LOGIN“ขอโทษด้วยค่ะ ครั้งหน้าจะไม่เป็นแบบนี้อีกค่ะ” ฟางเฟยพูดกับหญิงสาวหัวโต๊ะอย่างตั้งใจ พร้อมทั้งจ้องหน้าเธอ
“เอาน่าเรื่องเล็กน้อย นี่ก็ยังเหลือเวลา ถูกไหม”
ผู้กำกับทำทีเป็นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู แล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ทำให้ทุกคนในที่นั้น พลอยยิ้มออกกันได้บ้าง และได้มารู้ว่าผู้หญิงหน้าตาดีคนนั้น เธอคือภรรยาของผู้จัดทำภาพยนตร์ มิน่าถึงวางท่าเข้มงวดนัก
ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เบื้องต้นคือการชี้แจงกฎระเบียบของบริษัท รายได้ รายละเอียดต่าง ๆ ทุกอย่างจบลงในเวลาอันรวดเร็ว ส่วนรายละเอียดเรื่องนัดหมายการฝึกซ้อมการแสดงต่าง ๆ จะมีการนัดหมายในภายหลัง ทันทีที่การประชุมยุติลง ฟางเฟยก็รีบแยกตัวออกไป โดยไม่ได้สนใจที่จะทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือยัยปากร้าย ซึ่งเธอมองว่ายังมีเวลาให้รู้จักกันอีกมาก เพราะพวกเธอทั้งหมด ยังต้องใช้เวลาเรียนการแสดงเพิ่มเติม และฝึกซ้อมการแสดงเพื่อให้ตรงตามทีมงานต้องการ
เพราะจุดมุ่งหมายของฟางเฟยในเวลานี้ คือเบื้องหลังของคันฉ่องทองแดง บนความสัมพันธ์ในตระกูลเกา เพื่อความรวดเร็วหญิงสาวเลือกที่จะนั่งแท็กซี่ระหว่างรอรถอยู่นั้น ได้มีรถอีกคันเข้ามาจอดเทียบตรงหน้าเธอ ทันทีที่กระจกรถเลื่อนลง คนในรถก็คือผู้กำกับภาพยนตร์อารมณ์ดี ที่เพิ่งได้พบกันในที่ประชุม
“เกาฟางเฟย เธอกำลังจะไปไหน ขึ้นรถมา ผมจะไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปเองได้ ไม่รบกวนคุณดีกว่า”
“ไม่รบกวน ขึ้นมาเลย วันนี้ผมเสร็จงานแล้ว ขึ้นมา ๆ ผมไปส่งคุณ ผมว่าง”
หญิงสาวลังเลเล็กน้อยได้แต่ถอนหายใจ แล้วยอมขึ้นรถของผู้กำกับ ที่เพิ่งเจอกันแค่เพียงสองครั้งเท่านั้น
“ฉันจะไปศาลเจ้าฮั่นยุหวี่ คุณจะผ่านรึเปล่า คุณอาจส่งฉันกลางทางก็ได้นะ ฉันเกรงในไม่อยากรบกวนค่ะ”
“เฮ้ย…บอกแล้วไงว่าไม่รบกวน วันนี้ผมว่างไม่มีธุระแล้ว ไปส่งคุณได้สะบายมาก แต่ผมจะแวะซื้อกาแฟสักหน่อย ดื่มกาแฟกับผมสักครู่ได้ใช่ไหม”
“เอ่อ…ก็ได้ค่ะ ขึ้นรถคุณมาแล้วนี้ ก็ต้องไปด้วยกันสิถูกไหม”
ชายหนุ่มเจ้าของรถกะบะสายลุยหัวเราะขึ้น เขาเป็นผู้กำกับที่ยังหนุ่มและอารมณ์ดี การร่วมงานกับเขาดูไม่ยากและสบายใจ ถือว่าโชคดีที่งานนี้ได้ร่วมงานกับเขา ชายหนุ่มเลี้ยงกาแฟหญิงสาว และชวนเธอนั่งพูดคุยกันในร้านกาแฟ
"คุณเป็นคนไทยใช่ไหม"
“ค่ะเป็นลูกครึ่งไทย-จีน ซึ่งไม่แปลกเพราะในเมืองไทยลูกผสมแบบฉันมีเยอะมาก”
“ใช่ไม่แปลก แต่สำหรับผมคุณมีแรงดึงดูดที่ดี คุณเชื่อไหมโชว์ของคุณเมื่อวานติดตาผมมาก ท่ารำของคุณคิดขึ้นมาใหม่เหรอ ผมไม่เคยเห็นมาก่อน”
“ใช่ค่ะ ฉันเรียนนาฏศิลป์จีนมาบ้าง แต่ถือว่าน้อยมาก ฉันสอบมาเรียนต่อที่นี่ โดยการส่งเทปการแสดงที่มี และทั้งหมดฉันคิดขึ้นมาใหม่”
“น่าสนใจมาก งานของผมชิ้นนี้ สำหรับตัวประกอบ 5 คน ผมต้องการใช้แค่ไม่กี่ฉาก แต่ถ้าคุณทำมันออกมาได้ดี ผมยังมีงานอื่นให้คุณอีก ยอมรับว่าผมติดตามาก ถึงขั้นเก็บไปฝัน นี่ฟังดูเหมือนผมเป็นคนเจ้าชู้ไม่ดีเลย ไปกันเถอะ ขอบคุณที่มาดื่มกาแฟเป็นเพื่อน ผมจะไปส่งคุณที่ศาลเจ้า”
“รบกวนไปถนนเส้นด้านหลังนะคะ ฉันจะเข้าประตูหลัง”
“คุณเป็นคนของที่นั่นเหรอ ประตูนั่นใครก็รู้กันว่า ให้ใช้ได้เฉพาะคนตระกูลเกา อ๋อ…ใช่แล้ว คุณแซ่เกาทำไมผมคิดไม่ถึงนะ เกาฟางเฟย คุณไม่ธรรมดาซะแล้ว”
“ทำไมค่ะ ตระกูลเกา มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“ใครจะกล้ามีปัญหา นี่เป็นตระกูลเก่าแก่ของที่นี่ ผมโง่เองที่คิดไม่ถึง มิน่าคุณถึงมีฝีมือขนาดนี้”
“ฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอกค่ะ ฉันมาจากเมืองไทยได้ไม่กี่ปีนี้เอง แต่ในไทยตระกูลเกาก็ถือว่าใหญ่ มีลูกหลานมากมาย ไม่คิดว่ามาที่นี่ก็เจอญาติผู้ใหญ่อีก”
รถกะบะคันใหญ่จอดเทียบหน้าประตูทางเข้าบ้านสกุลเกาที่อยู่ติดกับศาลเจ้า ฟางเฟยก้าวลงจากรถแล้วเดินไปกดอ๊อดหน้าประตู สักครู่ประตูก็เปิดออก มีคนมานำทางเธอเข้าไป พอหญิงสาวเดินลับหาย รถคันใหญ่ถึงเคลื่อนตัวออกไป
รถม้ามาหยุดลงหน้าโรงปั้นหลวง ซึ่งอยู่ลึกเข้ามาด้านใน ซื่อเว่ยต้าตี้เปิดประตูมิติทะลุตัดกำลัง กับการที่จะต้องวิ่งตามรถม้ามาโผล่ตรงหน้าโจวซานป๋อได้อย่างทันเวลา เทพเจ้าโจวซานป๋อในห้วงเวลาครั้งเป็นเพียงมนุษย์ ชายหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์ เกล้าผมปักปิ่นเงินมีดอกไม้เล็ก ๆ ประดับมวยผมดูแปลกตาจากบุรุษทั่วไปพึงกระทำ ใบหน้างดงามคิ้วคมเข้มจมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูป แต่งกายด้วยผ้าฝ้ายเนื้อหยาบแต่ตัดเย็บประณีตปักลายพิถีพิถัน ดูไปแล้วทุกคนที่เมืองนี้จะประหยัดมัธยัสถ์ คงด้วยเพราะภาวะสงครามทำให้ทุกคนต้องประหยัดอดออม“ท่านพี่ฉือ เรื่องที่ข้าฝากท่านไปจัดการให้เป็นเช่นไรบ้าง” โจวซานป๋อกล่าวทักชายผู้มีรูปร่างใหญ่โต ยังหนุ่มแน่นแต่กลับไว้หนวดเครา จนดูน่าเกรงขาม ที่มายืนรอเขาหน้าทางเข้าโรงปั้นหลวง“จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ ของที่คุณชายต้องการตอนนี้อยู่ข้างในแล้ว ข้าน้อยให้คนนำเข้ามาจากภูเขาทางเหนือ รักษาความชื้นอย่างดีมาตลอดเส้นทาง แม้แรมเดือนแต่เนื้อดินยังคงสภาพเหมือนขุดใหม่ ข้าน้อยไปคุ้มกันของมาด้วยตนเอง ทำตามขั้นตอนที่คุณชายสั่งไว้ทุกประการ ไม่มีผิดพลาดเลยขอรับ”“แค่ดินเหนียวต่ำต้อย ถึงขนาดต้องใช้นักดาบยอดฝีมือ
“พูดเป็นเล่น ซาลาเปาข้าแพงนะแม่นาง เจ้ามีเงินซื้อหรือไม่" เถ้าแก่มองดูหญิงสาวจากหัวรดเท้า "อืมแต่ดูจากการแต่งกาย ท่านก็คงมีจริง ๆ”ซื่อเว่ยต้าตี้โยนเงินก้อนใหญ่ให้เขา “เท่านี้พอหรือไม่ ไม่ต้องทอน เหลือเท่าไหร่เอาซาลาเปาออกมาให้ครบจำนวนที่ข้าจ่ายให้”เถ้าแก่ร้านซาลาเปารีบเก็บก้อนเงินด้วยท่าทางละโมบ พร้อมกับหันหลังไปสั่งเด็กในร้านให้เอาของออกมาเพิ่ม“ท่านซื่อเว่ยต้าตี้ ข้าจะแจกซาลาเปาแก่ชาวบ้านท่านช่วยข้าหน่อย”“เถ้าแก่ ซาลาเปาเหล่านี้ ข้าและภรรยาขอทำทานแก่ชาวบ้าน ท่านช่วยรบกวนเป็นธุระได้หรือไม่”“ได้ ๆ นายท่าน” เถ้าแก่ร้านหันไปสั่งเด็กในร้าน เด็กหนุ่มพยักหน้าหยิบถาดในร้านพร้อมไม้ฟืน ออกมาหน้าร้าน เขาเคาะถาดเหล็กเสียงดังพร้อมตะโกนบอกถึงวัตถุประสงค์ ไม่ทันขาดคำ ผู้คนต่างออกมารุมรับของแจก จากเถ้าแก่และเด็กในร้านด้วยความดีใจ เกาฟางเฟยพอเห็นยายแก่ขายผักมายืนรอรับซาลาเปา หญิงสาวหยิบซาลาเปา 2 ลูกยื่นให้นาง “ท่านยายท่านมีหลานเล็ก เอาไปสองลูกนะ เขาจะได้กินด้วย”“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ นายหญิงช่างจิตใจงดงามนัก ขอบคุณมาก”ฟางเฟยมองดูยายแก่ขายผักรีบวิ่งกลับไป นางเอาซาลาเปาอีกลูกเก็บใส่ตะกร้า อีกลูกแบ่ง
เกาฟางเฟยเดินเข้าไปยืนด้านหน้าทางขึ้นตำหนักหลัก มีเทพรับใช้ของตำหนักซื่อเว่ยออกมาต้อนรับ “นี่ท่านให้คนของตัวเองมาประจำที่นี่เหรอ”“ใช่ แต่ส่งมาไม่มากไม่อยากให้ใครรู้”“ที่นี่สวยงาม สะอาดสะอ้านปานนี้ ทั้งที่เจ้าตำหนักร่างดับสูญไปนานแล้ว เทพเซียนขี่เมฆผ่านไปมา คงดูออกหรอกว่าเทพรับใช้ของตำหนักใดกัน มาดูแลที่นี่จนงดงามได้ขนาดนี้”ซื่อเว่ยต้าตี้ได้แต่แอบยิ้ม กับคำเหย้าแหย่ของหญิงสาว ฟางเฟยเดินสำรวจข้าวของเครื่องใช้ แม้แต่ชุดและเครื่องประดับ ทุกสิ่งยังคงสภาพสมบูรณ์สวยงามเหมือนใหม่“ท่านอาจารย์ศิษย์ทำความเคารพขอรับ” เสียงที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง “ตงฉาง ทำไมเป็นท่าน” ฟางเฟยเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นเทพเจ้าหนุ่มน้อยมาปรากฏตัวตรงหน้า“มิแปลกเลยท่านฟางเฟย ข้านอกจากดูแลงานในแดนดาราห้วงเวหา ก็มีที่นี่ที่ต้องดูแลด้วยเช่นกัน”ฟางเฟยกะพริบตาถี่ นึกย้อนความจำ ใช่ตั้งแต่มาที่นี่ทุกครั้งที่จะไปไหน เทพเจ้าดวงดาวมักจะเลี่ยงออกไปสั่งงานเทพตงฉางก่อนเสมอ เป็นเพราะแบบนี้นี่เอง “อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว เป็นเช่นนี้นี่เอง” หญิงสาวหันไปยิ้มให้ซื่อเว่ยต้าตี้ ผู้ชายคนนี้ช่างละเอียดอ่อนเหลือเกิน ใส่ใจทุกอย่างได้ขนาดนี้ ม
ฟางเฟยมองดวงตางดงามที่ส่งประกายดั่งดวงดาว “มู่หลินหนิงอันมิได้ไร้หัวใจ นางมีความรู้สึกชอบ รู้สึกโกรธและน้อยใจ และนางรักท่านซื่อเว่ยต้าตี้” ฟางเฟยโผเข้ากอดซื่อเว่ยต้าตี้ “ทำไมต้องทำขนาดนี้”“เพราะเจ้า มู่หลิน ข้าทำทั้งหมดนี้เพื่อเจ้าข้ารู้ว่าถ้าแดนปัญจธาตุกลับคืนมาไม่ได้ เจ้าจะไม่กลับมา มีทางนี้เท่านั้นที่ข้าจะช่วยเจ้าได้ ช่วยสามโลกคืนความสมดุล ข้าตั้งใจบอกเรื่องทั้งหมดนี้ เมื่อเราช่วยกันตามเทพเจ้าทั้งห้าคืนกลับมาได้ครบ แต่ดูเหมือนความทรงจำของเทพผู้พิทักษ์คงสร้างความระแวงให้เจ้าสินะ”“ใช่ พี่จางจิ้งเตือนข้าเรื่องท่าน ผสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้ข้าต้องการรู้เรื่องราวทั้งหมด ทำไมไท่จื่อไฉ่เหลียงหวงต้องการฆ่าข้าและท่าน ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับแดนปัญจธาตุอย่างไร”“ไฉ่เหลียงหวงต้องการกำจัดข้าเรื่องนี้ไม่แปลก แต่กับเจ้าเรื่องนี้ดูมีเงื่อนงำพิรุธน่าสงสัย ว่าแต่…เกาจางจิ้งให้เจ้าระวังข้า ข้ามีอันใดให้น่าระวังกัน”“ตอนท่านปะทะกับไท่จื่อ ทำไมท่านไม่สู้กับเขาให้เต็มรูปแบบ”“เต็มรูปแบบ” ซื่อเว่ยต้าตี้เอียงหน้ามองหญิงสาว คำพูดของนางฟังดูแปลก แต่เขาพอจะเข้าใจได้ จนหัวเราะออกมา “ถ้าศัตรูร
“ใช่ แล้วเป็นเช่นไรต่อ”“เราหาข้อสรุปไม่ได้ จนเผ่ามารและเผ่าปีศาจเริ่มก่อสงครามต่อกัน ทั้งที่สองดินแดนก็เข้ากันดีมาตลอด เผ่าเทพได้ส่งเทพสงครามไปดูแลดินแดนปัญจธาตุ ทำให้มู่หลินไม่พอใจด้วยคิดว่าเผ่าเทพฉวยโอกาส ส่งกองกำลังเข้าครอบครอง นางเลยส่งจางเหว่ยเสินจวินเทพผู้พิทักษ์ ไปขับไล่กองกำลังของเทพสงครามออกไป จนกลายเป็นสงครามระหว่างแดนสวรรค์และปัญจธาตุ”“จางเหว่ยเสินจวิน คือใคร ทำไมเขาทำหน้าที่เดียวกับพี่จางจิ้ง เดี๋ยวนะ ท่าน…อย่าบอกนะว่า จางเหว่ยเสินจวินกับพี่จางจิ้งคือคนเดียวกัน”ซื่อเว่ยต้าตี้พยักหน้าให้หญิงสาว ฟางเฟยกลืนน้ำลายลงคอ มองใบหน้างดงามของซื่อเว่ยต้าตี้ เรื่องราวเหล่านี้คือความบังเอิญหรือเพราะโชคชะตาเล่นตลก “แล้วเป็นเช่นไรต่อ ตอนนี้มู่หลินกับท่านละเป็นอย่างไร”“ข้าได้แต่เพียงแอบเฝ้ามองและชื่นชอบนาง ส่วนนางจะรู้หรือไม่ข้าไม่รู้ อันที่จริงข้าไม่ต้องการแสดงตัวมากกว่า ข้าไม่ต้องการทำให้นางมีปัญหาเพิ่มกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง”ฟางเฟยมองใบหน้าของเทพเจ้าหนุ่มที่มีแววตาเศร้าหมองลง หญิงสาวเอื้อมมือไปจับมือของเขา “หากมู่หลินหนิงอันไม่ไร้หัวใจ ข้าเชื่อว่านางจะมีใจต่อท่าน แล้วอย่างไงต่อ”
“ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนี้ฟางเฟย” ซื่อเว่ยต้าตี้ตั้งข้อสงสัยขึ้นหญิงสาวหันมามองหน้าเทพเจ้าดวงดาว มองลึกลงไปในดวงตางดงามคู่นี้ “ข้าไม่รู้ทำไมเกามู่หลินถึงตัดสินใจทิ้งหน้าที่ลงไปจุติยังแดนมนุษย์ที่ห่างไกลแดนสวรรค์ แดนปัญจธาตุในเวลานั้นเกิดปัญหาอะไรขึ้น เหตุการณ์วันนี้ ดูเหมือนไท่จื่อไฉ่เหลียงหวง ตั้งใจทำร้ายข้ากับท่าน มีประโยชน์อะไรหากข้ากับท่านตายจากแดนสวรรค์ กับตัวท่านเขาอาจไม่ชอบหมางใจกันมาแต่วัยเยาว์แต่กับข้า เหตุผลใดกันถึงต้องทำร้ายข้าด้วย”“ไม่ซับซ้อนเลยท่านฟางเฟย" เฟิ่งหวางแทรกขึ้น “ท่านคือดวงใจของเทพเจ้าซื่อเว่ยต้าตี้ คือผู้ถือคันฉ่องแห่งปัญจธาตุ คือประมุขแดนปัญจธาตุที่ควบคุมพลังงานแห่งธาตุทั้งห้า เขาไม่ต้องการดินแดนนี้สิแปลก”“อะไรกัน เป็นถึงรัชทายาทสวรรค์บัลลังก์สวรรค์อยู่ตรงหน้า เหตุใดยังต้องการแค่ดินแดนเล็ก ๆ ในเศษเสี้ยวจักรวาลอีก”ซื่อเว่ยต้าตี้ลูบปอยผมของตนเองสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง “ดินแดนเศษเสี้ยวจักรวาล ที่มีเทพเจ้าทั้งห้าประจำธาตุสำคัญมีความพิเศษที่ต่างกัน มีเจ้ากับของวิเศษประจำดินแดนมีเทพผู้พิทักษ์ประจำตัว ทั้งหมดนี้คือความสมบูรณ์ที่สวรรค์ชั้นบรรพกาลสร้างทิ้งเอาไว้ เจ้า







