แชร์

หลง

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-16 11:49:28

กาเยนะ วาจายะ เจตะสา วา

สังเฆ กุกัมมัง ปะกะตัง มายา ยัง

สังโฆ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง

กาลันตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ

เสียงสวดมนต์ทำวัตรเย็นดังขึ้นทั่วทั้งศาลาวัดจบลง บทบรรเลงขับขานตามคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าขัดเกลาแก่เหล่าภิกษุผู้อยู่ในธรรมเป็นที่ตั้ง รวมถึงตัวของชายหนุ่มหน้าโหดด้วย

นี่ก็เป็นเวลาเกือบจะสามเดือนแล้วที่ จอมทัพ หรือตอนนี้คงต้องเรียก พระจอม ได้บวชเรียนศึกษาธรรมะภายใต้ชายผ้าเหลือง

อดีตหนุ่มหล่อวิศวะ ปัจจุบันเป็นพระบวชใหม่ที่วัดป่าในชนบทแห่งหนึ่ง ที่เลือกต่างจังหวัดแทนในเมืองหลวงมีไม่กี่เหตุผล หนึ่งในนั้นคือรู้สึกถึงความสงบเหมือนได้กลับบ้าน เนื่องจากจอมทัพเกิดและโตที่ภาคเหนือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยอากาศเย็นเกือบทั้งปี ที่บ้านทำไร่ทำสวนส่งออกผลไม้รายใหญ่ของภูมิภาค ในทุกการปิดเทอมจึงมักจะไปช่วยงานที่บ้านยกเว้นเทอมนี้ที่เขาเลือกมาบวชแทน

และเหตุผลต่อมาคือเขาคิดว่าการที่ได้มาชนบทได้เห็นวิถีชีวิตผู้คน รู้จักผู้คน ทำให้ได้ตระหนักถึงชีวิตมากขึ้นไปอีกขั้น เห็นแบบนี้จอมทัพค่อนข้างจริงจังกับชีวิตและแคร์ผู้คนรอบข้างเป็นอย่างมาก แต่บางครั้งการใจดีก็ใช่ว่าจะได้ดีตอบกลับเสมอไป

ญาติโยมผู้คนที่นี่ต่างใจดี แม้จอมทัพจะไม่ได้เป็นคนที่นี่แต่กำเนิดก็ยังมาใส่บาตรแลถามไถ่ความเป็นอยู่เสมอมาทุกคราที่เจอหน้ากัน เกิดเป็นความรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา จนบางครั้งก็รู้สึกไม่อยากกลับไปเรียน แต่ถ้าทำแบบนั้นเหล่าเพื่อน ๆ เขาคงมาตามถึงวัดเป็นแน่

ร่างสูงขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งเป็นท่าคุกเข่าบนอาสนะ พลิกตัวไปยังตำแหน่งที่มีพระประธานตั้งอยู่ ก่อนมือแกร่งพนมมือขึ้นประกบกันไหว้ก้มลงกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง เมื่อเสร็จสิ้นชายหนุ่มก็เอื้อมมือพับเก็บจีวรให้เป็นระเบียบเข้าที่ก่อนที่จะค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าในท่าที่สำรวมหันหลังเดินลงไปจากศาลา

ท่าทีสงบเสงี่ยมผิดวิสัยที่เคยเป็น แม้จะไม่ได้ล่อกแล่กไปเรื่อยแบบปั้นสิบ แต่ก็ไม่ได้เรียบร้อยแบบคิระเช่นกัน จอมทัพก่อนหน้าที่จะมาบวชนี้นั้นก็เป็นชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งที่มีท่าทีขึงขัง ไม่กลัวใคร รักความยุติธรรม แต่ด้วยใบหน้าที่แอบท้าทายหาเรื่อง หรือเอาง่ายๆที่ไอ้ปั้นสิบเคยพูด เรียกตีน คงเป็นนิยามสำหรับชายหนุ่ม ทำให้ผู้คนไม่ค่อยกล้าเข้าหาเขามากนัก ผิดกับนิสัยที่แท้จริงที่ถ้าได้รู้จักกันแล้วเลี้ยวแหกโค้งกันทุกราย

ซื่อสัตย์ แน่วแน่ จริงใจ เป็นลักษณะนิสัยที่ทำให้จอมทัพเป็นที่รักของเหล่าเพื่อนฝูง

บุคคลผู้ที่มีอาวุธเป็นหน้าตาแต่นิสัยกลับซื่อบื้อตามคนแทบไม่ทัน สายฟ้าพูดกับเขาไว้อย่างนั้น

ตามคนไม่ทัน คำกล่าวนี้จอมทัพไม่ขอเถียงเพราะเขาก็มีลักษณะตามที่ว่ามาจริง จอมทัพเป็นลูกคนเดียวเติบโตมากับไร่และสวน ได้รับความรักอย่างเต็มที่จากคนรอบข้างและบิดามารดามากจนแทบล้น ทำให้มีนิสัยซื่อตรง คิดอย่างไรก็แสดงออกแบบนั้น เป็นคนที่จริงใจไร้เล่ห์เหลี่ยมซึ่งขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูคล้ายจะเป็นคนเกเรชอบหาเรื่องต่อยตี

ใจจริงจอมทัพก็อยากขอบคุณหน้าตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรของเขาและร่างกายที่สูงใหญ่จากการเล่นกีฬาเลี้ยงลูกลงห่วง เพราะช่วยป้องกันและคัดกรองคนที่จะเข้ามาในชีวิตได้เป็นอย่างดี แต่ข้อเสียของการที่ไม่ค่อยมีคนเข้าหาก็คือจอมทัพจะไม่ทันคนนั่นเอง

พอรู้จักคนน้อยประสบการณ์รับมือกับผู้คนก็ย่อมน้อยตาม พอโดนหลอกก็ย่อมยากที่จะรู้ตัวได้ไว รู้ตัวอีกทีจิตใจก็ยากที่จะแข็งแรงเช่นเคย ส่งผลให้โซซัดโซเซตั้งหลักไม่อยู่ หนีออกจากเมืองหลวงมาอยู่ที่ชนบทแบบนี้…

ในตอนที่ตัดสินใจบวชพระตามที่หญิงแก่นิรนามเอ่ยเตือน ก็หลังจากที่หกล้มจนปากแตกจากสเก็ตบอร์ดได้ไม่กี่วัน จอมทัพตัดสินใจโทรหาบิดามารดาที่อยู่ต่างจังหวัดแถบภาคเหนือ ปลายสายตอบกลับมาเสียงหลงยามได้ยินว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจะบวชในช่วงปิดเทอมนี้ ไม่เพียงแต่ครอบครัวเขาจะตกใจ เพื่อน ๆ ในแก๊งก็เช่นกัน

เขายังจำสีหน้าเพื่อน ๆ ได้ดีตอนที่บอกว่าจะบวชในช่วงปิดเทอมใหญ่นี้

สายฟ้ากับปั้นสิบ สองคู่หูตัวแสบตาโตเป็นไข่ห่านหลังได้ยินเขาสารภาพเรื่องเกิดอุบัติเหตุว่าตรงกับที่หมอดูหญิงแก่ได้บอกไว้ ถึงแม้ทั้งคู่ทำท่าจะโต้แย้งก็ไม่อาจทำได้เนื่องจากกลัวจะไปขัดศรัทธาบุญของเพื่อน และรู้ว่าถ้าจอมทัพตัดสินใจอะไรลงไปแล้วยากที่จะกลับคำ

เป็นมาตั้งแต่เด็กความจริงจังและซื่อตรงในคำพูดของจอมทัพใกล้เคียงกับคำว่าเด็ดขาดเป็นอย่างมาก ในเมื่อเลือกที่จะบวชแล้วใครก็ห้ามไม่ได้ หรือนี่อาจจะเป็นความดื้อรั้นของลูกคนเดียวก็เป็นได้

ส่วนคินหรือคิระ เพื่อนที่เงียบที่สุดของกลุ่มก็ไม่ได้ห้ามปรามอย่างที่คิดไว้ เพียงแค่ยิ้มและส่งคำอวยพรที่บอกให้ตั้งใจบวชให้ดีมาเท่านั้น ท่ามกลางความโกลาหลและทำตัวไม่ถูกของเพื่อน ๆ มีเพียงชายหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นคนเดียวที่ยังคงสติไร้ซึ่งตื่นตระหนกเฉกเช่นคนอื่น

ไม่นานมารดาและบิดาที่อยู่ต่างจังหวัดก็จองไฟล์ทบินมาหาภายในวันต่อมาทันที ไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นได้หลังลูกชายคนเดียวของบ้านพูดว่าจะขอบวช และแม้เพื่อนๆตัวดีทั้งหลายจะไม่เห็นด้วยแค่ไหน แต่สุดท้ายพอมาถึงวันบวชจริงก็แย่งกันเป็นเทวดานางฟ้าหน้านาคกันหมด เต้นจนหลุดคาแรคเตอร์หล่อเท่สไตล์วัยรุ่นเมืองกรุง แว่นแบรนด์เนมหรูที่สวมใส่ไม่อาจเก็บทรงได้ยามเพลง แม่ฮ้างมหาเสน่ห์ ดังขึ้น

คำเอย โอ้ว่าสาว แม่ฮ้างนางมีด้าม

มีดีอีหลีเดอ สมผะการนานปี

คือสิ่งที่พี่ต้องการขอ เคยถูกเจาะ โดนไง้

มาหลายคนกะตามซ่าง มันบ่พังจั่งซ้าง

มันบ่ฮ้างจังกะทอใดน้องพี่

อยากฮ่วมชีวี กับแม่ฮ้างหั้นแหลว~~

นึกย้อนไปก็ตลกจริงๆด้วย เวลาผ่านไปไวจริงเชียว แป๊บ ๆ ก็จะครบสามเดือนแล้ว อีกไม่กี่วันก็ต้องสึกออกไป กลับไปใช้ชีวิตเด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยต่อไป

“เอ้าพระจอม ยังไม่กลับกุฎิอีกหรอ”

เสียงแหบทุ้มแทรกเข้ามาจนทำให้จอมทัพหลุดออกจากภวังค์ ร่างสูงมองไปยังภิกษุชราตรงหน้า ร่องรอยตีนกาปรากฎบนใบหน้าบ่งบอกถึงประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมาโชกโชน

ชายชราตรงหน้าผู้นี้เป็นเจ้าอาวาสวัดที่จอมทัพบวชอยู่

“ว่าจะเอานมไปให้เจ้าหลงก่อนหน่ะครับหลวงพ่อ สงสารมัน"

“เอ้อ เอาเถอะ บางครั้งการที่ถูกทอดทิ้งก็ไม่น่ากลัวสักเท่าไหร่ ไอ้หลงโดนแม่มันทิ้งก็ยังมีพระจอมคอยดูแลเป็นห่วงเป็นใยมัน” เว้นไปสักพักก่อนจะพูดต่อ “ชีวิตคนเราไม่ได้โชคร้ายไปทั้งหมดเสียทีเดียวหรอก ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงาม ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่…มองให้เห็นถึงจุด ๆ นั้นเถอะ…เอาล่ะอาตมาจะกลับกุฎิแล้วล่ะ”

สิ้นเสียงแหบทุ้มหลวงพ่อก็หันหลังกลับเดินฝ่าความมืดไปยังกุฎิ ทิ้งให้จอมทัพยืนนิ่งคิดตามคำพูดเมื่อครู่

จอมทัพยืนนิ่งเหม่อมองแผ่นหลังคล่อมคล้อยลับไปจนมองไม่เห็น ก่อนตนเองจะหันเดินไปอีกทิศทางหนึ่ง ทอดน่องไปเส้นทางที่คุ้นเคยที่ช่วงนี้เขาเดินมาบ่อยเสียจนจำได้แม้จะไม่มีไฟก็ตาม

เสียงฝีเท้ากระทบพื้นเปลือยดังก้องไปทั่วสารทิศ ตามมาด้วยเสียงทักทายจากเจ้าตูบสี่ขาที่จอมทัพเรียกว่า เจ้าหลง ลูกหมาที่ถูกเจ้าของนำมาทิ้งไว้ที่หน้ากุฎิ

โฮ่ง! โฮ่ง!

เสียงเห่าทักทายจากสุนัขสีน้ำตาลอ่อนตรงหน้าเรียกเอารอยยิ้มของวันนี้จากจอมทัพไปได้โดยง่าย เสียงที่เคยเข้มขรึมอ่อนโยนลงถนัดตา

“ว่าไงเจ้าหลง หิวแล้วรึยังหื้ม”

โฮ่ง!

“มา ๆ เดี๋ยวเทนมให้”

มือแกร่งเปิดขวดนมจืดเทลงไปยังภาชนะข้างๆที่DIYมาจากถ้วยกระเบื้องใบเก่า เจ้าหลงแสนรู้นั่งรอคอยเจ้านายของมันด้วยความนอบน้อมอย่างน่าเอ็นดู หางสั้นเล็ก ๆ ส่ายไปมาอย่างดีใจยามเจอเจ้าของ

เจ้าหลงเป็นลูกหมาจรจัดที่มีคนเอาใส่กล่องมาปล่อยไว้หน้ากุฎิวัด จอมทัพที่ลงจากกุฎิมาเจอก็อดที่จะสงสารไม่ได้ ตายังลืมไม่ขึ้นด้วยซ้ำสำหรับลูกหมาแรกเกิด ยิ่งตอนที่ร้องออกมาเพราะความหิวหรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ทำให้จอมทัพต้องหันหลังกลับขึ้นไปเอานมจืดในกุฎิของตนมาเจาะเทให้มันกิน

นานวันเข้าเจ้าหลงก็เริ่มติดเขา แค่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยมันก็เห่าร้องพลางวิ่งส่ายหางกระดิกไปมาอย่างดีใจ ในตอนที่เขาไม่รู้จะพูดกับใครก็พูดกับมันแทน แม้มันจะไม่เข้าใจภาษามนุษย์ก็ตามแต่แววตาสีน้ำตาลกลมโตก็มองเขาด้วยตาแป๋วอย่างตั้งใจฟัง สำหรับคนที่อยู่ไกลบ้านคนเดียวแบบเขาแล้ว เจ้าหลงก็เป็นเหมือนเพื่อนที่คลายความเหงาในใจลงไปได้

แผล่บ ๆๆ

“ค่อย ๆ กิน ไม่มีใครแย่งเอ็งหรอก” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยด้วยความเอ็นดูพลางลูบหัวกลมเล็กอย่างเบามือ ความเงียบเข้าปกคลุม มีเพียงเสียงร้องของจักจั่นรำไรปนเสียงน้ำกระทบลิ้นเล็ก ๆ ที่ตวัดนมเข้าปากจนขนสีน้ำตาลสลับขาวเปียกลู่ จอมทัพตกอยู่ในภวังค์ความคิดอีกครั้ง ร่างสูงหวนนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อที่ได้พูดไว้

ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่...งั้นหรอ

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • หายใจเข้าพุทธ หายใจออกเธอ   จิ๊กซอตัวสุดท้าย

    หลังจากผ่านคำคืนเฉลิมฉลองให้กับคู่รักข้าวใหม่ปลามันเสร็จทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปคนละทาง สายฟ้าก็มีแฟนหนุ่มอย่างแสงเหนือมารับถึงที่ ส่วนปั้นสิบก็ลงไปเรียกรถกลับห้องอย่างน้อยใจชีวิต ปล่อยให้คู่รักคู่ใหม่ได้ใช้เวลาสวีทหวานร่วมกันเป็นเวลาเกือบบ่ายโมง ร่างสมส่วนลุกขึ้นจากที่นอนก่อนจะเอี้ยวตัวบิดเพราะความเมื่อยล้าหลังจากที่แยกย้ายกับเพื่อนเมื่อคืนเสร็จทั้งเขาและจอมทัพก็เข้านอนกันเลยตาเรียวหรี่ตามองฝั่งซ้ายของเตียงที่ว่างเปล่า ก่อนจะเดินออกไปยังห้องครัว แต่กลับได้ยินเสียงคุ้นเคยดังขัดขึ้นมาเสียก่อน“ไงมึง ข้าวอยู่ในครัวนะ”คิระเดินขยี้ตาออกมาจากห้องนอนก็สะดุดกับคำทักทายของผู้บุกรุกนิรนามตรงหน้า สายตาเริ่มปรับโฟกัส สมองเริ่มตื่นเต็มที่ก็ผงกหัวตอบรับไป“กินข้าวยังล่ะ”“กูกินตั้งแต่สิบโมงละ มึงกินเลยกูซื้อของโปรดมา”“ทัพไปไหน”“เห็นมันบอกว่าไปธุระกับที่บ้านนะเลยโทรให้กูซื้อข้าวมาให้มึงหน่อย คนโสดอย่างกูถึงได้มาเสนอหน้าอยู่ที่นี่ไง” ปั้นสิบอธิบาย หลังจากที่จอมทัพโทรปลุกเขาตั้งแต่เช้าตรู่ว่ามาดูแลเมียมันให้หน่อยเมียมันก็เพื่อนเขาไม่ใช่รึไง ปั้นสิบส่ายหัวอย่างเอือมระอากับอาการคนคลั่งรัก

  • หายใจเข้าพุทธ หายใจออกเธอ   สิ้นสุดการรอคอย

    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็สัมผัสได้ว่ามีอะไรเย็น ๆ กระทบที่ใบหน้า ตาคมกระพริบไล่ความงัวเงีย แสงไฟจากเพดานแยงเข้าตาอย่างจังจนต้องหยีตาลง และเมื่อปรับสายตาได้แล้วก็ต้องตกใจคนที่อยู่ตรงหน้าใบหน้าขาวนวล ผมหน้ายาวแทบปิดตา แต่ก็ไม่อาจปกปิดแววตาที่ราวกับรวมดวงดาวนับล้านนั้นเอาไว้ได้ เจ้าของดวงตาสวยมองมาไม่กระพริบทำให้ตอนนี้ทั้งเขาทั้งคิระเอาแต่จ้องตากัน เนิ่นนานจนกระทั่งคิระเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน“ตื่นแล้วหรอ” เสียงนุ่มทุ้มที่ฟังอยู่แทบทุกวัน คนตรงหน้าเอื้อมมือที่ถือผ้าชุบน้ำอยู่เช็ดตามกรอบหน้าคมเบา ๆ อย่างอ่อนโยน ความเย็นจากน้ำประทะกับความหนาวของเครื่องปรับอากาศทำเอาขนแขนลุกความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่ห้องนั่งเล่น คนเมาไล่สายตามองคนตรงหน้าที่ตั้งอกตั้งใจเช็ดตัวให้เขาอยู่ ใบหน้าเรียบนิ่งอ่านออกได้ยากว่ากำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไรแต่ในใจเขาก็ขอให้มันรู้สึกเหมือนกัน เขาไม่อยากมั่นใจนักแต่ที่มันมาหาเขาถึงที่ขนาดนี้ก็ต้องมีรู้สึกบ้างแหละ “มีอะไรก็พูดสิ” คิระเห็นท่าทีเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดของคนเมาก็เอ่ยถาม“มึงกับยูตะ…เอ่อมันยังไง” ในที่สุดจอมทัพก็เอ่ยถามเรื่องที่ค้างค

  • หายใจเข้าพุทธ หายใจออกเธอ   ปลอบ

    คอนโดปั้นสิบ“ลมอะไรหอบมึงมาวะ”เสียงทุ้มห้วนของปั้นสิบดังขึ้นทันทีที่เห็นเพื่อนหน้าโหดที่บัดนี้ยืนหน้าหงอยกอดขวดเหล้าไว้แน่นอยู่หน้าห้อง ดวงตาคู่ดุแดงระเรื่อเหมือนคนเพิ่งผ่านการร้องไห้มาตลอดทาง“เข้ามาสิ”เจ้าของห้องไม่ได้ถามอะไรต่อ เพียงเปิดประตูแล้วถอยให้เพื่อนสนิทเดินเข้าไป จากนั้นก็เดินนำไปยังโซฟาตัวเก่าที่พวกเขาใช้เป็นฐานประจำสำหรับ ‘วงเหล้าเฉพาะกิจ’ แกร๊ก!เสียงน้ำแข็งกระทบแก้วใสกังวานตามด้วยเสียงซ่าของโซดาที่เพิ่งเปิด กลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ลอยปะปนไปกับความเงียบที่เริ่มปกคลุมห้องจอมทัพนั่งนิ่งบนโซฟา ร่างสูงดูเหนื่อยล้าแทบหมดแรงเดิน ดวงตาเหม่อลอยราวกับร่างไร้วิญญาณ สีหน้าหม่นหมองเงียบงัน ไม่พูดไม่จา เอาแต่ยกแก้วขึ้นกระดกไม่ยั้ง ไม่สนใจเจ้าของห้องที่นั่งจ้องเลยสักนิดปั้นสิบมองแขกผู้เศร้าโศกที่เคาะห้องเขายามวิกาลอยู่พักใหญ่ และความอดทนของคนผิวแทนเริ่มหมดลง “มึงจะเล่าได้ยังกูรอฟังจนจะหลับแล้วเนี่ย”เสียงถอนหายใจดังขึ้น ดวงตาคู่คมคล้ายสั่นไหวยามนึกถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้น จอมทัพยกมือข้างหนึ่งมากุมหน้าอกตัวเองแน่น “เฮ้อ… กูแค่รู้สึกแปลก ๆ ในใจ มันเหมือนถูกบีบรัดแน่น ๆ ย

  • หายใจเข้าพุทธ หายใจออกเธอ   ความมืด

    “คิระคุง ข้อนี้ทำยังไงหรอ” น้ำเสียงนุ่มละมุนดังขึ้นด้านข้าง ใบหน้าหวานช้อนตามองบุคคลที่รับหน้าที่ติวเตอร์จำเป็นอย่างคิระ“อืมมันต้องทำแบบนี้นะ” ใบหน้าหล่อเหลาที่ฉายแววชัดตั้งแต่เด็กตั้งใจอธิบายด้วยท่วงท่าที่มีเสน่ห์ บวกกับคิระนั่งหลังตรงเป็นธรรมชาติช่วยเสริมบุคลิกให้ดูดีมากขึ้นไปอีก“…” มัวแต่มองใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าเพลิน รู้ตัวอีกทีก็เห็นคิระโบกมือไปมาตรงหน้าเพื่อเรียกสติ“ยูตะเข้าใจใช่มั้ย?” คิริเอียงคอมองคนตรงหน้าที่หน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศยามที่ใบหน้าทั้งสองใกล้กันยูตะเป็นเด็กผู้ชายที่ใบหน้าหวานมองเผิน ๆ แอบคล้ายผู้หญิงตอนเจอครั้งแรกเขาก็ตกใจ ถ้าไม่ก้มดูว่าใส่กางเกงคงทักผิดเป็นแน่ ร่างเล็กตรงหน้าสวมแว่นตาทรงกลมช่วยขับให้ดูน่ารักน่าถนุถนอมยิ่งขึ้น อดไม่ได้ที่จะแกล้งเอานิ้วจิ้มที่ปลายจมูกดื้อรั้นนั่น“อ๊ะ!” ยูตะตกใจจนถอยหลัง ใบหน้าขึ้นสีทั้งหน้า ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว“เดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”“หึ” เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนหน้านิ่งได้เป็นอย่างดีตึกตัก ตึกตักเสียงหัวใจเต้นแรงระรัว มือน้อย ๆ แตะที่กลางอก กลัวว่ามันจะหลุดออกมา“คิระไม่สนใจฉันเลย เขาไม่ชอ

  • หายใจเข้าพุทธ หายใจออกเธอ   ฝันร้าย

    บางครั้งจอมทัพก็คิดว่าตนเองคงต้องไปหาหมอแล้ว เหตุผลก็คือฝันบอกเหตุ อาจเป็นเพราะเมื่อคืนเขาไม่อาจสลัดความคิดที่วนเวียนในหัวออกไปได้ เขาถึงได้ฝันถึงคิระและยูตะ ในฝันเหมือนจริงมากเสียจนตื่นขึ้นมาเหงื่อฝุดเต็มตัวจนแทบเปียกที่นอน ยิ่งตอนที่ตื่นมาแล้วพบว่าคนข้างกายไม่อยู่บนที่นอนแล้วยิ่งร้อนใจขึ้นไปใหญ่บวกกับความฝันที่ไม่อยากให้เป็นจริงในฝันนั้นเขาเห็นว่าคิระจูบกับยูตะอย่างดูดดื่มเหมือนจริงมาก ร่างหนาลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องนอนอย่างร้อนใจ ในที่สุดก็เจอคนที่ตามหากำลังปิ้งขนมปังอยู่หมับ!“อื้อ! ตกใจหมดเลย” ร่างแกร่งคว้าตัวคนที่สวมใส่ชุดนอนลายการ์ตูนหน้าแมวส้มเข้ามาในอ้อมกอดอย่างเต็มแรง ใบหน้าคมซุกไซร้จนเกิดรู้สึกจั๊กจี้จนต้องย่นคอ“มึงแปลก ๆ ละ”“แปลกยังไง” เสียงแหบพล่าเอ่ยก่อนจะเอื้อมมือไปปิดแก๊ส แล้วอุ้มยกคนตัวขาวจับวางไว้บนเคาน์เตอร์ลายหินอ่อน“อ๊ะ! ทำไรเนี่ยอื้มมม”ริมฝีปากอวบอิ่มบ่นไม่ทันขาดคำก็ต้องกลืนคำบ่นลงท้อง ก่อนคิระจะอ้าปากรับลิ้นร้อนเกี่ยวตวัดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เนิ่นนานจวนจะหมดลมหายใจปึก! ๆมือเรียวทุบอกแกร่งดังปึกเมื่อลมหายใจใกล้จะหมด“อึก…พอก่อนหายใจไม่อื้ออ”แล

  • หายใจเข้าพุทธ หายใจออกเธอ   เดต

    ปัจจุบันโรงภาพยนตร์“อยากดูเรื่องอะไร” เสียงนุ่มดังขึ้น คิระเลื่อนหน้าจอขนาดใหญ่กว่าตัวคนเพื่อดูรอบตารางฉายหนังไปมา รอคนด้านข้างตัดสินใจวันนี้เป็นวันหยุดยูตะจึงชวนเขามาดูหนังในโรงภาพยนตร์ แม้คิระจะไม่ค่อยสันทัดมากนักแต่ก็ยอมมาอย่างไม่อิดออด คิระไม่ชอบดูหนังในโรงสักเท่าไหร่ เพราะมันมืดและไม่เป็นส่วนตัว ดังนั้นทุกครั้งที่ดูก็จะเลือกดูในห้องตนเองไม่ก็ห้องเพื่อน ๆ เท่านั้น“อยากดูเรื่องนี้” นิ้วเรียวสวยตะไบเล็บสั้นกดจิ้มลงไปยังหน้าจอ เรื่องที่ปรากฏเป็นหนังสยองขวัญที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ และยังโด่งดังจนฉายไปหลายประเทศอีกด้วย“เอาสิ” คิระตอบเสียงเรียบก่อนจะกดจิ้มที่หน้าจอเลือกที่นั่งและจ่ายเงิน“อยากซื้ออะไรไปกินมั้ย”“ป๊อปคอร์นกับน้ำก็ดีนะ” สิ้นเสียงใสกล่าวจบมือของคิระก็ถูกคนด้านข้างชักจูงไปยังเคาน์เตอร์จำหน่ายสินค้าทันที ไม่นานแก้วน้ำอัดลมทั้งสองแก้วก็อยู่ในมือของหนุ่มลูกครึ่ง“อื้มม อร่อยมากกก ยูลองกินสิ อ้าปาก” ยูตะป้อนป็อปคอร์นรสหวานเข้าปากอีกคนทันที ก่อนจะอมยิ้มไปด้วยความสุขจนแทบล้น “อร่อยมั้ย?”“อื้ม…อร่อย” คิระตอบกลับเสียงนุ่ม พลางก้มดูดน้ำจากแก้วที่ถือไว้ ดวงตาไร้รอยยิ้มเ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status