“ฉันเห็นว่าช่วงนี้เด็กจบใหม่ตกงานกันเยอะ แล้วคิดยังไงถึงไม่ทำงานที่กรุงเทพฯ”
“หนูถูกให้ออกจากงานค่ะ บริษัทต้องการลดคนทำงาน หนูไม่มีรายได้ เลยคิดว่ากลับมาตั้งหลักที่นี่ดีกว่า” “เธอหมายถึงตั้งหลักที่บ้านของฉันงั้นหรือ” อาทิตย์เลิกคิ้วถาม จิณณาเบิกตาโตเมื่อเห็นว่าเขาเข้าใจหล่อนผิด จึงรีบแก้ไขความเข้าใจเสียใหม่ด้วยเสียงรัวเร็ว “ไม่ใช่ค่ะ หนูหมายถึงกลับมาบ้านของหนูที่อยู่จังหวัดนี้ แต่ตอนนี้หนูอยู่บ้านไม่ได้ มีปัญหาเกิดขึ้นเล็กน้อย หนูเลยต้องขออาศัยอยู่ห้องของป้าแววก่อน ป้าแววบอกว่าให้หนูอยู่ได้ เพราะแกย้ายไปอยู่บ้านพักคนงานกับลูกสาวในไร่แล้ว” “ห้องของป้าแววที่เธอว่า มันก็คือบ้านของฉัน” “หนูทราบค่ะ ระหว่างนี้หนูจะทำงานแลกกับค่าที่พัก...แล้วก็ค่าอาหารด้วยค่ะ” “เธอจนตรอกขนาดนั้นเลยหรือ” ‘จนตรอก’ เขาพูดออกมาอย่างเรียบเรื่อย แต่ทำให้คนฟังคอแข็ง จิณณายอมรับว่าตัวเองไม่มีทางไป หล่อนตกงาน ไม่มีรายได้ จึงอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ หล่อนดิ้นรนจนสุดทางแล้ว แต่ก็มองหาทางที่ดีขึ้นไม่ได้ ชีวิตเหมือนจะจมดิ่งลงเรื่อยๆ ยิ่งเดินหน้าก็ยิ่งมืดมน สุดท้ายจึงตัดสินใจกลับบ้าน...แต่ก็พบว่าบ้านที่เคยอยู่มาตั้งแต่เด็กนั้นไม่เหมือนเดิม หล่อนอยู่ที่นั่นไม่ได้อีกแล้ว หากในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เมื่อจิณณาได้พบกับด็อกเตอร์พิจิกาซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในตัวจังหวัด หล่อนรู้จักกับอาจารย์คนนี้ตั้งแต่ตอนเรียนระดับมัธยม เคยได้รับการเกื้อกูลและชี้แนะแนวทางจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ได้ กระทั่งสามารถเรียนจนจบ พิจิกาบอกให้จิณณามาหาป้าแววซึ่งเป็นพี่เลี้ยงเก่าของเธอเอง เมื่อป้าแววรู้ปัญหาของหล่อนก็ให้การช่วยเหลืออย่างดี...แต่ก็นั่นละ ไม่ว่าใครจะมีน้ำใจให้อย่างไร แต่ถ้าเจ้าของสถานที่ไม่ยินดีให้พักอาศัย จิณณาก็ไม่อาจอยู่ได้นาน “เมื่อวานเธอทำอะไรให้คนงานกิน” “ข้าวผัดไส้กรอกกับน้ำซุป แล้วมีองุ่นด้วยค่ะ” แล้วความเงียบก็ปกคลุมทั่วโถงกว้าง จิณณาขยับตัวอย่างอึดอัด เหลือบมองสีหน้าเรียบนิ่งของชายหนุ่ม แม้ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร แต่มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับหล่อนแน่นอน “หนูรู้ค่ะว่าคนงานไม่ชอบ เขาบอกว่าอยากได้ข้าวและกับข้าว 2-3 อย่าง แบบที่ป้าแววเคยทำให้” “เธอรู้...แต่ไม่ทำ” “หนูหุงข้าวเสร็จก็ทำแกงเขียวหวาน แต่แกงมันไม่ออกมาเป็นเขียวหวาน” ถึงตอนนี้จิณณาได้แต่อุบอิบบอก ก้มหน้าหลบสายตาเขาอย่างอับอาย “หนูเลยเอาข้าวไปทำข้าวผัดแทน แล้วเอาองุ่นให้คนงานด้วย” “เธอทำงานครัวไม่เป็น?” “หนูทำได้ หนูทำกับข้าวกินเอง เพียงแต่ไม่เคยทำให้คนอื่นกิน และไม่เคยทำทีละมากๆ หนูเลยจัดการไม่ดี” “ไม่ใช่ไม่ดี แต่แบบนี้เรียกว่าไม่เป็นเลยต่างหาก” อาทิตย์พูดตรงๆ ตามแบบฉบับของเขา เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องอ้อมค้อมให้หล่อนสำคัญตัวเองผิดอีก “พรุ่งนี้ฉันจะให้คนหาแม่ครัวมาใหม่ ฉันปล่อยให้คนงานกินอยู่แบบนี้ไม่ได้” “แล้วหนูล่ะคะ” จิณณาค้านขึ้นมาทันที ต่อเมื่อเห็นสีหน้าส่อว่าสงสัยจากใบหน้าคมคายนั้น จึงหุบปากเสีย เดิมทีหน้าที่นี้เป็นของป้าแวว แต่ฝ่ายนั้นขอหยุดพักด้วยเรี่ยวแรงที่ถดถอยเพราะความชรา หากยังคงพักอยู่ที่ไร่แห่งนี้ บางครั้งก็ยังเข้ามาช่วยงานในครัว ป้าแววยกหน้าที่ทำอาหารมื้อเที่ยงให้คนงานกับเธอ แต่กว่าสัปดาห์ที่ทำมา ไม่ต้องมีใครบอก จิณณาก็รู้ว่าหล่อนสอบตก “หนูไม่อยากถูกปลดจากงานอีก” หญิงสาวบอกเสียงเบา การถูกให้ออกจากงานเพราะองค์กรต้องการลดคนทำงาน โดยที่หล่อนมีเวลารู้ตัวล่วงหน้าแค่ชั่วโมงเดียวนั้น มันยังเป็นฝันร้ายไม่หาย และยังสั่นคลอนความเชื่อมั่นจนแทบไม่เหลือ จิณณายังไม่พร้อมรับมือกับเหตุการณ์เดิมๆ หากอีกคนดูท่าจะไม่รับรู้ด้วย “นั่นเป็นปัญหาของเธอ ไม่ใช่ของฉัน หรือของคนงานที่นี่” อาทิตย์สวนทันที “พวกเขาทำงานไร่ ทำงานกลางแจ้ง ต้องใช้แรงงาน การกินอยู่จึงต้องสมบูรณ์พอ เธอจะจัดอาหารด้วยเมนูเด็กอนุบาลให้พวกเขาไม่ได้ ถ้าฉันไม่แก้ไข มันจะกระทบงานของฉัน” “หนู...เข้าใจค่ะ” เพียงเท่านั้น ร่างสูงใหญ่ของเจ้าของบ้านก็ลุกขึ้น จิณณาเงยหน้ามองตาม การต้องเอาตัวรอดในภาวะเช่นนี้ทำให้เธอรวบรวมความกล้า แล้วถามเขาไปอีกหน “พรุ่งนี้หนูยังอยู่ที่นี่ได้ไหมคะ” “อยู่ได้ แต่ไม่ควรนานเกินไป ฉันให้เธออยู่เพื่อรอตั้งหลัก แต่ไม่ใช่ปักหลักอยู่ในบ้านของฉัน” “ขอบคุณค่ะ” เสียงแผ่วเครือของคนหน้านวลผ่อง ทำให้อาทิตย์หันกลับมามองทั้งตัวแล้วถอนหายใจ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่คลายจากความหงุดหงิด “เวลาคุยกับฉัน เธอจะเรียกชื่อแทนตัวเองหรืออะไรก็ช่างเถอะ แต่ไม่ต้องเรียกตัวเองว่าหนู” ถึงคราวนี้ดวงตากลมโตของจิณณาทอดมองเขา หล่อนไม่ค้าน เพียงแต่สงสัยในเหตุผล หากอีกคนแค่ตวัดสายตาดุๆ มาให้ ก่อนเขาจะหมุนกายเดินจ้ำเท้าขึ้นบันไดสู่ชั้นบนเสีย ทำไมแทนตัวว่าหนูไม่ได้ ก็เวลาคุยกับอาจารย์หรือคุยกับเจ้านาย เราก็แทนตัวเองว่าหนูอยู่ตลอด ไม่เห็นมีใครเคยห้าม...แปลกคนจริงในวันหยุดที่อากาศร้อนอบอ้าว อุณหภูมิทะลุไปถึงสี่สิบองศาเซลเซียส จิณณาซึ่งเป็นคุณแม่ลูกสี่ยังคอยดูแลลูกๆ ให้นั่งวาดภาพอยู่ในห้องโถงซึ่งอากาศเย็นกำลังดีด้วยเครื่องปรับอากาศหล่อนยังไม่ปล่อยให้ลูกทุกคนออกไปเล่นนอกบ้าน เพราะสองวันก่อนด้วยสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้ลูกสาวคนสุดท้องวัยสองขวบต้องล้มป่วยลง และวันนี้หนูน้อยก็เพิ่งทุเลาจากอาการไข้ เจ้าตัวยังไม่แข็งแรงพอที่จะออกไปวิ่งเล่นข้างนอก จิณณาจึงต้องต้อนพี่ๆ ทั้งสามคนให้อยู่ภายในบ้านคอยเป็นเพื่อนหนูน้อย“คุณแม่ครับ เมื่อไรเราจะไปที่สวนป่ากันอีก พี่ขุนอยากเล่นน้ำในลำธาร”ลูกชายคนโตวัยหกขวบถามขึ้น เขาคงเบื่อที่ต้องมานั่งวาดภาพและร่วมทำกิจกรรมกับน้องๆ แล้วลูกสาวคนรองก็สนับสนุนตาม“ใช่ค่ะ เราพาน้องพลับพลึงไปว่ายน้ำ น้องจะได้หายไข้ไวๆ”ทฤษฎีรักษาไข้ของแม่หนูมะลิทำให้คุณพ่อที่ยังหล่อเหลาเดินมาแล้วได้ยินเข้าพอดีถึงกับหัวเราะขำ“ไม่ใช่ว่าเราอยากเล่นน้ำเองหรือมะลิ”เมื่อคุณพ่อดักคออย่างรู้ทัน มะลิน้อยก็ปิดปากหัวเราะคิก แต่ยังตอบกลับอย่างไร้เดียงสา“
หลังแต่งงาน จิณณาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังใหญ่กลางไร่กว้างของอาทิตย์อย่างมีความสุข หลายสิ่งรอบตัวไม่ได้เปลี่ยนไป และหล่อนก็พอใจที่จะให้เป็นอย่างนั้นจิณณาเริ่มช่วยงานของแม่สามีอย่างจริงจังด้วยค่าจ้างเดือนละห้าหมื่นบาท ทุกเดือนหล่อนจะโอนให้แม่ลัดดาสามหมื่น ส่วนที่เหลืออีกสองหมื่นก็ติดกระเป๋าไว้หญิงสาวเรียนรู้งานอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนได้พบว่าหล่อนสนุกกับงานวางกลยุทธ์ในธุรกิจห้างสรรพสินค้าและค้าปลีกเสียแล้ว“เป็นเมียเศรษฐีก็ยังต้องทำงานอีกหรือพี่จิณ”ส้มโอนั่งเท้าคางมองสาวรุ่นพี่ที่วันนี้กลายเป็นเจ้านายสาวอีกตำแหน่งแล้ว“ต้องทำสิ แล้วงานของพี่ก็สนุกนะ”“คนที่ห้างฯ เขาพูดกันว่าคุณนายรักพี่จิณเหมือนลูกสาว ไม่ใช่ลูกสะใภ้ หนูว่าคุณอั๋นใกล้จะตกกระป๋องแล้วแหละ แถมพี่จิณได้เจอคุณนายบ่อยกว่าคุณอั๋นอีกด้วย”“พูดอะไรส้มโอ”เสียงที่แทรกเข้ามานั้นทำให้คนช่างพูดสะดุ้งสุดตัว ทุกวันนี้ส้มโอขยับมาเป็นคนสนิทของจิณณาแล้ว เพราะอาทิตย์ได้มอบหมายหน้าที่ใหม่ โดยให้คอยตามดูแลและอยู่เป็นเพื่อนจิณณา ไม่ว่าภร
ห้องแถวชั้นเดียวในชุมชนริมคลองของตัวอำเภอยังตั้งอยู่เช่นเดิม หากความรู้สึกของจิณณาในวันนี้ต่างกับวันก่อนที่มาหาแม่ลิบลับ“เข้ามาในบ้านก่อนสิคุณ หนูจิณพาพี่เขาเข้ามา ข้างนอกอากาศมันร้อน”ลัดดามีสีหน้ายิ้มแย้มขณะเชิญชวนลูกเขยให้เข้าบ้าน โดยไม่ลืมกำชับลูกสาวไว้ด้วย ส่วนตัวเองก็ปราดเดินนำเข้าไปก่อนจิณณายิ้มตาม หัวใจเหมือนจะโบยบินเสียให้ได้ หล่อนรักที่จะเห็นความยินดีและรอยยิ้มบนใบหน้าของแม่เหลือเกิน“ผมมาฝากเนื้อฝากตัวกับคุณอาไว้ก่อนครับ ส่วนแม่จะมาในสัปดาห์หน้าพร้อมกับผู้ใหญ่เพื่อสู่ขอหนูจิณกับคุณอา”อาทิตย์พูดขึ้นหลังจากทั้งสามคนเข้ามานั่งบนโซฟาในบ้านเรียบร้อยแล้วจิณณามองรอบตัวปราดเดียวก็รู้ว่าแม่ตั้งใจจัดเก็บบ้านอย่างดีที่สุด จนเห็นความเป็นระเบียบแปลกตาไปจากทุกวัน ข้าวของที่มักมีเก็บไว้มากมายตามประสาคนค้าขาย ในวันนี้ข้าวของพวกนั้นได้หายไปหมดแล้ว พื้นที่รับแขกกลายเป็นพื้นที่โล่ง มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นสำหรับใช้งานจริงๆลัดดาวางตัวได้เหมาะสม แม้สีหน้าจะยิ้มแย้มเบิกบานโดยที่ใครเห็นก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอดี
จิณณาเดินเข้าไปด้านในห้องนอนตามทิศทางของแสงไฟที่เห็นส่องสว่าง และเมื่อไปถึง ร่างกายของหญิงสาวก็หยุดอยู่กับที่ มองภาพเบื้องหน้านิ่งงันอยู่อย่างนั้น“ห่างแค่วันเดียวจำผัวไม่ได้แล้วหรือหนูจิณ”“พี่อั๋น!”“ครับ พี่เอง ดีใจจังที่เมียยังจำได้”ชายหนุ่มเย้า สีหน้าของเขาเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมหลุบมองส่วนกลางของร่างกายหญิงสาว แล้วตรงเข้ามาโอบกอดแม้เจ้าหล่อนยังยืนตัวแข็งเช่นเดิม แต่เขาก็ไม่สนใจ ความยินดีเกิดขึ้นเต็มหัวใจจนไม่อยากเก็บมันไว้อีกแล้วดวงหน้าคมโน้มลงพรมจูบตรงเรือนผมนุ่มสลวย แล้วเลื่อนมากดจูบบริเวณหน้าผาก ไล่มาถึงพวงแก้มนวล แล้วกดจูบที่ริมฝีปากอิ่มหนักๆ“ใจร้ายกับพี่ทุกคนเลย หนูจิณก็เป็นไปกับเขาด้วย”“แล้วพี่อั๋นมาได้ยังไงคะ”“ขับรถมาสิ แล้วนี่บ้านของพี่นะ ห้องนี้ก็เป็นห้องของพี่ พี่อยู่มาตั้งแต่เด็กๆ”“เอ่อ...จิณขอโทษค่ะ ไม่น่าถามอย่างนี้เลย”“ไม่ได้กอดแค่คืนเดียว รู้ไหมคิดถึงมาก เมื่อคืนนอนไม่หลับ ห่วงไปสารพัด ทั้งที่รู้ว่าอยู่
พิจิกาเร่งสาวเท้าเข้ามาในโรงพยาบาล หลังจากได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนอาจารย์ที่มาฝากครรภ์แล้วบอกว่าได้เจอกับคนรู้จักของเธอที่แผนกเดียวกันเข้าเพียงแค่นั้น อาจารย์สาวที่ว่างจากชั่วโมงสอนก็ปรี่มายังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยในทันทีเมื่อถามจนรู้พิกัดของ ‘คนรู้จัก’ เธอก็รีบจอดรถแล้วขึ้นลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นเป้าหมาย พลันก็เจอกับผู้หญิงสองคนที่เธอคาดไว้จริงๆพิจิกาเดินหลบไปยังมุมหนึ่ง แล้วโทร.ติดต่อหาเพื่อนสนิทโดยไว“นายอั๋น ทำอะไรอยู่ที่ไหนเนี่ย”“อยู่ที่ไร่ พริกมีอะไรหรือเปล่า”“แล้วเจอเมียนายหรือยัง”พิจิกายิงคำถามไปตรงๆ เพราะไม่ต้องการให้เรื่องยืดเยื้ออีก“เมียของนายหายไปไม่ใช่หรือ แล้วทำไมนายไม่ตามหา หรือว่านายแค่เล่นๆ กับยายขนุน”“หนูจิณออกจากบ้านของฉัน แต่ฉันรู้ว่าเธออยู่กับแม่ของฉันแล้ว”“อ้าว! นายก็รู้ด้วยนี่ ฉันเห็นที่บ้านของนายพร้อมใจกันปิดข่าวนายไม่ใช่หรือ”“ฉันรู้จากสัญญาณมือถือของหนูจิณ แล้วถามจากคนขับรถตู้
หลังจากพิจิกากลับไปแล้ว ขวัญจึงเอาเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว ไม่เว้นแม้แต่เครื่องสำอางแบรนด์ดังมาให้จิณณา หญิงสาวพลิกมองอย่างพิจารณา คิดในใจว่ามันดีเกินไป ไม่จำเป็นเลยที่คุณนายอรอรจะนำของพวกนี้มาให้หล่อนใช้ หากก็ไม่ทันได้พูด ขวัญก็รายงานต่อด้วยเสียงดังแจ้วๆ ขึ้นมาเสียก่อน“คุณนายบอกว่าให้คุณจิณรับไว้แล้วใช้ของพวกนี้ด้วยค่ะ”จิณณาเหลือบมองแล้วยิ้ม แน่นอนว่าหล่อนไม่มีทางปฏิเสธได้ ถ้าคุณนายฝากถ้อยคำมาแบบนี้แล้ว“คุณนายใจดีค่ะ ถึงท่าทางจะดุไปสักนิดก็ตาม หนูชอบอยู่บ้านนี้ที่สุดแล้ว”จิณณาปล่อยให้เด็กรับใช้พูดต่อไป แม้หล่อนจะเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ผสมโรง เพราะยังติดความรู้สึกที่ว่าตนยังไม่ใช่คนในบ้านนี้ หล่อนจึงเพียงรับฟังไปเงียบๆ“คุณหายปวดหัวหรือยังคะ ตอนนี้ก็บ่ายแล้ว”“อะไรนะ นี่บ่ายแล้วหรือ”“บ่ายสองแล้วค่ะ คุณหลับไปหลายรอบเลย หนูก็ไม่อยากปลุก”“นั่นสิ วันนี้ง่วงนอนทั้งวัน เมื่อก่อนไม่เป็นอย่างนี้นะ ฉันยังไปทำงานในไร่ด้วยเลย”จิณณาเผลอพูดออกไป แต่เมื่อรู้ตัวก็ปิดปากฉับทันที