เข้าสู่ระบบ“ขออนุญาตครับ”
“ปลา พ่อว่าพวกเราพาน้องชินกลับบ้านของเรากันเถอะ เหมือนพ่อพ่อของวิวาห์จะอยู่กับลูกเขานะ” ปราณนต์ เมื่อเห็นว่าเป็นใครมา จึงเอ่ยบอกกับลูกสาวพาลูกชายวัยสามเดือนออกไปด้วย
ปาณิศาจึงอุ้มลูกชายวัยสามเดือน เดินออกไปจากบ้านหลังนี้ไป ปล่อยให้สุทธิดาอยู่ตามลำพังกับลูกสองคน เพราะคิดว่าวรากรคงจะมีเรื่องอะไรที่ต้องตกลงกัน
“คุณมาที่นี่ทำไม” สุทธิดาถามขึ้นทันที เมื่ออยู่กันเพียงลำพังกับเขา
“ก็มาทำหน้าที่ของพ่อต่อไง ผมจะกลับกรุงเทพฯแล้วนะธิดา” เขาเอ่ยตอบแล้วเดินเข้าไปหาลูกสาวตัวน้อยที่กำลังหลับอยู่บนฟูกนอนบนเตียงนอนของเธอ
“ตอนนี้ฉันพอจะช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ต่อไปคงไม่ต้องรบกวนคุณหรอก” เธอบอกเขาออกไปเพราะตอนนี้เธอสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเองได้แล้ว เพียงแต่ยังไม่ค่อยคล่องถนัดเท่านั้น
“ธิดา บ้านผมไม่ได้อยู่ที่นี่น่ะ ตอนนี้ขอให้ผมได้มีเวลาอยู่กับลูกบ้างเถอะนะ ขอร้องล่ะ” วรากรพูดกับเธอด้วยสายตาเว้าวอนร้องขอ เมื่อเธอพูดแบบตัดเยื่อใยไม่รักษาน้ำใจเขาเลย
“ตอนนี้วิวาห์กำลังหลับอยู่นะ” สุทธิดาได้แต่ส่งสายตาดุเขาไว้อย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก เมื่อเขาเริ่มเสียงดังใส่ เพราะตอนนี้ลูกสาวกำลับหลับอยู่ กลัวว่าจะตกใจสะดุ้งร้องแผดเสียงขึ้นมาจะยุ่งเอา
“พ่อขอโทษนะครับวิวาห์ หลับก็ไม่เป็นไร ผมจะนั่งดูลูกเฉย ๆ แค่ได้เห็นหน้าลูกแค่นี้ก็มากเพียงพอแล้ว” วรากรรีบเอ่ยขอโทศลูกสาวอย่างรู้สึกผิดที่เผลอเสียงดัง แล้วจึงหันมาพูดกับเธอที่มองเขาตาเขียวอยู่อีกฝั่งตรงข้ามระหว่างลูก
วรากรหันกลับมาสนใจลูกสาวที่กำลังหลับอยู่อีกครั้ง แล้วครั้งนี้เขาหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูของเขาออกมา หมายจะทำอะไรบางอย่าง
“นั่นคุณจะทำอะไร” สุทธิดารีบท้วงเขาขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าวรากรกำลังจะทำอะไรกับลูกสาวตัวน้อยของเธอ
“ไม่รู้ว่าวันไหนจะได้มาหาลูกที่นี่อีกเมื่อไหร่ ขอเก็บภาพลูกเอาไว้เยอะ ๆ จะเก็บเอาไว้ดูตอนทำงานเหนื่อย” เขาเอ่ยตอบกับเธอ แต่สายตากับโฟกัสอยู่ที่ใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาว และโทรศัพท์มือถือเครื่องแพง เอียงหามุมองศาเก็บภาพสวย ๆ ของลูกสาวไปพลาง ๆ
“คุณจะมาที่นี่อีกอย่างนั้นเหรอ” สุทธิดาถามขึ้น เมื่อได้ยินในสิ่งที่เขาพูดออกมา ใจดวงน้อยกลับเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง เมื่อได้ยินประโยคที่เขาพูด
“มาสิ ก็ลูกสาวผมอยู่ที่นี่ น้องวิวาห์ทำผมหลงขนาดนี้ ใครจะอดใจไหวล่ะ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากอยู่กับลูกตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ” เขาจึงหันหน้ากลับไปมองหน้าเธอ แล้วเอ่ยอย่างมั่นใจ พร้อมกับใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับมองดูลูกสาว
ใบหน้าสวยที่ไร้เครื่องสำอางแต่งเติม เผยความเศร้าสลดลงมาเพียงเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าเธอควรจะมีความรู้สึกเช่นไร ใจหนึ่งก็แอบดีใจที่เขาพูดแบบนั้น อีกใจก็มีความกังวลเพราะไม่รู้ว่าเขาพูดเพื่อให้เธอรู้สึกดี หรือเพราะเขาพูดตามความรู้สึก
“คุณจะมาอยู่กับลูกตลอดได้ยังไงกัน คุณมีงานที่ต้องทำนะ แล้วอีกอย่างเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันคุณจะมาอยู่ที่นี่ก็คงจะไม่เหมาะ” เธอจึงได้แต่ปั้นหน้าพูดกับเขา พยายามควบคุมน้ำเสียงให้ปกติ
วรากรจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนทื่อหนาจะล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา เปิดออกดึงบัตรสี่เหลี่ยมในนั้นออกมาแล้วยื่นให้แก่เธอตรงหน้า
“ธิดา คุณเก็บบัตรนี้ไว้เป็นค่าใช้จ่ายน่ะ อยากจะใช้เท่าไหร่ก็ใช้ได้เลยผมจะโอนไว้ให้คุณกับลูกได้ใช้ทุกเดือน ส่วนรหัสเป็นวันเกิดของลูกเรา”
“คุณ...” สุทธิดาได้แต่เบิกตากว้าง เพราะไม่คิดว่าเขาจะมอบอะไรให้เธอแบบนี้
จริงอยู่ที่เขามีสิทธิ์ในความเป็นพ่อ แต่สิทธิ์การในการดูแลลูกทั้งหมดเป็นของเธอ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องมอบอะไรให้แบบนี้ แค่รับผิดชอบเท่าที่จำเป็นก็เพียงพอแล้ว เพราะเธอไม่ได้เรียกร้องอะไรจากเขาเลย
“เก็บไว้เถอะ กว่าคุณจะทำงานได้อีกก็ตั้งหลายเดือน ถือว่าผมให้ลูกน่ะ” เขาจึงเอ่ยย้ำกับเธออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเธอยังมีความลังเล
เมื่อไม่สามารถปฏิเสธได้ เธอจึงได้แต่ยอมรับมาเพื่อไม่เป็นการหักหาญน้ำใจเขา ในเมื่อเขาอยากจะให้เธอก็จะรับมันเอาไว้
“ขอบคุณค่ะ” เธอไม่ลืมที่จะเอ่ยขอบคุณเขา
“ผมสิต้องเป็นฝ่ายขอบคุณคุณ ที่คุณยอมทิ้งอนาคตของตัวเองไม่ทำลายเขายอมเก็บเขาเอาไว้ แต่ทำไมคุณไม่ยอมบอกผมบ้างเลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ลึก ๆ มีความน้อยใจปนอยู่ แต่ก็แสดงออกมากไม่ได้เพราะทั้งคู่ไม่มีสถานะอะไรนอกจากความเป็นพ่อและแม่
“ก็มันเป็นความผิดที่ฉันเป็นคนก่อ แล้วเราก็ไม่ได้มีอะไรข้องเกี่ยวกันนะจะให้ฉันบอกคุณได้ยังไง”
“แต่เขาก็คือเลือดเนื้อของผมนะ อย่างน้อย ๆ ทำก็ทำด้วยกัน พอท้องก็ปิดปากเงียบ นี่ถ้าเกิดผมไม่มาที่นี่ผมก็คงไม่รู้สินะว่าตัวเองเป็นพ่อคน ไอ้วิชญ์ก็ไม่ยอมบอกอะไรเลย”
ที่เธอพูดมาทั้งหมดมันก็ถูกของเธอ เพราะคนสองคนที่มีความสัมพันธ์กันเพียงแค่ทางร่างกาย ไม่มีความรู้สึกผูกพันกันทางใจเลย จะให้บอกกับอีกฝ่ายมันก็จะเป็นการผูกมัดไม่ให้อีกฝ่ายเป็นอิสระเสียเปล่า
“ฉันขอร้องไม่ให้พี่วิชญ์กับพี่ปลาบอกเองแหละ ว่าแต่ทำไมคุณถึงยอมรับผิดกับผู้ใหญ่แต่เพียงคนเดียวทั้งที่มัน...” เธอพูดถึงประเด็นในเรื่องนี้ คือเธอเองที่เป็นคนขอร้องไม่ให้บอกกับเขา
“ผมว่าตอนนี้คุณเริ่มจะพูดมากเกินไปแล้วนะธิดา คุณนอนพักผ่อนได้แล้วผมจะดูลูกให้เอง” วรากรชิ่งพูดสวนขึ้นมาก่อนที่เธอจะเอ่ยจบ เมื่อเห็นว่าเธอเริ่มร่ายวกกลับมาถึงเรื่องที่พึ่งจะเคลียร์กันจบลงไปหมาด ๆ
“แต่...”
“จะนอนหรือไม่นอน”
ไม่เพียงแค่พูดปากเปล่า แต่ครั้งนี้วรากรกลับใช้สายตาร้อนแรงมองขู่เธออีกด้วย เพื่อว่าคนดื้อรั้นแบบเธอจะยอบหยุดพูดและพักผ่อนเสียที
“นะ นอนก็ได้ ถ้าอย่างนั่นฝากลูกด้วยนะคะ” สุทธิดาจึงยอมโอนอ่อนให้ ด้วยการทิ้งศีรษะลงที่หมอนใบใหญ่ใกล้กันกับลูกสาวตัวนอนที่กำลังหลับอยู่
*
*
“มึงสิมาเฮ็ดหยังอีกบักโก” (มึงจะมาทำไมอีกไอ้โก) เจ้าของสถานที่นี้เอ่ยปากถามขึ้นทันที ที่ผู้มาเยือนซึ่งเขาเห็นหน้าแทบทุกวันแวะเวียนมาอีกแล้ว
“มาเยี่ยมธิดากับลูก ได้ยินข่าวว่าออกจากโรง’บาลแล้ว” เจ้าขตัวที่ถูกถามตอบออกไปตามตรง ตามจุดประสงค์ที่เขามาในวันนี้
“อืม ตอนนี้อยู่เฮือนกับ...” (อืม ตอนนี้อยู่บ้านกับ...) ชนาวิชญ์พยักหน้ารับเชิงเป็นการรับรู้ และกำลังะเอ่ยตอบ แต่แขกผู้มาเยือนก็ไม่รอฟังเสียแล้ว เดินออกไปอย่างรวดเร็วมุ่งหน้าไปยังที่หมายทันที
กัลยาณมิตรที่ดีบ้านสวนปานวิชญ์“กลับเฮือนมึงไปได้แล้วบักโก ให้เวลาสองแม่ลูกเขาได้พักผ่อนแหน่” (กลับบ้านมึงไปได้แล้วไอ้โก ให้สองแม่ลูกเขาได้พักผ่อนหน่อย) ชนาวิชญ์เอ่ยขึ้นมาทันที เมื่อยังเห็นเพื่อนของเขาอยู่ที่บ้านของสุทธิดาตั้งแต่เช้ายังไม่ยอมกลับไป“กูสิกลับอยู่ดอก มึงกะอย่าฟ้าวไล่กูหลาย” (กูจะกลับอยู่หรอก มึงก็อย่าพึ่งไล่กูสิ) โกสินทร์ทำเป็นไขสือและเอ่ยตอบด้วยวาจาที่ดูเหน็บแนมคนพูด“มึงจำคำที่กูเว้าได้บ่” (มึงจำคำที่กูพูดได้ไหม)“ฮืม...”โกสินทร์จำได้ดีว่าชนาวิชญ์เคยพูดอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่เพราะตัวเขาเองยังปรับปรุงตัวเองไม่ได้ และเป็นความเคยชินที่เขานั้นมักจะมุกขลุกอยู่ที่นี่เป็นประจำ เรื่องทำงานเขาได้งานทำแล้ว แค่รอวันที่ถูกเรียกตัวเท่านั้น“จำได้กะเฮ็ดให้มันได้นำแหน่” (จำได้ก็ทำให้มันได้ด้วย) ชนาวิชญ์ตอกย้ำอีกที“กลับก่อนนะธิดา” โกสินทร์จึงหันมาบอกกลับเจ้าของบ้านหลังนี้ ที่เขาใช้เวลามานั่งเล่นอยู่เกือบทั้งวันแล้ว“...” สุทธิดาได้แต่พยักหน้ารับ แล้วก็หันมาสนใจลูกสาวตัวน้อยขของเธอต่อโกสินทร์มองหน้าคุณแม่ลูกอ่อนด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ก่อนจะยอมลุกขึ้น แล้วเดินออกไปจากบ้านหลังนี้“วัน
แค่หวังดีต่อกัน“อย่ามาพูดปากเปล่าโดยที่ไม่มีอะไรมายืนยัน แกกุเรื่องขึ้นมาเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องหมั้นกับหนูหรือเปล่าใครจะไปรู้” อภิเดชสวนขึ้นมาบ้างวรากรจึงลวงโทรศัพท์มือถือของเขาในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วเปิดข้อมูลอะไรในหลาย ๆ อย่างที่เขาถ่ายเก็บไว้ ส่งให้พวกท่านดู“พ่อกับแม่ดูเอาเองดีแล้วกันครับ ว่าผมกุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า”“นี่มัน...”อรอนงค์ เมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง ในสิ่งที่ลูกชายบอกมานั้น กลับต้องเบิกตาโพลง เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง“ครับ ถ้ายังไม่ชัดเจนพอ พ่อก็เลื่อนไปอีกจะมีใบสูติบัตรที่ผมแอบถ่ายเก็บไว้อยู่ด้วย เพื่อยืนยันว่าเป็นลูกของผม” วรากรพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยบอกอีกครั้ง“กรธิดา พายุภัทร บิดาผู้ให้กำเนิด วรากร พายุภัทร มารดาผู้ให้กำเนิด สุทธิดา นพวงศ์” เป็นอภิเดชเองที่เป็นคนอ่านข้อมูลในนั้นออกมาเสียงดัง“วันเกิดนี้มัน...” อรอนงค์ตาลุกวาวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะตกใจในสิ่งที่ได้เห็น“ครับ ลูกสาวผมเกิดในวันที่ไอ้วิชญ์แต่งงาน แม่เขาเลยให้ชื่อ น้องวิวาห์” วรากรจึงเล่าบอกกับพวกท่านทั้งสองอีกครั้งใจแกร่งของผู้เป็นเต้นกระส่ำแทบจะทะลุออกมาจากอก เมื่อรับรู้ว่าตัวเองมีหลานสาว คน
เพราะผมเป็นผู้ชายคนแรกของเธอ“แม่ค่ะ ดูกรเขาไม่ค่อยพอใจที่พวกเรามาคุยเรื่องนี้กันเลยนะ” พลอยไพลินเอ่ยกับผู้เป็นแม่ ขณะที่กำลังนั่งรถออกมาจากบ้านหลังนั้นได้ไม่ไกลนัก“ไม่พอใจแล้วยังไงละลูก ตากรน่ะไม่กล้าขัดใจป้าอรกับลุงเดชหรอก” เพ็ญพรรณีเชิดหน้าพูดขึ้นอย่างมั่นหน้า และมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องสำเร็จไปตามที่เธอคาดหวังเอาไว้แน่นอน“ทำไมละคะ” พลอยไพลินได้แต่เลิกคิ้วถามผู้เป็นแม่ออกไป เพราะอะไรกันถึงทำให้มารดาเธอมั่นใจขนาดนี้“เพราะว่า จริง ๆ แล้ว ตากรไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของป้าอรกับลุงเดชยังไงละลูก” เพ็ญพรรณีจึงยอมบอกความจริงกับลูกสาวออกไป“หมายความว่า?”“ตากรเป็นเด็กกำพร้า ที่ลุงเดชกับป้าอรเขาไปขอรับมาเลี้ยง”“...” พลอยไพลินนิ่งอึ้งเมื่อรับรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้“พวกเขาทั้งสองคนมีบุญคุณกับตากรมากขนาดนั้น ใครจะกล้าขัดละลูกว่าจริงไหม ยังไงตากรกับลูกต้องได้หมั้นกันแน่นอน” เพ็ญพรรณีพูดกับลูกสาวอย่างมั่นใจ“แต่...”ถึงพลอยไพลินจะเชื่อว่าวรากรไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้มีพระคุณ แต่เธอก็ยังมีความกังวลหนักใจอยู่ดี เพราะดูแล้ววรากรไม่ใช่คนที่จะควบคุมได้ง่ายเลย“เชื่อแม่เถอะ เรื่องนี้ให้แม่กับอรจัดการเอง
ไม่ใช่แฟนครับ“สรุปว่าเรื่องหมั้นหมายมันยังไงกันแน่ครับ พ่อแม่” วรากรเอ่ยถามผู้เป็นพ่อและแม่ขึ้นมาอีกครั้งทันที ที่แขกผู้มาเยือนกลับออกไปแล้ว“แม่กับอรเราเคยให้คำมั่นสัญญากันไว้ตั้งแต่ที่พวกเรายังไม่มีครอบครัวแล้ว ว่าหากพวกเรามีลูกเราทั้งสองจะผูกดองกัน แล้วจะให้ลูกของพวกเราได้หมั้นหมายและแต่งงานกัน” อรอนงค์จึงบอกความจริงเรื่องในอดีตของเธอกับเพื่อนให้วรากรได้ฟัง ส่วนสามีนั้นอรอนงค์ก็พึ่งเล่าบอกไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง“เพราะเหตุนี้หรือเปล่าครับ ที่พ่อกับแม่ไปขอผมมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพียงเพราะสิ่งนี้หรือเปล่าครับ” วรากรถามขึ้นมาทันทีที่ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟัง เพราะเขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าที่พวกท่านเอาเขามาเลี้ยง เพียงเพื่อให้ตอบแทนบุญคุณของพวกท่านเท่านั้น ไม่มีความรักความผูกพันใด ๆ เลย ใบหน้ารู้สึกผิดหวังเผยออกมาอย่างเห็นได้ชัด“เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับเรื่องหมั้นหมายเลยนะกร” อภิเดชจึงแทรกขึ้นมาบ้าง เกรงว่าลูกชายจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้“จะไม่เกี่ยวได้ยังไงครับพ่อ นี้มันเรื่องใหญ่ในชีวิตผมเลยนะครับพ่อ”“จริงอยู่ที่พ่อกับแม่เราไม่มีทายาทไว้สืบสกุล แต่ที่พ่อกับแม่รับกรมาเลี้ยงนั้น เพร
ถึงเวลาที่ต้องทำเพื่อแม่แล้ว“เป็นจังใด๋ล่ะ กูเอิ้นนำกะบ่ทัน” (เป็นยังไงล่ะ กูเรียกไว้ก็ไม่ทัน) ชนาวิชญ์เอ่ยขึ้นมาทันที ที่เห็นโกสินทร์เดินกลับมาด้วยสีหน้าที่ดูจะผิดหวัง“บักหมอนั่น คือได้มาอยู่นี่” (ไอ้หมอนั่น ทำไมได้มาอยู่ที่นี่) โกสินทร์ถามขึ้นมาทันที“กะมันคือหมู่กู และเป็นพ่อของลูกธิดานำ” (ก็มันเป็นเพื่อนกู และเป็นพ่อของลูกธิดาด้วย)“กูกะเป็นหมู่มึง แต่กูคือบ่มีสิทธิ์ได้...” (กูก็เป็นเพื่อนมึง แต่ทำไมกูถึงไม่มีสิทธิ์ได้...) โกสินทร์ถามกลับอย่างไม่เข้าใจ เพราะตนเองก้เป็นเพื่อนกับชนาวิชญ์เช่นกัน แต่ทำไมเขาถึงไม่มีสิทธิ์พิเศษเหมือนกับวรากร“บักโก! มึงคิดว่ากูลำเอียงเห็นมันดีกว่ามึงแม่นบ่” (ไอ้โก! มึงคิดว่ากูลำเอียงเห็นมันดีกว่ามึงใช่ไหม)“...” โกสินทร์ได้แต่อ้ำอึ้งไม่ตอบ“กูสิบอกให้นะบักโก บักกรมันกะเป็นหมู่กูคือกัน แล้วมึงกะเป็นหมู่ของกู ทั้งมึงและมัน กูกะฮักและหวังดีนำทั้งสอง แต่ที่มันได้มาอยู่นี่ เพราะว่ามันบ่แมนคนแถวนี้ ส่วนมึงเฮือนอยู่แค่ปากทางมึงสิมาเฮือนกูยามใด๋กะได้” (กูจะบอกมึงให้นะไอ้โก ไอ้กรมันก็เป็นเพื่อนกูเหมือนกัน แล้วมึงก็เป็นเพื่อนของกู ทั้งมึงและมัน กูก็รักและหวังดี
ออกคำสั่งก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูไม้สักดังขึ้นอยู่ที่หน้าบ้านดังอยู่หลายครั้ง วรากรมองไปยังประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทพร้อมกับความเงียบ เขาจึงเป็นฝ่ายเดินไปเปิดประตูเสียเอง“มาทำไม?” เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น เมื่อเปิดประตูบ้านออกมา แล้วเจอกับเจ้าของใบหน้าที่เขาไม่ค่อยชอบหน้าเสียเลย และในตอนนี้ก็ยืนอยู่ที่หน้าบ้านของสุทธิดาแล้วทันทีที่ประตูเปิดออก คนที่ยืนอยู่หน้าประตูบานนั้นกลับเบิกตากว้างขึ้นมาทันที เพราะคนที่เปิดประตูออกมานั้นไม่ใช่หญิงสาวที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้“คุณ! มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” น้ำเสียงตะกุกตะกักถามออกไปอย่างตกใจที่เจอเขาอยู่ที่นี่แถมยังอยู่ในบ้านของสุทธิดาอีกด้วยใจหนึ่งก็นึกอิจฉาที่เขาได้รับอภิสิทธิ์ให้เข้าไปด้านในได้ เพราะตั้งแต่ที่เธอแยกออกมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เขาก็มาหาเธอแทบทุกวันแต่ก็ไม่เคยได้เข้าไปสำรวจด้านในเลย อย่างมากก็ได้นั่งอยู่แค่ระเบียงหน้าบ้านเท่านั้นแต่กับวรากรเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของลูกสาวสุทธิดานั้น กลับอยู่เหนือเขาเสียทุกอย่างแถมยังได้รับอนุญาตเข้าออกได้อย่างง่ายดายอีกมันน่าน้อยใจนัก แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรได้“ทำไมผมจะมาไม่ได้ ก็ลูกผมอยู่ที่







