เข้าสู่ระบบชาติก่อนหลินซิ่วหรงปกปิดความลับนี้เอาไว้อย่างไรก็ไม่มีทางคายออกมาหรือหลุดพูดเป็นอันขาด จนกระทั่งในตอนนั้น หากซ่งเจิ้นอี้ไม่ได้พ้นปกป้องนางจนลมหายใจสุดท้าย เกรงว่าความลับนี้ เขาก็คงไม่มีวันล่วงรู้ตลอดไป
พอสิ้นคำนั้น ภายในเรือนเงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม บรรยากาศเริ่มอึมครึ้มคล้ายกับมีกลุ่มม่านเมฆลอยฝนเหนือหัวอยู่ภายในเรือน ไม่ว่าผู้ใดได้ยินแล้วต่างก็ขมวดคิ้วมุ่นคล้ายไม่เชื่อทั้งสิ้น หลินฮูหยินยืนนิ่งอยู่นาน ใบหน้าเริ่มซีดเซียวลงเรื่อยๆ และลมหายใจเริ่มกระชันถี่ขึ้นจนบุตรสาวทั้งสองสังเกตเห็นจึงเริ่มเข้าไปประคองประกบสองข้างเอาไว้ “ท่านแม่!” น้ำเสียงของหลินซิ่วอันร้องออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าที่เจื่อนลงไปแล้วยิ่งเจื่อนลงไปอีก “ท่านแม่นั่งพักก่อนเถอะเข้าค่ะ” หลินซิ่วหรงพูดพาค่อยๆ ประคองมารดาไปนั่งอยู่มุมหนึ่งภายในห้องบรรพชล นางเหลือบสายตาไปมองอิงหลันก่อนจะออกคำสั่ง “หาน้ำชาสักจอกมาให้ท่านแม่ดื่มผ่อนคลายเสียหน่อยและไปตามท่านหมอมาเสีย” “เจ้าค่ะ!” อิงหลันตอบ เหล่าสาวใช้พอได้ยินเช่นนั้นแล้ว พลางเร่งรีบเบ่งหน้าที่กันอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครเกี่ยงกันไปมา หลินฮูหยินกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา “ไม่ต้อง…แม่หาได้เป็นอันใด เพื่อแค่ตกใจเท่านั้น หากได้ดื่มน้ำชาสักจอกก็คงจะผ่อนคลายลงไปได้บ้าง” ไฉนนางจะรู้ว่าบุตรสาวไปเกี่ยวข้องกับคุณชายสกุลซ่งจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ไม่รู้ว่าคนทั้งคู่ไปรู้จักสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ นางพลางปิดเปลือกตาลง ใช้มือนวดขมับช้าๆ คอยกำลังใช้ความคิดนึกถึงเรื่องราวทั้งหมด หลินซิ่วอันละสายตาจากมารดาเหลือบไปมองพี่สาว นางถอนหายใจออกมาเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่วเบา “รองแม่ทัพซ่ง…” หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความลังเลก่อนจะถามออกไป “พี่หญิงไปรู้จักกับเขาได้อย่างไรกันหรือเจ้าคะ ข้าเห็นพี่หญิงออกจวนแทบจะนับครั้งได้” หากว่ากันตามแล้ว ผู้ที่ท่านแม่และท่านพ่อสมควรกังวลใจในเรื่องนั้นสมควรเป็นนางต่างหาก หลินซิ่วหรงได้ยินแล้วไม่รู้ว่าควรจะเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนไหนดี นางเหลือบมองมารดาและน้องสาวสลับกันไปมาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อาจเป็นเพราะข้าและเขามีวาสนาต่อกันกระมัง พบพานเพียงแค่หนึ่ง แต่กลับตราตรึงมิอาจลบเลือนได้…” เรื่องของความรู้สึกนั้น…หากมิใช่ผู้ที่เผชิญรักลึกซึ้งไฉนจะเข้าใจได้ หลินซิ่วอันย่อมเข้าใจเหตุผลของผีสาวได้อย่างถ่องแท้ “ทว่า…พี่หญิงจะทำอย่างไรต่อไปหรือเจ้าค่ะ” หลินซิ่วอันถามกลับทันที นางละสายตาจากอีกฝ่ายหลุมต่ำมองหน้าท้องแบนราบใต้อาภรณ์ที่อีกไม่กี่เดือนก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจปิดเอาไว้ได้แล้ว มิหนำไหนจะงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแคว้นที่ใกล้เข้ามาซึ่งเหลืออีกเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น นางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทั้งรู้สึกเห็นใตและสงสารพี่สาวในคราวเดียว หลินฮูหยินเงียบไปพักใหญ่ หากนางจำไม่ผิดนั้นคนสกุลซ่งเคยมาเคาะประตูจวนพร้อมกับยกแม่สื่อหมายจะมาสู่ขอบุตรสาวผู้นี้ของนางเป็นภรรยา ทว่านางกลับไม่เคยเอ๊ะใจหรือสงสัยมาก่อนว่า ทั้งคู่จะมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันถึงเพียงนี้ วันนั้นว่านางเห็นเต็มสองตาได้ยินเต็มสองหู ว่าหลินซิ่วหรงปฏิเสธคุณชายซ่งไปอย่างไร้เยื่อใยซ้ำยังสาดถ้อยคำดูแคลนใส่ หลินฮูหยินหันไปสบตาหลินซิ่วหรงด้วยความจริงจัง “หรงเออร์ หากมีเรื่องกังวลใจเจ้าสามารถพูดคุยกับแม่ได้ทุกเรื่องเข้าใจหรือไม่” “เจ้าค่ะ” หลินซิ่วหรงพยักหน้าหงึกๆ ด้วยคสามรู้สึกผิด ชาติก่อนนั้นนางไม่รู้ว่าจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไรดี จึงเอาแต่ปกปิดและหลีกหนีปัญหาราวกับเด็กสามขวบที่ไร้สติปัญหาคิดไม่ได้ หลินฮูหยินถอนหายใจ ก่อนจะพูดอีกครั้ง “เช่นนั้น วางใจเถิด ดูแลสุขภาพของเจ้าและเด็กในท้องให้ดีก็พอ เรื่องนี้เอาไว้ให้แม่จะจัดการเอง” หลินซิ่วหรงได้ยินแล้วยิ่งรู้สึกผิดเต็มอก น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “มิใช่ว่าลูกไม่ไว้ใจท่านแม่เจ้าค่ะ ทว่าปัญหานี้ลูกเป็นคนผูกเช่นนั้นให้ลูกแก้เองเถอะ” “หรงเออร์” หลินฮูหยินขึ้นเสียงเล็กน้อย จะให้นางปล่อยบุตรสาวเผชิญหน้ากับเรื่องวุ่นวายเช่นนี้เพียงลำพังได้อย่างไร “พี่หญิง ข้าว่าอย่างไร หลายคนช่วยกันคิดหาทางออกย่อมดีกว่าหัวเดียวแน่” หลินซิ่วอันพูดเสริม ไม่ว่าจะมองอย่างไร นางก็ไม่เห็นหนทางออกจริงๆ หลินซิ่วหรงส่ายหน้า กล่าวย้ำออกมาอย่างแน่วแน่ “ให้ลูกได้ลองจัดการด้วยตนเองก่อนเถอะเจ้าค่ะ หากยามนั้นเหนือบ่ากว่าแรงย่อมต้องร้องความช่วยเหบือจากท่านแม่แน่” ชาติก่อนเพราะนางเอาแต่หนีด้วยความขี้ขลาด ปกปิดและซ่อนเอาไว้ไม่ยอมบอกผู้ใด จนสุดท้ายจึงผลักให้โศกนาฏกรรม นางต้องตายไปพร้อมลูกในครรถ์ที่ยังไม่แม้แต่จะได้มีโอกาสลืมตาดูโลก หวนคืนกลัยมาครานี้ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นเช่นเดิมแน่ หลินฮูหยินกับหลินซิ่วอันสบตากัน ก่อนทั้งคู่จะถอนหายใจออกมาพร้อมๆกัน ทั้งนางและมารดาต่างก็รู้ดีว่าหากอีกฝ่ายได้เอ่ยออกมาเช่นนี้แล้ว ต่อให้จะคะยั้นคะยอเพียงใดก็ยากจะเปลี่ยนใจได้ ปลายยามเซิน (15.00 – 17.00 น.) นายท่านหลินออกมาจวนเข้าวังหลวงไปตั้งแต่เช้าตรู่ตอนที่ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่างดีด้วยซ้ำ พอกลับจวนอีกทีก็มืดค่ำแล้ว เขายังก้าวเท้าไม่ทันพ้นขอบประตูจวน จู่ๆ แม่บ้านชราก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามารายงานว่า ช่วงสายของวันนี้ หลินฮูหยินเกิดหน้ามืดเป็นลมไปทว่าโชคนักที่เหล่าสาวใช้ที่อยู่บริเวณนั้นช่วยเหลือเอาไว้ได้ไม่เช่นนั้นแล้ว หากหัวกระแทกฟาดลงพื้นคงอาการย่ำแย่ไม่น้อย นายท่านหลินไม่รอฟังให้แม่บ้านพูดจบ เร่งรีบเดินเข้าไปในจวนพุ่งตรงไปยังเรือนนอนทันทีด้วยความกังวลและเป็นห่วงภรรยาเต็มอก อารมณ์ขุ่นมัวที่ติดอยู่ในใจตลอดทั้งวันพลันจางหายไปทันที หัวใจแกร่งกระตุกวูบหล่นลงไปถึงตาทุ่ม เกรงว่า ภรรยาจะเจ็บป่วยร้ายแรงมากกว่าเป็นลม เมื่อคืนนี้...ตลอดจนถึงเช้าตรู่ เขาเห็นนางเอาแต่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูเรือนพร้อมกับบุตรสาวคนเล็ก เพื่อร้องขอให้ยกโทษให้แก่หลินซิ่วหรง ทว่ายามนั้น นายท่านหลินโกรธมากจริงๆ เขาเลี้ยงดูบุตรสาวทั้งสองมาอย่างประคบประหงบยิ่งกว่าไข่ในหิน ไฉนเลยจะคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ เรื่องราวเป็นมาอย่างไรเขาไม่รู้ เพราะหลินซิ่วหรงเอาแต่ปิดปากเงียบไม่ยอมเอ่ยหรือหลุดพูดออกมาแม้แต่สักครึ่งคำ พอเขาถามว่า ผู้ใดคือบิดาของเด็กในท้อง…นางก็เอาแต่เงียบอยู่อย่างงั้น ดังนั้นแล้ว ความอดทนของเขาพลันขาดสะบั้นลงไปทั้งที ทั้งโมโห ทั้งรู้สึกขายหน้าและอับอายในคราาเดียวกัน! เหล่าสาวใช้ในจวนแทบจะทั้งหมดรวมตัวอยู่ที่หน้าเรือนแต่พอเห็นผู้เป็นนายเดินลิ่วๆ มั่นคงมาแต่ไกลจนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จึงแหลกทางหลบในทันทีอย่างพร้อมเพียง ภายในเรือน หลินฮูหยินนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของนางยังคงซีดเซียวทว่าก็ยังดีกว่าเมื่อตอนกลางวัน ด้านซ้ายและด้านขวามีบุตรสาวนั่งคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง นางไม่ได้เป็นอันใดมากจริงๆ เมื่อแค่รู้สึกเครียดและกังวลเท่านั้น ไม่รู้ว่าควรจะช่วยหลินซิ่วหรงด้วนวิธีใดดี ดูท่าแล้ว หากวันนั้นบุตีสาวของนางปฏิเสธคุณชายซ่งผู้นั้นไปอย่างไร้เยื่อใยและเย็นชาถึงเพียงนั้น ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ก็คงไม่ดีเท่าไหร่ ไม่แน่ว่าคงจะขาดสะบั้นไปแล้วซ้ำจบลงไปแล้วแต่บุตรสาวของนางกลับท้องป่องขึ้นมาแทน แล้วไหนจะงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ที่ใกล้เข้ามาอีก หลินฮูหยินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวตุบๆ อีกทั้งไม่รู้ว่าสามีจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี เสียงฝีเท้าหนักแน่นของนายท่านหลินเดินเข้ามาในเรือน พอสายตามองเห็นร่างภรรยานอนอยู่บนเตียง หัวใจของเขาก็พลันถูกบีบรัดแน่นจนปวดหนึบ “…” เสียงจ้อกแจ้กพูดคุยภายในเรือนเงียบสงัดลงทันตา เพียงแค่นายท่านหลินปรากฏตัวอยู่ในเรือน “ท่านพ่อ” หลินซิ่วอันปรายสายตาไปมองก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วยอบกายลงเล็กน้อย นางพลางเหลือบสายตาหันไปมองพี่สาวก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าบิดาแล้วคุกเข่าลง หลินซิ่วหรงค่อย ๆ นั่งคุกเข่าลงต่อหน้าบิดา นางยกมือขึ้นเหนือศีรษะก่อนจะกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น “ความผิดของลูกทำให้ท่านพ่อต้องรู้สึกอับอายขายหน้าและผิดหวัง หากจะลงโทษก็ได้โปรดลงโทษที่ลูกผู้เดียวเถิด อย่าได้ให้กระทบถึงท่านแม่และหลินซิ่วอันเลยเจ้าค่ะ” “หรงเออร์!” น้ำเสียงของหลินฮูหยินร้องตกใจ นางเร่งรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงโดยมีเหล่าสาวใช้และหลินซิ่วอันประคองเอาไว้แทบไม่ทัน “เจ้าหาได้ตัวผู้เดียว คิดจะทำอันใดก็ระมัดระวังหน่อยเถอะ” สายตาของหลินฮูหยินทอดมองแผ่นหลังของบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงก่อนจะเงยหน้ามองสามี “ท่านพี่เจ้าคะ เห็นแก่หน้าข้าได้หรือไม่…ยกโทษให้หลินซิ่วหรงเถิด อย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวของข้าและท่าตมิใช่หรือไร ลูกทำผิดย่อมสมควรอบรมสั่งสอนทว่ายามนี้นั้น นายท่านหลินละสายตาจากหลินซิ่วหรงก่อนเหลือบไปมองภรรยาที่อยู่บนเตียง ใบหน้าของนางที่เคยยิ้มแย้มกลับหม่นหมองฉายออกมาอย่างชัดเจน เขาเองก็ยิ่งรู้สึกผิดเต็มอกพลางถอนหายใจ “ลุกขึ้นซะ” น้ำเสียงเข้มของนายท่านหลินพูด ก่อนจะเดินเข้าไปหาภรรยาบนเตียงแทน สายตาทอดมองด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่ไม่แปรเปลี่ยนเหมือนดังวันแรกเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน “ฮูหยินเป็นอะไรหรือไม่” นายท่านหลินถามภรรยา หลินฮูหยินนส่ายหน้า ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะหันไปมองหลินซิ่วอันที่เดินเข้าไปประคองหลินซิ่วหรงลุกขึ้นจากพื้น นางหันกลับมาจ้องสบตาสามี “ที่ผ่านมาข้าไม่เคยร้องขออันใดจากท่านพี่ ทว่าครั้งนี้หากข้าจะเอ่ยปากขออะไรสักอย่างได้หรือไม่เจ้าค่ะ” น้ำเสียงของนางสั่นเครือเจือด้วยความลังเลและแฝงความกังวล นายท่านหลินพยักหน้าหงึกๆ “ไม่ว่าฮูหยินจะเอ่ยปากร้องขอสิ่งใดข้าย่อมไม่เคยขัดทั้งสิ้น ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่สามารถทำให้ได้คืองานแต่งเชื่อมสัมพันธ์เป็นราชโองการของฮ่องเต้ หากผู้ใดกล้าฝ่าฝืนก็ย่อมไม่พ้นถูกลงโทษ ไม่ว่าจะหลินซิ่วหรง หลินซิ่วอัน เจ้า...หรือแม้แต่ข้า รวถึงผู้คนที่เกี่ยวข้องกับสกุลหลินก็ไม่มียกเว้น” น้ำเสียงทุ้มของนายท่านหลินราวกับประกาศก้องไปทั่วทั้งจวน บรรยากาศค่อยๆ เริ่มขุ่นมัว กระอักกระอ่วนจนสาวใช้บางคนแทบหายใจจนต้องเดินออกจากเรือนไปสูดอากาศ ใบหน้าของหลินฮูหยินยิ่งเจือด้วยความกัววลใจยิ่งกว่า นางถามกลับ “แล้วจะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ ท้องของนางก็คงใหญ่โตขึ้นทุกวันอย่างไรก็ผิดไม่มิดแน่” อย่างไร หลินซิ่วหรงก็พอมีความทรงจำในชาติก่อนอยู่บ้าง ยามนี้นางต้องการเพียงพบหน้าซ่งเจิ้นอี้อีกครั้งเท่านั้น หากเขาตายไปแล้วได้ย้อนกลับมาพร้อมกับนางและความทรงจำเดิมเหมือนกัน ย่อมต้องมีทางออกแน่ หลินซูหลินพูด “ลูกรู้ว่าท่านพ่อหวังดีปรารถนาให้ลูกมีสามีที่เพียบพร้อมสามารถเชิดหน้าชูตาได้โดยไม่ต้องรู้สึกอายหรือต่ำกว่าผู้ใด ทว่าใจของลูกนั้นรักใคร่ลึกซึ้งต่อซ่งเจิ้นอี้ได้แต่เพียงผู้เดียว”หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างสงบ ซ่งเจิ้งอี้ก็จัดการยกแม่สื่อมาทาบทามขอนางอีกครั้งตามธรรมเนียม แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยถูกนายท่านหลินขับไล่ออกจากจวนไปแล้วก็ตามแต่ก็ยังไม่เข็ดซ้ำยามนี้ นางก็ตั้งครรภ์อยู่ แม้ท้องจะขยายใหญ่ขึ้นจนทำให้การเคลื่อนไหวไม่คล่องนักและก็หาได้อยากเร่งรัดการแต่งงานนัก หากจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปก่อนแล้วค่อยจัดพิธีให้สมเกียรติภายหลังจากที่นางคลอดก็ยังทันทว่าซ่งเจิ้งอี้กลับกล่าวอย่างหนักแน่นว่า เพียงเท่านี้ก็ทำให้สกุลหลินและนางเสียเกียรติไปไม่น้อยแล้ว เรื่องนี้สมควรต้องทำให้ถูกต้องตามธรรมเนียม ทั้งสามหนังสือและหกพิธีการต้องครบถ้วน จะได้ไม่มีผู้ใดครหาหรือสบประมาทได้!และเขายังประกาศเจตนาอย่างชัดเจนว่า ต้องการเป็นสามีของนางโดยแท้ และยังต้องการอยากป่าวประกาศให้คนทั่วทั้งเมืองหลวงรู้ว่า คุณหนูใหญ่สกุลหลินได้ออกเรือนแล้ว มีวานแต่งที่ยิ่งใหญ่เอิกเกริกสมเกียรติ ทั้งขบวนสินเดิมหรือสินสอดของเจ้าสาวนั้นยาวเหยียดเรียงยาวหลายหีบจนนั้นไม่ถ้วนมิหนำซ้ำแล้ว ต้องเป็นเจ้าสาวที่งดงามที่สุดไม่แพ้สตรีใด!แม้ว่าจะขัดใจนายท่านหลินไปบ้าง แต่หลินฮูหยินกลับออกหน้าตัดสินทุกอย่างโดยไม่รอความเห็นจาก
หลายวันผ่านไปหลินซิ่วหรงไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะคลี่คลายและสงบลงได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ นางไม่ต้องกลายเป็นสตรีบรรณาการขึ้นเกี้ยวไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์และไม่ถูกบิดาบังคับให้ฝืนใจแต่งกับบุรุษใดอีกภายหลังเหตุการณ์วันนั้น ซ่งเจิ้งอี้กล่าวว่าสถานการณ์ในวังหลวงยังไม่สงบนัก แม้องค์ชายอวิ๋นจะปฏิเสธการแต่งงานกับนางไปแล้ว แต่ใช่ว่าฝั่งแคว้นอวิ๋นจะยอมรับโดยง่าย ซ้ำเกรงว่าฮ่องเต้จากแคว้นอวิ๋นก็คงไม่พอใจหากรู้เรื่องนี้ไปถึงหู เพื่อแก้ไขปัญหาในตอนนี้และที่จะตามมาในภายหลัง ซ่งเจิ้งอี้จึงตัดสินใจควบม้าออกเดินทางพร้อมพี่ชายไปยังแคว้นอวิ๋นด้วยตัวเองทว่าก็ล่วงเลยมาหลายวันแล้ว ก่อนจะออกเดินทางนั้น เขาบอกว่าจะกลับมาวันนี้แต่ยามนี้ไร้วี่แววตลอดทั้งเช้า หลินซิ่วหรงเอาแต่เฝ้ารออย่างกระวนกระวาย พอยามบ่ายก็ส่งคนไปที่สกุลซ่งแต่กลับได้รับคำตอบเพียงว่า พวกเขายังไม่กลับมา นางได้แต่นั่งเหม่ออยู่กลางลานจวน สายตาจับจ้องไปยังบานประตูราวกับหวังจะเห็นเงาร่างที่รอคอย ภายในใจพลางเต็มไปด้วยความกังวลที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเรื่อยนางภาวนาให้เขากลับมาปลอดภัย แต่ลึกๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่าการกระทำครั้งนี้ราวกับเป็นการฉีกหน้าแคว้นอวิ๋น
ความเงียบแผ่ครอบคลุมท้องทั่วพระโรง หลังจากอวิ๋นเซียวปรากฏตัว ดวงตาคมกริบกวาดไปยังคณะทูตจากแคว้นอวิ๋นราวกับสังเกตทุกความเคลื่อนไหว เสียงลมหายใจของขันทีชราและขุนนางรอบพลันหนักขึ้นราวมีก้อนหินทับอกซ่งเจิ้งอี้ปรายมองคนแคว้นอวิ๋นผู้นั้น เขาแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอก่อนจะกล่าว “สกุลซ่งของข้าตั้งแต่บิดา พี่ชายและข้าต่างยืนหยัดปกป้องแคว้นเว่ยมาตลอด หากยังคิดบีบบังคับอย่างไร้เหตุผล สกุลซ่งก็ไม่ลังเลที่จะเผชิญหน้าไม่ว่าจะผู้ใดก็ตาม!”สายตาคมกริบแข็งกร้าวฉายความแน่วแน่และจริงจังอย่างชัดเจน ครั้งนี้เขาไม่มีทางยอมจากหลินซิ่วหรงอีกแล้ว…แม้แต่ความตายก็มีอาจพรากเขาจากนางไปได้กู้เหยียนมองเหตุการณ์ตรงหน้าเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยในใจ…คนสกุลซ่งนี่ ช่างขัดแย้งกันเองยามสงบ แต่พอศึกจริงกลับช่วยกันรบจนไม่มีใครเทียบได้เลยฮ่องเต้หนุ่มบนบัลลังก์นั่งนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยราวไร้อารมณ์ มาครู่ใหญ่ก่อนที่จู่ๆ จะแค่นหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวเสียงกึกก้องสะท้อนทั่วท้องพระโรงอย่างเย็นชา ปรายตามองคนสกุลซ่งทั้งคู่“สกุลซ่งหรอกหรือ…ที่เป็นผู้ทำให้คุณหนูหลินตั้งครรภ์?”พอสิ้นคำ ทุกสายตาพุ่งไปยังซ่งเจิ้งห่าวแ
ซ่งเจิ้งอี้ไม่คาดคิดเลยว่าพี่ชายจะทำเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ทั้งยังปิดบังไม่บอกเขาแม้แต่สักคำเดียว ภายหลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ ทั้งเขาและซ่งเจิ้งห่าวพร้อมกู้เหยียนจึงรีบขึ้นรถม้าเข้าวังหลวงทันทียามนี้ ภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของเหล่าขุนนางสูงต่ำทั้งหลานที่ถูกเรียกตัวเข้ามาอย่างกะทันหัน ทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุดราชการ ดังกึกก้องไปทั่วผสมปนเปไปกับสีหน้าถมึงทึงและท่าทางหงุดหงิดที่อาจปกปิดได้มิด หลายคนพึมพำบ่นเสียงดังราวกับจะประกาศให้ผู้คนทั้งวังได้ยินหัวข้อที่ไม่พ้นถูกพูดถึงหนีไม่พ้นเรื่อง คุณหนูใหญ่สกุลหลินเกี่ยวกับข่าวลือที่แผ่สะพัดดังกระหึ่มในยามนี้และองค์ชายอวิ๋นเซียวจากแคว้นอวิ๋นที่เดินทางมาถึงแคว้นเว่ยโดยไม่ได้บอกกล่าวหรือแจ้งล่วงหน้า มิหนำซ้ำยังมีคณะทูตจากแคว้นอวิ๋นที่เดินตามมาเร่งรัดให้มีพิธีงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์โดยเร็ววันกู้เหยียนเดินนำหน้าเข้าท้องพระโรง เขาสูดลมหายใจพลางกวาดสายตามองรอบๆ เหล่าขุนนางต่างมารวมตัวกันแทบครบถ้วน ก่อนที่จะไปสะดุดตาเข้ากับคนผู้หนึ่งแทน อดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงฮึดฮัดประชดประชันเบาๆ“ดูหน้าพ่อตาเจ้าเสีย ซ่งเจิ้งอี้…ราวกับถู
แผนการลอบสังหารครานั้น ซ่งเจิ้งอี้ยังคงข้องใจอยู่ไม่น้อย ว่าเหตุใดเวลาถึงได้ประจวบเหมาะราวกับมีผู้รู้ล่วงหน้าว่าจะมีขบวนแต่งงานจากแคว้นเว่ยเดินทางไปยังแคว้นอวิ๋น แต่เมื่อชะตาชีวิตในชาตินี้หาได้เป็นเช่นชาติที่แล้ว เขาจึงเลือกจะไม่เก็บมาคิดให้เปลืองสมองนักพักหลังมานี้ แม้ว่าซ่งเจิ้งอี้สามารถเข้าออกจวนสกุลหลินได้ตามใจ แต่ในเมื่อยังมิได้ทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินร่วมกับนาง…เขาย่อมไม่หยามเกียรติให้ผู้คนจับจ้องสนใจนางไปมากกว่านี้ ดังนั้นแล้ว เขาจึงมักแวะไปที่จวนสกุลหลินเพียงสองเวลาเท่านั้นยามเช้าตรู่ตั้งแต่ที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เพื่อร่วมทานอาหารเช้า และยามพลบค่ำเมื่อผู้คนแยกย้ายเข้าจวนจนหมดแล้วซ่งเจิ้งอี้รับปากว่าหากจัดการสะสางเรื่องราวระหว่างแคว้นได้สิ้น เขาจะให้แม่สื่อไปสู่ขอหลินซิ่วหรงตามธรรมเนียม จัดพิธีมงคลอย่างสมเกียรติและยิ่งใหญ่ที่สุด เพื่อให้นางยืนอยู่เคียงข้างเขาอย่างไม่น้อยหน้าและไม่มีผู้ใดกล้ากล่าววาจาดูหมิ่นได้อีกทว่าเช้าวันนี้ ทันทีที่เขาผลักประตูจวนออกมา ยังไม่ทันได้ยกเท้าก็เห็นรถม้าคันหนึ่งจอดรออยู่หน้าจวน“เหอะ! ครานี้ข้าจะพลาดไม่ได้เจอรองแม่ทัพซ่งเสียแล้ว”น้ำเสียงทุ้มของกู้เ
ณ จวนสกุลจ้าววันนี้มารดาของนางเอ่ยว่าจะไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนสกุลใดสกุลหนึ่ง แม้ว่านางจะได้ยินถ้อยคำทุกประโยคอย่างละเอียดแต่กลับหาได้สนใจนัก เพราะยังครุ่นคิดหาวิธีเอ่ยปฏิเสธอย่างแยบยล เพื่อให้ได้พักผ่อนอยู่ที่จวนอย่างสงบตามต้องการ และก็น่าแปลกนัก นางไม่ต้องอ้างเหตุผลหรือชักแม่น้ำมาหว่านล้อม มารดาก็หาได้รบเร้าอันใดทั้งสิ้น กล่าวเพียงว่า…หากจะอุดอู้อยู่จวนก็ตามใจเถอะจ้าวเหม่ยได้ยินแล้วดีใจอยู่ ไม่ต้องเปลืองน้ำลายพูดมากภายหลังจากที่นางส่งมารดาขึ้นรถม้าออกไปจากจวนแล้ว ก็กลับเรือนแล้วกระโดดลงบนเตียง พร้อมทั้งยังหลับตาลงอย่างผ่อนคลายพลางคิดว่าน่าจะได้พักผ่อนเสียทีแต่ยังไม่ทันชั่วอึดใจ กลับมีสาวใช้วิ่งแจ้นหน้าตาตื่นเข้ามาพร้อม กล่าวว่ามีคุณชายผู้หนึ่งมาถึงจวน และเอ่ยว่าต้องการจะพบหน้านางให้ได้ หากไม่พบก็ไม่ยอมจากไปจ้าวเหม่ยฮวาได้ยินดังนั้นถึงกับดีดตัวขึ้นบนเตียง กรีดร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเต็มไปด้วยความโกรธ หงุดหงิดและรำคาญใจพร้อมกันไฉนเลยพอพ้นสายตาของมารดา นางจะได้พักผ่อนบ้างแต่กลับต้องพบเจอเรื่องนี้!อดคิดไม่ได้ว่านี่คงเป็นแผนการของมารดาวางไว้ แม้ว่าจะนางหงุดหงิดและอารมณ์เสียมาก







