จิ๊บ ๆ ~
เสียงร้องเจื้อยแจ้วของนกเขาตัวเมีย ส่งเสียงเรียกปลุกลูกนกออกจากรังเพื่อป้อนอาหาร วัดนี้เป็นวัดต่างจังหวัดในภาคกลาง พื้นดินถือว่าอุดมสมบูรณณ์ รายล้อมไปด้วยทุ่งนา แมกไม้ วัวควาย และเสียงรถมอเตอร์ไซค์รุ่นเก่าที่กว่าจะสตาร์ทได้แต่ละทีเล่นเอาเหนื่อยหอบ ยังคงดังผ่านไปมา เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายที่จอมทัพเจอมาตลอดสามเดือนนี้
สายลมเย็น ๆ พัดพาดวงใจเงียบสงบเสมอมา ทว่าครั้งนี้กลับไม่เหมือนเช่นเคย คงเป็นเพราะในใจแอบไหววูบเล็กน้อยที่ต้องจากที่นี่ไปในอีกไม่กี่วัน หรือแท้จริงแล้ว ไม่อยากจะพบเจอใครบางคน
แต่ยังไงงานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกราอยู่ดี เขาอยู่ที่นี่ไปตลอดไม่ได้ ยังมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ไหนจะครอบครัว เพื่อนฝูง ที่รอคอยเขากลับไป
แกร็ก ๆ
เสียงไม้กวาดทางมะพร้าวกระทบพื้นปูนเปลือยใต้ศาลาวัด ในทุกเช้าจอมทัพจะทำหน้าที่หลัก ๆ อยู่ไม่กี่อย่าง อย่างเช่นตอนนี้ที่เขากวาดลานวัดอยู่ หลังจากกลับมาจากบิณฑบาตรกับหลวงพ่อและเณร
“หลวงพี่ทัพพพพ!” สิ้นเสียงเล็กแหลมตะโกนดังเข้ามาจอมทัพก็หลุดออกจากภวังค์ความคิด ใบหน้าคมหันตามเสียงเรียก เป็นเณรพ่ายนั่นเอง
“ว่าไงเณร เรียกซะเสียงดังเลย”
“เณรเรียกหลวงพี่มาสามรอบแล้ว หลวงพี่นั่นแหละเอาแต่เหม่อ” เจ้าของจีวรสีส้มผืนเล็กตรงหน้าอมลมแก้มป่องเมื่อหลวงพี่คนสนิทตรงหน้าหันมาทำตาดุใส่เบา ๆ
ทั้ง ๆ ที่เขาเรียกไปตั้งหลายรอบแต่หลวงพี่ก็เอาแต่ยืนเหม่อสติหลุดไปไหนก็ไม่รู้ อย่างนี้ต้องฟ้องหลวงตาเสียแล้ว คนตัวเล็กได้แต่ทดไว้ในใจ
“อ้าวหรอ ไม่ได้ยินเลย แล้วมีอะไรล่ะ”
จอมทัพไม่รู้ตัวเลยว่าเขานั้นเหม่อลอยจนไม่ได้ยินเสียงเณรพ่ายเรียกได้ยังไง
เณรพ่ายบวชมาก่อนจอมทัพได้ 1 ปีกว่าแล้ว เพราะครอบครัวเกิดประสบอุบัติก่อนวันปีใหม่ทำให้เณรพ่ายในวัย 10 ปีไม่เหลือญาติผู้ใหญ่ที่พึ่ง แม้จะมีทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้จนสามารถเรียนจนจบมหาวิทยาลัยเลยก็ตาม แต่จิตใจของเด็กน้อยที่เสียพ่อแม่กระทันหันไหนเลยจะต้องการเงินทอง
หลวงตาที่สงสารจึงนำมาอยู่ด้วยแรก ๆ เป็นเด็กวัด หลังจากไป ๆ มา ๆก็เริ่มสนใจพุทธศาสนาจึงบวชเณรแทน ทำให้ตอนนี้เณรพ่ายบวชเรียนประจำอยู่ที่วัดตั้งแต่นั้นมา
“มีสีกาจากกรุงเทพมาหาหน่ะ บอกว่าเป็นคนรู้จักหลวงพี่ นั่งรอตรงโต๊ะหินอ่อนตรงหน้าศาลานู้นแหละ” นิ้วมือป้อมชี้ไปตามทางที่จากมา
จอมทัพคิดในใจว่าใครกันที่มา สีกาที่รู้จักมีแค่แค่แม่เขาเท่านั้นที่รู้ว่าเขาบวช กับเพื่อน ๆ ในสาขายังไม่รู้กันเลยด้วยซ้ำ
“งั้นเณรเป็นเพื่อนกับหลวงพี่ทีนะ พระอยู่กับสีกาคงไม่เหมาะสมนัก”
“ได้เลยหลวงพี่”
เสียงรองเท้าแตะกระทบพื้นใกล้เข้ามาทำให้หญิงสาวที่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าที่คุ้นเคยในความทรงจำของจอมทัพส่งผลให้ตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจ ไม่กี่วิก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
“จอมทัพจริง ๆ ด้วย”
น้ำเสียงหวานใสเอ่ยพลางส่งยิ้มให้อย่างน่ารักเหมือนแต่ก่อน ใบหน้าขาวนวลผุดผ่องเปื้อนรอยยิ้ม กอปรกับดวงตาสดใสเหมือนลูกกวางน้อย ดูสดใส ไร้เดียงสา
แค่ดูเหมือนนะ…
“เรียกพระเถอะโยม”
“เอ่อ…ขะขอโทษค่ะ เจนไม่รู้เอ้ยโยมไม่รู้วิธีการพูด…แค่ดีใจมากไปหน่อยที่เจอพระ” หญิงสาวพูดตะกุกตะกัก ยิ้มเจื่อน ๆ วางตัวไม่ถูก
“ไม่เป็นไร แล้วโยมมาวันนี้มีอะไรรึเปล่า” น้ำเสียงนิ่งยังคงถามต่ออย่างเป็นมารยาท
“โยมขอคุยกับพระเป็นการส่วนตัวได้มั้ยคะ” หญิงสาวตรงหน้ากล่าวด้วยแววตาเว้าวอน พลางเหลือบมองดูเณรน้อยด้านหลังเขา จอมทัพถอนหายใจ
“พระกับสีกาอยู่ใกล้กันจะถูกครหาเอาได้ ให้เณรพ่ายอยู่ด้วยเถอะ”
“…กะก็ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อย
“มีอะไรก็ว่ามาเถอะโยม” น้ำเสียงนิ่งแต่แฝงไปด้วยความดุราวกับตำหนิหญิงสาวตรงหน้าเป็ยนัย ๆ
“คือว่า…โยมอยากจะมาขอขมาเรื่องก่อนหน้านี้ที่เคยทำไม่ดีกับพระ อยากให้พระให้อภัยเจน ถึงจะมาขอโทษช้าไปหน่อยเพราะกว่าจะรู้ว่าพระอยู่ไหนก็ตามหานาน พอรู้จากเพื่อนในสาขาของพระ เจนเอ้ย!…โยมก็รีบมาทันที”
หญิงสาวตรงหน้าพูดผิด ๆ ถูก ๆ อย่างร้อนรน ยกมือขึ้นมาพนมแนบอก ปากบอกเล่าความรู้สึกผิดในใจ แววตาที่เคยสดใสบัดนี้ฉายแววเศร้าหมอง ไม่แม้แต่จะสบตาผู้ที่อยู่ในชายผ้าเหลืองตรงหน้าแม้แต่น้อย
ความเงียบได้ปกคลุมพื้นที่นี้อีกครั้ง สายลมพัดพาจีวรสีส้มปลิวไสว ภาพตรงหน้าคล้ายจิตกรรมฝาผนังภายในโบสถ์ ดูเลื่อมใสและน่านับถือ ความรู้สึกผิดบาปก่อตัวขึ้นภายในจิตใจของหญิงสาวจนแทบเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ หรือจริง ๆ แล้วความรู้สึกตอนนี้ของเธอคือการชดใช้กรรมกัน
“อาตมาขออโหสิกรรมให้โยม ไม่ว่าเรื่องที่ผ่านมาโยมจะกระทำด้วยความตั้งใจก็ตามหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ทุกเรื่องที่ผ่านมาอาตมาไม่ถือโทษโกรธเคืองโยมให้เป็นบ่วงกรรมอีกต่อไปแล้ว…ต่อไปนี้ก็ขอให้โยมเจอทางที่ดี”
สิ้นเสียงภิกษุหนุ่มตรงหน้าก็เหมือนความหนักของร่างกายมลายหายไป ดวงใจที่ห่อเหี่ยวมืดมนกลับเห็นแสงสว่าง ความรู้สึกผิดที่กัดกินหัวใจเริ่มคลายลงถนัดตา
“ขะ…ขอบคุณค่ะ” เสียงสั่นไหวเอ่นตอบ ไหล่เล็ก ๆ จากที่ตึงดูผ่อนคลายลงมากทีเดียว จอมทัพเห็นคนตรงหน้าสีหน้าคลายกังวลขึ้นก็เบาใจ
กายแกร่งหมุนตัวหันหลังกลับไป สบตากับดวงตาแสนสอดรู้สอดเห็นของเณรพ่าย แม้จะหันหน้าหนีไปอีกทาง ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้แอบฟัง แต่ก็ไม่เนียนเช่นกัน เพราะสายตาที่เหล่มองมาทางหสบาทั้งคู่บังเอิญสบตาเข้าหลวงพี่ผู้เคร่งขรึมพอดี ทำให้คนตัวเล็กลุกลี้ลุกลนยามถูกจับได้ว่าแอบฟัง
“อืม…ถ้าหมดธุระแล้วอาตมาต้องขอตัวก่อน มีกิจของสงฆ์อีกมากที่รอคอยอยู่”
“งั้นลาเจ้าค่ะ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้ลา
“เจริญพรเถอะโยม” จอมทัพเอ่ยตอบเบา ๆ พลางพยักหน้าช้า ๆ ถือเป็นการรับความหวังดีจากคนตรงหน้าเอาไว้ เห็นอย่างนั้นหญิงสาวก็ยิ้มออกมาอีกครั้งพลางเดินกลับไปยังรถที่จอดไว้ ไม่นานรถยนต์ป้ายทะเบียนกรุงเทพก็ขับออกไปจนไม่เห็นแม้แต่ฝุ่น
“คนนี้ใครอะหลวงพี่” เสียงเจื้อยแจ้วเป็นใครไม่ได้นอกจากเณรพ่าย ร่างสูงอยู่ในชุดสีส้มได้แต่ถอนให้ใจกับความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าเปี๊ยกตัวน้อยด้านข้าง แต่ก็ไม่ได้คิดปิดบัง
“แฟนเก่า” น้ำเสียงของหลวงพี่เรียบ ๆ แต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง เณรพ่ายถึงกับชะงักไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะเบิกตาโพลง
“ว่าแล้วเชียว!!” เณรพ่ายร้องลั่นขึ้นมาพร้อม ดีดนิ้วเป๊าะด้วยท่าทีมั่นใจ ดวงตาเปล่งประกายวาววับเหมือนนักสืบที่จับไต๋คนร้ายได้ตรงเป๊ะ
“แบบนี้อย่าบอกนะว่า…หลวงพี่มาบวชพระเพราะว่าอกหักน่ะ!” คนตัวเล็กหรี่ตาอย่างจับผิดคนตรงหน้า
ที่เขาคิดแบบนั้นเพราะท่าทางที่พูดคุยกับสีกาเมื่อกี้และไหนจะท่าทีเศร้า เจ็บปวด ตอนที่มาบวชช่วงแรก ๆ นั่นอีก คงจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากอกหักอย่างแน่นอน เณรพ่ายฟันธง!
เท้าที่กำลังเดินอยู่ สะดุด กึก! กับคำถามของเจ้าตัวจ้อยตรงหน้า หลวงพี่ได้แต่พ่นลมหายใจเบา ๆ เอามือไพล่หลัง ยืนนิ่งสงบ ดวงตาคมเหม่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ภาพบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว เรื่องราวก่อนที่เขาจะมาบวช…
วันเรียนจบวันสุดท้าย
“เอ้าทุกคน ขอให้โชคดีกับการสอบปลายภาคนะ” เสียงทุ้มของอาจารย์ประจำภาคดังขึ้นหน้าห้อง คนพูดอายุอานามเกินครึ่งร้อยแต่ยังดูมีชีวิตชีวาในแบบที่เด็กวิศวะโยธาส่วนใหญ่คุ้นชิน
“ขอโชคเอครับอาจารย์!”
เสียงดังตะโกนมาจากหลังห้อง ต่อมาไม่นานก็พบกับเสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมชั้นตามมา เป็นคนผิวแทนส่งรอยยิ้มกวน ๆ ทีเล่นทีจริงตอบกลับอาจารย์หน้าห้องอย่างไม่เกรงกลัว
คนที่กล้าขนาดนี้คงเป็นใครไม่ได้นอกจาก ปั้นสิบ เพื่อนที่เป็นเหมือนโทรโข่งประจำกลุ่ม ฉายาสิบรู้โลกรู้ หนุ่มหล่อผิวแทนของดีประจำภาควิชาโยธา สกิลฝีปากไม่เป็นสองรองใคร ลูกรักอาจารย์ทั้งภาควิชาเพราะท่าทีอ้อร้อและประจบเก่งที่สุดในชั้นปี
“เอ้ากล้าขอก็กล้าให้ ถ้าคุณคะแนนเกิน 85 อะนะ ฮ่าฮ่า”
หนุ่มวัยกลางคนหัวเกือบล้านตอบกลับนิสิตตัวแสบประจำห้องด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายขำขัน แต่เรียกเสียง โห่ โอดครวญตามไล่หลังมาระนาว
“โห่จาร เกิน 50 ก็เป็นบุญผมแล้วเนี่ย”
“งั้นเทอมหน้าค่อยแก้ตัวใหม่ ยังไงเทอมนี้ก็ไม่ทันแล้ว ตั้งใจสอบให้เหมือนตั้งใจเซตผมมาเรียนด้วยล่ะ”
เสียงแซวจากอาจารย์จบไปก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะลั่นของเพื่อน ๆ ทั้งเซคอีกทั้งยังส่งสายตาล้อเลียนทรงผมปั้นสิบวันนี้ที่จัดเซตเสยผมขึ้นกันยกใหญ่
“แม่งกูตื่นมาเซ็ทตั้งนาน เจอจารแซวไปคำเดียวผมกูแฟบเลย” คนผิวแทนบ่นเสียงอุบ
“สิบเพื่อนรัก มึงเล่นผิดคนแล้วว่ะ ฮ่า ๆๆ” สายฟ้าหัวเราะจนหน้าแดงมองเพื่อนซี้ที่ลูบผมที่เซตมาอย่างอาย ๆ
“หัวเราะเข้าไปนะมึง อย่าให้ถึงทีกูบ้าง!”
“เออ ๆ แล้วเย็นนี้ไปไหนกันปะ” ก่อนที่จะเบี่ยงเบนความอายจากการแซวเมื่อครู่ ปั้นสิบก็หันไปถามสายฟ้าพลางเก็บของใส่กระเป๋า
“มึงจะไปไหน”
“ไม่ไปอะ กูมีนัดเดทกับสาวถามเป็นมารยาทเฉยๆ” ไม่วายกล่าววาจากวนตีนคนตรงหน้าไปอีกครั้ง
“ไอ้สัส มึงนี่นะ” สายฟ้าด่าปั้นสิบไปเล่น ๆ ไม่จริงจัง พลางพูดต่อ “แต่กูก็มีนัดหญิงเหมือนกันว่ะ ไว้เจอกันเพื่อน”
“โถ่ไอ้เวร! แล้วทำเป็นมาด่ากู เออแล้วมึงสองคนล่ะ” ครั้งนี้หันไปหาคิระและจอมทัพที่นิ่งเงียบอีกฝั่งแทน
“กูว่าจะกลับไปอ่านหนังสือ” เสียงเรียบนิ่งเป็นเอกลักษณ์ของคิระพูดตอบกลับมา
“ส่วนกูว่าจะซื้อขนมไปให้เจนว่ะ เห็นบอกว่าวันนี้ติวหนังสือกับเพื่อนอยู่” จอมทัพกล่าวด้วยใบหน้าชื่นบาน แววตาเป็นประกายเมื่อพูดถึงแฟนสาว
“แหม ๆๆๆ คนมีแฟนนี่นะ ไม่ไปกับพงกับเพื่อนแล้วดิ”
ท่าทางล้อเลียนของปั้นสิบทำให้จอมทัพส่ายหัวเบา ๆ พลางเดินหนีไปหาคิระที่กำลังเก็บของอยู่ด้านข้าง
“มึงจะกลับด้วยกันมั้ยเดี๋ยวแวะไปส่ง กูว่าจะไปซื้อขนมเค้กแถวคอนโดมึงพอดี เจนชอบร้านนั้น”
“เอาดิ กูขี้เกียจเรียกรถกลับพอดี” คิระตอบกลับเสียงเรียบ ดีเสียอีกเขาจะได้ไม่ต้องเปลืองเงิน คิระคิดในใจก่อนจะเดินตามจอมทัพไป ท่าทีระคนมีความสุขของจอมทัพทำคิระเผลอเบะปากมองบนกับความคลั่งรักแฟนคนแรกของคนตรงหน้า แต่ถึงอย่างนั้นก็หวังให้เพื่อนรักมีความสุขแบบนี้ตลอดไป
รถยนต์คันหรูแล่นมาจอดหน้าคอนโดในช่วงหัวค่ำที่ลมเริ่มพัดแรง คิระเปิดประตูลงจากรถ มือขาวปลดเข็มขัดออกอย่างเชื่องช้าก่อนจะหันมาเอ่ยลาสารถีด้านข้าง ที่ใจไปอยู่หอแฟนแล้วตอนนี้
“เจอกันวันสอบนะ”
“เออ อ่านแล้วมาสอนกูด้วยนะ”
“เออแล้วทักมา”
ปึ้ง!
เสียงประตูปิดดังขึ้น ไม่นานรถคันสวยก็แล่นออกไปช้า ๆ สู่ทิศทางร้านเบเกอรี่ที่ถัดไปไม่ไกล ปล่อยให้คนที่ยืนอยู่ข้างล่าง…มองตามแผ่นหลังรถที่ไกลออกไปเรื่อย ๆ
เงาสีส้มของไฟหน้าคอนโดทาบลงบนพื้น เสียงลมพัดต้นไม้ไหวบ่งบอกว่าลมพายุฤดูร้อนใกล้จะมาถึง และหัวใจของใครบางคน…ที่ยังไหวเบา ๆ กับบางอย่างที่ไม่กล้าเอ่ยถึง
หลังจากลงไปหาซื้อเค้กให้เจนได้ไม่นานก็ขับรถมาถึงหอพักของแฟนสาว เค้กที่เลือกมาก็เป็นเค้กส้ม ซึ่งเป็นเค้กรสโปรดของเจนนั่นเอง เจนเป็นแฟนคนแรกของจอมทัพ และก็เป็นฝ่ายเข้ามาจีบเขาก่อน ความน่ารักสดใสและใจดีของเจนเอาชนะใจหนุ่มโสดหน้าขรึมที่เหงาเปล่าเปลี่ยวมานานตั้งแต่เกิดอย่างเขาได้อย่างง่ายดาย
จอมทัพเป็นคนรักใครรักจริง และตั้งใจที่จะรักอย่างจริงใจ มั่นคง ตัวเขานั้นชอบการดูแลคนอื่นเป็นอย่างมาก อาจเป็นเพราะเขาเห็นตัวอย่างมาจากพ่อผู้ที่พูดน้อยแต่รักจริง ไม่ยอมให้แม่ของเขาลำบาก แม้ไม่ค่อยจะบอกรักแต่ทุกการกระทำก็เป็นเครื่องบ่งบอกความรักได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
เขาก็อยากจะทำแบบนั้นให้กับแฟนคนแรกของเขาเช่นกัน
มือใหญ่ที่กำถุงเค้กแน่น มือเย็นเฉียบเพราะความตื่นเต้น นี่คือครั้งแรกที่เขาซื้อของมาเซอร์ไพรส์แฟนและก็เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้เจอเพื่อนของเจนแบบใกล้ชิด ตอนที่จีบกันแรก ๆ เขาไม่เคยเจอเพื่อนเจนแบบใกล้ ๆ เลยสักครั้งจนถึงตอนนี้ เธอให้เหตุผลว่าอยากคบกันลับ ๆ แบบส่วนตัวซึ่งเขาก็เห็นด้วยที่ว่าไม่ต้องไประกาศบอกใคร คนที่รู้เรื่องก็จะมีแค่เพื่อนสนิทของเขาและเจนเท่านั้น
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอเจนเพราะงานที่คณะกองอัดต้องส่งก่อนไฟนอลมากมาย แต่ก็พิมพ์แชทคุยกันทุกวันไม่เคยว่าง และวันนี้เจนบอกว่ามีติวหนังสือกับเพื่อนจึงไม่สามารถออกมาเจอได้ เขาเลยอยากแวะมาหา…แค่เห็นหน้าก็ยังดี
ความรักเป็นแบบนี้สินะ แค่ขอให้ได้เห็นหน้าก็ชื่นใจแล้ว
หวังว่าเจนจะชอบเค้กร้านโปรดที่ซื้อให้นะ จอมทัพคิดในใจพลางอมยิ้มผิวปากกดลิฟต์อย่างอารมณ์ดี
ไม่นานเสียงฝีเท้าแผ่วเบาไปหยุดหน้าประตูห้องของผู้ที่ได้สถานะแฟนคนแรก มือหนาเอื้อมหมายจะเคาะ แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจเพราะอยากให้เป็น เซอร์ไพรส์ อย่างแท้จริง นิ้วเรียวยาวเอื้อมไปหยิบกุญแจสำรองที่อีกฝ่ายเคยให้ไว้ตอนคบกันใหม่ ๆ ไว้ใช้เวลาฉุกเฉิน
แกร๊ก…แอ๊ดด
เสียงประตูค่อย ๆ เปิดแง้มได้ไม่นาน ภาพตรงหน้าที่ปรากฏเป็นเรือนร่างสองคนที่พันธนาการกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบางในท่าที่ไม่ต้องการคำอธิบายก็เข้าใจได้
ตุ้บ!
กล่องเค้กที่ตั้งใจถือหิ้วอย่างถนุถนอมมาตั้งแต่ในรถร่วงกระทบพื้นเสียงดัง เช่นเดียวกับหัวใจของเขาที่ถูกดึงร่วงตามไปด้วย ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างอย่างช็อก ร่างกายแข็งค้างราวถูกแช่แข็ง
เสียงกล่องเค้กที่ตกลงไปดังก้องทั่วทั้งทางเดิน ปลุกสองคนที่ฟัดกันอย่างเร่าร้อนบนเตียงมองมาตามเสียงหน้าประตู ไม่นานก็มีเสียงกรี๊ดของหญิงสาวดังขึ้น
กรี๊ดด!!
จอมทัพยืนอึ้งค้างก่อนจะรวบรวมสติเอื้อมมือไปปิดประตูหลังจากที่ได้สบสายตาตกใจราวกับเห็นผีของแฟนสาวตรงหน้า ดวงตาที่เขาเคยคิดว่าเหมือนกับลูกกว้างน้อย ทั้งดูสดใสและไร้เดียงสา
แต่ว่าเขาคงคิดผิดไปเอง…เพราะที่เขาเห็นห่างไกลจากคำว่าไร้เดียงสาไปมาก
ประตูถูกปิดลงอย่างเงียบเชียบโดยฝีมือของจอมทัพที่สั่นระริก ร่างสูงก้าวเท้าออกจากตึกอย่างไร้จุดหมายด้วยท่าทีเหม่อลอย มือหนายกมือทาบอกยามรู้สึกได้ว่าเจ็บปวดเสียเหลือเกินปานดวงใจถูกมือที่มองไม่เห็นฉีกทิ้งไม่เหลือซาก น้ำตาลูกผู้ชายที่ยากจะไหลบัดนี้เอ่อล้นออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
ท้องฟ้าเหนือหัวกลายเป็นสีเทาเข้ม เสียงฟ้าร้องครืดคราดราวกับบอกว่าจะมีพายุ แต่ไม่มีพายุไหนรุนแรงไปกว่าพายุในอกของเขาตอนนี้แล้วแหละ
เสียงข้อความดังขึ้นมาแข่งกับท้องฟ้าที่ส่งเสียงร้องเตือนถึงพายุที่กำลังจะมา ฝนตั้งเค้าลูกใหญ่ตรงหน้าไม่เป็นที่สนใจแม้แต่น้อย ในสายตาของจอมทัพตอนนี้มีเพียงภาพเหตุการณ์แสบเจ็บปวดเล่นซ้ำไปมา
‘ขอโทษนะ’
‘เจนไม่ได้ตั้งใจ’
มือหนายกโทรศัพท์สีทึบขึ้นมาอ่านข้อความผ่านม่านน้ำตาที่ไหลรินลงมาไม่ขาดสาย มือสั่นละริกพยายามพิมพ์ข้อความตอบกลับไปก่อนจะยัดโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกงและขึ้นรถขับออกไป พร้อมหัวใจที่แตกสลายเหลือจะทน
‘เราเลิกกันเถอะ’
คุณได้ทำการ Blocked เจน เรียบร้อยแล้ว