ชาติก่อนหลินซิ่วหรงปกปิดความลับนี้เอาไว้อย่างไรก็ไม่มีทางคายออกมาหรือหลุดพูดเป็นอันขาด จนกระทั่งในตอนนั้น หากซ่งเจิ้นอี้ไม่ได้พ้นปกป้องนางจนลมหายใจสุดท้าย เกรงว่าความลับนี้ เขาก็คงไม่มีวันล่วงรู้ตลอดไป
พอสิ้นคำนั้น ภายในเรือนเงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม บรรยากาศเริ่มอึมครึ้มคล้ายกับมีกลุ่มม่านเมฆลอยฝนเหนือหัวอยู่ภายในเรือน ไม่ว่าผู้ใดได้ยินแล้วต่างก็ขมวดคิ้วมุ่นคล้ายไม่เชื่อทั้งสิ้น หลินฮูหยินยืนนิ่งอยู่นาน ใบหน้าเริ่มซีดเซียวลงเรื่อยๆ และลมหายใจเริ่มกระชันถี่ขึ้นจนบุตรสาวทั้งสองสังเกตเห็นจึงเริ่มเข้าไปประคองประกบสองข้างเอาไว้ “ท่านแม่!” น้ำเสียงของหลินซิ่วอันร้องออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าที่เจื่อนลงไปแล้วยิ่งเจื่อนลงไปอีก “ท่านแม่นั่งพักก่อนเถอะเข้าค่ะ” หลินซิ่วหรงพูดพาค่อยๆ ประคองมารดาไปนั่งอยู่มุมหนึ่งภายในห้องบรรพชล นางเหลือบสายตาไปมองอิงหลันก่อนจะออกคำสั่ง “หาน้ำชาสักจอกมาให้ท่านแม่ดื่มผ่อนคลายเสียหน่อยและไปตามท่านหมอมาเสีย” “เจ้าค่ะ!” อิงหลันตอบ เหล่าสาวใช้พอได้ยินเช่นนั้นแล้ว พลางเร่งรีบเบ่งหน้าที่กันอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครเกี่ยงกันไปมา หลินฮูหยินกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา “ไม่ต้อง…แม่หาได้เป็นอันใด เพื่อแค่ตกใจเท่านั้น หากได้ดื่มน้ำชาสักจอกก็คงจะผ่อนคลายลงไปได้บ้าง” ไฉนนางจะรู้ว่าบุตรสาวไปเกี่ยวข้องกับคุณชายสกุลซ่งจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ไม่รู้ว่าคนทั้งคู่ไปรู้จักสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ นางพลางปิดเปลือกตาลง ใช้มือนวดขมับช้าๆ คอยกำลังใช้ความคิดนึกถึงเรื่องราวทั้งหมด หลินซิ่วอันละสายตาจากมารดาเหลือบไปมองพี่สาว นางถอนหายใจออกมาเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่วเบา “รองแม่ทัพซ่ง…” หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความลังเลก่อนจะถามออกไป “พี่หญิงไปรู้จักกับเขาได้อย่างไรกันหรือเจ้าคะ ข้าเห็นพี่หญิงออกจวนแทบจะนับครั้งได้” หากว่ากันตามแล้ว ผู้ที่ท่านแม่และท่านพ่อสมควรกังวลใจในเรื่องนั้นสมควรเป็นนางต่างหาก หลินซิ่วหรงได้ยินแล้วไม่รู้ว่าควรจะเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนไหนดี นางเหลือบมองมารดาและน้องสาวสลับกันไปมาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อาจเป็นเพราะข้าและเขามีวาสนาต่อกันกระมัง พบพานเพียงแค่หนึ่ง แต่กลับตราตรึงมิอาจลบเลือนได้…” เรื่องของความรู้สึกนั้น…หากมิใช่ผู้ที่เผชิญรักลึกซึ้งไฉนจะเข้าใจได้ หลินซิ่วอันย่อมเข้าใจเหตุผลของผีสาวได้อย่างถ่องแท้ “ทว่า…พี่หญิงจะทำอย่างไรต่อไปหรือเจ้าค่ะ” หลินซิ่วอันถามกลับทันที นางละสายตาจากอีกฝ่ายหลุมต่ำมองหน้าท้องแบนราบใต้อาภรณ์ที่อีกไม่กี่เดือนก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจปิดเอาไว้ได้แล้ว มิหนำไหนจะงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแคว้นที่ใกล้เข้ามาซึ่งเหลืออีกเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น นางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทั้งรู้สึกเห็นใตและสงสารพี่สาวในคราวเดียว หลินฮูหยินเงียบไปพักใหญ่ หากนางจำไม่ผิดนั้นคนสกุลซ่งเคยมาเคาะประตูจวนพร้อมกับยกแม่สื่อหมายจะมาสู่ขอบุตรสาวผู้นี้ของนางเป็นภรรยา ทว่านางกลับไม่เคยเอ๊ะใจหรือสงสัยมาก่อนว่า ทั้งคู่จะมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันถึงเพียงนี้ วันนั้นว่านางเห็นเต็มสองตาได้ยินเต็มสองหู ว่าหลินซิ่วหรงปฏิเสธคุณชายซ่งไปอย่างไร้เยื่อใยซ้ำยังสาดถ้อยคำดูแคลนใส่ หลินฮูหยินหันไปสบตาหลินซิ่วหรงด้วยความจริงจัง “หรงเออร์ หากมีเรื่องกังวลใจเจ้าสามารถพูดคุยกับแม่ได้ทุกเรื่องเข้าใจหรือไม่” “เจ้าค่ะ” หลินซิ่วหรงพยักหน้าหงึกๆ ด้วยคสามรู้สึกผิด ชาติก่อนนั้นนางไม่รู้ว่าจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไรดี จึงเอาแต่ปกปิดและหลีกหนีปัญหาราวกับเด็กสามขวบที่ไร้สติปัญหาคิดไม่ได้ หลินฮูหยินถอนหายใจ ก่อนจะพูดอีกครั้ง “เช่นนั้น วางใจเถิด ดูแลสุขภาพของเจ้าและเด็กในท้องให้ดีก็พอ เรื่องนี้เอาไว้ให้แม่จะจัดการเอง” หลินซิ่วหรงได้ยินแล้วยิ่งรู้สึกผิดเต็มอก น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “มิใช่ว่าลูกไม่ไว้ใจท่านแม่เจ้าค่ะ ทว่าปัญหานี้ลูกเป็นคนผูกเช่นนั้นให้ลูกแก้เองเถอะ” “หรงเออร์” หลินฮูหยินขึ้นเสียงเล็กน้อย จะให้นางปล่อยบุตรสาวเผชิญหน้ากับเรื่องวุ่นวายเช่นนี้เพียงลำพังได้อย่างไร “พี่หญิง ข้าว่าอย่างไร หลายคนช่วยกันคิดหาทางออกย่อมดีกว่าหัวเดียวแน่” หลินซิ่วอันพูดเสริม ไม่ว่าจะมองอย่างไร นางก็ไม่เห็นหนทางออกจริงๆ หลินซิ่วหรงส่ายหน้า กล่าวย้ำออกมาอย่างแน่วแน่ “ให้ลูกได้ลองจัดการด้วยตนเองก่อนเถอะเจ้าค่ะ หากยามนั้นเหนือบ่ากว่าแรงย่อมต้องร้องความช่วยเหบือจากท่านแม่แน่” ชาติก่อนเพราะนางเอาแต่หนีด้วยความขี้ขลาด ปกปิดและซ่อนเอาไว้ไม่ยอมบอกผู้ใด จนสุดท้ายจึงผลักให้โศกนาฏกรรม นางต้องตายไปพร้อมลูกในครรถ์ที่ยังไม่แม้แต่จะได้มีโอกาสลืมตาดูโลก หวนคืนกลัยมาครานี้ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นเช่นเดิมแน่ หลินฮูหยินกับหลินซิ่วอันสบตากัน ก่อนทั้งคู่จะถอนหายใจออกมาพร้อมๆกัน ทั้งนางและมารดาต่างก็รู้ดีว่าหากอีกฝ่ายได้เอ่ยออกมาเช่นนี้แล้ว ต่อให้จะคะยั้นคะยอเพียงใดก็ยากจะเปลี่ยนใจได้ ปลายยามเซิน (15.00 – 17.00 น.) นายท่านหลินออกมาจวนเข้าวังหลวงไปตั้งแต่เช้าตรู่ตอนที่ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่างดีด้วยซ้ำ พอกลับจวนอีกทีก็มืดค่ำแล้ว เขายังก้าวเท้าไม่ทันพ้นขอบประตูจวน จู่ๆ แม่บ้านชราก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามารายงานว่า ช่วงสายของวันนี้ หลินฮูหยินเกิดหน้ามืดเป็นลมไปทว่าโชคนักที่เหล่าสาวใช้ที่อยู่บริเวณนั้นช่วยเหลือเอาไว้ได้ไม่เช่นนั้นแล้ว หากหัวกระแทกฟาดลงพื้นคงอาการย่ำแย่ไม่น้อย นายท่านหลินไม่รอฟังให้แม่บ้านพูดจบ เร่งรีบเดินเข้าไปในจวนพุ่งตรงไปยังเรือนนอนทันทีด้วยความกังวลและเป็นห่วงภรรยาเต็มอก อารมณ์ขุ่นมัวที่ติดอยู่ในใจตลอดทั้งวันพลันจางหายไปทันที หัวใจแกร่งกระตุกวูบหล่นลงไปถึงตาทุ่ม เกรงว่า ภรรยาจะเจ็บป่วยร้ายแรงมากกว่าเป็นลม เมื่อคืนนี้...ตลอดจนถึงเช้าตรู่ เขาเห็นนางเอาแต่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูเรือนพร้อมกับบุตรสาวคนเล็ก เพื่อร้องขอให้ยกโทษให้แก่หลินซิ่วหรง ทว่ายามนั้น นายท่านหลินโกรธมากจริงๆ เขาเลี้ยงดูบุตรสาวทั้งสองมาอย่างประคบประหงบยิ่งกว่าไข่ในหิน ไฉนเลยจะคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ เรื่องราวเป็นมาอย่างไรเขาไม่รู้ เพราะหลินซิ่วหรงเอาแต่ปิดปากเงียบไม่ยอมเอ่ยหรือหลุดพูดออกมาแม้แต่สักครึ่งคำ พอเขาถามว่า ผู้ใดคือบิดาของเด็กในท้อง…นางก็เอาแต่เงียบอยู่อย่างงั้น ดังนั้นแล้ว ความอดทนของเขาพลันขาดสะบั้นลงไปทั้งที ทั้งโมโห ทั้งรู้สึกขายหน้าและอับอายในคราาเดียวกัน! เหล่าสาวใช้ในจวนแทบจะทั้งหมดรวมตัวอยู่ที่หน้าเรือนแต่พอเห็นผู้เป็นนายเดินลิ่วๆ มั่นคงมาแต่ไกลจนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จึงแหลกทางหลบในทันทีอย่างพร้อมเพียง ภายในเรือน หลินฮูหยินนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของนางยังคงซีดเซียวทว่าก็ยังดีกว่าเมื่อตอนกลางวัน ด้านซ้ายและด้านขวามีบุตรสาวนั่งคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง นางไม่ได้เป็นอันใดมากจริงๆ เมื่อแค่รู้สึกเครียดและกังวลเท่านั้น ไม่รู้ว่าควรจะช่วยหลินซิ่วหรงด้วนวิธีใดดี ดูท่าแล้ว หากวันนั้นบุตีสาวของนางปฏิเสธคุณชายซ่งผู้นั้นไปอย่างไร้เยื่อใยและเย็นชาถึงเพียงนั้น ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ก็คงไม่ดีเท่าไหร่ ไม่แน่ว่าคงจะขาดสะบั้นไปแล้วซ้ำจบลงไปแล้วแต่บุตรสาวของนางกลับท้องป่องขึ้นมาแทน แล้วไหนจะงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ที่ใกล้เข้ามาอีก หลินฮูหยินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวตุบๆ อีกทั้งไม่รู้ว่าสามีจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี เสียงฝีเท้าหนักแน่นของนายท่านหลินเดินเข้ามาในเรือน พอสายตามองเห็นร่างภรรยานอนอยู่บนเตียง หัวใจของเขาก็พลันถูกบีบรัดแน่นจนปวดหนึบ “…” เสียงจ้อกแจ้กพูดคุยภายในเรือนเงียบสงัดลงทันตา เพียงแค่นายท่านหลินปรากฏตัวอยู่ในเรือน “ท่านพ่อ” หลินซิ่วอันปรายสายตาไปมองก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วยอบกายลงเล็กน้อย นางพลางเหลือบสายตาหันไปมองพี่สาวก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าบิดาแล้วคุกเข่าลง หลินซิ่วหรงค่อย ๆ นั่งคุกเข่าลงต่อหน้าบิดา นางยกมือขึ้นเหนือศีรษะก่อนจะกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น “ความผิดของลูกทำให้ท่านพ่อต้องรู้สึกอับอายขายหน้าและผิดหวัง หากจะลงโทษก็ได้โปรดลงโทษที่ลูกผู้เดียวเถิด อย่าได้ให้กระทบถึงท่านแม่และหลินซิ่วอันเลยเจ้าค่ะ” “หรงเออร์!” น้ำเสียงของหลินฮูหยินร้องตกใจ นางเร่งรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงโดยมีเหล่าสาวใช้และหลินซิ่วอันประคองเอาไว้แทบไม่ทัน “เจ้าหาได้ตัวผู้เดียว คิดจะทำอันใดก็ระมัดระวังหน่อยเถอะ” สายตาของหลินฮูหยินทอดมองแผ่นหลังของบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงก่อนจะเงยหน้ามองสามี “ท่านพี่เจ้าคะ เห็นแก่หน้าข้าได้หรือไม่…ยกโทษให้หลินซิ่วหรงเถิด อย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวของข้าและท่าตมิใช่หรือไร ลูกทำผิดย่อมสมควรอบรมสั่งสอนทว่ายามนี้นั้น นายท่านหลินละสายตาจากหลินซิ่วหรงก่อนเหลือบไปมองภรรยาที่อยู่บนเตียง ใบหน้าของนางที่เคยยิ้มแย้มกลับหม่นหมองฉายออกมาอย่างชัดเจน เขาเองก็ยิ่งรู้สึกผิดเต็มอกพลางถอนหายใจ “ลุกขึ้นซะ” น้ำเสียงเข้มของนายท่านหลินพูด ก่อนจะเดินเข้าไปหาภรรยาบนเตียงแทน สายตาทอดมองด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่ไม่แปรเปลี่ยนเหมือนดังวันแรกเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน “ฮูหยินเป็นอะไรหรือไม่” นายท่านหลินถามภรรยา หลินฮูหยินนส่ายหน้า ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะหันไปมองหลินซิ่วอันที่เดินเข้าไปประคองหลินซิ่วหรงลุกขึ้นจากพื้น นางหันกลับมาจ้องสบตาสามี “ที่ผ่านมาข้าไม่เคยร้องขออันใดจากท่านพี่ ทว่าครั้งนี้หากข้าจะเอ่ยปากขออะไรสักอย่างได้หรือไม่เจ้าค่ะ” น้ำเสียงของนางสั่นเครือเจือด้วยความลังเลและแฝงความกังวล นายท่านหลินพยักหน้าหงึกๆ “ไม่ว่าฮูหยินจะเอ่ยปากร้องขอสิ่งใดข้าย่อมไม่เคยขัดทั้งสิ้น ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่สามารถทำให้ได้คืองานแต่งเชื่อมสัมพันธ์เป็นราชโองการของฮ่องเต้ หากผู้ใดกล้าฝ่าฝืนก็ย่อมไม่พ้นถูกลงโทษ ไม่ว่าจะหลินซิ่วหรง หลินซิ่วอัน เจ้า...หรือแม้แต่ข้า รวถึงผู้คนที่เกี่ยวข้องกับสกุลหลินก็ไม่มียกเว้น” น้ำเสียงทุ้มของนายท่านหลินราวกับประกาศก้องไปทั่วทั้งจวน บรรยากาศค่อยๆ เริ่มขุ่นมัว กระอักกระอ่วนจนสาวใช้บางคนแทบหายใจจนต้องเดินออกจากเรือนไปสูดอากาศ ใบหน้าของหลินฮูหยินยิ่งเจือด้วยความกัววลใจยิ่งกว่า นางถามกลับ “แล้วจะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ ท้องของนางก็คงใหญ่โตขึ้นทุกวันอย่างไรก็ผิดไม่มิดแน่” อย่างไร หลินซิ่วหรงก็พอมีความทรงจำในชาติก่อนอยู่บ้าง ยามนี้นางต้องการเพียงพบหน้าซ่งเจิ้นอี้อีกครั้งเท่านั้น หากเขาตายไปแล้วได้ย้อนกลับมาพร้อมกับนางและความทรงจำเดิมเหมือนกัน ย่อมต้องมีทางออกแน่ หลินซูหลินพูด “ลูกรู้ว่าท่านพ่อหวังดีปรารถนาให้ลูกมีสามีที่เพียบพร้อมสามารถเชิดหน้าชูตาได้โดยไม่ต้องรู้สึกอายหรือต่ำกว่าผู้ใด ทว่าใจของลูกนั้นรักใคร่ลึกซึ้งต่อซ่งเจิ้นอี้ได้แต่เพียงผู้เดียว”เรื่องที่คุณหนูใหญ่ตั้งครรภ์ ภายหลังจากนั้นนายท่านหลินมีคำสั่งว่าห้ามผู้ใดพูดถึงและห้ามแพร่งพรายเรื่องเป็นอันขาด หรือหากวันใดวันหนึ่งเรื่องนี้กลายเป็นที่พูดถึงถูกนำมานินทาขึ้นมาย่อมมีต้นเหตุมาจากคนในจวน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดล้วนลงโทษไม่ยกเว้น!หลินซิ่วหรงหวนกลับมาได้เพียงแค่สองวันเท่านั้นเช้าวันถัดมาพอนางลืมตาตื่นขึ้น ก็หาได้มีอาการอ่อนเพลียหรือรู้สึกอยากอาเจียนออกมาแต่อย่างไร ราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่นางพะอืดพะอมเหม็ทุกสิ่งอย่างจนหน้ามืดเป็นลมล้มไปคือแผนการของลูกในท้องก็ไม่ปานเกรงว่าเด็กผู้นี้คงดื้อรั้นและแสบไม่น้อยถึงได้กลั่นแกล้งนางถึงเพียงนั้นจนถูกจับได้วันนี้หลินซิ่วหรงกินอาหารได้มากกว่าเมื่อวาน ไม่ว่าจะตักสิ่งใดเข้าปากล้วนเอร็ดอร่อยหาได้รู้สึกเหม็นหืดแต่อย่างใด นางกินไม่หยุดจนรู้สึกว่าถูกสายตาของหลินซิ่วอัน มารดาและบิดามองด้วยความแปลกใจนัยน์ตาเมล็ดซิ่งช้อนขึ้นมองคนทั้งสามสลับกันไปมาก่อนจะกล่าวออกมาน้ำเสียงแห้งๆ “วันนี้พ่อครัวทำอร่อยนักเจ้าค่ะ”หลินซิ่วหรงกลบเกลื่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝีมือของพ่อครัวที่ทำอาหารอร่อยหรือเป็นเพราะว่ายามนี้นางกำลังตักครรภ์กันแน่ถึงได้กินอะไรก็
ชาติก่อนหลินซิ่วหรงปกปิดความลับนี้เอาไว้อย่างไรก็ไม่มีทางคายออกมาหรือหลุดพูดเป็นอันขาด จนกระทั่งในตอนนั้น หากซ่งเจิ้นอี้ไม่ได้พ้นปกป้องนางจนลมหายใจสุดท้าย เกรงว่าความลับนี้ เขาก็คงไม่มีวันล่วงรู้ตลอดไปพอสิ้นคำนั้น ภายในเรือนเงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม บรรยากาศเริ่มอึมครึ้มคล้ายกับมีกลุ่มม่านเมฆลอยฝนเหนือหัวอยู่ภายในเรือน ไม่ว่าผู้ใดได้ยินแล้วต่างก็ขมวดคิ้วมุ่นคล้ายไม่เชื่อทั้งสิ้นหลินฮูหยินยืนนิ่งอยู่นาน ใบหน้าเริ่มซีดเซียวลงเรื่อยๆ และลมหายใจเริ่มกระชันถี่ขึ้นจนบุตรสาวทั้งสองสังเกตเห็นจึงเริ่มเข้าไปประคองประกบสองข้างเอาไว้“ท่านแม่!” น้ำเสียงของหลินซิ่วอันร้องออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าที่เจื่อนลงไปแล้วยิ่งเจื่อนลงไปอีก“ท่านแม่นั่งพักก่อนเถอะเข้าค่ะ” หลินซิ่วหรงพูดพาค่อยๆ ประคองมารดาไปนั่งอยู่มุมหนึ่งภายในห้องบรรพชล นางเหลือบสายตาไปมองอิงหลันก่อนจะออกคำสั่ง “หาน้ำชาสักจอกมาให้ท่านแม่ดื่มผ่อนคลายเสียหน่อยและไปตามท่านหมอมาเสีย”“เจ้าค่ะ!” อิงหลันตอบเหล่าสาวใช้พอได้ยินเช่นนั้นแล้ว พลางเร่งรีบเบ่งหน้าที่กันอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครเกี่ยงกันไปมาหลินฮูหยินกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา “ไม่ต้อง…แม่หาได้
เช้าวันถัดมาหลินซิ่วหรงยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษสกุลหลินตั้งแต่เมื่อพลบค่ำวันก่อนจนกระทั่งสายวันถัดมาภายในเรือนเต็มไปด้วยเหล่าสาวใช้ในจวนที่พลัดเปลี่ยนมาเฝ้าคุณหนูใหญ่ด้วยเห็นใจและสงสารเต็มอก ทั้งที่นายท่านก็รู้ว่าในยามนี้นั้นคุณหนูกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ อยู่ แม้ว่าจะไม่เอ่ยปากสั่งให้ดื่มยาขับเลือดทว่าการที่เอาแต่ยืนเช่นนี้ย่อมไม่ต่างกันอย่างไรก็ไม่มีทางใดดีต่อคุณหนูใหญ่ทั้งสิ้นถึงแม้ว่าความผิดของคุณหนูใหญ่จะเป็นเรื่องใหญ่โตมากก็จริงแต่ทว่าที่ผ่านมาคุณหนูย่อมไม่เคยทำผิดมาก่อน ไม่ว่านายท่านและฮูหยินอบรมสั่งสอนสิ่งใดย่อมเชื่อฟัง พวกนางล้วนไม่เคยได้ยินคุณหนูเถียงกลับแม้แต่สักครึ่งคำด้วยซ้ำไฉนจะนำมาหักล้างความผิดในครั้งนี้ไม่ได้กัน อีกทั้งไม่ว่าจะฮูหยินหรือคุณหนูเล็กล้วนมาคุกเข้าอ้อนวอนก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี มิหนำซ้ำยังถูกนายท่านข่มขู่ว่าจะลงโทษคนทั้งคู่ไปด้วยอีกพวกนางเป็นสาวใช้พอเห็นเหตุการณ์นี้ ย่อมรู้สึกสะเทือนใจอยู่มากทว่ากลับไม่สามารถเอ่ยปากพูดอันใดได้นัยน์ตาเมล็ดซิ่วจับจ้องมองแผ่นป้ายวิญญาณตรงหน้าทว่าหาได้รู้สึกผิด เสียใจหรือน้อยใจบิดาแต่อย่างใด นางกำลังพยายามนึกถึ
ดูแล้วนี่คงไม่ใช่เพียงฝันร้ายตื่นหนึ่งแต่เป็นเขาได้ย้อนกลับมากลับมาจริงๆภาพใบหน้าของนางที่สะอื้อร้อนไห้ออกมาปานใจจะขาดซ้ำยังบอกเรื่องสำคัญให้เขารู้ก่อนที่จะตายไปยังคงดังสะท้อนอยู่ในหู ในตอนนั้น แม้ตายไปแล้วเขาก็ไม่นึกเสียดาย ทั้งได้ปกป้องนางและลูกในท้องให้ปลอดภัยได้ก็รับว่าพอแล้วไม่ใช่ว่าเขาที่ตายไปแล้วสมควรจะลงปรโลกเพื่อไปดื่มน้ำแกงลืมเลือนของยายเมิ่งมิใช่หรอกหรือ แต่เหตุใดถึงได้มานั่งหายใจอยู่ที่ได้ ทว่าเหตุการณ์หลังจากนั้นเขาไม่รู้จริงๆไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาจะปกป้องนางเอาไว้ได้จริงๆ หรือไม่?ซ่งเจิ้งอี้เงยหน้าละจากจอกน้ำชาตรงหน้าเพ่งมองกู้เหยียนสหายวัยเยาว์ที่โตมาด้วยกัน ดวงตาคมกริบฉายแววจริงจัง น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างแน่วแน่ “คุณหนูใหญ่สกุลหลินจะขึ้นเกี้ยวแต่งออกไปเมื่อใดกัน”หากเป็นเช่นนั้นแล้ว หากเขาได้ย้อนกลับมาจริงๆ เกรงว่ายามนี้คงยังไม่สายเกินไปที่จะรั้งนางและปกป้องลูกในท้องเข้าไว้ได้หวนคืนกลับมาครานี้เขาจะไม่ยอมเสียสิ่งใดไปทั้งสิ้น!หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นเล็กน้อยก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่เจือด้วยความหนักใหญ่เขาเป็นสหายของบุรุษตรงหน้ามาตั้งแต่วัยเยาว์จนกระทั่งต
หลินซิ่วหรงสะดุ้งขึ้นจากฝันนางหอบหายใจถี่จนหน้าอกกะนเพื่อมสั่นไหว ดวงตาคู่งามเพ่งมองเพดานขาวโพลนตรงหน้าด้วยสายตาที่พร่ามัว หัวคิ้วเรียวค่อยๆ ขมวดมุ่นเข้าหากันช้าๆ ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นนั่งท่ามกลางบรรยากาศที่ครุกขุ่นภายในห้องเหตุใดที่ไม่ได้ใช่ไม่ใช่กลางป่าหกร้างแตากลับเป็น…เป็นเรือนของนางแทน?หลินซิ่วหรงและมองสายตาขวาเห็นเหล่าสาวใช้ที่คุ้นหน้าคุ้นตาทั้งยืนและนั่งยืนอยู่เต็มเรือนต่างก็มองนางกลับด้วยสีหน้างุนงงไมาแพ่กันไม่ใช่ว่านางตายไปแล้งหรอกหรือ!?ความรู้สึกเจ็บจากลมดาบที่ลำคอก็จะแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง นางยังคงจำได้ไม่ลืม…มือขาวเรียวพลางยกขึ้นรีบกอบกุมลำลอทันที นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกวาดมองเหล่าสาวใช้ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่คสผู้หนึ่ง น้ำเสียงหวานแหบแห้งเอ่ยถาม “ข้า…ยังไม่หรอกหรือ”หลินซิ่วหรงมั่นใจว่า เหตุกานณ์ในตอนนั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น…ราวกับว่ามันเกิดขึ้นจริงๆดังนั้น…นางได้หวนกลับมางั้นหรือ!?เรื่องเหลือเชื่อแบบนี้มีอยู่จริงๆ หรือ!?ทันใดนั้น ความสงสัยและคำถามมากมายแล่นขึ้นกลางอก เช่นนั้นแล้ว วันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่แล้ว นางได้กลับมาตอนไหนกัน ระหว่างก่อนเกิดเรื่องวุ่นว