงก็เป็นเพื่อนของกู ทั้งมึงและมัน กูก็รักและหวังดี
ออกคำสั่งก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูไม้สักดังขึ้นอยู่ที่หน้าบ้านดังอยู่หลายครั้ง วรากรมองไปยังประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทพร้อมกับความเงียบ เขาจึงเป็นฝ่ายเดินไปเปิดประตูเสียเอง“มาทำไม?” เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น เมื่อเปิดประตูบ้านออกมา แล้วเจอกับเจ้าของใบหน้าที่เขาไม่ค่อยชอบหน้าเสียเลย และในตอนนี้ก็ยืนอยู่ที่หน้าบ้านของสุทธิดาแล้วทันทีที่ประตูเปิดออก คนที่ยืนอยู่หน้าประตูบานนั้นกลับเบิกตากว้างขึ้นมาทันที เพราะคนที่เปิดประตูออกมานั้นไม่ใช่หญิงสาวที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้“คุณ! มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” น้ำเสียงตะกุกตะกักถามออกไปอย่างตกใจที่เจอเขาอยู่ที่นี่แถมยังอยู่ในบ้านของสุทธิดาอีกด้วยใจหนึ่งก็นึกอิจฉาที่เขาได้รับอภิสิทธิ์ให้เข้าไปด้านในได้ เพราะตั้งแต่ที่เธอแยกออกมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เขาก็มาหาเธอแทบทุกวันแต่ก็ไม่เคยได้เข้าไปสำรวจด้านในเลย อย่างมากก็ได้นั่งอยู่แค่ระเบียงหน้าบ้านเท่านั้นแต่กับวรากรเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของลูกสาวสุทธิดานั้น กลับอยู่เหนือเขาเสียทุกอย่างแถมยังได้รับอนุญาตเข้าออกได้อย่างง่ายดายอีกมันน่าน้อยใจนัก แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรได้“ทำไมผมจะมาไม่ได้ ก็ลูกผมอยู่ที่







