จากนั้นหลี่ซานกุ้ยก็ตัวสั่น และเลือดสีดำที่มีกลิ่นเหม็นก็ไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของเขามิคิดเลยว่าเขาจะกินยาพิษปลิดชีพตนในที่เกิดเหตุ!เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็มองไปที่เหลยเจิ้นทันทีในพริบตาเดียว เขาก็รีบรุดมาตรวจดูหลี่ซานกุ้ยจากนั้นเขาก็ถอนหายใจและส่ายหัวเบา ๆ ไปทางฉินอู๋ต้าวฉินซูกล่าวว่า “เสด็จพ่อ ความจริงได้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า หลี่ซานกุ้ยจ่ายเงินติดสินบนสวีฉง และหลังจากที่ได้ตราประทับของลูกไป เขาก็นำไปประทับตราจดหมายดังกล่าวตอนนี้เมื่อเห็นว่าการกระทำของตนถูกเปิดเผย เขาจึงฆ่าตัวตาย พฤติกรรมดังกล่าวก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้เป็นการเสกสรรปั้นเรื่องที่ไม่มีมูลขึ้นมา ขอเสด็จพ่อโปรดทรงให้ความเป็นธรรมแก่ลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวคาดมิถึงว่าหลี่ซานกุ้ยจะเลือกปลิดชีพตนเช่นนี้เขาโบกมือแล้วพูดว่า “นำร่างของหลี่ซานกุ้ยออกไป และทำการสืบสวนอย่างละเอียด หาตัวคนบงการ ข้าอยากจะเห็นนักว่า ใครที่มันคอยยุยงสร้างเรื่องอยู่เบื้องหลัง!”“รับพระราชบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ราชองครักษ์ลากร่างอันไร้วิญญาณของหลี่ซานกุ้ยออกไปฉินหยางนึกฉุนเฉียวอยู่ในใจ โอกาสอั
หนึ่งเค่อต่อมาเซี่ยหลานได้มาถึงพระตำหนักจินหลวนก่อนหน้านั้น นางได้ยินมาว่า ฉินซูเป็นผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังของการสังหารเฉินหลิวอ๋อง ดังนั้นนางจึงรีบมารออยู่ด้านนอกประตูตำหนักเพราะนางเชื่อมั่นว่า ฉินซูไม่มีทางทำเช่นนั้นได้หลังจากถูกเรียกตัวไปที่พระตำหนักจินหลวน นางก็นึกสงสัยและมิเข้าใจว่า เหตุใดองค์จักรพรรดิถึงยอมให้เรียกนางเข้ามาในเวลานี้แต่หลังจากที่เห็นว่าฉินซูมิได้รับบาดเจ็บ นางที่เป็นกังวลก็รู้สึกโล่งใจพลางถอนหายใจยาวนางถวายคำนับฉินอู๋ต้าวและพูดด้วยความนอบน้อม “เซี่ยหลานขอถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”ฉินอู๋ต้าวพูดอย่างจนใจ “ขุนนางเซี่ย ตอนนี้เจ้าเป็นอาจารย์ขององค์รัชทายาทแล้ว ต่อไปเวลามาพบข้าให้เจ้าพูดคำแทนตัวเองเป็นขุนนาง จำไว้ด้วยเข้าใจหรือไม่?”เซี่ยหลานพยักหน้าอย่างเก้อเขิน “หม่อมฉัน… ข้าน้อยจำไว้แล้วเพคะ”จากนั้น ฉินอู๋ต้าวก็พูดกับฉินซู “เซี่ยหลานมาแล้ว เจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาได้เลย”ฉินซูยิ้มพลางมองเซี่ยหลานแล้วถามว่า “เซี่ยหลาน เมื่อวานช่วงต้นยามซื่อเจ้าทำอะไรอยู่? และอยู่กับผู้ใด?”หลังจากได้ยินคำถาม เซี่ยหลานก็นึกย้อนถึงความทรงจำในตอนนั้นมินาน ใบหน้างามของนางก็
ฉงชูโม่ยังกล่าวอีกว่า “ฝ่าบาท สิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสนั้นเป็นความจริงอย่างแน่นอนเพคะ ท่านอ๋องหนิง นั่นคือช่วงที่ท่านเสด็จมามิใช่หรือเพคะ?”แม้ฉินเซียวอยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อมีคนมากมายที่เห็นเขามาที่หน้าประตูตำหนักบูรพา ซึ่งย่อมมิสามารถปฏิเสธได้ เขาจึงต้องพยักหน้าฉินซูพูดเสียงดัง “ข้อเท็จจริงก็เป็นที่แน่ชัดแล้ว โจวฟางโกหกมาตั้งแต่ต้น! เจ้ากล้าใส่ร้ายข้าต่อหน้าธารกำนัลได้อย่างไร โจวฟาง เจ้าควรจะมีความผิดในฐานอะไรดี?!”โจวฟางตื่นตระหนกอย่างยิ่งและรีบมองไปที่ฉินเซียวเพื่อขอความช่วยเหลือฉินเซียวโมโหอย่างอัดอั้น ในใจสบถสาปแช่งบรรพบุรุษของโจวฟางไปสิบแปดชั่วโคตร‘ให้ตายเถอะ จนป่านนี้ก็ยังจะหันมาขอความช่วยเหลือจากข้า นี่มันเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าข้าเป็นคนสั่งการเจ้ามิใช่รึ?’เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉินเซียวก็เตะโจวฟางล้มลงกับพื้นและพูดด้วยความโกรธว่า “สารเลว บังอาจใส่ร้ายองค์รัชทายาท บอกมา ผู้ใดสั่งการเจ้ากันแน่ พูดความจริงมาเดี๋ยวนี้ หากเจ้ากล้าเล่นลิ้นอีกละก็ เมื่อถึงตอนที่ข้อกล่าวหาได้รับการพิสูจน์แล้ว เจ้าก็จะได้รับโทษประหารล้างตระกูล หากเจ้ามิคิดถึงตัวเอง ก็คิดถึงญาติโกโหติกาของเจ้าเสียเถอะ
ฉินเซียวสะดุ้งในตอนแรก จากนั้นก็ถามอย่างตื่นตระหนก “เสด็จพี่องค์รัชทายาท เหตุใดถึงตรัสเช่นนี้? ท่านจะโยนความผิดให้กระหม่อมหรือ?”ฉินซูแค่นเสียงเย็น “โจวฟางเป็นเพียงผู้ดูแลในจวนของเจ้า หากมิได้รับการยินยอมจากเจ้า เขาจะกล้าทำความผิดร้ายแรงเช่นนี้ได้อย่างไร? อีกทั้งคนที่ลอบสังหารฉินเหยี่ยน ในตอนนั้นก็เป็นนักฆ่าหญิงผู้มีวรยุทธ์แก่กล้า สถานะอย่างโจวฟางจะส่งยอดฝีมือวรยุทธ์ไปทำงานให้ได้อย่างไร?”ยังมิทันที่ฉินเซียวจะได้โต้แย้ง โจวฟางก็ชิงพูดก่อนว่า “องค์รัชทายาท ท่านอย่าหวังว่าจะใส่ร้ายท่านอ๋องหนิงได้เลย นั่นเป็นฝีมือของกระหม่อม กระหม่อมยอมรับผิดแล้ว ส่วนนักฆ่าหญิงผู้นั้น กระหม่อมได้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากเพื่อจ้างวานสังหาร ทุกอย่างมิเกี่ยวอะไรกับท่านอ๋องหนิงเลยพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูก็หัวเราะทันที!ฉินเซียวทำสีหน้ามิพอใจ แอบก่นด่าโจวฟางที่มิรู้เลยว่าตนตกหลุมพรางฉินซูเข้าแล้วเมื่อเห็นฉินซูหัวเราะ โจวฟางก็ถามโดยมิรู้เหตุผล “ท่านหัวเราะอะไร?”“ก็หัวเราะให้กับความเขลาของเจ้าอย่างไรเล่า! คนที่ลอบสังหารฉินเหยี่ยนมิใช่นักฆ่าหญิง ข้าแค่แต่งเรื่องขึ้นมา แต่ตอนนี้เจ้ากลับบอกว่า เจ้าจ
ก่อนที่ฉินอู๋ต้าวจะได้เอ่ยอะไร ฉินซูก็ยิ้มเยาะและพูดว่า “ฉินเซียว โจวฟางเป็นผู้ดูแลในจวนอ๋องหนิงของเจ้า ผู้ใดจะสั่งเขาได้นอกจากเจ้า เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วยังจะปฏิเสธอีกรึ?”ฉินเซียวล้มลงคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดังตึง เขาพูดปกป้องตัวเองด้วยสีหน้าขมขื่น “เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ ลูกมิรู้ว่าโจวฟางเป็นบ้าอะไรถึงได้แว้งกัดลูกขึ้นมา ขอเสด็จพ่อโปรดทรงไขความกระจ่างด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวเหลือบมองโจวฟาง จากนั้นก็มองฉินเซียวที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และทันใดนั้นเขาก็เข้าใจทุกสิ่งเขาเหลือบมองเหลยเจิ้นโดยมิต้องคิดเจ้าตัวลังเลเล็กน้อยในตอนแรก จากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นและปล่อยปราณดัชนีสังหารโจวฟางแต่ฉินซูสังเกตเห็นภาพเหตุการณ์นี้!ฉินซูก้าวไปบังโจวฟางไว้โดยมิได้ตั้งใจ!เมื่อเห็นเช่นนั้น เหลยเจิ้นก็ขมวดคิ้วเบา ๆ ด้วยเพราะลงมือได้ยากฉินซูดึงเข็มเงินออกจากจุดอวิ๋นเหมินของโจวฟางแล้วพูดเสียงเรียบ “เสด็จพ่อ โจวฟางเพิ่งสารภาพออกมา แต่ลูกก็มิแน่ใจว่าคำสารภาพของเขาเป็นจริงหรือเท็จ ดังนั้นลูกจึงอยากทูลขอให้เสด็จพ่อทรงพิจารณาคดีร่วมกับสามสำนัก และเริ่มการสอบสวนโจวฟางอย่างละเอียดทันที เพื่อมิให
ฉินเซียวคร่ำครวญให้กับความอยุติธรรมทันที “เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ร้าย ลูกไม่มีทางมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้…”ก่อนที่เขาจะพูดจบ ฉินอู๋ต้าวก็ตำหนิขึ้นมา “หุบปาก! เรื่องมาถึงขนาดนี้ก็ยังจะปฏิเสธ เจ้าอยากจะทำให้ข้าต้องออกราชโองการไต่สวนสามสำนักรึ? หากเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าจะทนกับการถูกสอบสวนได้หรือไม่?”ฉินเซียวพูดมิออก เขากัดฟันพลางก้มหน้าลงฉินอู๋ต้าวมองไปที่ฉินซูแล้วพูดว่า “เสี่ยวซู ทุกสิ่งที่เจ้าทำต้องเห็นแก่ส่วนรวม หากฉินเซียวถูกตัดสินลงโทษ เช่นนั้นราชวงศ์ต้าเหยียนของข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด อีกอย่างฉินเซียวก็เป็นน้องชายของเจ้า เจ้าอยากเห็นข้าสั่งประหารเขาจริง ๆ หรือ?”ฉินซูยิ้มอย่างขมขื่นและถามว่า “หากเขามิต้องรับโทษ แล้วฉินเหยี่ยนจะนอนตายตาหลับได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”“คนก็ตายไปแล้ว เขาคงเข้าใจเจตนาดีของข้า”เมื่อเห็นท่าทางจนใจของฉินอู๋ต้าว ฉินซูก็พูดด้วยความตกใจ “น้องหก เจ้าก็ได้ยินเช่นกันใช่หรือไม่ มิใช่ว่าข้ามิทวงคืนความยุติธรรมให้เจ้า แต่เสด็จพ่อทรงยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น จากนี้ไป เจ้าก็พูดกับเสด็จพ่อเอาเองก็แล้วกันนะ ข้าจะมิขอเข้าไปยุ่งแล้ว”พูดจบ เขาก็เอื้อมมือมาดึงเข็มเงินออกจา
เจ้าตัวรีบเข้ามาข้างหลังฉินเหยี่ยน พลางวางมือบนหลังของเขา และค่อย ๆ ส่งปราณบริสุทธิ์อันแข็งแกร่งไปให้ด้วยปราณบริสุทธิ์อันใสสะอาดนี้ ทำให้ลมปราณที่ปั่นป่วนอยู่ในร่างกายของฉินเหยี่ยนสงบลงอย่างช้า ๆทันใดนั้นฉินอู๋ต้าวก็ตบหน้าฉินเซียวอีกฝ่ายมิทันระวังจึงล้มลงกับพื้นก่อนที่เขาจะได้โต้ตอบ ฉินอู๋ต้าวก็ยกเท้าเตะเขาอย่างแรง“กตัญญูนัก เจ้าช่างกตัญญูเสียจริง ขยันสร้างปัญหามาให้ข้า เจ้าแทงน้องชายและใส่ร้ายพี่ของตน ข้าให้กำเนิดคนวิปริตเช่นเจ้ามาได้อย่างไรกัน!”เขาทั้งตำหนิทั้งเตะฉินเซียวจนจมูกช้ำหน้าบวม เป็นสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนใจอย่างยิ่งเมื่อเฉาฉุนเห็นเช่นนั้นจึงรีบโน้มน้าวอีกฝ่าย “ฝ่าบาททรงเย็นพระทัย ทรงเย็นพระทัยก่อนพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องหนิงทรงยังเยาว์และมิรู้ความ ฝ่าบาทค่อยทรงลงโทษเขาในภายหลังก็ได้ อย่าทรงพระพิโรธจนส่งผลเสียต่อพระวรกายเลยพ่ะย่ะค่ะ”“เขายังเยาว์และมิรู้ความรึ? เขาอายุเกือบสามสิบแล้ว ยังเยาว์อะไร? หากมิใช่เพราะเฉาฉุนขอร้องแทนเจ้า วันนี้ข้าจะจับเจ้าหักแข้งหักขาเสียให้หมด!”ฉินอู๋ต้าวตำหนิด้วยความโกรธและหยุดการกระทำตามที่เฉาฉุนแนะนำเขามองไปที่ฉินเหยี่ยนและพูดด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็ขมวดคิ้วแสดงความมิพอใจ แต่เขาก็มิได้พูดอะไรฉินเซียวใบหน้าซีดเซียว เขาทำสีหน้าขมขื่นและมิรู้ว่าจะพูดอะไรดีฉินอู๋ต้าวตำหนิอย่างเหลืออด “ยังจะยืนเหม่ออยู่อีก ไสหัวกลับจวนอ๋องหนิงของเจ้าไปเสีย และช่วงนี้ห้ามออกไปที่ใด มิเช่นนั้นหากฉินเหยี่ยนจะสังหารเจ้าจริง ๆ ข้าก็คงห้ามเขามิได้ เช่นนั้นก็อย่าได้ไปยืนเสนอหน้าให้คนทั้งใต้หล้าต้องหัวเราะเยาะ“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ กลับไปลูกจะอยู่แต่ในจวนและสำนึกในสิ่งที่เคยทำผิด เช่นนั้นลูกขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”ฉินเซียวโค้งคำนับด้วยความเคารพ พลางเหลือบมองฉงชูโม่ด้วยสายตาที่ซับซ้อนแล้วเดินออกไปหลังจากเห็นเขาจากไป ฉินอู๋ต้าวก็เก็บสีหน้าสายตาและถามเสียงเรียบ “ชูโม่ เจ้าคิดว่าข้าลำเอียงเกินไปหรือไม่?”ฉงชูโม่ตอบว่า “ฝ่าบาททรงห่วงใยใส่พระทัยแคว้นและราษฎร ข้าน้อยมิบังอาจพูดส่งเดชเพคะ”“เฮ้อ เรื่องเช่นนี้ข้าทำผิดต่อองค์รัชทายาทจริง ๆ เจ้าช่วยปลอบใจเขาแทนข้าด้วยเถอะ”“รับพระบัญชาเพคะ ข้าน้อยขอทูลลา”ฉงชูโม่ทำความเคารพเล็กน้อยแล้วเดินออกไประหว่างทางนางก็ดึงกริชเขี้ยวมังกรที่ปักอยู่กับเสาออกมาด้วยหลังจากที่นางจากไป ฉิน
ฉินซูเปิดกล่องไม้ในมือแล้วมองเข้าไปข้างใน เห็นเพียงขวดกระเบื้องขนาดเล็กที่ภายในบรรจุโอสถลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดถั่วนอกจากนั้น ยังมียันต์กระดาษสีเหลืองวางอยู่อีกสองสามแผ่นเมื่อเห็นดังนั้น เขาก็อดมิได้ที่จะพึมพำ “ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ มิบอกข้าสักคำว่ายันต์พวกนี้มีประโยชน์กระไรกันบ้าง มันน่านัก”เขายกยันต์ขึ้นมาแล้วเก็บไว้ในอกเสื้อจากนั้นก็รีบมุ่งหน้าไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่มิไกลหลังจากซื้อม้าชั้นดีตัวหนึ่งในเมืองแล้วก็ควบม้าห้อตะบึงตรงไปยังทิศทางของเป่ยเยี่ยนมิหยุดหย่อน......วันรุ่งขึ้นภายในเมืองหลวงจินหลิงแห่งเป่ยเยี่ยนหยวนหัวกำลังก้าวเดินด้วยมือไพล่หลังอย่างหยิ่งยโสไปตามถนนสายหลักของเมืองเมื่อเดินผ่านแผงลอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งก็เห็นเครื่องหยกบนแผงนั้นงดงามเป็นพิเศษ จึงหยิบขึ้นมาพินิจดูพ่อค้าเห็นว่าอาภรณ์ของเขามิธรรมดา จึงรีบกล่าวแนะนำว่า “คุณชายตาถึงมากขอรับ นี่คือเครื่องประดับที่แกะสลักจากหยกขาวมันแพะ ขายเพียงหนึ่งถึงสองตำลึงเงินเท่านั้นขอรับ”หยวนหัวมองเครื่องประดับในมือสองสามครั้ง แล้วกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ของมิเลว ข้าจะเอา”พูดจบ เขาก็ถือเครื่องหยกหันหลังเดินออกไปเมื่อ
“ดินแดนเป่ยเยี่ยนมีแต่อันตรายรอบด้าน พาเจ้าไปด้วยมีแต่จะทำข้าพะวง”“แต่คนมันอดคิดถึงพระองค์มิได้นี่เพคะ”เซี่ยหลานกอดฉินซูจากด้านหลังพลางซบใบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างหนาของเขาและสะอื้นไห้เบา ๆฉินซูอดใจอ่อนมิได้ จึงหันกลับไปโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน เขาเชยคางเรียวเล็กของนางขึ้นพร้อมจุมพิตลึกซึ้งจากนั้นฉินซูก็คิดจะหันหลังเดินออกไป แต่ก็กลับถูกเซี่ยหลานรั้งแขนไว้แน่นเห็นเซี่ยหลานแสดงสีหน้าอาลัยอาวรณ์ ดวงตาคู่งามที่มีน้ำตาคลอหน่วยมองเขาอย่างตัดพ้อ“ก็ได้ ช้านิดช้าหน่อยคงมิเป็นกระไรหรอก”ฉินซูตัดสินใจเด็ดขาด อุ้มเซี่ยหลานแล้วกระโดดขึ้นเตียงอย่างรวดเร็วเซี่ยหลานทั้งตกใจและดีใจ จากนั้นก็ให้ความร่วมมืออย่างชำนิชำนาญในห้องรับรองตำหนักบูรพา เหลยเจิ้นที่กำลังนั่งจิบชาคอยอยู่ ในขณะนั้นเองหูของเขาก็กระดิกเล็กน้อยแล้วตั้งตรงขึ้นวินาทีต่อมา เขาก็บ่นพึมพำออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ “คนหนุ่มสาวสมัยนี้ มิรู้จักแยกแยะเรื่องสำคัญเร่งด่วนกระไรกันเลย นี่มันเวลาไหนแล้วยังคิดถึงเรื่องนั้นอีก เฮ้อ”สองเค่อต่อมาฉินซูก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเขา “หัวหน้าโหรหลวง ออกเดินทางได้แล้ว”“องค์รัชทายาททรงมีกำลังวังช
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท