เข้าสู่ระบบ“ขอบคุณยาย ขอบคุณตานะจ๊ะ ที่ใจดีกับแพรและลูก"
ท่ามกลางอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นยังมีเด็กหญิงตัวน้อยในผ้าอ้อมสีขาวสะอาดกำลังนอนหลับฝันดีอยู่ พาขวัญนอนหลับตาพริ้มขนตางอนหนาเด่นชัด แก้มกลมขึ้นสีชมพู ผิวพรรณเนียนผ่องดุจสำลีขาว
สิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่เป็นเหมือนดั่งของขวัญที่มีค่าที่สุดในชีวิต แม้จะเกิดมาไม่มีพ่อแต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยความรักจากครอบครัว แตกต่างจากชีวิตในวัยเด็กของแพรพรรณเอง ที่เติบโตมากับความรู้สึกขาดสิ่งเหล่านี้ จึงยิ่งทำให้เธอรู้ว่ารักจากตากับยายนั้นสำคัญสำหรับเธอเพียงใด
หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ ทั้งน้ำตา ก่อนจะก้มลงกระซิบกับลูกน้อยในอ้อมแขนของผู้เป็นยาย
“ถึงหนูจะไม่มีพ่อเหมือนใครเขา แต่แม่ก็รักหนูที่สุดในโลกเลยนะจ๊ะ ลูกรักของแม่”
ตอนนี้ชีวิตของแพรมีความสุขตามอัตภาพ ใช้ชีวิตแบบสงบตามที่ตัวเองต้องการ และเธอก็เคยคิดว่าวิถีชีวิตนี้จะดำเนินต่อไปแบบนี้เรื่อย ๆ จนถึงอนาคตข้างหน้า
แต่ความสงบก็ไม่ยั่งยืนเมื่อแพรพรรณเข้ามาทำงาน ความสวยสะพรั่งของเธอก็ถูกตาต้องใจใครหลายคน
เพียงแค่เข้าทำงานได้ไม่ถึงเดือนก็มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เข้ามาตามจีบแต่เธอก็ปฏิเสธไปทุกราย เธอไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้ามาในชีวิต ตอนนี้เธอแค่ต้องการหาเงินเลี้ยงลูก และดูแลครอบครัว แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องการสานต่อกับใคร แต่ก็มีคนนึงที่ทำให้เธออึดอัดใจ
หนึ่งในชายหนุ่มที่เข้ามาตามติดดันเป็นถึง ผู้จัดการโรงแรม เป็นคนที่เธอไม่อยากข้องแวะเลยสักนิด แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธหรือแสดงท่าทีชัดเจนเกินไป เพราะเธอรู้ดีว่าหากทำให้เขาขุ่นเคืองเธอคงต้องหางานใหม่เพราะคงถูกไล่ตะเพิดออกเป็นแน่
และวันนี้เวลางานที่สงบของเธอก็จบลงเพราะเขาคนนั้นที่เดินตรงดิ่งมาที่เธอ
“คุณแพรครับ ทานอะไรมาหรือยังเอ่ย หรือว่าถ้ายังไม่ทานอะไรมา ให้เกียรติทานอาหารเที่ยงกับผมนะครับ”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มของ วิกร ผู้จัดการโรงแรมวัยสามสิบห้าเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน หากแต่สายตานั้นกลับพาให้หัวใจคนรอบข้างสั่นไหวไม่น้อย เสียงกรี๊ดเบา ๆ แว่วมาจากพนักงานสาว ๆ คนอื่นที่ชื่นชอบตัวของผู้จัดการหนุ่ม แต่สำหรับแพรพรรณเธอกลับรู้สึกตรงกันข้าม
เพราะเธอไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย
“เอ่อ... ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ผู้จัดการ แพรเกรงใจค่ะ อีกอย่าง วันนี้ที่บ้านก็ทำข้าวกล่องมาให้เรียบร้อยแล้วด้วย” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ รอยยิ้มบางแต้มอยู่บนใบหน้า ทั้งที่ภายในใจนั้นอยากจะเดินหนีไปให้พ้น ๆ แต่คำปฏิเสธอย่างสุภาพของเธอกลับไร้ผล
“ถ้าอย่างนั้นยิ่งดีเลยครับคุณแพร งั้นเรามาทานอาหารร่วมโต๊ะกันดีไหมครับ?” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ไม่สะทกสะท้านต่อคำปฏิเสธนั้นแม้แต่น้อย
“ผมอยากมีเพื่อนทานข้าวอยู่พอดีเลย อีกอย่างคุณเพิ่งมาทำงานเผื่อมีอะไรที่ผมแนะนำได้ จะได้บอกคุณด้วย”
นั่นดูไม่เหมือนคำชวนเลยสักนิด มันเป็นการบังคับกันเสียมากกว่า แพรพรรณเม้มริมฝีปากแน่นอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะจำใจพยักหน้าตอบกลับสั้น ๆ
“ค่ะ...”
สุดท้ายเธอก็มานั่งทานข้าวกับเขาจนได้ แต่เธอก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับเขานักเลือกที่จะทานข้าวของเธอเงียบ ๆ แต่เงียบได้ไม่นานเมื่อวิกรก็เป็นฝ่ายชวนคุยตลอด
“ผมได้ข่าวมาว่าช่วงนี้รถคุณแพรเสียอยู่ ยังซ่อมไม่เสร็จเลยใช่ไหมครับ?”
"คะ อ๋อใช่ค่ะ"
“อืม แบบนี้การเดินทางมาทำงานก็คงลำบากน่าดูเลยสิครับ” เขาว่าก่อนจะยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ถ้างั้นเอาแบบนี้ดีกว่าช่วงนี้ให้ผมไปรับไปส่งคุณแพรก่อนไหมครับ จะได้ไม่ต้องลำบาก”
พอได้ยินแบบนั้นเธอถึงกับชะงัก แทบสำลักข้าวในปาก
“อะ…อะไรนะคะ? คุณวิกรจะไปรับส่งแพรถึงบ้านเลยเหรอคะ” เธอรีบวางช้อนลงพร้อมยกน้ำขึ้นดื่มอย่างลนลาน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แพรเกรงใจมากจริง ๆ”
“อย่าคิดมากเลยครับคุณแพร” เขายังคงยิ้ม “คิดเสียว่านี่คือ ‘สวัสดิการพิเศษ’ จากทางโรงแรมสำหรับพนักงานที่น่ารักก็แล้วกันครับ”
เขาพูดพร้อมส่งยิ้มให้ แต่เธอไม่อยากตอบรับเลยสักนิด คำว่า 'พนักงานที่น่ารัก' ทำให้เธอขนลุกขึ้นมาทันที
“ยังไงก็เกรงอยู่ดีค่ะ แพรเดินทางไปกลับเองได้ รถประจำทางก็มีอยู่นะคะ คิดว่าคงไม่ต้องได้รับความช่วยเหลือมากขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอตอบกลับทันที ยังคงส่งยิ้มให้อย่างสุภาพแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“เอาเป็นว่า เลิกงานวันนี้ผมจะไปส่งคุณแพรเองนะครับ หวังว่าคงไม่ใจร้ายปฏิเสธผมหรอกนะ”
นั่นคือมัดมือชก!!
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นอย่างสุภาพแล้วขอตัวไปทำงานของเขา ปล่อยให้แพรพรรณนั่งอึ้งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ถอนหายใจยาวอย่างคนหมดแรงใจ เพราะคิดว่าต่อไปชีวิตเธอคงยุ่งยากและไม่สงบอีกแล้ว
วิกรใช้อำนาจของการเป็นผู้จัดการโรงแรมไปรับไปส่งหญิงสาวจนได้และตอนนี้ก็เข้าวันที่สี่แล้วที่แพรต้องทนใช้ชีวิตอยู่แบบนั้น และเธอก็อึดอัดจนไม่อยากไปทำงาน แต่ก็ต้องทนและเรื่องนี้ก็ไม่เล็ดลอดสายตาของผู้เป็นตายายไปได้ เธอเลยพูดออกมาจนหมดว่าวิกรนั้นชอบเข้ามาตอแย หาเรื่องคุย ง่าย ๆ ก็คือเข้ามาจีบนั่นแหละ
ตากับยายเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดก็เริ่มรู้สึกกังวล ถึงแม้ว่าวิกรจะดูเป็นคนสุภาพ หน้าตาดี และมีหน้าที่การงานมั่นคง แต่ทั้งสองคนก็อดระแวงไม่ได้
เพราะดูจากอายุแล้วเขาไม่น่าจะยังโสดมาถึงทุกวันนี้ได้
และคนเป็นตาก็ไม่ยอมอยู่เฉย ตามสืบเสาะเรื่องของวิกรจนแอบรู้มาว่าวิกรนั้นมีภรรยาที่ตกแต่งจดทะเบียนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้แยกกันอยู่กับภรรยาเพราะเขาเป็นคนเจ้าชู้ ฝ่ายหญิงหอบลูกหนีไปอยู่บ้านตัวเองเพราะทนพฤติกรรมเจ้าชู้ของเขาไม่ไหว แต่สถานะสมรสยังคงอยู่ครบ ทั้งคู่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย เพียงแค่แยกบ้านกันเฉย ๆ เขาจึงบอกผู้เป็นภรรยากับหลานสาว
"ไม่น่าเชื่อว่าคนที่หน้าตาดี หน้าที่การงานก็ดี กลับทำตัวไม่น่าเคารพ แล้วดูสิ เทียวไล้เทียวขื่อหลานสาวเราจนชาวบ้านชาวช่องพากันชะเง้อมองกันใหญ่เดี๋ยวก็เอาไปพูดในทางเสียหาย แล้วยังงี้จะเอายังไงกันดีล่ะตา" ยายสร้อยคำปรึกษาสามีด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ด้วยความเป็นห่วงหลานสาวกลัวว่าจะโดนคนเขานินทาว่าร้ายเอาว่าได้
ฝ่ายชายยังคาราคาซังเรื่องเมียแต่กลับมาก้อร่อก้อติกหลานสาว พวกเขาก็กลัวว่าฝ่ายภรรยาจะมาเอาเรื่องน่ะสิ
“พรุ่งนี้ตาจะขับรถไปส่งและไปรับหลานเองนะแพร ไม่ต้องให้ไอ้ผู้จัดการตัวดีนั่นรับส่งแพรแล้ว” ตาเอ่ยปากบอกหลานสาวใบหน้าเคร่งขรึม
"ดี ๆ ยายเห็นด้วยนะแพร เอาตามที่ตาพูด"
"จ้ะ ตายาย แพรก็เห็นด้วยจ้ะ แพรก็อึดอัด แต่เพราะเขาตื๊อจะมาส่งให้ได้ อีกอย่าง เขาก็เป็นหัวหน้าด้วย แพรกลัวว่าเขาอาจไม่พอใจแล้วไล่แพรออก" เธอเอ่ยกับทั้งสองไปตามตรง งานที่นี่ก็ถือว่าดี เธอทำแล้วก็ชอบแต่ติดที่เดียวเท่านั้น ก็ผู้จัดการวิกรนั่นแหละ
“ไล่ออกก็ช่างสิหลาน ต่อให้ไม่ทำงานยายกับตาก็ดูแลแพรได้นะ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลย” ยายสร้อยพูดกับหลานสาว เธอเองก็ไม่อยากให้หลานสาวต้องไปเจออะไรแบบนั้น แพรพรรณเองก็รู้ดีว่าผู้เฒ่าทั้งสองรักและเป็นห่วงเธอมากเพียงใด
แพรพรรณถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เธอเข้าใจผู้เฒ่าทั้งสองดี สายตาของหญิงสาวเลื่อนไปหยุดที่เปลเด็กลูกสาวที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนอนเด็ก เวลานี้เธออดนึกถึงใบหน้าของวิศรุตไม่ได้ เพราะเด็กหญิงช่างมีใบหน้าคล้ายคลึงกับเขาจริง ๆ
วันต่อมาหญิงสาวออกมาทำงานโดยมีตามาโนชขับรถมาส่ง รถกระบะคันเก่าที่ใช้ขับไปส่งใบชาในเมืองนั่นแหละและขากลับยังมารับตลอด ในตอนแรกวิกรแสดงสีหน้าไม่พอใจนัก เพราะเขาตั้งใจว่าจะทำให้แพรพรรณตกเป็นของตัวเองในสักวัน
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปรับไปส่งหญิงสาวที่บ้าน แต่ก็หาเรื่องพูดคุยกับหญิงสาวอยู่ตลอด แต่ส่วนมากแพรพรรณก็หลบเลี่ยงและยังคอยติดอยู่กับเพื่อนร่วมงานอย่างพี่นิดหน่อย
"แพรดีใจนะคะ ที่อาทิตย์นี้เข้ากะพร้อมพี่นิด" หญิงสาวกระซิบกับรุ่นพี่ที่ชื่อนิดหน่อยเมื่อเข้ามาประจำจุด รู้สึกโล่งและปลอดภัย
“เฮ้อ...พี่ละสงสารเธอจริง ๆ ยัยแพรเอ๊ย” นิดหน่อยถอนหายใจพลางส่ายหน้าไปมา ก็หน้าตานี้ยังไงล่ะ ไอ้วิกรหน้าม่อมันถึงอยากได้นักอยากได้หนา
“เกิดมาสวยก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป ดูไอ้ผู้จัดการเวรนั่นสิ ดูทรงแล้วไม่น่าจะปล่อยเธอไปง่าย ๆ หรอก แต่ไม่ต้องห่วงนะ อยู่กับพี่ พี่ไม่ปล่อยให้มันเข้าใกล้เธอแน่”
“ขอบคุณยาย ขอบคุณตานะจ๊ะ ที่ใจดีกับแพรและลูก"ท่ามกลางอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นยังมีเด็กหญิงตัวน้อยในผ้าอ้อมสีขาวสะอาดกำลังนอนหลับฝันดีอยู่ พาขวัญนอนหลับตาพริ้มขนตางอนหนาเด่นชัด แก้มกลมขึ้นสีชมพู ผิวพรรณเนียนผ่องดุจสำลีขาวสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่เป็นเหมือนดั่งของขวัญที่มีค่าที่สุดในชีวิต แม้จะเกิดมาไม่มีพ่อแต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยความรักจากครอบครัว แตกต่างจากชีวิตในวัยเด็กของแพรพรรณเอง ที่เติบโตมากับความรู้สึกขาดสิ่งเหล่านี้ จึงยิ่งทำให้เธอรู้ว่ารักจากตากับยายนั้นสำคัญสำหรับเธอเพียงใดหญิงสาวยิ้มน้อย ๆ ทั้งน้ำตา ก่อนจะก้มลงกระซิบกับลูกน้อยในอ้อมแขนของผู้เป็นยาย“ถึงหนูจะไม่มีพ่อเหมือนใครเขา แต่แม่ก็รักหนูที่สุดในโลกเลยนะจ๊ะ ลูกรักของแม่”ตอนนี้ชีวิตของแพรมีความสุขตามอัตภาพ ใช้ชีวิตแบบสงบตามที่ตัวเองต้องการ และเธอก็เคยคิดว่าวิถีชีวิตนี้จะดำเนินต่อไปแบบนี้เรื่อย ๆ จนถึงอนาคตข้างหน้าแต่ความสงบก็ไม่ยั่งยืนเมื่อแพรพรรณเข้ามาทำงาน ความสวยสะพรั่งของเธอก็ถูกตาต้องใจใครหลายคนเพียงแค่เข้าทำงานได้ไม่ถึงเดือนก็มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เข้ามาตามจีบแต่เธอก็ปฏิเสธไปทุกราย เธอไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้ามาในชีวิต ตอนนี
ทางด้านวิศรุต หลังจากรับรู้เรื่องราวที่ไม่เป็นจริงจากศศิจันทร์ แต่เขากลับเชื่ออย่างสนิทว่าแพรพรรณตั้งท้องกับชายอื่นจริง ๆ ทำให้ตัวเขาหมดแรงที่จะต่อสู้เพื่อตัวเองและหญิงสาวแม้ในระหว่างนั้นจะมีรังรองและศศิจันทร์คอยให้ข่าวเรื่องที่เขากับเธอยังคงคบหากันอยู่เสมอแม้จะไม่ได้แต่งงานก็ตามวิศรุตความทุกข์ใจเสียใจมาทุ่มเทให้กับงานทั้งหมด โหมงานอย่างหนักจนไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่น จากชายหนุ่มที่มีความอ่อนโยนรอยยิ้มอบอุ่น ตอนนี้เขากลายเป็นคนเงียบขรึมเขากลายเป็นผู้บริหารที่ผู้คนยำเกรงวิศรุตถูกจับตามองในฐานะของนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงทำให้ บริษัทของเขารุ่งเรืองและก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิม แต่ในความสำเร็จกลับไม่มีคนข้างกายที่ตัวเองโหยหา ตลอดเวลาที่ไม่มีแพรพรรณ เขาไม่เคยเปิดใจให้ใครอีกเลย แม้ศศิจันทร์จะพยายามเอาตัวเข้ามาในชีวิต เปลี่ยนตัวเองแค่ไหนก็ตามแต่กลับวิศรุตก็ไม่ได้ให้ความสนใจเธอเหมือนเดิม"เมื่อไหร่พี่รุตจะเลิกคิดถึงนังแพรเสียทีคะคุณแม่!" เสียงบ่นของศศิจันทร์เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ทั้งที่เธอพยายามปรับปรุงตัวเองทุกอย่าง ทำทุกวิถีทางให้เขาหันมาสนใจแต่เขาก็ไม่หันมามองสักที"ลูกต้องให้เวลาเขาหน่อย เรื
ทางด้านแพรพรรณตอนนี้เธออาศัยอยู่ในห้องนอนเล็ก ๆ ในคอนโดที่เธอเช่าเอาไว้ ตอนนี้เธอเองก็คิดไม่ตก ทั้งเรื่องที่ศศิจันทร์ข่มขู่เรื่องลูกของเธอ ในตอนที่เธอกำลังนั่งจมอยู่กับความเครียดอยู่นั้น เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เธอมองไปที่หน้าจอ เป็นศศิจันทร์ที่โทรเข้ามา เธอไม่ได้กดรับในทันที เพียงแต่นั่งจ้องนิ่งอยู่แบบนั้น ปล่อยให้เสียงเรียกดังอยู่อย่างนั้นจนสายตัดไปเองและไม่นานนัก ข้อความก็เด้งขึ้นมา พร้อมกับรูปภาพที่ถูกส่งเข้ามารัว ๆ‘อย่าลืมยินดีกับฉันด้วยล่ะ’ปลายนิ้วจิ้มไปที่หน้าจอก่อนจะเห็นรูปบัตรเชิญงานแต่งและรูปถ่ายอีกหลายใบหัวใจของเธอแหลกสลาย ราวกับถูกบดขยี้ซ้ำ ๆ จนไม่เหลือชิ้นดี เธอปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอย่างช้า ๆ แม้รักวิศรุตมากเพียงใด แต่ภาพนั้นมันยืนยันกับเธออย่างชัดเจนแล้วว่า เขาเลือกเดินต่อโดยไม่มีเธอการจากไปของเธออาจทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น แพรพรรณสูดลมหายใจเข้าลึก กดบล็อกเบอร์ของศศิจันทร์ พร้อมกับตัดช่องทางการติดต่อทุกอย่างจากแม่เลี้ยงและน้องสาว ตอนนี้เธอไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจริง ๆ สินะ” เธอพึมพำทั้งเสียงสะอื้น นึกถึงช่วงเวลาดี ๆ ก
“ขอบใจมาก และรับรู้เอาไว้ด้วยว่าเรื่องนี้ต้องไม่แพร่งพรายออกไปให้ใครรู้ เข้าใจใช่ไหม” เธอย้ำเตือนกับหญิงวัยกลางคน ซึ่งอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับ“ค่ะคุณ”ความคิดเหยียบย่ำคนในครอบครัวไม่มีทางที่จะลดลง ศศิจันทร์ขับรถออกไปจากบริเวณนั้นทันทีเธอตรงมาที่บริษัทของวิศรุต เดินตรงดิ่งไปยังห้องทำงานและเปิดเข้าไปอย่างถึงวิสาสะวิศรุตเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียง แววตาคมดุฉายชัดถึงความหงุดหงิดทันทีที่เห็นผู้บุกรุก “ใครอนุญาตให้คุณเข้ามา ศศิ!” เขาพูดเสียงเข้ม กรามขบแน่น “ผมไม่มีธุระอะไรจะคุยกับคนอย่างคุณ!”แต่ศศิจันทร์กลับส่งยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน เธอเดินเข้าไปใกล้แล้ววางซองเอกสารลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา “ศศิแค่อยากให้พี่รุตตาสว่างเท่านั้นเองค่ะ" เธอยังคงยิ้มแล้วพูดต่อ"พี่รุตอยากรู้ไม่ใช่เหรอคะ ว่าแพรพรรณหายไปไหนมาตั้งสี่เดือนทันทีที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแสดงความหงุดหงิด ศศิจันทร์ก็ไม่รีรอ รีบเข้าเรื่องทันทีวิศรุตวางปากกาลงอย่างแรง ก่อนจะลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมายืนประจันหน้าเธอ แววตาแข็งกร้าว"เธอต้องการอะไรกันแน่?"เรื่องที่เธอบุกรุกเข้าบ้านเขาเพื่อทำร้ายแพรพรรณ เขายังไม่ทันเอาเรื่องด้วยซ้ำ แต่เธอกลับกล้
เช้าวันต่อมา ศศิจันทร์นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟากลางโถงห้องรับแขก มือเรียวกดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวต่างแม่ด้วยท่าทางเยือกเย็นเสียงสัญญาณดังไม่นาน ปลายสายก็กดรับ“รับเร็วดีนี่...” ศศิจันทร์แสยะยิ้มเยาะ ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสะใจ"ต้องการอะไร" เสียงปลายสายตอบกลับมาเรียบแต่ถ้าฟังดี ๆ จะสัมผัสได้ถึงความสั่นไหวในน้ำเสียง“แค่อยากโทรมาแจ้งข่าวน่ะ” ศศิจันทร์พูดช้า ๆ อย่างจงใจ “ตอนนี้ฉันกับ พี่รุต เข้าใจกันดีแล้ว และเขาก็ ตกลงจะแต่งงานกับฉัน”“เมื่อไหร่...” เธอถามเบา ๆ ราวกับคนที่กำลังจะหมดแรง “เธอจะแต่งงานกับเขาเมื่อไหร่”เสียงเธอสั่นเครือจนแม้แต่คนใจร้ายอย่างศศิจันทร์ก็ยังรู้สึกถึงความสั่นไหวนั้น แต่มันยิ่งทำให้เธอยิ้มกว้างขึ้น“ไม่นานหรอกจ้ะ” ศศิพูดเสียงหวานหยัน “เสียใจด้วยนะ ในที่สุดพี่รุตก็เป็นของฉันจนได้”ปลายสายเงียบไป ก่อนจะพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความร้าวร้าน“แค่นี้ใช่ไหมศศิที่เธอต้องการ”“วันนี้เอาแค่นี้ก่อน อย่าเพิ่งทนไม่ไหวล่ะ!!”ศศิจันทร์ตัดสายทิ้งทันที แพรพรรณกำมือถือเอาไว้แน่น น้ำตาเจ้ากรรมไหลลงมาอีกแล้ว ครั้งนี้เธอร้องไห้โฮโดยไม่อายใครอยู่ในห้องที่วิศรุ
“ใช่!! ฉันใจดำอำมหิตก็เพราะเป็นแก และอยากจะให้แกไม่อยู่บนโลกใบนี้ด้วยซ้ำ แกไม่เคยรู้หรอกว่าฉันเสียใจขนาดไหน” ความในใจที่ค้างคาพรั่งพรูออกมาไม่หยุด“ในตอนที่ชีวิตแกมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดของพ่อ แกไม่รู้หรอกว่าฉันกับแม่ต้องโดดเดี่ยวขนาดไหน แกไม่เคยรู้รสชาติของคนที่ถูกตามหน้าว่าไม่มีพ่อ มันเจ็บปวดยังไง!! ถึงเวลาแล้วที่ฉันก็จะแย่งสิ่งที่แกรักและหวงแหนมาไว้กับตัว คือคนที่แกรักที่สุดไงล่ะนังหน้าโง่!”ความเคียดแค้นของศศิจันทร์ไม่ใช่วันนี้หรือเมื่อวาน แต่มันคือปมด้อยในใจเมื่อครั้งอดีต ที่แม่และเธอเฝ้ารอคอยให้ครอบครัวตัวเองมีความสุขบ้างเหมือนกัน หากไม่มีแม่ของแพรพรรณมาขวางเอาไว้ ชีวิตเธอคงมีความสุขมากกว่านี้รังรองเป็นคนเอาความคิดชั่วร้ายมาใส่สมองของลูกสาวมาตั้งแต่เด็ก ทั้ง ๆ ที่รังรองเป็นคนวางยาวิชัยในคืนนั้นยัดเยียดสถานะเมียน้อย ตอนนั้นเธอเองยังพูดว่าเต็มใจและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนสุดท้ายแล้วรังรองก็อยู่อย่างหลบซ่อนมาเป็นสิบปี จนวันนึงเธอทนไม่ไหวขึ้นมา เธอเป็นคนส่งภาพความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างวิชัยกับเธอส่งให้พลอยใสดู ทำให้พลอยใสเสียใจและขับรถเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต ซึ่งเรื่องราวที่เก







