เรื่องที่คุณหนูใหญ่ตั้งครรภ์ ภายหลังจากนั้นนายท่านหลินมีคำสั่งว่าห้ามผู้ใดพูดถึงและห้ามแพร่งพรายเรื่องเป็นอันขาด หรือหากวันใดวันหนึ่งเรื่องนี้กลายเป็นที่พูดถึงถูกนำมานินทาขึ้นมาย่อมมีต้นเหตุมาจากคนในจวน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดล้วนลงโทษไม่ยกเว้น!
หลินซิ่วหรงหวนกลับมาได้เพียงแค่สองวันเท่านั้น เช้าวันถัดมาพอนางลืมตาตื่นขึ้น ก็หาได้มีอาการอ่อนเพลียหรือรู้สึกอยากอาเจียนออกมาแต่อย่างไร ราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่นางพะอืดพะอมเหม็ทุกสิ่งอย่างจนหน้ามืดเป็นลมล้มไปคือแผนการของลูกในท้องก็ไม่ปาน เกรงว่าเด็กผู้นี้คงดื้อรั้นและแสบไม่น้อยถึงได้กลั่นแกล้งนางถึงเพียงนั้นจนถูกจับได้ วันนี้หลินซิ่วหรงกินอาหารได้มากกว่าเมื่อวาน ไม่ว่าจะตักสิ่งใดเข้าปากล้วนเอร็ดอร่อยหาได้รู้สึกเหม็นหืดแต่อย่างใด นางกินไม่หยุดจนรู้สึกว่าถูกสายตาของหลินซิ่วอัน มารดาและบิดามองด้วยความแปลกใจ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งช้อนขึ้นมองคนทั้งสามสลับกันไปมาก่อนจะกล่าวออกมาน้ำเสียงแห้งๆ “วันนี้พ่อครัวทำอร่อยนักเจ้าค่ะ” หลินซิ่วหรงกลบเกลื่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝีมือของพ่อครัวที่ทำอาหารอร่อยหรือเป็นเพราะว่ายามนี้นางกำลังตักครรภ์กันแน่ถึงได้กินอะไรก็อร่อยไม่หมดเสียทุกอย่าง! หลินซิ่วอันมองพี่สาวด้วยความประหลาด ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มจางๆ เจื่อนๆ เดิมทีแล้วอีกฝ่ายกินข้าวแทบจะนับเม็ดได้ ทว่าเพียงแค่ชั่วข้ามคืนผ่านพ้นไปเกิดอันใดขึ้นอย่างงั้นรึ ถึงได้กินเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ราวกับว่าไปอดยากมาจากที่ใด ข้าวที่หลินซิ่วหรงกินนั้น…นางแบ่งกินได้ถึงสามมื้อเลยด้วยซ้ำ! ทั้งที่พี่หญิงก็ตัวเล็กถึงเพียงนั้นแต่กลับกินไม่หยุดแม้กระทั่งพักหายใจหายใจ ไม่รูสึกเหนื่อยหรืออย่างไรกัน!? หรืออาจเป็นเพราะกำลังท้องอยู่กระมัง “หากอร่อยพี่หญิงก็กินเยอะๆ เถอะเจ้าค่ะ อย่างไรก็เผื่อลูกในท้องด้วย” หลินซิ่วอันกล่าว มองเห็นอีกฝ่ายกินแล้วก็พลันรู้สึกอิ่มขึ้นมาทันที หลินฮูหยินเห็นหลินซิ่วหรงกินได้มากเพียงนี้โดยไม่มีอาการอันใด นางก็พลางหลุดหัวเราะออกมาทันที อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนที่ตั้งครรภ์หลินซิ่วอัน…นางเองก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีอาการแพ้แต่อย่างใด วันๆ เอาแต่กินไม่หยุด พอหนังท้องตึงหลังตาก็หย่อน เป็นอย่างนั้นอยู่หลายเดือนจนใกล้จะคลอด นางปรายสายตาไปมองสามีก่อนจะพูด “พอเห็นหลินซิ่วหรงในยามนี้ อดนึกไม่ได้ตอนที่ข้ากำลังอุ้มท้องหลินซิ่วอันใช่หรือไม่เจ้าค่ะ ท่านพี่” นายท่านหลินได้ยินน้ำเสรยงภรรยาแล้วจึงละสายตาจากบุตรสาวตรงหน้า เขาขานตอบสั้นๆ หวนๆ “อืม” หลินซิ่วหรงได้ยินบทสนทนาของบิดาและมารดาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามแทรกขึ้นมา “เช่นนั้น ครรภ์นี้จะเป็นเด็กหญิงอย่างงั้นหรือเจ้าค่ะ” ในชาติก่อน นางได้เป็นมารดาอุ้มท้องอยู่เพียงแค่สามเดือนกว่าๆ เท่านั้น ยังไม่ทันได้เห็นหน้า ยังไม่ทันได้ตั้งขื่อและยังไม่ได้สัมผัสเลี้ยงดูให้ดีแต่กลับเกิดเรื่องเสียก่อน หลินซิ่วหรงรู้สึกว่าความรู้สึกในตอนนี้และชาติก่อนนั้นแตก ต่างกันเหลือเกิน ตอนนี้นางรู้สึกตื่นเต้นและดีใจจริงๆ ที่ได้หวนกลับมาเป็นมารดาของเด็กผู้นี้อีกครั้ง ซ้ำยังอดใจรอแทบไม่ไหวที่จะได้พบหน้าเด็กทารกที่มีใบหน้าคล้ายคลึงนางกับบุรุษผู้นั้น ขณะที่ชาติก่อนนางเอาแต่หวาดกลัวไม่กล้าเผชิญหน้ากับผู้ใด ซ้ำยังปกปิดครรภ์ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างอับอายทั้งที่เป็นลูกของตัวเอง พอนึกถึงเรื่องนี้แล้ว นางคาดเดาสีหน้าของเขาไม่ออกจริงๆ ว่าดีใจหรือไม่ หากรู้ว่านางกับเขากำลังมีลูกด้วยกัน ในยามนั้น ทั้งที่เขาเจ็บเจียนจะตายอยู่แล้วแต่กลับเอาแต่ตะโกนบอกให้นางหนีไปอย่างได้หันหลังกลับมา ทันใดนั้น บรรยากาศภายในห้องโถงเงียบสงัดลงทันที ไม่มีแม้กระทั่งเสียงตะเกียบเคาะกับชามข้าว เสียงเคี้ยวอาหารหรือเสียงลมหายใจก็ไม่ได้ยิน นายท่านหลินแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “เวลากินก็สมควรกินอย่างสงบเสงี่ยมอย่าได้พูดจาให้มากความไร้มารยาท หากอยากจะพูดนักก็ลุกออกไปคุยที่อื่น” พอสินคำนั้น เขาก็พลางคีบเนื้อชิ้นโตไปวางในถ้อยข้าวของหลินซิ่วหรงขัดกับคำพูดเมื่อครู่ไม่น้อย ทั้งหลินซิ่วหรง หลินซิ่วอันและหลินฮูหยินต่างมองตากันก่อนจะพากันหลุดหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เห็นได้ชัดว่าสายตาของบิดาหรือนายท่านหลิรอ่อนลงจากเมื่อวานอยู่มากแม้ว่ายังจะแข็งกร้าวอยู่มากแต่นับว่าเป็นสัญญาณดี! แม้ว่ายามนี้ชายแดนที่ซ่งเจิ้นอี้เฝ้าอยู่จะสงบลงไปแล้ว และหากไม่มีเรื่องสำคัญอันใดเขาก็ไม่คิดจะรั้งอยู่ต่อที่นี่นานนักอยากจะรีบกลับค่ายทหารไปเสียมากกว่า ซ่งเจิ้นอี้นั่งอ่านหนักสือจิบน้ำชาอยู่ในศาลาริมสะบัว สาย ตาคมกริบหาได้เพ่งมองอ่านหนังสือตรงหน้าแต่กลับทอดมองไปยังดอกบัวที่เบ่งบานเหนือผิวน้ำอย่างเหม่อลอย หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกดีใจไม่น้อยที่ได้กลับเมืองเพราะจะได้พบหน้านาง แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว หลินซิ่วหรงหาใช่คนที่เขาเคยรู้จักอีกต่อไป เขาหวนคืนกลับมาเพราะปกป้องนางใจนตาย แล้วนางเล่า เขาไม่รู้อันใดสักนิด แม้ว่ายามนี้จะมีความทรงจำในชาติก่อนทั้งหมด หากเขาโผล่หน้าไปให้เห็นนางคงจะไม่รู้สึกรังเกียจจนต้องล้างจวนยกใหญ่หรอกหรือ!? ทว่าหากนับช่วงเวลาคำนวนดูแล้ว คงเป็นยามนี้กระมังที่นางกำลังอุ้มท้องลูกของเขาอยู่ เขาจะปล่อยนางไปเป็นภรรยาผู้อื่นทปล่อยให้ลูกเรียกขานบุรุษอื่นว่าพ่อได้จริงๆ หรือ ยิ่งคิดแล้วซ่งเจิ้นอี้ยิ่งปวดหัวตุบๆ ราวกับว่ากำลังเดินอยู่ในเขาวงกตที่หาทางออกไม่ได้ ครั้งนี้เขากลับมามีราชโองการเร่งด่วน เมื่อเสร็จสิ้นดีแล้วจึงเหลืออีกเพียงแค่สองวันที่เขาจะต้องกลับชายแดน ทว่ายามนี้กับคิดไม่ออกว่าควรจะจัดการสะสางเรื่องนี้อย่างไรดี ซ่งเจิ้นอี้เอาแตานั่งเหม่อลอยจนไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้าหรือรู้สึกถึงผู้คนที่เดินเข้ามา จนกระทั่งจึงได้ยินน้ำเสียงของแม่บ้านเอ่ยขึ้นอยู่พลันเรียกสติกลับคืนให้หลุดจากภวังค์ “คุณชายเจ้าคะ คุณหนูจากสกุลหลินต้องการพบเจ้าค่ะ” พอสิ้นคำของแม่บ้าน หลินซิ่วหรงจึงเดินเบี่ยงออกมาจากด้านหลังทันที ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มกว้าง นัยน์ตาเมล็ดซิ่งประสานเข้ากับดวงตากริบพอดี “เกรงว่าข้าคงไม่ได้มารบกวนเวลาส่วนตัวของรองแม่ทัพซ่งกระมังเจ้าคะ” หลินซิ่วหรงพูดก่อนจะหันไปพยักหน้าขอบคุณแม่บ้านที่เดินนำมาส่งถึงข้างใน “หลิน…ซิ่วหรง” น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยออกมาติดขัด ฟังไม่ค่อยได้ใจความนัก ซ่งเจิ้นอี้หรี่สายตาลงคล้ายกลับไม่เชื่อว่านางจะปรากฏอนู่ตรงหน้าทั้งที่คะนึงหาอยู่เมื่อครู่ เขาพลางลุกขึ้นพรวดก่อนจะเดินลงจากศาลาปรี่เข้าไปหาด้วยความร้อนรนทันที เหตุใดนางเห็นท่าทางจองเขาแล้วถึงได้รู้แปลกๆ นัก หลินซิ่วหรงเก็บความสงสัยไว้ในใจ ก่อนจะยอบกายลงเล็ก น้อยตามมารยาท “ไม่ได้เจอกัน…เสียนานเลยนะเจ้าค่ะ เกรงว่าคงเกือบครึ่งปีแล้วกระมัง นับตั้งแต่วันนั้น” วันที่นางขับไล่เขาออกไปให้พ้นจวน กล่าววาจาเฉียดเฉียนว่าไม่อยากลดลงตัวลงไปข้องเกี่ยวให้มัวหมอง หลินซิ่วอันเพิ่งเคยมาเหยียบจวนสกุลซ่งครั้งแรกและนางก็เพิ่งเคยเห็นรองแม่ทัพซ่งผู้นี้ครั้งแรกเช่นกัน นางก้าวเข้ามาขวางทางบังหน้าพี่สาวเอาไว้ ก่อนจะยอบกายลงตามมารยาท น้ำเสียงหวานกล่าว “รองแม่ทัพซ่งไม่คิดจะเชิญเข้าและพี่สาวเข้าไปดื่มน้ำชาสักจอกเลยหรือเจ้าคะ” ตอนที่นางได้ยินพี่สาวกล่าวว่าจะไปจวนสกุลซ่งหลังจากที่บิดาออกจาจวนเข้าวังหลวงไปแล้ว หลินซิ่วอันเป็นห่วงวางใจไม่ได้ นางห้ามไม่ได้จึงตามติดมาแทน อย่างไรสองคนก็ย่อมดีกว่าหนึ่ง สายตาคมกริบของซ่งเจิ้นอี้ยังจ้องมองหลินซิ่วหรงไม่ละลด เขาไม่ได้ตาฝาดไปเองใช่หรือไม่ เหตุใดนางถึงยืนอยู่ที่นี่ เหยียบเข้ามาในจวนสกุลซ่งทั้งที่กล่าวว่ารังเกียจไม่อยากจะข้องเกี่ยวอีก “อืม นับตั้งแต่ครานั้นก็ไม่ได้เจอกันนาน และนึกว่าจะไม่ได้เจออีกแล้ว” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยตอบประโยคก่อนหน้านี้ สายตาชมกริบพลางไล่มองอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะหยุดอยู่หน้าท้องแบนเรียบใต้อารภรณ์สีหวาน “ลูก…ของข้า ยังอยู่ใช่หรือไม่” พอได้ยินประโยคนี้ หลินซิ่วอันขมวดคิ้วมุ่นพลางหันขวับไปมองพี่สาวด้วยความแปลกใจทันที ก่อนจะหันกลับมามองบุรุษหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ “หมายความว่าอย่างไรกัน เรื่องนี่ท่านรู้ได้อย่างไร” หลินซิ่วหรงเบี่ยงตัวหลบออกมาจากด้านหลังหลิวซิ่วอัน นางยังคงมองซ่งเจิ้นอี้ไม่วางตา หัวใจหัวน้อยค่อยๆ เต้นกระหน่ำขึ้นอย่างไม่รู้ตัวและไร้สาเหตุ น้ำเสียงหวานเอ่ย “เขาปลอดภัย เพราะได้ท่านปกป้องไว้” ไม่รู้ว่าเรื่องที่นางเขาจะเข้าใจหรือไม่ ทว่าคำพูด ท่าทางและสายตาที่ทอดมองนางนั้นดูแปลกจนนางอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าแท้จริงแล้ว ซ่งเจิ้งอี้ก็ได้หวนคืนกลับมาเช่นกันเรื่องที่คุณหนูใหญ่ตั้งครรภ์ ภายหลังจากนั้นนายท่านหลินมีคำสั่งว่าห้ามผู้ใดพูดถึงและห้ามแพร่งพรายเรื่องเป็นอันขาด หรือหากวันใดวันหนึ่งเรื่องนี้กลายเป็นที่พูดถึงถูกนำมานินทาขึ้นมาย่อมมีต้นเหตุมาจากคนในจวน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดล้วนลงโทษไม่ยกเว้น!หลินซิ่วหรงหวนกลับมาได้เพียงแค่สองวันเท่านั้นเช้าวันถัดมาพอนางลืมตาตื่นขึ้น ก็หาได้มีอาการอ่อนเพลียหรือรู้สึกอยากอาเจียนออกมาแต่อย่างไร ราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่นางพะอืดพะอมเหม็ทุกสิ่งอย่างจนหน้ามืดเป็นลมล้มไปคือแผนการของลูกในท้องก็ไม่ปานเกรงว่าเด็กผู้นี้คงดื้อรั้นและแสบไม่น้อยถึงได้กลั่นแกล้งนางถึงเพียงนั้นจนถูกจับได้วันนี้หลินซิ่วหรงกินอาหารได้มากกว่าเมื่อวาน ไม่ว่าจะตักสิ่งใดเข้าปากล้วนเอร็ดอร่อยหาได้รู้สึกเหม็นหืดแต่อย่างใด นางกินไม่หยุดจนรู้สึกว่าถูกสายตาของหลินซิ่วอัน มารดาและบิดามองด้วยความแปลกใจนัยน์ตาเมล็ดซิ่งช้อนขึ้นมองคนทั้งสามสลับกันไปมาก่อนจะกล่าวออกมาน้ำเสียงแห้งๆ “วันนี้พ่อครัวทำอร่อยนักเจ้าค่ะ”หลินซิ่วหรงกลบเกลื่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝีมือของพ่อครัวที่ทำอาหารอร่อยหรือเป็นเพราะว่ายามนี้นางกำลังตักครรภ์กันแน่ถึงได้กินอะไรก็
ชาติก่อนหลินซิ่วหรงปกปิดความลับนี้เอาไว้อย่างไรก็ไม่มีทางคายออกมาหรือหลุดพูดเป็นอันขาด จนกระทั่งในตอนนั้น หากซ่งเจิ้นอี้ไม่ได้พ้นปกป้องนางจนลมหายใจสุดท้าย เกรงว่าความลับนี้ เขาก็คงไม่มีวันล่วงรู้ตลอดไปพอสิ้นคำนั้น ภายในเรือนเงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม บรรยากาศเริ่มอึมครึ้มคล้ายกับมีกลุ่มม่านเมฆลอยฝนเหนือหัวอยู่ภายในเรือน ไม่ว่าผู้ใดได้ยินแล้วต่างก็ขมวดคิ้วมุ่นคล้ายไม่เชื่อทั้งสิ้นหลินฮูหยินยืนนิ่งอยู่นาน ใบหน้าเริ่มซีดเซียวลงเรื่อยๆ และลมหายใจเริ่มกระชันถี่ขึ้นจนบุตรสาวทั้งสองสังเกตเห็นจึงเริ่มเข้าไปประคองประกบสองข้างเอาไว้“ท่านแม่!” น้ำเสียงของหลินซิ่วอันร้องออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าที่เจื่อนลงไปแล้วยิ่งเจื่อนลงไปอีก“ท่านแม่นั่งพักก่อนเถอะเข้าค่ะ” หลินซิ่วหรงพูดพาค่อยๆ ประคองมารดาไปนั่งอยู่มุมหนึ่งภายในห้องบรรพชล นางเหลือบสายตาไปมองอิงหลันก่อนจะออกคำสั่ง “หาน้ำชาสักจอกมาให้ท่านแม่ดื่มผ่อนคลายเสียหน่อยและไปตามท่านหมอมาเสีย”“เจ้าค่ะ!” อิงหลันตอบเหล่าสาวใช้พอได้ยินเช่นนั้นแล้ว พลางเร่งรีบเบ่งหน้าที่กันอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครเกี่ยงกันไปมาหลินฮูหยินกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา “ไม่ต้อง…แม่หาได้
เช้าวันถัดมาหลินซิ่วหรงยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษสกุลหลินตั้งแต่เมื่อพลบค่ำวันก่อนจนกระทั่งสายวันถัดมาภายในเรือนเต็มไปด้วยเหล่าสาวใช้ในจวนที่พลัดเปลี่ยนมาเฝ้าคุณหนูใหญ่ด้วยเห็นใจและสงสารเต็มอก ทั้งที่นายท่านก็รู้ว่าในยามนี้นั้นคุณหนูกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ อยู่ แม้ว่าจะไม่เอ่ยปากสั่งให้ดื่มยาขับเลือดทว่าการที่เอาแต่ยืนเช่นนี้ย่อมไม่ต่างกันอย่างไรก็ไม่มีทางใดดีต่อคุณหนูใหญ่ทั้งสิ้นถึงแม้ว่าความผิดของคุณหนูใหญ่จะเป็นเรื่องใหญ่โตมากก็จริงแต่ทว่าที่ผ่านมาคุณหนูย่อมไม่เคยทำผิดมาก่อน ไม่ว่านายท่านและฮูหยินอบรมสั่งสอนสิ่งใดย่อมเชื่อฟัง พวกนางล้วนไม่เคยได้ยินคุณหนูเถียงกลับแม้แต่สักครึ่งคำด้วยซ้ำไฉนจะนำมาหักล้างความผิดในครั้งนี้ไม่ได้กัน อีกทั้งไม่ว่าจะฮูหยินหรือคุณหนูเล็กล้วนมาคุกเข้าอ้อนวอนก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี มิหนำซ้ำยังถูกนายท่านข่มขู่ว่าจะลงโทษคนทั้งคู่ไปด้วยอีกพวกนางเป็นสาวใช้พอเห็นเหตุการณ์นี้ ย่อมรู้สึกสะเทือนใจอยู่มากทว่ากลับไม่สามารถเอ่ยปากพูดอันใดได้นัยน์ตาเมล็ดซิ่วจับจ้องมองแผ่นป้ายวิญญาณตรงหน้าทว่าหาได้รู้สึกผิด เสียใจหรือน้อยใจบิดาแต่อย่างใด นางกำลังพยายามนึกถึ
ดูแล้วนี่คงไม่ใช่เพียงฝันร้ายตื่นหนึ่งแต่เป็นเขาได้ย้อนกลับมากลับมาจริงๆภาพใบหน้าของนางที่สะอื้อร้อนไห้ออกมาปานใจจะขาดซ้ำยังบอกเรื่องสำคัญให้เขารู้ก่อนที่จะตายไปยังคงดังสะท้อนอยู่ในหู ในตอนนั้น แม้ตายไปแล้วเขาก็ไม่นึกเสียดาย ทั้งได้ปกป้องนางและลูกในท้องให้ปลอดภัยได้ก็รับว่าพอแล้วไม่ใช่ว่าเขาที่ตายไปแล้วสมควรจะลงปรโลกเพื่อไปดื่มน้ำแกงลืมเลือนของยายเมิ่งมิใช่หรอกหรือ แต่เหตุใดถึงได้มานั่งหายใจอยู่ที่ได้ ทว่าเหตุการณ์หลังจากนั้นเขาไม่รู้จริงๆไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาจะปกป้องนางเอาไว้ได้จริงๆ หรือไม่?ซ่งเจิ้งอี้เงยหน้าละจากจอกน้ำชาตรงหน้าเพ่งมองกู้เหยียนสหายวัยเยาว์ที่โตมาด้วยกัน ดวงตาคมกริบฉายแววจริงจัง น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างแน่วแน่ “คุณหนูใหญ่สกุลหลินจะขึ้นเกี้ยวแต่งออกไปเมื่อใดกัน”หากเป็นเช่นนั้นแล้ว หากเขาได้ย้อนกลับมาจริงๆ เกรงว่ายามนี้คงยังไม่สายเกินไปที่จะรั้งนางและปกป้องลูกในท้องเข้าไว้ได้หวนคืนกลับมาครานี้เขาจะไม่ยอมเสียสิ่งใดไปทั้งสิ้น!หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นเล็กน้อยก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่เจือด้วยความหนักใหญ่เขาเป็นสหายของบุรุษตรงหน้ามาตั้งแต่วัยเยาว์จนกระทั่งต
หลินซิ่วหรงสะดุ้งขึ้นจากฝันนางหอบหายใจถี่จนหน้าอกกะนเพื่อมสั่นไหว ดวงตาคู่งามเพ่งมองเพดานขาวโพลนตรงหน้าด้วยสายตาที่พร่ามัว หัวคิ้วเรียวค่อยๆ ขมวดมุ่นเข้าหากันช้าๆ ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นนั่งท่ามกลางบรรยากาศที่ครุกขุ่นภายในห้องเหตุใดที่ไม่ได้ใช่ไม่ใช่กลางป่าหกร้างแตากลับเป็น…เป็นเรือนของนางแทน?หลินซิ่วหรงและมองสายตาขวาเห็นเหล่าสาวใช้ที่คุ้นหน้าคุ้นตาทั้งยืนและนั่งยืนอยู่เต็มเรือนต่างก็มองนางกลับด้วยสีหน้างุนงงไมาแพ่กันไม่ใช่ว่านางตายไปแล้งหรอกหรือ!?ความรู้สึกเจ็บจากลมดาบที่ลำคอก็จะแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง นางยังคงจำได้ไม่ลืม…มือขาวเรียวพลางยกขึ้นรีบกอบกุมลำลอทันที นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกวาดมองเหล่าสาวใช้ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่คสผู้หนึ่ง น้ำเสียงหวานแหบแห้งเอ่ยถาม “ข้า…ยังไม่หรอกหรือ”หลินซิ่วหรงมั่นใจว่า เหตุกานณ์ในตอนนั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น…ราวกับว่ามันเกิดขึ้นจริงๆดังนั้น…นางได้หวนกลับมางั้นหรือ!?เรื่องเหลือเชื่อแบบนี้มีอยู่จริงๆ หรือ!?ทันใดนั้น ความสงสัยและคำถามมากมายแล่นขึ้นกลางอก เช่นนั้นแล้ว วันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่แล้ว นางได้กลับมาตอนไหนกัน ระหว่างก่อนเกิดเรื่องวุ่นว