“เจ้าว่าอย่างไรนะ….เจ้าบอกว่า”
“ขอรับ ไม่ผิดแน่เพราะพวกมันรับสารภาพเอง เพราะพวกมันที่เข้ามาขัดขวางพวกข้าน้อยจึงลงมือไม่ได้และมัวแต่ต่อสู้กันเองดังนั้น…..”
“ตอนนี้นาง!!”
“เข้าเมืองหลวงมาแล้วขอรับ”
“แล้วคนที่เหลือเจ้าจัดการหมดแล้วหรือไม่”
“โชคร้ายที่คนของข้าน้อยตายหมดเหลือเพียงข้า แต่ว่าคนของคุณหนูสามสกุลหลาง….ถูกจับได้”
“ว่าอย่างไรนะ!! เจ้ารีบไปได้แล้ว หากมีเรื่องครั้งหน้าข้าจะเรียกใช้เจ้า เรื่องครั้งนี้ข้าถือว่า…มันไม่ใช่ความผิดพลาดของเจ้า เงินค่าจ้างที่เหลืออยู่นี่ ข้าต้องไปก่อนล่ะ”
“ขอบคุณฮูหยิน”
สตรีสูงศักดิ์เร่งเดินออกจากห้องไปพร้อมกับคนของพวกนาง ไม่นานโม่จางหยวนก็เดินออกมาจากฉากกั้นประตูไปที่โต๊ะที่วางถุงเงินขนาดใหญ่อยู่ เขาถอดหน้ากากออกและหยิบถุงเงินนั้นขึ้นมา
“ห้าร้อยตำลึง ค่าตัวนางช่างแสนถูกนักเมื่อเทียบกับฐานะบุตรสาวเสนาบดีใหญ่ของต้าเซี่ย”
“คุณชาย!!”
กังลี่นั่นเอง เขาเร่งเข้ามาในห้องหลังจากไปจัดการเรื่องที่โม่จางหยวนสั่งให้ไปทำ ถุงเงินห่อใหญ่ถูกโยนไปให้กังลี่โดยไม่ได้มอง
“นี่คือ…”
“ค่าจ้างของพวกนักฆ่าที่หลางฮูหยินสั่งพวกมันไปฆ่าหลางเย่หลิน”
“แต่เราฆ่าพวกนักฆ่าพวกนั้นหมดแล้ว…หรือว่าคุณชาย…ท่านหลอกถามนางหรือขอรับ”
“ใช่ ข้าแค่อยากจะรู้ให้แน่ใจเท่านั้นว่าเป็นนางจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าสองแม่ลูกนี้จะโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ เรื่องที่ให้พวกเจ้าไปสืบในสกุลหลางก่อนหน้านี้เป็นเช่นไรบ้าง”
“คนของเรากำลังรวบรวมข้อมูล คิดว่าไม่เกินพรุ่งนี้คงจะได้ครบขอรับ”
“คนร้ายล่ะ”
“ศาลต้าหลี่กำลังพาไปที่สกุลหลางขอรับ”
“เช่นนั้นก็รีบไปที่สกุลหลาง…ไปดูละครสนุก ๆ กันเถอะ”
จวนสกุลหลาง
รถม้าของหลางเย่หลินวิ่งเข้ามาจอดที่ด้านหน้าของสกุลหลินก่อนที่ฮูหยิน “หลางเยี่ยน” จะมาถึง เมื่อประตูเปิดออกมานางก็พบว่ามีเพียงพ่อบ้านที่เคยทำงานให้มารดาของนางกับแม่บ้านเก่าแก่ของสกุลหลางเท่านั้นที่มารอรับนาง
“คุณหนูรองท่านมาถึงแล้ว ป้าเหยาดีใจยิ่งนักเจ้าค่ะ”
“ป้าเหยา ลุงเซิ่งพวกท่านสบายดีนะเจ้าคะ”
“คุณหนูขอรับพวกเราสบายดี เฝ้ารอคุณหนูทุกวันเลยขอรับรีบเข้าไปด้านในเถอะขอรับ”
“ท่านเสนาบดีเล่า อยู่ด้านในหรือ”
“ขอรับ ท่านเสนาบดีรอคุณหนูอยู่นานแล้วขอรับ”
“จากไปเสียนานเลยนะ”
หลางเย่หลินมองดูประตูจวนที่มีชื่อนามสกุลหลาง และแหงนมองป้ายคุณธรรมจอมปลอมซึ่งพระราชทานโดยฝ่าบาท “ความดีแข็งแกร่งดุจหินผา” แขวนตั้งอยู่ด้านบนของของโถงใหญ่ก่อนที่นางจะเดินเข้าไป เสนาบดี “หลางฮุ่ย” บิดาของนางนั่งอยู่พร้อมกับลูบเคราแพะของเขาอย่างไว้ท่ารออยู่สุดปลายทางเดิน ท่าทีนั้นยังหยิ่งผยองเช่นเดิมแม้แต่สายตาที่มองนางก็ยังไม่เปลี่ยนไป
ถัดไปอีกที่หนึ่งเป็นบุตรสาวคนสุดท้องของเสนาบดี แม้ว่านางจะมีวัยที่อ่อนเยาว์กว่าแต่ก็มิได้ให้ความเคารพนาง “หลางเสี่ยวหง” ยังนั่งที่ประจำตำแหน่งของบุตรสาวคนโตของนางอยู่เช่นนั้นโดยที่เสนาบดีหลางมิได้เอ่ยตักเตือนแต่อย่างใดแต่ไร้เงาของหลางฮูหยิน ผู้ที่ทำให้หลางเย่หลินต้องออกจากจวนสกุลหลางเมื่อหลายปีก่อน
“หลางเย่หลินคารวะ…เสนาบดีหลาง”
“เหตุใดไม่เรียกข้าว่าท่านพ่อ”
เสียงไม่พอใจจากเก้าอี้ของหลางเสี่ยวหงดังขึ้นแต่ทั้งเสนาบดีหลางและเย่หลินมิได้สนใจแต่อย่างใดกับความไร้มารยาทนี้ของนาง
“ข้ามิทราบว่าสมควรทำหรือไม่เจ้าค่ะ”
“เจ้าเป็นบุตรคนรอง เป็นบุตรสาวคนโตของสกุลหลางไม่ว่าจะก่อนหน้านี้ ตอนนี้และจากนี้ตลอดไป ลุกขึ้นเถอะ”
“เย่หลิน…ขอบคุณท่านพ่อ”
“อืม…มานั่งตรงนี้เถอะ”
เย่หลินมองใบหน้าผู้เป็นบิดาที่ผุดยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นหน้านางที่ยังคงใช้ผ้าขาวผูกเอาไว้จนเขานึกสงสัย แม้ว่าพ่อบ้านเฒ่าและแม่บ้านเก่าแก่จะนึกสงสัยตั้งแต่นางลงมาจากรถม้าแล้วก็ตาม
“ใบหน้าเจ้า….เหตุใดจึงต้องปกปิดเอาไว้”
“ท่านพ่อ นั่นมิใช่ที่นั่งที่ถูกต้องของลูก หากจะให้นั่งในเมื่อท่านกล่าวเองว่าข้าคือบุตรสาวคนโตสกุลหลาง ดังนั้น….”
สายตานางมองไปยังหลางเสี่ยวหง ที่หันหน้ามามองนางอย่างเกลียดชัง ความคับแค้นใจแต่หนหลังยังคงไม่ทำให้นางมองหลางเย่หลินในทางที่ดีได้
“เช่นนั้นเจ้าก็มานั่งที่นี่เถอะ”
“ท่านพ่อ!! นั่นมันที่ของท่านแม่”
“น้องสาม เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“ข้าพูดชัดเจนแล้วเจ้าไม่ได้ยินหรือ ที่นั่งตรงนั้นเป็นที่ของท่านแม่ซึ่งเป็นฮูหยิน…”
“แค่อนุในเรือน”
“นังเย่หลิน!!”
“เงียบ!!”
“ท่านพ่อ นางก้าวเข้ามาในจวนก็สร้างความเดือดร้อน แม้แต่มารยาทก็ยังไม่รู้แล้วยังจะบังอาจไปนั่งที่นั่งของท่านแม่ท่านจะให้ข้ายินยอมได้เช่นไรเจ้าคะ”
หลางเย่หลินยิ้มอย่างยินดี สุดท้ายหลางเสี่ยวหงก็ไม่ต่างไปจากเดิม “โง่และอวดดี” เช่นเดิม เมื่อนางหันไปและพูดกับน้องสาวต่างมารดาด้วยเสียงที่เรียบที่สุด
“น้องสาม เจ้าบอกว่าข้าไร้มารยาท แม้แต่เก้าอี้ที่นั่งก็มิได้มีความรู้ว่าควรนั่งที่ใดงั้นหรือ”
“ใช่ เจ้าควรจะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร บังอาจอย่างไรมานั่งตรงที่นั่งของท่านแม่ เจ้าเป็น….”
“บุตรสาวคนโตของสกุลหลาง หากนับตามฐานะ ข้าเป็นพี่ของเจ้าและที่นั่งที่เจ้ากำลังนั่งอยู่…คือที่นั่งของข้า เช่นนี้เจ้าเองก็ไร้มารยาทขาดการอบรมแม้แต่ที่นั่งยังนั่งไม่ถูกใช่หรือไม่”
“ท่านพ่อ!!….นาง…”
“น้องสาม ข้าก็แค่กล่าวถามเจ้าเท่านั้น ข้ามิเพียงมอบเก้าอี้ให้เจ้านั่งโดยมิได้ต่อว่าและยอมนั่งในที่อื่น ๆ แต่ว่าท่านพ่อแค่เสนอที่นั่งนี้ให้กับข้า นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะแล้งน้ำใจเช่นนี้”
“เช่นนั้นเจ้าก็คงต้องหาที่นั่งใหม่แล้วล่ะ”
เสียงนั้นเย่หลินจำได้ดี สตรีสูงวัยที่เดินเข้ามาด้านหลังห้องโถง นางเดินเชิดจมูกขึ้นเล็กน้อย สายตามองต่ำราวกับไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเมื่อเดินมานั่งที่นั่งของตนเองท่ามกลางความสะใจของหลางเสี่ยวหง เย่หลินหันไปนางมอง “หลางเยี่ยน” ฮูหยิน ของเสนาบดีหลางในขณะนี้ นางยืนมองเฉย ๆ ด้วยสายตาที่ยังนิ่งอยู่
“เย่หลิน เหตุใดจึงไม่กล่าวทักทาย….”
“ทักทายงั้นหรือ ท่านพ่อท่านคงสติเลอะเลือนจนลืมไปสิ้นแล้ว…จะให้ข้ากล่าวทักทายสตรีที่ไร้คุณธรรมแย่งสามีผู้ที่ช่วยชีวิตนางมาจากที่ต่ำตมที่สุดและมาเผยอหน้านั่งแทนที่มารดาข้าหลังจากที่นางสิ้นไปแล้วงั้นหรือเจ้าคะ ขออภัยที่ข้า…ทำไม่ได้”
“หลางเย่หลิน เจ้า!!”
สายตาของหลางเย่หลินมิได้เกรงกลัวเสนาบดีหลางเลยแม้แต่น้อย หากนี่มิใช่ราชโองการฝ่าบาทสั่งให้เขาพานางเข้ามาเมืองหลวงเพื่อเข้ารับการคัดเลือกพระชายาองค์ชายทั้งสิบของฝ่าบาท มีหรือเขาจะอยากยุ่งกับนาง
แต่เพราะผู้คนในเมืองหลวงต่างก็รู้จักไป๋ฮูหยินของเสนาบดีหลางก่อนหน้านี้ซึ่งชาวเมืองหลวงต่างให้ความเคารพนางเพราะนางช่วยเหลือคนทุกข์ยากในเมืองหลวง คุณงามความดีมากล้นจนฝ่าบาทพระราชานยศท่านหญิงแต่งตั้งพิเศษให้นางทำให้เขาขัดราชโองการครั้งนี้ไม่ได้
“คุณหนูรอง เห็นท่านกลับมาอย่างปลอดภัย ข้าเองก็ยินดียิ่งนัก”
สายตาของหลางเยี่ยนที่มองมาที่เย่หลินนั้นต่างอยากจะฉีกแต่ละฝ่ายหลุดออกเป็นชิ้น ๆ เพียงแต่พวกนางยังทำไม่ได้ หลางเย่หยินเริ่มกล่าวขึ้นมาหลังจากที่นางนั่งที่นั่งของพี่ใหญ่ของนางแทน
“งั้นหรือ แต่ข้ามีเรื่องไม่น่ายินดีเท่าใดมาเล่าให้ท่านพ่อฟังเจ้าค่ะ”
สิบสองปีผ่านไป / วังหลวง“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”กังลี่เที่ยวมองหาองค์ชายใหญ่ที่กำลังฝึกวิชาอยู่ในสวนแต่จู่ ๆ ก็หายไปจากสายตาของเขาหลังจากที่เขาถูกฝ่าบาทเรียกไปเพื่อสั่งงานบางอย่างก่อนที่พระองค์จะเสด็จเข้าไปที่ท้องพระโรงเพื่อประชุมราชสำนัก“ข้าอยู่นี่อาจารย์กังลี่”“องค์ชายเซียวหยาง ลงมาเถิดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาทกำลังประชุมราชสำนักเช้าอยู่ หากว่าพบพระองค์อยู่ตรงนี้จะถูกลงโทษนะพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าพึ่งถูกเสด็จแม่ไล่ออกมาจากตำหนักเพราะว่านางกำลังจะให้นมน้องของข้า มาปีนต้นไม้ก็ถูกท่านพบเข้าอีก เฮ้อ ชีวิตองค์ชายในวังนี่แสนลำบาก หรือว่าข้าควรจะขอเสด็จพ่อไปฝึกที่กองทัพบูรพาของท่านลุงเจิ้งหลิงดีเล่ากังลี่”“ลงมาก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”“เป่ากง!!”“รีบลงมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีบางอย่างให้ทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”“สิ่งใดงั้นหรือ หากว่าเป็นหนังสือวิชายุทธ์เช่นวันเก่าข้าไม่เอาแล้วเพราะข้าอ่านหมดแล้ว”“หน้ากากที่พระององค์สั่งให้กระหม่อมไปทำให้เสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ว่าอย่างไรนะ จริงหรือเป่ากงเสร็จแล้วงั้นหรือแล้วทำไมไม่รีบบอกเล่า”“จ้าวเซียวหยาง” องค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นพระโอรสของฮ่องเต้จ้าวซางหยวนและฮองเฮาเซี
“หา!! เจ้าว่าอย่างไรนะ แล้วทำไมไม่รีบบอกเล่า แล้วเหตุใดจึงเอาไปวางไว้ที่เดียวกับยาทาแผล”“โม่จางหยวน!! นี่ท่านแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ว่ามิได้จงใจจะฆ่าหม่อมฉัน”“เย่หลินข้าเปล่านะ ข้าก็แค่….”“ออกไปเลย แล้วไปเรียกหย่าหลีมาให้หม่อมฉัน!!”เรือนใหญ่“เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้”“ดังนั้นในตอนนี้….”องค์รัชทายาทนั่งที่โต๊ะพร้อมกับเซี่ยเจิ้งหลิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เพื่อฟังเรื่องที่พระองค์เล่าให้ฟัง เซี่ยเย่หลินไล่องค์ชายออกมาเพราะว่าเขาทำนางบาดเจ็บและหยิบขวดยามาผิดนางจึงโกรธและไล่เขาออกมาจากห้อง“ตอนนี้…”“สาวใช้ของนางกำลังทำแผลให้นางอยู่ข้างใน เจ้าช่วยข้าหน่อยสิเจิ้งหลิง”“เฮ้อ องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็ไม่ได้ต่างจากพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ หากว่าหลินเอ๋อร์โกรธเข้าล่ะก็…”“แต่เจ้าเป็นพี่ชายนางนะ”“พระองค์เป็นถึงพระสวามียังถูกไล่ออกมาจากห้องเลยนะพ่ะย่ะค่ะ คิดว่านางจะ…”“เจ้าไปลองดูหน่อย ไปสิ เร็ว ๆ เข้า”“เอ่อ….องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่ามีวิธีที่ดีกว่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเช่นนี้พระองค์ควรจะ….”เซี่ยเจิ้งหลิงกระซิบบางอย่างกับองค์ชาย โม่จางหยวนเริ่มยิ้มออกมาและพยักหน้าอย่างรู้ทัน เขาหันมามองหน
เมืองหลวงหลังจากพิธีอภิเษกที่กองทัพบูรพาผ่านไปสิบวันองค์รัชทายาทก็ได้เสด็จกลับเมืองหลวงพร้อมกับพระชายาเซี่ยหลิงเย่ ขบวนนำเสด็จถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติเพราะในครั้งนี้กองทัพบูรพาที่ยิ่งใหญ่ของรองแม่ทัพเซี่ยเจิ้งหลิงจัดขบวนทัพเข้าเมืองหลวงด้วยตัวเอง เมื่อขบวนรถม้าขององค์รัชทายาทเข้าสู่ประตูเมืองหลวงก็ได้รับการต้อนรับอย่างคับคั่งจากชาวบ้านในเมืองหลวงที่ทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว“ตื่นเต้นเหรอเย่หลิน”“คิดไม่ถึงว่าจะได้กลับมาอีกครั้งเพคะ หม่อมฉัน…”“ถึงอย่างไรเจ้าก็หนีวังหลวงไม่พ้นแล้วล่ะพระชายา ทางที่ดีทำใจและยอมรับเสียเถอะ”“หม่อมฉันขอบพระทัยพระองค์ที่ทรงประทานแซ่เซี่ยให้หม่อมฉันและพี่ใหญ่เพคะ”“นั่นเป็นสิ่งที่เสด็จพ่อทรงประทานให้แม่ทัพเซี่ยผู้เฒ่ามิใช่ข้า สิ่งที่ข้าจะมอบให้เจิ้งหลิงกับเจ้าน่ะ คือสิ่งนั้นต่างหากเล่า”องค์รัชทายาทเปิดหน้าต่างรถม้าเพื่อให้นางเห็นบางอย่างที่อยู่ตรงหน้า จวนหลังใหญ่ที่ประดับตกแต่งแล้ว ประตูจวนนั้นเขียนด้วยป้ายพระราชทาน “ความดีงามคงอยู่ตลอดกาล” “ที่นี่คือ….."จวนสกุลเซี่ย" พระองค์…"“แน่นอนว่าจะต้องมีจวนเพื่อสกุลเซี่ยที่ทำคุณประโยชน์ให้กับบ้านเมืองสิใช่หรือไม่
เจ้าสาวหันไปมองแม่สื่อที่กระซิบบางอย่างกับนาง ไม่นานมือของนางก็โผล่ออกมาจากม่านสีแดงเพื่อเป็นการยืนยันว่านางคือเจ้าสาวที่แท้จริง เสียงโห่ร้องกึกก้องด้วยความยินดีที่องค์รัชทายาทสามารถเลือกเจ้าสาวถูกต้องได้ตั้งแต่ด่านแรกซึ่งมีน้อยคนนักที่จะทำได้ แม่สื่อดึงม่านแดงออก เจ้าสาวอีกสองคนที่เหลือคือสาวใช้ของนางทั้งสองคนนั่นเอง พวกนางเดินไปหาเป่ากงและกังลี่พร้อม ๆ กัน“ขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ พิธีการซ่อนเจ้าสาวผ่านพ้นไปแล้ว จากนี้จะเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินพ่ะย่ะค่ะ”ท่านแม่ทัพได้รับเกียรติให้เป็นผู้เอ่ยนำพิธีมหามงคลนี้ เมื่อพวกเจาจุดธูปแดงมงคลเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และจึงได้เดินเหยียบพรมแดงที่มีเด็ก ๆ โปรยดอกไม้สีแดงไปตลอดทางจนถึงบริเวณหน้าพิธีเพื่อทำการกราบไหว้ฟ้าดิน“คำนับที่หนึ่ง คำนับฟ้าและดิน”บ่าวสาวค่อย ๆ ทำการคำนับและค่อย ๆ ลุกขึ้นมาองค์รัชทายาทหันไปพยุงเย่หลินให้นางลุกขึ้นมา“คำนับที่สอง คำนับบุพการีและผู้ให้กำเนิด”“คำนับที่สาม บ่าวสาวคำนับซึ่งกันและกัน”เมื่อพวกเขาคำนับเสร็จแล้ว หย่าหลีจึงนำไม้หอมผูกดอกไม้มงคลมามอบให้องค์ชายเพื่อเปิดหน้าเจ้าสาว“องค์รัชทายาท เปิดหน้าเจ้าสาวไ
“แต่นั่น…จะไม่เป็นการหักหน้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่หรอกหรือเพคะ”“บัลลังก์เป็นของข้า ใต้หล้านี้ข้าก็เป็นผู้ดูแล เหตุใดต้องอาศัยอำนาจของพวกขุนนางละโมบที่คอยจดจ้องส่งบุตรสาวเข้ามาในวังหลังให้วุ่นวายด้วย ขอเพียงมีเจ้าที่อยู่ร่วมเคียงเป็นหงส์คู่มังกร ข้าไม่ต้องการผู้อื่นอีก”นางหลับไปพร้อมกับคำมั่นนั้นของเขา แม้จะดีใจที่องค์ชายตรัสออกมาด้วยพระองค์เองแต่เส้นทางของนางยังไม่ได้เริ่มต้น ยังคงต้องดูอีกนานหลังจากที่พวกเขาเริ่มใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองวันถัดมาค่ายบูรพากลายเป็นสีแดงมงคลที่ถูกประดับไปด้วยผ้ามงคลสีแดงซึ่งเหล่าทหารและชาวบ้านในละแวกนั้นล้วนอยากจะมีส่วนร่วมในพิธีการที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เพราะนาน ๆ ทีจะมีงานมงคล นั่นหมายถึงการที่จะได้ล้มวัวและสัตว์ใหญ่ที่หาในป่ามาเพื่อร่วมฉลองทั้งวันทั้งคืน“ตื่นเต้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าอยากเห็นเจ้าสาวของข้าแล้ว”“ขอทรงโปรดพระทัยเย็นพ่ะย่ะค่ะ ทางชายแดนแห่งนี้มีกฎอยู่อย่างหนึ่งคือพิธีซ่อนเจ้าสาว”“อะไรนะ เดี๋ยวก่อนเจิ้งหลิงเจ้าไม่ได้บอกข้าก่อนเลยนะว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วยน่ะ”“องค์รัชทายาทโปรดอภัย หากว่ากระหม่อมแจ้งเรื่องนี้กับพระองค์ก่อน เกรงว่าพระองค์กับหลินเอ๋อร์
“ท่านว่าอย่างไรนะ แต่งงานงั้นหรือ”“ใช่ ข้าไม่อยากรอพิธีการวุ่นวายในราชสำนัก ถึงอย่างไรข้าก็ใจร้อนอยากให้เจ้าเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับข้า ตั้งแต่เจ้าหนีมาเจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าไม่ต่างกับคนที่ตายไปแล้ว หากครั้งนี้เสียเจ้าไปอีก ข้าคงไม่อยากมีชีวิต….”นางเอานิ้วมือปิดปากเขาเอาไว้ ก่อนหน้านี้นางโกรธเขามากจริง ๆ แต่เมื่อได้รับรู้สิ่งที่เขาพบเจอตลอดทางที่เดินทางมาหานางจากปากของสองสาวใช้ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากองครักษ์ของเขาทั้งสองคนบอกกล่าวถึงความลำบากที่เขาพบมานางก็เริ่มใจอ่อน อีกทั้งเขาตามตื๊อนางอยู่เกือบร่วมเดือนในค่ายนี้โดยไม่สนใจยศถาบรรดาศักดิ์ขององค์รัชทายาทเลยแม้แต่น้อย นี่คือสิ่งที่ทำให้นางยอมยกโทษให้เขา“หากท่านยังพูดอีก ข้าจะไม่แต่งกับท่าน”“เย่หลิน ที่นี่มีพี่ชายของเจ้าอยู่ อย่างน้อยข้าควรให้เกียรติเขาในฐานะญาติผู้ใหญ่ ข้าจึงได้ไปปรึกษาเขาเรื่องจัดงานแต่ง..ในอีกสองวันข้างหน้า”“สะ…สองวันงั้นหรือ เช่นนี้จะเตรียมตัวกันทันหรือเจ้าคะ”เขาดึงนางเข้ามากอดเอาไว้แน่นพร้อมกับก้มลงไปหอมที่หน้าผากของนางอีกที“ขอเพียงมีแค่เจ้ากับข้าในพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและส่งตัวเข้าหอ เพียงเท่านี้ก็นับว่าครบพิ