“หลวงพี่ก็เลยมาบวชอะหรอ” เณรพ่ายถาม ใบหน้าเล็กแหงนมองหลวงพี่ด้วยสายตาที่ตั้งใจจดจ่อ ทำเอาคนเล่าอย่างจอมทัพเอ็นดูกับความตั้งใจฟังของคนตัวเล็กตรงหน้าจอมทัพพยักหน้าตอบเบา ๆ“ประมาณนั้น”จอมทัพเล่าทั้งหมดให้แก่เณรพ่ายฟังเสร็จก็เดินไปหยิบไม้กวาดทางมะพร้าวที่วางทิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาหมายจะกวาดต่อเรื่องนี้มีแค่เพื่อน ๆ ของเขาเท่านั้นที่รู้ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไร เพราะตอนนี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกรักเจนแล้วเหลือแต่ความรู้สึกว่างเปล่าต่อจากนี้…ต่างคนก็ต่างเดินบนทางของตัวเอง“ไม่เป็นไรนะหลวงพี่ หล่อ ๆ อย่างหลวงพี่เณรเชื่อว่าสึกไปสาวติดตรึม” คำพูดและท่าทางแก่แดดของเจ้าตัวจ้อยทำเอาจอมทัพถึงกับถลึงตาดุคนตัวเล็กตรงหน้าทันที“เณรสำรวม ระวังคำพูดด้วย” จอมทัพเอ่ยเสียงดุ ท่าทีจริงจังรวมกับสายตาที่ดุดันทำให้คนตัวเล็กหน้าหงอยลงทันตา“ขอประทานโทษครับหลวงพี่” เสียงอ้อมแอ้มเอ่ยขอโทษเบา ๆ สีหน้าเจื้อนลงถนัดตาร่วมกับท่าทีสำนึกผิดของเณรพ่ายทำเอาจอมทัพถึงกลับใจอ่อน เด็กยังไงก็เป็นเด็ก จอมทัพปลอบตัวเองในใจ“เฮ้อ เอาเถอะ เดี๋ยวไปช่วยกันกวาดศาลากัน”“ครับหลวงพี่!” ใบหน้าหงอยกลับมายิ้มอีกครั้ง ท่าทีสดใสร่า
จิ๊บ ๆ ~เสียงร้องเจื้อยแจ้วของนกเขาตัวเมีย ส่งเสียงเรียกปลุกลูกนกออกจากรังเพื่อป้อนอาหาร วัดนี้เป็นวัดต่างจังหวัดในภาคกลาง พื้นดินถือว่าอุดมสมบูรณณ์ รายล้อมไปด้วยทุ่งนา แมกไม้ วัวควาย และเสียงรถมอเตอร์ไซค์รุ่นเก่าที่กว่าจะสตาร์ทได้แต่ละทีเล่นเอาเหนื่อยหอบ ยังคงดังผ่านไปมา เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายที่จอมทัพเจอมาตลอดสามเดือนนี้สายลมเย็น ๆ พัดพาดวงใจเงียบสงบเสมอมา ทว่าครั้งนี้กลับไม่เหมือนเช่นเคย คงเป็นเพราะในใจแอบไหววูบเล็กน้อยที่ต้องจากที่นี่ไปในอีกไม่กี่วัน หรือแท้จริงแล้ว ไม่อยากจะพบเจอใครบางคนแต่ยังไงงานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกราอยู่ดี เขาอยู่ที่นี่ไปตลอดไม่ได้ ยังมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ไหนจะครอบครัว เพื่อนฝูง ที่รอคอยเขากลับไปแกร็ก ๆเสียงไม้กวาดทางมะพร้าวกระทบพื้นปูนเปลือยใต้ศาลาวัด ในทุกเช้าจอมทัพจะทำหน้าที่หลัก ๆ อยู่ไม่กี่อย่าง อย่างเช่นตอนนี้ที่เขากวาดลานวัดอยู่ หลังจากกลับมาจากบิณฑบาตรกับหลวงพ่อและเณร“หลวงพี่ทัพพพพ!” สิ้นเสียงเล็กแหลมตะโกนดังเข้ามาจอมทัพก็หลุดออกจากภวังค์ความคิด ใบหน้าคมหันตามเสียงเรียก เป็นเณรพ่ายนั่นเอง“ว่าไงเณร เรียกซะเสียงดังเลย”“เณรเรียกหล
กาเยนะ วาจายะ เจตะสา วาสังเฆ กุกัมมัง ปะกะตัง มายา ยังสังโฆ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตังกาลันตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆเสียงสวดมนต์ทำวัตรเย็นดังขึ้นทั่วทั้งศาลาวัดจบลง บทบรรเลงขับขานตามคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าขัดเกลาแก่เหล่าภิกษุผู้อยู่ในธรรมเป็นที่ตั้ง รวมถึงตัวของชายหนุ่มหน้าโหดด้วยนี่ก็เป็นเวลาเกือบจะสามเดือนแล้วที่ จอมทัพ หรือตอนนี้คงต้องเรียก พระจอม ได้บวชเรียนศึกษาธรรมะภายใต้ชายผ้าเหลืองอดีตหนุ่มหล่อวิศวะ ปัจจุบันเป็นพระบวชใหม่ที่วัดป่าในชนบทแห่งหนึ่ง ที่เลือกต่างจังหวัดแทนในเมืองหลวงมีไม่กี่เหตุผล หนึ่งในนั้นคือรู้สึกถึงความสงบเหมือนได้กลับบ้าน เนื่องจากจอมทัพเกิดและโตที่ภาคเหนือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยอากาศเย็นเกือบทั้งปี ที่บ้านทำไร่ทำสวนส่งออกผลไม้รายใหญ่ของภูมิภาค ในทุกการปิดเทอมจึงมักจะไปช่วยงานที่บ้านยกเว้นเทอมนี้ที่เขาเลือกมาบวชแทน และเหตุผลต่อมาคือเขาคิดว่าการที่ได้มาชนบทได้เห็นวิถีชีวิตผู้คน รู้จักผู้คน ทำให้ได้ตระหนักถึงชีวิตมากขึ้นไปอีกขั้น เห็นแบบนี้จอมทัพค่อนข้างจริงจังกับชีวิตและแคร์ผู้คนรอบข้างเป็นอย่างมาก แต่บางครั้งการใจดีก็ใช่ว่าจะได้ดีตอบกลับเสมอไป ญาติโยม
“หนุ่มเอ้ย ถึงคราวเคราะห์ร้ายมาเยือน เจ้ากรรมนายเวรตามมาถึงหน้าประตู ถ้าเอ็งไม่บวชละก็ได้เกิดเรื่องแน่ ๆ ”“เชื่อข้าเถอะหนุ่ม บวชสักพรรษานึง ไม่งั้นเอ็งได้เลือดตกยางออกอย่างแน่นอน…”น้ำเสียงแหบแห้งของหญิงชราที่ไม่เคยพบเจอหน้ากันมาก่อน คำพูดคนแปลกหน้าติดอยู่ในห้วงความคิดของชายหนุ่มหน้าโหดจนยากที่จะสลัดออกจอมทัพ ชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ขมวดคิ้วเข้มชิดกันเป็นปมแน่น ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง ท่าทีบึ้งตึงบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก“มึงอย่าไปเชื่อเลย ฟังหูไว้หู”เป็นสายฟ้าที่พูดโพล่งออกมายามเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของจอมทัพ และไม่ปล่อยให้บรรยากาศตึงเงียบไปมากกว่านี้ ปั้นสิบที่เดินมาด้วยกันข้างๆ ก็รีบพุ่งเข้ารับไม้ต่อจากสายฟ้าทันที“จริง! หมอดูก็คู่กับหมอเดาแหละโว้ยอย่าไปคิดมาก”ธรรมดาของมนุษย์ที่พยายามบอกว่าไม่คิดมากแต่สุดท้ายก็คิดมาก ความคิดมากมาย ข้อสันนิษฐานต่าง ๆ สะเปะสะปะจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ชายหนุ่มหน้าโหดพยายามคิดยังไงก็คิดไม่ตกจอมทัพมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักกับหญิงชราคนนั้นมาก่อนอย่างแน่นอน แต่ทำไมหญิงชราคนนั้นถึงทักเรื่องเคราะห์ร้ายอะไรแบบนั้นกับเขากันว่ากันตามตรงจอมทัพเป็นคนที่ไ