กว่าจะกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาค่ำแล้ว เมื่อรถกระบะคันสีน้ำตาลที่บรรทุกต้นไม้มาเต็มคันจอดเทียบหน้าบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางไร่ คนที่นั่งข้างคนขับเปิดประตูรถแล้วก้าวออกมา ทำท่าจะช่วยขนต้นไม้ลงอย่างรู้งาน
หากสองมือที่กำลังจับต้นไม้ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดนั้นต้องชะงัก“เธอไปพักเถอะ เดี๋ยวคนงานมาจัดการต่อเอง”อาทิตย์บอกให้หล่อนพัก แต่ตัวเขาที่เปิดประตูรถตามออกมาก็หยิบโน่นฉวยนี่อย่างไม่วางมือ ไม่เห็นว่าเขาจะได้พักด้วยเหมือนกัน ทำให้คนอาศัยที่ตั้งใจจะทำตัวให้มีประโยชน์นั้นต้องลังเล“มีอะไรอีก”“จิณช่วยขนต้นไม้ลงจากรถได้ค่ะ จิณยังไม่เหนื่อย”“ถ้าเธออยากจะช่วยก็ช่วยไปพักซะ ฉันโทร.เรียกคนงานแล้ว ปล่อยให้พวกเขาทำกันเองจะเร็วกว่ามีเธอช่วยอยู่ด้วย”เพียงเท่านี้คนหวังดีก็เชิดหน้าขึ้น แล้วหันกายเดินเข้าบ้านโดยไม่เหลียวมองข้างหลังอีก จึงไม่อาจเห็นคนตัวโตที่ยืนเท้าสะเอวมองตามพลางหรี่ตาครุ่นคิด อาทิตย์กำลังทบทวนคำพูดของตัวเอง สงสัยว่าอะไรที่ทำให้หล่อนเปลี่ยนท่าทีไปขนาดนั้น เพราะเมื่อสักครู่ก็เห็นยังดีๆ อยูห้องโล่งกว้างอยู่ทางปีกขวาบนชั้นสองของบ้าน คนละฝั่งกับห้องนอนและห้องทำงานที่ใช้อยู่ประจำ อาทิตย์ปล่อยห้องนี้ไว้ตั้งแต่สร้างบ้านเสร็จเมื่อสี่ปีก่อน จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เคยเข้ามาใช้ประโยชน์จากมัน หากอยู่ๆ ก็นึกอยากทำห้องนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ จึงเริ่มต้นด้วยการสั่งต้นไม้แล้วพา ‘คนอาศัย’ ไปช่วยขนจากร้าน เพื่อจะนำมาประดับภายในห้องตามภาพที่ร่างอยู่ในหัวไว้ตั้งแต่ต้น “ป้าแวว ให้จิณณาขึ้นมาข้างบนด้วย” ไวเท่าความคิด อาทิตย์โทร.เข้าไปบอกป้าแววที่อยู่ในครัวให้ทำตามคำสั่ง โดยไม่ลืมขยายความ...เผื่อว่าป้าแววจะสงสัย “บอกให้มาทำงานของเมื่อวานให้เสร็จ” “งานอะไรหรือคะคุณอั๋น หนูจิณทำงานอะไรค้างไว้” “เอาต้นไม้ลงกระถาง บอกจิณณาให้มาที่ห้องปีกขวา” “คุณอั๋นรอสักครึ่งชั่วโมงแล้วกันนะ หนูจิณเพิ่งเข้ามาในครัว ยังไม่ได้กินข้าวเช้า” อาทิตย์ตัดสายไปแล้ว ทางด้านป้าแววก็หันไปทางจิณณาซึ่งยืนมองตาปริบๆ เพราะได้ยินว่ามีเอ่ยถึงตัวเองด้วย “มีอะไรหรือจ๊ะป้า แล้วเมื่อกี้ป้าคุยกับใคร ได้ยินพูดถึงหนูด้วย” “คุณอั๋นให้ขึ้นไปทำงานข้างบน เอาต้
จิณณายืนมองคนงานที่กำลังเคลื่อนย้ายกระถางปูนเปลือยขึ้นบันไดไปชั้นสองของบ้านอย่างสนใจ หล่อนเพิ่งรู้ว่าต้นไม้ที่อาทิตย์ไปรับมาเมื่อวานนั้น เขาจะปลูกประดับไว้ในบ้าน ไม่ได้ปลูกในไร่เพื่อขายดอกผลอย่างที่เข้าใจ“อ้าว! พี่จิณยังอยู่นี่เหรอ คิดว่าขึ้นไปช่วยเขาทำงานข้างบนแล้วเสียอีก”ส้มโอที่เดินผ่านไปแล้วยังอุตส่าห์ถอยหลังกลับมาสองก้าว แล้วถามอย่างสงสัย“พี่รอให้คนงานทำงานเสร็จก่อน ไม่อยากขึ้นไปเกะกะพวกเขา เดี๋ยวงานจะเสร็จช้าลงอีก”ส้มโอหัวเราะคิกทีเดียว จิณณาหันมาเลิกคิ้วมองอย่างคาใจ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรที่น่าขำนัก สาวรุ่นน้องถึงต้องหัวเราะขนาดนี้ จนเจ้าตัวต้องเฉลย“พี่จิณตลกเป็นบ้าเลย รู้ตัวหรือเปล่า แล้วเมื่อกี้พูดแซะคุณอั๋นใช่ไหม ที่บอกว่าพี่อยู่ก็ไม่ได้ช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น”“ไม่ได้แซะใครเลย พี่พูดของพี่เอง”“นั่นสินะ หนูก็คิดว่าคนอย่างพี่จิณไม่มีทางว่ากระทบใครได้หรอก”“ใช่ พี่ไม่ได้มีนิสัยแย่ขนาดนั้น”“หนูเปลี่ยนใจแล้ว”จู่ๆ แม่สาวน
อาทิตย์หัวเราะชอบใจ จิณณารู้ตัวว่าถูกต้อนให้เดินตามเกมเขาเสียแล้ว หญิงสาวจึงย่นจมูกใส่อย่างเผลอตัว “ตอนแรกฉันเลือกบ้านสไตล์ลอฟต์ทั้งหลัง แต่แม่บอกว่ามันดูดิบไป ไม่สวย ขู่ว่าถ้าฉันสร้างบ้านแบบนั้นก็จะไม่ยอมมาหาเด็ดขาด ฉันเลยต้องให้แม่เลือกแบบบ้านเอง แต่ขอเว้นพื้นที่นี้ไว้ให้ฉันได้ทำตามใจตัวเองด้วย” จิณณามองรอบตัวอย่างพิจารณาอีกครั้ง ครามรู้สึกคราวนี้เปลี่ยนไปจากเดิม มองเห็นความสวยงามในความดิบ เรียวปากอิ่มแย้มออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นสายไฟ ท่อน้ำ และท่อแอร์ โผล่มาให้เห็นด้วย แต่มองแวบเดียวก็รู้ว่าฝีมือช่างนั้นละเอียดนัก ทำให้ห้องไม่กลายสภาพเป็นโรงงานหรือโกดังเก็บของ กระนั้นก็ยากที่จะให้คนอย่างคุณนายอรอรซึ่งคงชินกับความหรูหรายอมรับในรสนิยมแบบนี้ของอาทิตย์ได้ แต่พอนึกในมุมของเขาที่เป็นคนอยู่อาศัยเองก็เผลอถามออกไปตามใจคิด “แล้วไม่ฝืนใจคุณแย่หรือคะ เขาว่าปลูกเรือนตามใจผู้อยู่” “ฉันอยู่ได้ บ้านสไตล์ลอฟต์เป็นความชอบ แต่ที่แม่เลือกให้มันคือความสะดวกสบาย ฉันอยู่แล้วก็มีความสุขดี” “ดีจังเลยค่ะ” จิณณาเผลอยิ้มเต็มสีหน้า แล้วมองรอบตัวด้วยสายตาเปลี่ยนไปจา
กระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตู ตามด้วยเสียงฝีเท้าเคลื่อนมาใกล้ ด้วยความที่หญิงสาวจดจำได้ว่าเสียงฝีเท้านั้นเป็นของใคร หล่อนจึงยังนั่งทำงานนิ่งอยู่เช่นเดิม จนเมื่อเสียงไฟส่องสว่างในห้องดับลงพร้อมกับเสียงกดสวิตช์ จิณณาถึงนิ่วคิ้วขมวด แล้วลุกขึ้นยืน “ปิดไฟทำไมคะ มันมืดหมดแล้ว” เพราะลำแสงจากดวงอาทิตย์ยามนี้ไม่ได้ส่องเข้ามาทางหน้าต่างโดยตรงอีกแล้ว จิณณาจึงต้องใช้แสงสว่างจากหลอดไฟเข้ามาช่วยแทน “อ้าว! เธอยังอยู่อีกเหรอ” “ก็จิณยัง...เอ่อ! งานยังไม่เสร็จ” จิณณาหลบสายตาวูบเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามานั้นอยู่ในสภาพไหน และสีหน้าของเขาที่ยืนมองหล่อนก็บ่งบอกว่างุนงงสุดขีด อาทิตย์ยืนอยู่กลางห้องในสภาพผ้าขนหนูผืนเดียวพันกายท่อนล่างอย่างหมิ่นเหม่ ผมเปียกลู่ศีรษะจนเผยให้เห็นดวงหน้าคมสันเด่นชัด ในมือของเขายังมีผ้าขนหนูผืนเล็กติดมือมาด้วย “เธอจะทำให้เสร็จในวันนี้หรือไง” “คุณไม่ได้บอกนี่คะว่าให้ทำจนถึงกี่โมง” “วันนี้พอได้แล้ว กลับไปได้” “แต่จิณยังไม่เหนื่อย จิณตั้งใจว่าจะทำไปเรื่อยๆ งานจะได้เสร็จเร็วขึ้น ตอนนี้เพิ่งได้สี่กระถาง ยังเหลืออีกต
“จิณไว้ใจอาจารย์พริก” จิณณาอ้างถึงดร.พิจิกา เพราะหวังจะเรียกสติของอาทิตย์เป็นสำคัญ ด้วยคิดว่าทั้งสองคนคบหากัน อาทิตย์ต้องคิดอะไรได้บ้าง อย่างน้อยเขาคงจะลดคำพูดและกิริยาท่าทางที่ทำให้หล่อนหายใจไม่ทั่วท้องอย่างที่เป็นอยู่ในบางเวลา หากถ้อยคำที่เขาตอบกลับมา จิณณารู้สึกว่ามันยิ่งทำให้หล่อนรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม “ยายพริกยิ่งซื่อ ยังเอาตัวเองไม่รอด แถมตอนนี้อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ หลายวันก่อนบอกฉันว่าจะเดินทางไปต่างประเทศ กลับมาหรือยังก็ไม่รู้ หายเงียบไปเลย แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ คิดหรือว่าเขาจะมาช่วยทัน” จิณณาเหลือบมองคนตัวโต เห็นสีหน้าของเขาเครียดขรึมต่างจากเดิม ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร แต่ถ้อยคำที่เปล่งออกมานั้นไม่ได้ทำให้หล่อนสบายใจสักนิด “หยุดพูดเถอะค่ะ จิณกลัว” อาทิตย์ถอนหายใจ ไม่คิดจะขู่หล่อนหรอกนะ แต่บอกให้รู้ตัวว่าอย่าวางใจใครนัก...แม้แต่ตัวเขาเอง “แล้วนี่คุณจะไปไหนคะ” “สวนป่า เมื่อวานเธอไปกับส้มโอแล้วนี่” “เราไม่ได้มาทางนี้” “แน่นอน ฉันเห็นพวกเธอลุยป่าเข้าไปอีกฝั่ง ช่างกล้ากันจริงๆ ฉันดูอยู่จากหน้าต่างในห้องลอฟต์ นึกอยากจับมาฟา
หลังจากกลับจากสวนป่าด้วยกันในวันนั้น จิณณาก็ไม่เจอหน้าอาทิตย์อีกเลย มีเพียงข้อความที่เขาฝากไว้กับป้าแวว สั่งให้หล่อนทำงานในห้องลอฟต์ให้เสร็จ โดยไม่ต้องออกไปทำงานในไร่สตรอว์เบอร์รีอีกการไม่พบหน้าเขาทำให้จิณณาหายใจหายคอโล่งขึ้นเช่นกัน เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาช่วยหล่อนไม่ให้ลื่นตกไปในลำธาร ดวงหน้าผุดผ่องก็ร้อนเห่อขึ้น‘โอ๊ย!’เสียงคำรามอย่างเจ็บปวดของเขายังดังก้องอยู่ในหู ในเวลานั้นจิณณาไม่กล้าลืมตามาเห็นความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง หล่อนยังคงทอดตัวนิ่งอยู่บนความอบอุ่นที่รองรับอยู่หลายวินาทีกระทั่งรู้สึกถึงแรงโอบรัดรอบแผ่นหลัง จิณณาจึงสะดุ้ง ลืมตาขึ้นโดยพลันด้วยสัญชาตญาณของวัยสาวหากพริบตาเดียว ร่างของหล่อนก็ถูกพลิกลงไปอยู่เบื้องล่าง เนื้อตัวสั่นเทาเมื่อรับรู้ว่าร่างกายและวิญญาณถูกครอบงำจนสูญสิ้นการควบคุมวงแขนแข็งแรงรัดร่างของหล่อนเอาไว้แน่น ดวงหน้าคมสันที่หล่อนเคยลอบมองอยู่หลายครั้งนั้นเคลื่อนมาใกล้ จิณณาหลับตาหนี แล้วริมฝีปากก็ถูกความรุ่มร้อนเข้าครอบครอง ประกบบดเบียดจนแน่นร่างกายของจิณณาเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าแล่นปราดไป
“คุณ!”จิณณาอึกอัก พูดต่อไม่ถูก จึงได้แต่หลบหน้าหลบตาความทรงจำน่าอายครั้งที่นัวเนียอยู่กับเขาตรงริมลำธารเด่นชัดขึ้นอีกหนแล้วคราวนี้หล่อนยังแอบมานอนหลับอยู่ในห้องแสนรักของเขาแถมเมื่อก้มมองตัวเองก็พบว่ายังเอาเครื่องนอนของเขามาใช้อีก...จิณณารู้สึกแย่กับตัวเองก็คราวนี้นี่แหละ“ขอโทษค่ะ จิณไม่ตั้งใจ”“ขอโทษเรื่องอะไร”อาทิตย์ถามเสียงเหมือนละเมอ ดวงตาคมจับจ้องอยู่กับดวงหน้าสวยที่เพิ่งตื่นนอน ผมยาวสยายดูยุ่งเหยิง...หากเซ็กซี่อย่างร้ายกาจ“จิณมาแอบนอนหลับในห้องของคุณ ขอโทษนะคะ”“นั่นสิ ฉันต้องทำโทษเธอยังไง”เสียงของเขาแปลกไป จิณณาไม่ได้คิดไปเอง เมื่อเหลือบมองหน้าเขาก็พบสายตารุ่มร้อนแปลกๆ สายตาแบบนี้ทำให้จิณณาไม่อยากอยู่ใกล้เขาสักนิด พอเลื่อนสายตาลงต่ำ ดวงหน้าของหญิงสาวก็เห่อร้อนเสื้อเชิ้ตของเขาถูกปลดกระดุมตลอดแนว จนเห็นกล้ามท้องแข็งรำไรอยู่ข้างในแม้จะเคยเห็นเขาในสภาพเปลือยท่อนบนมาก่อน แต่มันต่างจากคราวนี้ จิณณากำลังรู้สึกเหมือนถูกเขย่าขวัญยิ่งกว่าครา
อาทิตย์มองร่างอวบอัดกลมกลึงในห่อผ้านวมที่ถอยไปซุกอยู่ตรงมุมห้องด้วยความสงสารและเกิดความรู้สึกหวงแหนขึ้นเต็มหัวใจ“ฉันขอโทษที่ฉวยโอกาสกับเธอ”ชายหนุ่มบอก ‘ขอโทษ’ เป็นครั้งที่สอง และทั้งสองครั้งนั้นเมื่อจิณณาได้ฟัง หล่อนก็ยิ่งน้ำตาซึมไหล จนเขาพูดต่อไม่ออก“คุณออกไป”แล้วนี่เป็นคำขอของหล่อนที่เขาให้ไม่ได้เช่นกัน เขาไม่อาจทิ้งจิณณาไว้ในห้องนี้ตามลำพังหลังจากเอาเปรียบหล่อนถึงสามครั้งติดกัน“ฉันต้องดูแลเธอ”“ไม่ต้อง!”เสียงแผ่วเครือสวนกลับทันที อาทิตย์ยกมุมปากยิ้ม ให้หล่อนต่อว่าและโต้กลับเขายังดีกว่าเห็นหล่อนเอาแต่นั่งซึมเศร้า“เอาละ ฉันจะพาเธอไปห้องนอน เธอต้องอยู่ในห้องนอนของฉัน คืนนี้ฉันยังไม่ให้เธอกลับไปห้องพักข้างล่าง”จบถ้อยคำนั้นหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมา แววตาของหล่อนดูตื่นพิกล จนชายหนุ่มต้องเม้มริมฝีปากไว้แน่น“ฉันจะไม่รังแกเธอ” อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในคืนนี้...อาทิตย์พูดต่อขึ้นในใจ “ฉันแค่อยากให้เธอพักผ่อนให้สบาย ห้องนอนของฉันนอนสบายกว่าห้
ในวันหยุดที่อากาศร้อนอบอ้าว อุณหภูมิทะลุไปถึงสี่สิบองศาเซลเซียส จิณณาซึ่งเป็นคุณแม่ลูกสี่ยังคอยดูแลลูกๆ ให้นั่งวาดภาพอยู่ในห้องโถงซึ่งอากาศเย็นกำลังดีด้วยเครื่องปรับอากาศหล่อนยังไม่ปล่อยให้ลูกทุกคนออกไปเล่นนอกบ้าน เพราะสองวันก่อนด้วยสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้ลูกสาวคนสุดท้องวัยสองขวบต้องล้มป่วยลง และวันนี้หนูน้อยก็เพิ่งทุเลาจากอาการไข้ เจ้าตัวยังไม่แข็งแรงพอที่จะออกไปวิ่งเล่นข้างนอก จิณณาจึงต้องต้อนพี่ๆ ทั้งสามคนให้อยู่ภายในบ้านคอยเป็นเพื่อนหนูน้อย“คุณแม่ครับ เมื่อไรเราจะไปที่สวนป่ากันอีก พี่ขุนอยากเล่นน้ำในลำธาร”ลูกชายคนโตวัยหกขวบถามขึ้น เขาคงเบื่อที่ต้องมานั่งวาดภาพและร่วมทำกิจกรรมกับน้องๆ แล้วลูกสาวคนรองก็สนับสนุนตาม“ใช่ค่ะ เราพาน้องพลับพลึงไปว่ายน้ำ น้องจะได้หายไข้ไวๆ”ทฤษฎีรักษาไข้ของแม่หนูมะลิทำให้คุณพ่อที่ยังหล่อเหลาเดินมาแล้วได้ยินเข้าพอดีถึงกับหัวเราะขำ“ไม่ใช่ว่าเราอยากเล่นน้ำเองหรือมะลิ”เมื่อคุณพ่อดักคออย่างรู้ทัน มะลิน้อยก็ปิดปากหัวเราะคิก แต่ยังตอบกลับอย่างไร้เดียงสา“
หลังแต่งงาน จิณณาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังใหญ่กลางไร่กว้างของอาทิตย์อย่างมีความสุข หลายสิ่งรอบตัวไม่ได้เปลี่ยนไป และหล่อนก็พอใจที่จะให้เป็นอย่างนั้นจิณณาเริ่มช่วยงานของแม่สามีอย่างจริงจังด้วยค่าจ้างเดือนละห้าหมื่นบาท ทุกเดือนหล่อนจะโอนให้แม่ลัดดาสามหมื่น ส่วนที่เหลืออีกสองหมื่นก็ติดกระเป๋าไว้หญิงสาวเรียนรู้งานอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนได้พบว่าหล่อนสนุกกับงานวางกลยุทธ์ในธุรกิจห้างสรรพสินค้าและค้าปลีกเสียแล้ว“เป็นเมียเศรษฐีก็ยังต้องทำงานอีกหรือพี่จิณ”ส้มโอนั่งเท้าคางมองสาวรุ่นพี่ที่วันนี้กลายเป็นเจ้านายสาวอีกตำแหน่งแล้ว“ต้องทำสิ แล้วงานของพี่ก็สนุกนะ”“คนที่ห้างฯ เขาพูดกันว่าคุณนายรักพี่จิณเหมือนลูกสาว ไม่ใช่ลูกสะใภ้ หนูว่าคุณอั๋นใกล้จะตกกระป๋องแล้วแหละ แถมพี่จิณได้เจอคุณนายบ่อยกว่าคุณอั๋นอีกด้วย”“พูดอะไรส้มโอ”เสียงที่แทรกเข้ามานั้นทำให้คนช่างพูดสะดุ้งสุดตัว ทุกวันนี้ส้มโอขยับมาเป็นคนสนิทของจิณณาแล้ว เพราะอาทิตย์ได้มอบหมายหน้าที่ใหม่ โดยให้คอยตามดูแลและอยู่เป็นเพื่อนจิณณา ไม่ว่าภร
ห้องแถวชั้นเดียวในชุมชนริมคลองของตัวอำเภอยังตั้งอยู่เช่นเดิม หากความรู้สึกของจิณณาในวันนี้ต่างกับวันก่อนที่มาหาแม่ลิบลับ“เข้ามาในบ้านก่อนสิคุณ หนูจิณพาพี่เขาเข้ามา ข้างนอกอากาศมันร้อน”ลัดดามีสีหน้ายิ้มแย้มขณะเชิญชวนลูกเขยให้เข้าบ้าน โดยไม่ลืมกำชับลูกสาวไว้ด้วย ส่วนตัวเองก็ปราดเดินนำเข้าไปก่อนจิณณายิ้มตาม หัวใจเหมือนจะโบยบินเสียให้ได้ หล่อนรักที่จะเห็นความยินดีและรอยยิ้มบนใบหน้าของแม่เหลือเกิน“ผมมาฝากเนื้อฝากตัวกับคุณอาไว้ก่อนครับ ส่วนแม่จะมาในสัปดาห์หน้าพร้อมกับผู้ใหญ่เพื่อสู่ขอหนูจิณกับคุณอา”อาทิตย์พูดขึ้นหลังจากทั้งสามคนเข้ามานั่งบนโซฟาในบ้านเรียบร้อยแล้วจิณณามองรอบตัวปราดเดียวก็รู้ว่าแม่ตั้งใจจัดเก็บบ้านอย่างดีที่สุด จนเห็นความเป็นระเบียบแปลกตาไปจากทุกวัน ข้าวของที่มักมีเก็บไว้มากมายตามประสาคนค้าขาย ในวันนี้ข้าวของพวกนั้นได้หายไปหมดแล้ว พื้นที่รับแขกกลายเป็นพื้นที่โล่ง มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นสำหรับใช้งานจริงๆลัดดาวางตัวได้เหมาะสม แม้สีหน้าจะยิ้มแย้มเบิกบานโดยที่ใครเห็นก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอดี
จิณณาเดินเข้าไปด้านในห้องนอนตามทิศทางของแสงไฟที่เห็นส่องสว่าง และเมื่อไปถึง ร่างกายของหญิงสาวก็หยุดอยู่กับที่ มองภาพเบื้องหน้านิ่งงันอยู่อย่างนั้น“ห่างแค่วันเดียวจำผัวไม่ได้แล้วหรือหนูจิณ”“พี่อั๋น!”“ครับ พี่เอง ดีใจจังที่เมียยังจำได้”ชายหนุ่มเย้า สีหน้าของเขาเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมหลุบมองส่วนกลางของร่างกายหญิงสาว แล้วตรงเข้ามาโอบกอดแม้เจ้าหล่อนยังยืนตัวแข็งเช่นเดิม แต่เขาก็ไม่สนใจ ความยินดีเกิดขึ้นเต็มหัวใจจนไม่อยากเก็บมันไว้อีกแล้วดวงหน้าคมโน้มลงพรมจูบตรงเรือนผมนุ่มสลวย แล้วเลื่อนมากดจูบบริเวณหน้าผาก ไล่มาถึงพวงแก้มนวล แล้วกดจูบที่ริมฝีปากอิ่มหนักๆ“ใจร้ายกับพี่ทุกคนเลย หนูจิณก็เป็นไปกับเขาด้วย”“แล้วพี่อั๋นมาได้ยังไงคะ”“ขับรถมาสิ แล้วนี่บ้านของพี่นะ ห้องนี้ก็เป็นห้องของพี่ พี่อยู่มาตั้งแต่เด็กๆ”“เอ่อ...จิณขอโทษค่ะ ไม่น่าถามอย่างนี้เลย”“ไม่ได้กอดแค่คืนเดียว รู้ไหมคิดถึงมาก เมื่อคืนนอนไม่หลับ ห่วงไปสารพัด ทั้งที่รู้ว่าอยู่
พิจิกาเร่งสาวเท้าเข้ามาในโรงพยาบาล หลังจากได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนอาจารย์ที่มาฝากครรภ์แล้วบอกว่าได้เจอกับคนรู้จักของเธอที่แผนกเดียวกันเข้าเพียงแค่นั้น อาจารย์สาวที่ว่างจากชั่วโมงสอนก็ปรี่มายังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยในทันทีเมื่อถามจนรู้พิกัดของ ‘คนรู้จัก’ เธอก็รีบจอดรถแล้วขึ้นลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นเป้าหมาย พลันก็เจอกับผู้หญิงสองคนที่เธอคาดไว้จริงๆพิจิกาเดินหลบไปยังมุมหนึ่ง แล้วโทร.ติดต่อหาเพื่อนสนิทโดยไว“นายอั๋น ทำอะไรอยู่ที่ไหนเนี่ย”“อยู่ที่ไร่ พริกมีอะไรหรือเปล่า”“แล้วเจอเมียนายหรือยัง”พิจิกายิงคำถามไปตรงๆ เพราะไม่ต้องการให้เรื่องยืดเยื้ออีก“เมียของนายหายไปไม่ใช่หรือ แล้วทำไมนายไม่ตามหา หรือว่านายแค่เล่นๆ กับยายขนุน”“หนูจิณออกจากบ้านของฉัน แต่ฉันรู้ว่าเธออยู่กับแม่ของฉันแล้ว”“อ้าว! นายก็รู้ด้วยนี่ ฉันเห็นที่บ้านของนายพร้อมใจกันปิดข่าวนายไม่ใช่หรือ”“ฉันรู้จากสัญญาณมือถือของหนูจิณ แล้วถามจากคนขับรถตู้
หลังจากพิจิกากลับไปแล้ว ขวัญจึงเอาเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว ไม่เว้นแม้แต่เครื่องสำอางแบรนด์ดังมาให้จิณณา หญิงสาวพลิกมองอย่างพิจารณา คิดในใจว่ามันดีเกินไป ไม่จำเป็นเลยที่คุณนายอรอรจะนำของพวกนี้มาให้หล่อนใช้ หากก็ไม่ทันได้พูด ขวัญก็รายงานต่อด้วยเสียงดังแจ้วๆ ขึ้นมาเสียก่อน“คุณนายบอกว่าให้คุณจิณรับไว้แล้วใช้ของพวกนี้ด้วยค่ะ”จิณณาเหลือบมองแล้วยิ้ม แน่นอนว่าหล่อนไม่มีทางปฏิเสธได้ ถ้าคุณนายฝากถ้อยคำมาแบบนี้แล้ว“คุณนายใจดีค่ะ ถึงท่าทางจะดุไปสักนิดก็ตาม หนูชอบอยู่บ้านนี้ที่สุดแล้ว”จิณณาปล่อยให้เด็กรับใช้พูดต่อไป แม้หล่อนจะเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ผสมโรง เพราะยังติดความรู้สึกที่ว่าตนยังไม่ใช่คนในบ้านนี้ หล่อนจึงเพียงรับฟังไปเงียบๆ“คุณหายปวดหัวหรือยังคะ ตอนนี้ก็บ่ายแล้ว”“อะไรนะ นี่บ่ายแล้วหรือ”“บ่ายสองแล้วค่ะ คุณหลับไปหลายรอบเลย หนูก็ไม่อยากปลุก”“นั่นสิ วันนี้ง่วงนอนทั้งวัน เมื่อก่อนไม่เป็นอย่างนี้นะ ฉันยังไปทำงานในไร่ด้วยเลย”จิณณาเผลอพูดออกไป แต่เมื่อรู้ตัวก็ปิดปากฉับทันที
เสียงพูดคุยดังแว่วเข้ามาในหู จิณณาคิดว่าเป็นเพียงความฝัน เพราะหล่อนพยายามปรือตาเปิด แต่รู้สึกว่าเปลือกตาหนักอึ้งเหลือเกิน ครั้นจะปล่อยตัวเองให้หลับต่อ จิตใต้สำนึกก็บอกว่าหล่อนนอนหลับมากเกินไปแล้ว ควรจะตื่นขึ้นได้สักทีหญิงสาวพยายามฝืนตัวเอง ค่อยๆ ปรือเปิดดวงตาขึ้นอีกรอบ กระทั่งทำได้สำเร็จ เพดานห้องสีขาวที่มีดวงไฟงดงามหรูหราปรากฏขึ้นในสายตา แล้วก็จดจำได้ต่อมาว่าหล่อนอยู่ที่ไหน“ตื่นแล้วหรือหนูจิณ ดูสิ ตัวก็ไม่ร้อน แต่นอนหลับนิ่งไปเลย”เสียงคุ้นหูพร้อมกับสัมผัสนุ่มนวลและอ่อนโยนตรงหน้าผากทำให้จิณณาเบือนหน้าไปมอง แล้วเมื่อเห็นว่าเป็นใคร หล่อนก็ชันกายขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย“อาจารย์พริก!”หล่อนตกใจ ไม่นึกว่าจะเห็นพิจิกาในห้องนี้ ซึ่งเป็นห้องนอนส่วนตัวของอาทิตย์ เพราะจิณณายังไม่มั่นใจในสิทธิ์ของตัวเองนัก“ทำไมทำหน้าตกใจ หนูจิณไม่ดีใจหรือที่เห็นฉัน ชักจะน้อยใจแล้วนะ”“ไม่ค่ะ หนูจิณ เอ่อ...นึกไม่ถึงว่าจะได้เจออาจารย์”“โกหกไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่นะหนูน้อย”พิจิ
หลังจากเรียกเด็กในบ้านให้พาจิณณาไปพักผ่อนแล้ว พอคล้อยหลังจิณณาไป คุณนายอรอรก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ท่าทางเหมือนจมอยู่กับความคิด ในขณะที่ลูกชายคนรองก็ยังนั่งปักหลักอยู่ข้างๆ ไม่ยอมลุกไปไหนเช่นกัน“แม่คิดว่าซ้ออายุสิบเจ็ดสิบแปดได้ยังไง เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยและเคยทำงานที่กรุงเทพฯ มาแล้ว”ข้อมูลที่ได้ยินนั้นทำให้เศรษฐีนีใหญ่เบิกตาโต แล้วหันขวับไปทางคนพูด“อ้าว! แล้วทำไมแกเพิ่งบอกฉัน ฉันอุตส่าห์ทำใจให้ยอมรับอยู่ตั้งนานว่าพี่แกไปฉวยเด็กมาทำเมีย เห็นหน้าตายังกับเพิ่งจบมัธยม แต่กิริยาท่าทางก็น่าเอ็นดู ผิดจากที่ฉันนึกภาพเอาไว้มาก แต่ก็นั่นแหละนะ ถ้าเป็นเด็กของหนูพิจิกาก็ต้องน่ารักไม่ต่างกัน ไม่งั้นจะให้ตามหลังกันได้ยังไง”“แม่ก็ยังเอ็นดูหนูพิจิกาของแม่ไม่เลิกนะ อย่าเผลอเอาเขาใส่พานให้นายอั๋นเข้าก็แล้วกัน จำไว้ว่าตอนนี้นายอั๋นมีเมียเรียบร้อยแล้ว”“เอาน่า ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอก แกก็บอกเองนี่ว่าพี่แกย้ำนักย้ำหนาว่าพวกเขาเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่เคยคบหากัน”“นายอั๋นยืนยันตามนั้น ส่วนอีกคนผมไม่รู้ความรู้สึกเขาหรอก สนิทกันม
“หนูจิณไม่อยู่ ไม่มีใครเห็นว่าออกไปไหน มันเป็นไปได้ยังไง ทั้งในบ้านและไร่ของเราก็มีคนอยู่ตั้งมาก”อาทิตย์ออกอาการตกใจ เมื่อเรียกคนงานมาพร้อมหน้าเพื่อสอบถามว่าเห็นจิณณากันบ้างไหม และคำตอบก็ไปในทางเดียวกัน...ไม่มีใครรู้และไม่มีใครเห็นหล่อน“หนูจิณเอาโทรศัพท์ไปด้วยไหม แล้วคุณอั๋นโทร.หาเธอหรือยัง”ป้าแววที่ถูกตามมาจากบ้านพักกลางไร่ออกอาการร้อนรน นางเป็นห่วงจิณณาไม่น้อยกว่าใคร ทั้งที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็ยังโกรธอาทิตย์อยู่ เพิ่งบอกกับตัวเองว่าจะไม่พูดและไม่ยุ่งแล้วด้วยซ้ำ แต่พอไม่ทันข้ามวันก็กลับต้องมาช่วยกันเหมือนเดิม“ผมไม่มีเบอร์หนูจิณ”“แล้วเป็นผัวเมียประสาอะไร ไม่รู้เรื่องของเขาเลย”ป้าแววอดไม่ได้ที่จะบ่น ถ้าอาทิตย์จะโกรธนางอีกก็ตามใจ เพราะเหลืออดเต็มทนแล้วเหมือนกัน หากคราวนี้เจ้าของบ้านหนุ่มกลับก้มหน้ายอมรับผิดเสียง่ายๆ“ผมรู้ตัวแล้วว่าไม่ได้ใส่ใจหนูจิณอย่างที่ป้าพูดจริงๆ” อาทิตย์บอกเสียงอ่อนน้อม เพราะรู้สึกสำนึกผิด “เมื่อตอนเย็นผมก็ก้าวร้าวกับป้า ผมขอโทษด้วย&rd