ログインเช้าวันถัดมา
หลินซิ่วหรงยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษสกุลหลินตั้งแต่เมื่อพลบค่ำวันก่อนจนกระทั่งสายวันถัดมา ภายในเรือนเต็มไปด้วยเหล่าสาวใช้ในจวนที่พลัดเปลี่ยนมาเฝ้าคุณหนูใหญ่ด้วยเห็นใจและสงสารเต็มอก ทั้งที่นายท่านก็รู้ว่าในยามนี้นั้นคุณหนูกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ อยู่ แม้ว่าจะไม่เอ่ยปากสั่งให้ดื่มยาขับเลือดทว่าการที่เอาแต่ยืนเช่นนี้ย่อมไม่ต่างกัน อย่างไรก็ไม่มีทางใดดีต่อคุณหนูใหญ่ทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าความผิดของคุณหนูใหญ่จะเป็นเรื่องใหญ่โตมากก็จริงแต่ทว่าที่ผ่านมาคุณหนูย่อมไม่เคยทำผิดมาก่อน ไม่ว่านายท่านและฮูหยินอบรมสั่งสอนสิ่งใดย่อมเชื่อฟัง พวกนางล้วนไม่เคยได้ยินคุณหนูเถียงกลับแม้แต่สักครึ่งคำด้วยซ้ำ ไฉนจะนำมาหักล้างความผิดในครั้งนี้ไม่ได้กัน อีกทั้งไม่ว่าจะฮูหยินหรือคุณหนูเล็กล้วนมาคุกเข้าอ้อนวอนก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี มิหนำซ้ำยังถูกนายท่านข่มขู่ว่าจะลงโทษคนทั้งคู่ไปด้วยอีก พวกนางเป็นสาวใช้พอเห็นเหตุการณ์นี้ ย่อมรู้สึกสะเทือนใจอยู่มากทว่ากลับไม่สามารถเอ่ยปากพูดอันใดได้ นัยน์ตาเมล็ดซิ่วจับจ้องมองแผ่นป้ายวิญญาณตรงหน้าทว่าหาได้รู้สึกผิด เสียใจหรือน้อยใจบิดาแต่อย่างใด นางกำลังพยายามนึกถึงเหตุการณ์และเรื่องราวที่กำลังจะเกิดภายหลังจากนี้ต่างหาก ยามนั้นพอบิดารู้แล้วว่านางตั้งครรภ์ก็รีบจัดเแจงเร่งรัดทุกอย่างให้กระชันชิดเข้ามาเร็วขึ้น ด้วยความเกรงว่าท้องของนางยิ่งนับวันก็ยิ่งมีแต่จะขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ย่อมไม่เป็นผลดี กล่าวว่า หากจะกลบฝังดินแล้วก็ต้องทำให้แนบเนียนและมิดชิด “คุณหนูนั่งพักก่อนเถอะเจ้าค่ะ บ่าวเห็นนายท่านออกจากจวนไปตั้งแต่เช้าตรู่ ยามนี้ก็สายมากแล้ว เกรงว่าคงกลับจวนก็ช่วงพลบค่ำพอดี” อิงหลันเดินเข้าไปพูดกับคุณหนูใหญ่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเจือด้วยความเห็นใจไว้เต็มส่วน นางเห็นแล้วปวดใจไม่น้อย ความผิดของคุณหนูใหญ่ไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวสกุลธรรมดาก็ย่อมไม่มีพ่อแม่ที่ไหนรับได้ ทว่าอย่างไรเรื่องก็เรื่องเถิดไปแล้ว ตามความคิดของนางนั้นสมควรพูดคุยกันแก้ปัญหาไม่ดีกว่าหรือ ทว่านายท่านกลับไม่ถามไถ่เหตุผลแม้แต่สักครึ่งคำ พอเจอหน้าก็เอาแต่สาดถ้อยคำด่า ถากถางและเหน็บแนมไม่หยุด มิหนำซ้ำ พอถูกเค้นความถามว่าบุรุษเลวทรามผู้ใดที่กล้าข่มเหงน้ำใจคุณหนูเช่นนี้ คุณหนูก็เอาแต่ปิดปากเงียบไม่ยอมหลุดพูดออกมาแม้แต่สักครึ่งคำก็ยิ่งเพิ่มโทสะในในของนายท่านให้ลุกโชนจนสั่งลงโทษอย่างใจดำเช่นนี้ ตามคิดของนางแล้ว หากนางได้หวนกลับคืนมีชีวิตอีกครั้งพร้อมกับความทรงจำทั้งหมด เช่นนั้น…ซ่งเจิ้นอี้เล่า!? แน่นอนว่าเขายังมีชีวิตอยู่ไม่ตายแต่จะจำนางได้หรือไม่? หลินซิ่วหรงหลุดจากภวังค์ความคิดก่อนจะหันขวับไปมองสาวใช้ข้างกายทันที หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าว่าท่านพ่อออกจากจวนไปแล้วอย่างงั้นหรือ” “เจ้าค่ะ” อิงหลันพยักหน้าหงึกๆ “อืม” น้ำเสียงหวานขานรับ นางหาได้รู้สึกทรมานหรือปวดขาแต่อย่างไร ยามกลางคืนที่เหล่าสาวใช้ต่างเผลอหลับ นางเองก็หาได้ซื่อตรงปานนั้น อย่างไรก็สมควรรักษาลูกน้อยในครรภ์เอาไว้ นางแอบงีบและได้นั่งพักไปอยู่หลายชั่วยาม จนกระทั่งก่อนจะเช้าจึงสะดุ้งตื่นกลับไปยืนที่เดิม หลินซิ่วหรงหันหลังหมุนตัวไปจากป้ายบรรพชลก่อนจะเอ่ยถามอิงหลันอีกครั้ง “ท่านแม่และน้องเล็กเป็นอย่างไรบ้าง” ในชาติก่อนคนทั้งคู่ถึงขั้นไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนไปคุกเข่าอยู่หน้าเรือนของท่านพ่อทั้งคำทั้งคืนมิต่างจากนางเช่นกัน เพื่อร้องขอให้ยกโทษให้นาง จนกระทั่งบิดายอมใจอ่อนเพราะเห็นแก่ท่านแม่ที่อายุมากแล้ว พอได้ยินถ้อยคำนั้น อิงหลันพลางถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่สู่ดีฉายออกมาอย่างชัดเจน “ฮูหยินและคุณหนูเล็กยังคงคุกเข่าอยู่ที่หน้าเรือนของนายท่านตั้งแต่เมื่อคืนเจ้าค่ะ จนปานนี้แล้วแม้จะลับสายตาของนายท่านก็ยังอยู่ที่เดิมไม่ยอมลุกหนีเสียทีเจ้าค่ะ” อิงหลันพูด หลินซิ่วหรงได้ยินแล้วกลับยิ่งรู้สึกวางใจ เหตุการณ์ตอนนี้ยังเหมือนเดิม ดังนั้นแล้ว ท่านแม่และหลินซิ่วอันมีหรือจะนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความสัตย์แม้ว่าจะไร้เงาของบิดา เช่นนั้น หากนางแก้ไข้เรื่องบางอย่าง เหตุการณ์นับจากนี้จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยหรือไม่!? ยังไม่ทันสิ้นความคืดๆ จู่ๆ เสียงฝีเท้าหนักแน่นเต็มไปด้วยความเร่งรีบก็ดังอยู่หน้าเรือน อิงหลันเบิกตากว้างโพลงด้วยความตกใจ นางหันขวับไปมองสตรีข้างกายก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความประหม่าและหวาดหวั่น “คุณหนูรีบกลับไปยืนที่เดิมเถอะเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่านายท่านคงจะส่งคนมาจับตาสอดส่องดูตอนที่ไม่อยู่แน่” ไม่แน่ว่า หากพวกคนเหล่านั้นเห็นคุณหนูไม่ได้ยืนสำนักผิดอยู่ต่อหน้าป้ายบรรพชลสกุลหลินก็คงไม่พ้นถูกนำไปรายการต่อนายท่านและกล่าวหาว่า คุณหนูของนางแข็งข้อเห็นคำสั่งบิดาเป็นเพียงแค่ลมปากแน่! ใบหน้าของหลินซิ่วหรงปรากฏรอยยิ้มจางๆ หลุดหัวเราะในลำคอออกมาแผ่วเบา “พี่หญิง!/หรงเออร์!” หลินซิ่วอันประคองมารดากึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าไปในเรือนด้วยความเร่งรีบและร้อนร้น น้ำเสียงของคนทั้งคู่เอ่ยเรียกหลินซิ่วหรงดังขึ้นพร้อมกันด้วยความเป็นห่วง เหล่าสาวใช้ในเรือนและอิงหลันเมื่อมองเห็นคนมาใหม่ทั้งคู่แล้วต่างก็พลางกันถอนหายใจโล่งอกออกมาทั้งสิ้น หลินซิ่วหรงเห็นมารดาและน้องแล้วก็พลางเดินเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่เช่นนี้ ใบหน้าคนงามยังคงปรากฏรอยยิ้มจางๆ น้ำเสียงหวานเจือด้วยความรู้สึกผิด “ลำบากท่านแม่และน้องหญิงแล้ว” หลินฮูหยินเดินเข้าไปโผล่กอดบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะผละออก ไล่สายตามองอย่างสั่นระริกสำรวจตั้งแต่บนลงล่างอย่างระเอียดครั้งแล้งครั้งเล่าทุกระเบียบนิ้จนกระทั่งหน้าท้องแผ่นราบใต้อาภรณ์สีหวาน นางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยื่นมือออก ไปกอบกุมบุตรสาวไว้แน่น “เป็นอะไรหรือไม่หลินซิ่วหรง ให้สาวใช้ตามหมอมาตรวจดูอาการหน่อยหรือไม่ อย่างไรก็ปลอดภัยเอาไว้ก่อน บิดาขอเจ้าก็ช่างใจจืดใจดำกล้าสั่งลงโทษได้อย่างไรกัน” หลินซิ่วอันได้ยินแล้วพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยกับมารดา นางยื่นมือไปคว้ามืออีกข้างของพี่สาวมากอบกุมเอาไว้ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงโกนธเคืองไม่ค่อยพอใจนัก “ท่านพ่อทำเกินไปๆ ไฉนไม่เห็นแก่หลานในท้องเลยสักนิด” นางหลุบตาต่ำมองหน้าท้องแบนเรียบก่อนจะถอนหายใจ ความรู้สึกอุ่นซ่านย่อมแผ่ไปทั่วอกของหลิรซ่งหรง นัยน์ตาเมล็ดซิ่งวูบไหวก่อนจะรู้สึกค่อยๆ ร้อนผ่าวขึ้นมาไม่ทันตั้งตัว นางมองมารดาและน้องสาวตรงหน้าผ่านม่านน้ำตา “ท่านพ่อหาได้ทำอันใดผิดหรือทำเกินไปเจ้าค่ะ ทว่าเป็นลูกต่างหากที่ทำเรื่องใหญ่โตจนทำให้รูสึกอับอายขายหน้า” “เหอะ! หน้าของบิดาเจ้าจะสำคัญมากกว่าหลานในท้องได้อย่างไรกัน” หลินฮูหยินได้ยินแค่นเสียเหน็ยแนมด่าทอดสามีออกมาทันที แม้ว่าบุตรสาวจะทำผิดพลาดเรื่องใหญ่โตทว่ามีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยผิดพลาด! หลินซิ่วหรงได้ยินมารดาด่าทอบิดาแล้วก็พลางหลุดหัวเราะออกมาเจือความขบขัน “ท่านเป็นถึงขุนนางใหญ่ รู้จักขุนนางทั่วทั้งวังหลวง หากข่าวลือที่ว่าบุตรสาวตั้งครรภ์ทั้งที่ยังไม่แต่งงออกเรือน มิหนำซ้ำกำลังจะได้กลายเป็นพระชายาขององค์ชายต่างแคว้นเพื่อเชื่อมสัมพันธ์อีก ไม่ว่าจะยกเหตุผลมาเป็นร้อยมาอ้างก็ไม่อาจล้างความผิดหรือทำให้รู้สึกขายหน้าได้น้อยลงเจ้าค่ะ” “หรงเออร์…” หลินฮูหยินได้ยินบุตรสาวกล่าวออกมาด้วยเหตุผลเช่นนี้ ภายในใจของนางก็ยิ่งหนักอึ้งอดโทษตนเองไม่ได้จริงๆ ว่านางนั้นช่างเป็นมารดาที่แย่นั้นไม่อาจปกป้องบุตรสาวได้ “ท่านแม่วางใจเถอะ ข้าหาได้โกรธเคืองท่านพ่อและต้องไม่เป็นอะไรแน่” หลินซิ่วหรงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หลินซิ่วอันจ้องมองพี่สาวอยู่ครู่หนึ่ง นางเม้มริมฝีปากแน่น คล้ายจะมีเรื่องอันใดจะเอ่ยกล่าวออกมาทว่ากลับอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดสักทีจนหลินซิ่วหรงสังเกตเห็น นางละสายตาจากมารดาก่อนจะปรายไปมองหลินซิ่วอัน “มีเรื่องอันใดก็พูดออกมาเถอะ อย่าได้เอาแต่อ้ำอึ้งเช่นนี้” หลินซิ่วอันถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ราวกับว่ามีก้อนหินนับพันชั่งกอดทับอกเอาไว้ นางเหลือบสายตามองมารดาก่อนจะหันไปมองพี่สาวตรงหน้าอีกครั้ง “บิดาของเด็กในท้อง…ของพี่หญิงคือผู้ใดกันหรือเจ้าค่ะ” ทันใดนั้น เพียงชั่วอึดใจหนึ่ง บรรยากาศภายในห้องพลันเงียบสงัดลงจนได้ยินกระทั่งเสียงของสายลมและเสียงลมหายใจที่ครุกขุ่นอยู่ภายในเรือน หลินฮูหยินยืนเงียบ นางเองก็สงสัยไม่ย่อยทว่าหสได้ถามออกไปเพราะเกรงว่าจะทำให้จิตใจของบุตรสาวบอลช้ำไปมากกว่านี้ ทว่าหลินซิ่วอันถามออกไปแล้ว อย่างไรก็จะได้คล้ายความสงสัยในใจของนางเสียที หากนางจำไม่ผิดแล้วนั้น หลินซิ่วหรงหาได้มีสหายมากมายจนนับไม่ถ้วนทว่ามีเพียงแค่คุณหนูสกุลจ้าวเท่านั้น มิหนำซ้ำ…แล้วด้วยนิสัยของคนทั้คู่กลับชมชอบดื่มน้ำชาเงียบๆ พูดคุยหาได้ชอบนัดแนะกันออกที่ไปโรงเตี๊ยม วันๆ นางก็เห็นแต่บุตรสาวอยู่แต่จวนหาได้ออกนอกลู่นอกทางไปที่ใด เช่นนั้น เรื่องนี้ผิดพบาดได้อย่างไรกัน!? หลินซิ่วหรงย่อมรับรู้ได้ถึงสายตาของทุกคนที่เพ่งมองมาด้วยความอยากรู้ปนกดดัน ไม่ว่าจะท่านแม่ทน้องสาวหรือแม้แต่สาวใช้ในห้องก็ไม่แพ้กัน นางปล่อยมือจากคนทั้งคู่ก่อนจะยกขึ้นมาลูบไล้หน้าท้องแผ่วเบา น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นดังสะท้อนกึกก้องไปทั่วทั้งห้องราวกับตะโกนลั่นก็ไม่ปาน “รองแม่ทัพซ่ง…ซ่งเจิ้นอี้เจ้าค่ะ” อย่างไรปกปิดไปก็มีแต่จะทำให้แย่ ไม่แน่ว่านางก็อาจจะไม่รอดพ้นชะตาเดิม ตายไปพร้อมลูกในครรภ์อีกครั้ง มิสู้เปิดเผยออกไปดีกว่าหลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างสงบ ซ่งเจิ้งอี้ก็จัดการยกแม่สื่อมาทาบทามขอนางอีกครั้งตามธรรมเนียม แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยถูกนายท่านหลินขับไล่ออกจากจวนไปแล้วก็ตามแต่ก็ยังไม่เข็ดซ้ำยามนี้ นางก็ตั้งครรภ์อยู่ แม้ท้องจะขยายใหญ่ขึ้นจนทำให้การเคลื่อนไหวไม่คล่องนักและก็หาได้อยากเร่งรัดการแต่งงานนัก หากจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปก่อนแล้วค่อยจัดพิธีให้สมเกียรติภายหลังจากที่นางคลอดก็ยังทันทว่าซ่งเจิ้งอี้กลับกล่าวอย่างหนักแน่นว่า เพียงเท่านี้ก็ทำให้สกุลหลินและนางเสียเกียรติไปไม่น้อยแล้ว เรื่องนี้สมควรต้องทำให้ถูกต้องตามธรรมเนียม ทั้งสามหนังสือและหกพิธีการต้องครบถ้วน จะได้ไม่มีผู้ใดครหาหรือสบประมาทได้!และเขายังประกาศเจตนาอย่างชัดเจนว่า ต้องการเป็นสามีของนางโดยแท้ และยังต้องการอยากป่าวประกาศให้คนทั่วทั้งเมืองหลวงรู้ว่า คุณหนูใหญ่สกุลหลินได้ออกเรือนแล้ว มีวานแต่งที่ยิ่งใหญ่เอิกเกริกสมเกียรติ ทั้งขบวนสินเดิมหรือสินสอดของเจ้าสาวนั้นยาวเหยียดเรียงยาวหลายหีบจนนั้นไม่ถ้วนมิหนำซ้ำแล้ว ต้องเป็นเจ้าสาวที่งดงามที่สุดไม่แพ้สตรีใด!แม้ว่าจะขัดใจนายท่านหลินไปบ้าง แต่หลินฮูหยินกลับออกหน้าตัดสินทุกอย่างโดยไม่รอความเห็นจาก
หลายวันผ่านไปหลินซิ่วหรงไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะคลี่คลายและสงบลงได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ นางไม่ต้องกลายเป็นสตรีบรรณาการขึ้นเกี้ยวไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์และไม่ถูกบิดาบังคับให้ฝืนใจแต่งกับบุรุษใดอีกภายหลังเหตุการณ์วันนั้น ซ่งเจิ้งอี้กล่าวว่าสถานการณ์ในวังหลวงยังไม่สงบนัก แม้องค์ชายอวิ๋นจะปฏิเสธการแต่งงานกับนางไปแล้ว แต่ใช่ว่าฝั่งแคว้นอวิ๋นจะยอมรับโดยง่าย ซ้ำเกรงว่าฮ่องเต้จากแคว้นอวิ๋นก็คงไม่พอใจหากรู้เรื่องนี้ไปถึงหู เพื่อแก้ไขปัญหาในตอนนี้และที่จะตามมาในภายหลัง ซ่งเจิ้งอี้จึงตัดสินใจควบม้าออกเดินทางพร้อมพี่ชายไปยังแคว้นอวิ๋นด้วยตัวเองทว่าก็ล่วงเลยมาหลายวันแล้ว ก่อนจะออกเดินทางนั้น เขาบอกว่าจะกลับมาวันนี้แต่ยามนี้ไร้วี่แววตลอดทั้งเช้า หลินซิ่วหรงเอาแต่เฝ้ารออย่างกระวนกระวาย พอยามบ่ายก็ส่งคนไปที่สกุลซ่งแต่กลับได้รับคำตอบเพียงว่า พวกเขายังไม่กลับมา นางได้แต่นั่งเหม่ออยู่กลางลานจวน สายตาจับจ้องไปยังบานประตูราวกับหวังจะเห็นเงาร่างที่รอคอย ภายในใจพลางเต็มไปด้วยความกังวลที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเรื่อยนางภาวนาให้เขากลับมาปลอดภัย แต่ลึกๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่าการกระทำครั้งนี้ราวกับเป็นการฉีกหน้าแคว้นอวิ๋น
ความเงียบแผ่ครอบคลุมท้องทั่วพระโรง หลังจากอวิ๋นเซียวปรากฏตัว ดวงตาคมกริบกวาดไปยังคณะทูตจากแคว้นอวิ๋นราวกับสังเกตทุกความเคลื่อนไหว เสียงลมหายใจของขันทีชราและขุนนางรอบพลันหนักขึ้นราวมีก้อนหินทับอกซ่งเจิ้งอี้ปรายมองคนแคว้นอวิ๋นผู้นั้น เขาแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอก่อนจะกล่าว “สกุลซ่งของข้าตั้งแต่บิดา พี่ชายและข้าต่างยืนหยัดปกป้องแคว้นเว่ยมาตลอด หากยังคิดบีบบังคับอย่างไร้เหตุผล สกุลซ่งก็ไม่ลังเลที่จะเผชิญหน้าไม่ว่าจะผู้ใดก็ตาม!”สายตาคมกริบแข็งกร้าวฉายความแน่วแน่และจริงจังอย่างชัดเจน ครั้งนี้เขาไม่มีทางยอมจากหลินซิ่วหรงอีกแล้ว…แม้แต่ความตายก็มีอาจพรากเขาจากนางไปได้กู้เหยียนมองเหตุการณ์ตรงหน้าเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยในใจ…คนสกุลซ่งนี่ ช่างขัดแย้งกันเองยามสงบ แต่พอศึกจริงกลับช่วยกันรบจนไม่มีใครเทียบได้เลยฮ่องเต้หนุ่มบนบัลลังก์นั่งนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยราวไร้อารมณ์ มาครู่ใหญ่ก่อนที่จู่ๆ จะแค่นหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวเสียงกึกก้องสะท้อนทั่วท้องพระโรงอย่างเย็นชา ปรายตามองคนสกุลซ่งทั้งคู่“สกุลซ่งหรอกหรือ…ที่เป็นผู้ทำให้คุณหนูหลินตั้งครรภ์?”พอสิ้นคำ ทุกสายตาพุ่งไปยังซ่งเจิ้งห่าวแ
ซ่งเจิ้งอี้ไม่คาดคิดเลยว่าพี่ชายจะทำเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ทั้งยังปิดบังไม่บอกเขาแม้แต่สักคำเดียว ภายหลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ ทั้งเขาและซ่งเจิ้งห่าวพร้อมกู้เหยียนจึงรีบขึ้นรถม้าเข้าวังหลวงทันทียามนี้ ภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของเหล่าขุนนางสูงต่ำทั้งหลานที่ถูกเรียกตัวเข้ามาอย่างกะทันหัน ทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุดราชการ ดังกึกก้องไปทั่วผสมปนเปไปกับสีหน้าถมึงทึงและท่าทางหงุดหงิดที่อาจปกปิดได้มิด หลายคนพึมพำบ่นเสียงดังราวกับจะประกาศให้ผู้คนทั้งวังได้ยินหัวข้อที่ไม่พ้นถูกพูดถึงหนีไม่พ้นเรื่อง คุณหนูใหญ่สกุลหลินเกี่ยวกับข่าวลือที่แผ่สะพัดดังกระหึ่มในยามนี้และองค์ชายอวิ๋นเซียวจากแคว้นอวิ๋นที่เดินทางมาถึงแคว้นเว่ยโดยไม่ได้บอกกล่าวหรือแจ้งล่วงหน้า มิหนำซ้ำยังมีคณะทูตจากแคว้นอวิ๋นที่เดินตามมาเร่งรัดให้มีพิธีงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์โดยเร็ววันกู้เหยียนเดินนำหน้าเข้าท้องพระโรง เขาสูดลมหายใจพลางกวาดสายตามองรอบๆ เหล่าขุนนางต่างมารวมตัวกันแทบครบถ้วน ก่อนที่จะไปสะดุดตาเข้ากับคนผู้หนึ่งแทน อดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงฮึดฮัดประชดประชันเบาๆ“ดูหน้าพ่อตาเจ้าเสีย ซ่งเจิ้งอี้…ราวกับถู
แผนการลอบสังหารครานั้น ซ่งเจิ้งอี้ยังคงข้องใจอยู่ไม่น้อย ว่าเหตุใดเวลาถึงได้ประจวบเหมาะราวกับมีผู้รู้ล่วงหน้าว่าจะมีขบวนแต่งงานจากแคว้นเว่ยเดินทางไปยังแคว้นอวิ๋น แต่เมื่อชะตาชีวิตในชาตินี้หาได้เป็นเช่นชาติที่แล้ว เขาจึงเลือกจะไม่เก็บมาคิดให้เปลืองสมองนักพักหลังมานี้ แม้ว่าซ่งเจิ้งอี้สามารถเข้าออกจวนสกุลหลินได้ตามใจ แต่ในเมื่อยังมิได้ทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินร่วมกับนาง…เขาย่อมไม่หยามเกียรติให้ผู้คนจับจ้องสนใจนางไปมากกว่านี้ ดังนั้นแล้ว เขาจึงมักแวะไปที่จวนสกุลหลินเพียงสองเวลาเท่านั้นยามเช้าตรู่ตั้งแต่ที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เพื่อร่วมทานอาหารเช้า และยามพลบค่ำเมื่อผู้คนแยกย้ายเข้าจวนจนหมดแล้วซ่งเจิ้งอี้รับปากว่าหากจัดการสะสางเรื่องราวระหว่างแคว้นได้สิ้น เขาจะให้แม่สื่อไปสู่ขอหลินซิ่วหรงตามธรรมเนียม จัดพิธีมงคลอย่างสมเกียรติและยิ่งใหญ่ที่สุด เพื่อให้นางยืนอยู่เคียงข้างเขาอย่างไม่น้อยหน้าและไม่มีผู้ใดกล้ากล่าววาจาดูหมิ่นได้อีกทว่าเช้าวันนี้ ทันทีที่เขาผลักประตูจวนออกมา ยังไม่ทันได้ยกเท้าก็เห็นรถม้าคันหนึ่งจอดรออยู่หน้าจวน“เหอะ! ครานี้ข้าจะพลาดไม่ได้เจอรองแม่ทัพซ่งเสียแล้ว”น้ำเสียงทุ้มของกู้เ
ณ จวนสกุลจ้าววันนี้มารดาของนางเอ่ยว่าจะไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนสกุลใดสกุลหนึ่ง แม้ว่านางจะได้ยินถ้อยคำทุกประโยคอย่างละเอียดแต่กลับหาได้สนใจนัก เพราะยังครุ่นคิดหาวิธีเอ่ยปฏิเสธอย่างแยบยล เพื่อให้ได้พักผ่อนอยู่ที่จวนอย่างสงบตามต้องการ และก็น่าแปลกนัก นางไม่ต้องอ้างเหตุผลหรือชักแม่น้ำมาหว่านล้อม มารดาก็หาได้รบเร้าอันใดทั้งสิ้น กล่าวเพียงว่า…หากจะอุดอู้อยู่จวนก็ตามใจเถอะจ้าวเหม่ยได้ยินแล้วดีใจอยู่ ไม่ต้องเปลืองน้ำลายพูดมากภายหลังจากที่นางส่งมารดาขึ้นรถม้าออกไปจากจวนแล้ว ก็กลับเรือนแล้วกระโดดลงบนเตียง พร้อมทั้งยังหลับตาลงอย่างผ่อนคลายพลางคิดว่าน่าจะได้พักผ่อนเสียทีแต่ยังไม่ทันชั่วอึดใจ กลับมีสาวใช้วิ่งแจ้นหน้าตาตื่นเข้ามาพร้อม กล่าวว่ามีคุณชายผู้หนึ่งมาถึงจวน และเอ่ยว่าต้องการจะพบหน้านางให้ได้ หากไม่พบก็ไม่ยอมจากไปจ้าวเหม่ยฮวาได้ยินดังนั้นถึงกับดีดตัวขึ้นบนเตียง กรีดร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเต็มไปด้วยความโกรธ หงุดหงิดและรำคาญใจพร้อมกันไฉนเลยพอพ้นสายตาของมารดา นางจะได้พักผ่อนบ้างแต่กลับต้องพบเจอเรื่องนี้!อดคิดไม่ได้ว่านี่คงเป็นแผนการของมารดาวางไว้ แม้ว่าจะนางหงุดหงิดและอารมณ์เสียมาก







