“เดิมสำนักหอดูดาวหลวงก็มีอำนาจประหารก่อนรายงานทีหลังอยู่แล้ว หากนางค้นพบหลักฐานความผิดของเฉินจางจริงก็ถือว่าเขาสมควรตาย แต่เฉินจางเป็นถึงผู้ว่าการมณฑล หลักฐานกระทำผิดจะถูกเปิดเผยง่าย ๆ ได้อย่างไร” “เช่นนั้นแล้วองค์รัชทายาทก็ยังให้กู้เสวี่ยเจี้ยนแอบไปสืบที่จวนผู้การมณฑลงั้นหรือเพคะ?” “นางเอาแต่พูดจ้อใส่หูข้ามิหยุด หูข้าแทบจะด้านอยู่แล้ว” เช่นนี้เซี่ยหลานถึงได้ยิ้มอย่างจนใจ “อารมณ์ของกู้เสวี่ยเจี้ยนนั้นยากที่จะคาดเดานักเพคะ ก่อนหน้านี้นางก็เย็นชาถึงเพียงนั้น” ฉินซูบ่นว่า “เย็นชาอะไรกัน อย่างนางเรียกว่าพวกซึนเดเระ” “ซึนเดเระหรือเพคะ?” เซี่ยหลานถามอยางสงสัย “องค์รัชทายาท ซึนเดเระหมายความว่ากระไรหรือเพคะ?” ฉินซูกำลังจะอธิบาย ตอนนี้เองตงฟางไป๋ได้เดินเข้ามา “องค์รัชทายาท มีคนด้านนอกนำจดหมายมาส่ง บอกว่ามอบให้ท่านขอรับ” ในขณะที่พูด ตงฟางไป๋ก็ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้ ฉินซูเปิดอ่านเพียงแวบเดียวก่อนกล่าวว่า “เซี่ยหลาน ข้าต้องออกไปทำธุระสักครู่ เจ้าอยู่ที่นี่ก่อน หากพวกเฉินจางถามถึงก็บอกว่าข้าออกไปเดินเล่น” “เพคะ องค์รัชทายาทโปรดทรงระวังตัวด้วย” ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อยแล้วออกไปพ
ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งตงฟางไป๋ว่า “เจ้านำคนจำนวนหนึ่งไปจับตาดูพ่อค้าขายข้าวในเมือง และต้องเฝ้าดูพวกเขาอย่างใกล้ชิด!” “น้อมรับพระบัญชา!” ตงฟางไป๋กำลังจะออกไป แต่กลับลังเลเล็กน้อยและถามว่า “องค์รัชทายาท หากข้าน้อยออกไปแล้ว ท่านเพียงพระองค์เดียว…” ฉินซูตอบอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่ว่าเจ้ามิรู้ถึงพลังของข้า จะกังวลอะไรอีก” ตงฟางไป๋หัวเราะอย่างจริงใจ “นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ เป็นข้าน้อยที่คิดมากไปเอง” ตอนนี้เอง สายตาของฉินซูเย็นเยียบในฉับพลัน มือใหญ่ของเขาคว้าออกกลางอากาศโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า! “ปัง!” ประตูถูกกระแทกจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ชายคนหนึ่งถูกฉินซูบีบคอไว้อย่างแน่นหนา! ชายผู้นี้คิ้วโก่งและตาเหมือนหนู มองปราดเดียวก็รู้ว่ามิใช่คนดี หลังจากถูกฉินซูบีบคอ เขาตกใจจนหน้าซีด แววตาเต็มไปด้วยความตื่นกลัว ฉินซูตะคอกถามว่า “เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ?” “ข้า… แค่ก ๆ…” ชายผู้นั้นพูดอย่างยากลำบาก ยังมิทันพูดจบประโยค ใบหน้าก็แดงก่ำฉินซูคลายมือเล็กน้อย ชายคนนั้นถึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง หลังจากตั้งสติได้ เขาพูดด้วยใบหน้าขมขื่นว่า “องค์รัชทายาท ข้าน้อยแค่ผ่านม
เขานั่งลงพร้อมใบหน้าที่สนใจใคร่รู้และเอ่ยถามว่า “พี่น้องทั้งหลาย ที่พวกท่านเพิ่งพูดคือความจริงงั้นหรือ?” คนเหล่านั้นเห็นว่าฉินซูสวมเสื้อผ้าหรูหรา ท่าทางมิธรรมดาจึงเริ่มทำหน้าระมัดระวังในทันใด หนึ่งในนั้นส่ายหน้าและปฏิเสธว่า “เมื่อครู่พวกเรามิได้พูดอะไรเลย…”ฉินซูยิ้มอย่างใจดีและพูดว่า “พวกท่านอย่ากังวลไปเลย ข้าคือคนต่างถิ่น เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกท่านพูดเช่นนั้นจึงรู้สึกสงสัยขึ้นมาเท่านั้นเอง” แต่ว่าคนเหล่านั้นยังเต็มไปด้วยความระแวดระวัง จึงไม่มีใครเปิดปากพูด เห็นท่าทีนั้น ฉินซูจึงหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมาจากอกเมื่อเห็นเงิน ดวงตาของพวกเขาก็ส่องสว่างทันที ชายหนุ่มร่างผอมผู้หนึ่งเอ่ยถามว่า “คุณชายท่านนี้ เงินนี้…ให้พวกเรางั้นหรือ?” “ถูกต้อง ขอเพียงพวกท่านสามารถตอบคำถามของข้าสองสามข้อตามความจริงได้ เงินนี้จะเป็นของพวกท่าน” ได้ยินแล้วพวกเขาต่างแลกเปลี่ยนสายตากันจากนั้นก็พยักหน้ารัว ๆ จากนั้นฉินซูจึงถามเข้าประเด็นทันทีว่า “เมื่อครู่พวกท่านเพิ่งพูดว่า ที่ว่าการมณฑลกักตุนข้าวของเหลียงโจวไว้ นั่นหมายความว่าอย่างไร?” คนเหล่านี้ถอนหายใจออกมาแล้วเริ่มเล่าเรื่องราว แท้จริงแล้ว ห
“จิ๊! ก็เป็นไปได้!”“ถูกต้อง มิเช่นนั้นใครจะใจกว้างขนาดนี้เพื่อสืบหาข้อมูลพวกนี้กันเล่า”“หากเป็นเช่นนั้นจริง ชีวิตที่สุขกายสบายใจของพวกขุนนางกังฉินอย่างเสินจางก็ใกล้จะถึงจุดจบแล้ว ถือว่าสวรรค์มีตาฟ้ามีใจโดยแท้!”ขณะที่พูดคุยกัน พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทว่าหลังจากที่ฉินซูออกมาจากโรงน้ำชา เขาก็มิได้กลับไป แต่เดินสอบถามไปตามถนนและเมื่อสอบถามข้อมูลมาได้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจสถานการณ์ในเมืองเหลียงโจวแล้วนอกเหนือจากอำเภอทั้งสามอันได้แก่เหรากู่ ฉงซานและเป่ยเซียงที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงจากภัยพิบัติครั้งนี้ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในอำเภอที่เหลือก็มิได้ร้ายแรงมากนัก โดยอาศัยการกักตุนข้าวในโรงนาของที่ว่าการอำเภอในแต่ละอำเภอ ราษฎรผู้ประสบภัยจึงสามารถรอดพ้นจากความอดอยากไปได้อย่างปลอดภัยฉินซูยังตามหาพ่อค้าเหล่านั้นโดยเฉพาะเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องที่ที่ว่าการอำเภอบังคับซื้อข้าวในราคาต่ำแต่พวกเขามีความกังวลบางอย่าง จึงมิได้ตอบกลับตรง ๆเมื่อเห็นสถานการณ์ ฉินซูก็รู้ว่าข้อมูลเหล่านี้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงแล้วหลังจากเดินเตร่ไปตามถนนได้สักพักเขาก็กลับมายังที่ว่าการมณฑลขณะเดียวกันห้อ
ฉินซูพยักหน้าอย่างมิหวั่น “ยากนักที่ใต้เท้าเฉินจะมีน้ำใจเช่นนี้ คืนนี้ข้าจะไปที่นั่นแน่นอน!”“ขอบพระทัยสำหรับพระกรุณา เช่นนั้นเหล่าข้าน้อยขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”เฉินจางโค้งคำนับด้วยความดีใจ จากนั้นจึงหันหลังกลับออกไปพร้อมกับโจวเซินและคนอื่น ๆทันทีที่พวกเขาออกไป ถานเหวยก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“องค์รัชทายาท เมื่อครู่ข้าน้อยเห็นพวกเขาทำสายตาล่อกแล่ก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องทำอะไรผิดมาแน่ อาจจะมีบางอย่างผิดปกติกับราคาที่พวกเขาเจรจากับพ่อค้าขายข้าวเหล่านั้น พวกเราจะมิสอบถามสักหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูยิ้มพลางส่ายหัว “ตอนนี้ปล่อยไปก่อน หากพวกเขากล้าที่จะโกยเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ข้าจะทำให้พวกเขาต้องกระอักเลือดออกมาสิบครั้งร้อยครั้ง”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถานเหวยก็ตกตะลึง จากนั้นดวงตาของเขาก็แวววาวคาดหวัง!ครึ่งวันถัดมา เฉินจางและคนอื่น ๆ ก็นำเงินห้าแสนตำลึงไปซื้อเสบียงระหว่างทางโจวเซินขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาสั่นไหวและมิรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เฉินจางถามอย่างสงสัย “ผู้ช่วยโจว เจ้าคิดอะไรอยู่ถึงได้ขมวดคิ้วเช่นนี้?”“ใต้เท้าเฉิน ข้าแค่คิดว่าทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นเกินไป องค์รั
ฉินซูโบกมือแล้วพูดว่า “แค่เรื่องเล็กน้อย มิควรค่าแก่การกล่าวถึงหรอก”“เรื่องขององค์รัชทายาทก็ถือเป็นเรื่องของข้าน้อย หากทรงต้องการให้ข้าน้อยรับใช้สิ่งใด องค์รัชทายาทก็หาอย่าได้เกรงพระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่มีปัญหา ๆ นี่ก็เลยเวลามามากแล้ว กินข้าวกันก่อนเถิด ข้าคิดว่าพวกเจ้าก็คงหิวแล้วเช่นกัน”“ที่องค์รัชทายาทตรัสก็ถือว่าถูก มาเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยขอเชิญท่านดื่มหนึ่งจอก”เฉินจางยกแก้วขึ้นเป็นสัญญาณ จากนั้นก็ดื่มสุราจนหมดในอึกเดียวฉินซูยิ้มบาง ๆ และดื่มด้วยเช่นกัน“หว่านเอ๋อร์ รีบรินสุราให้องค์รัชทายาทเร็วสิ”เฉินหว่านเอ๋อร์ส่งเสียงอืมตอบรับ จากนั้นก็หยิบไหเหล้าขึ้นมา พลางก้มลงและรินสุราให้กับฉินซูนอกจากนี้นางยังจงใจก้มต่ำมากกว่าปกติเพื่อให้ฉินซูสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามที่อยู่ภายในชุดกระโปรงของนางแบบเต็ม ๆ ตาได้อย่างง่ายดายเมื่อเซี่ยหลานเห็นภาพนั้น นางก็โกรธมากจนกัดฟันและนึกอยากจะเข้าไปตบเฉินหว่านเอ๋อร์สักฉาดสองฉาดการที่เห็นเฉินหว่านเอ๋อร์ยั่วยวนฉินซูอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ทำเอานางถึงกับโมโหขึ้นมาตอนนี้ที่โจวเซินกับคนอื่น ๆ ต่างดื่มอวยพรให้กับฉินซู ถานเหวยและคณะเดินทางก็ท
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฉินซูก็หยิบมาเปิดดู“ทำได้ดีมาก กินอะไรก่อนเถิด จะได้มิเป็นการดูถูกน้ำใจของใต้เท้าเฉิน”กู้เสวี่ยเจี้ยนเหลือบมองอาหารและสุราบนโต๊ะของทุกคนแล้วพูดเหน็บแนม “ราษฎรมากมายในเมืองขาดแคลนอาหาร แต่ใต้เท้าเฉินกลับมีข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ แม้แต่สุราก็ยังเป็นสุราชั้นดีอายุร้อยปี ฟุ่มเฟือยเสียจริงนะ”“ท่านใต้เท้าเสวี่ยเจี้ยน ข้าน้อยทำเช่นนี้ก็เพื่อต้อนรับองค์รัชทายาท หากเป็นปกติข้าน้อยคงมิกล้าทำเช่นนี้หรอกขอรับ”“จริงรึ? หึ ๆ เกรงว่าจะทำยิ่งกว่ายามปกติอีกกระมัง!”เฉินจางรีบอธิบาย “นี่… ท่านใต้เท้าเสวี่ยเจี้ยน ตำแหน่งขุนนางของข้าน้อยมิเกินขั้นสาม เงินประจำปีก็มิเกินร้อยตำลึง อีกทั้งเสบียงประจำเดือนก็ได้มิเกินสามสิบต้าน แล้วยามปกติข้าน้อยจะไปมีปัญญากินอาหารชั้นเยี่ยมเช่นนี้ได้อย่างไรเล่าขอรับ”“หึ ขุนนางกังฉินเยี่ยงเจ้าใกล้ตายแล้วยังจะกล้าเถียงข้าง ๆ คู ๆ ข้าจะตัดหัวคนชั่วช้าเช่นเจ้าทิ้งเสียเดี๋ยวนี้!”กู้เสวี่ยเจี้ยนชักกระบี่ออกมาเสียงดังกราวเฉินจางตกใจมากจนหน้าซีด เขารีบพูดกับฉินซู “องค์รัชทายาท โปรดรีบตรัสอะไรสักอย่างเถิดพ่ะย่ะค่ะ ท่านใต้เท้าเสวี่ยเจี้ยนคิดจะตัดหัวข้าน้อยทั
เฉินจางปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของตัวเองแล้วตอบอย่างใจเย็น “ทูลองค์รัชทายาท วันนี้ข้าน้อยซื้อเสบียงอาหารไปทั้งหมดหนึ่งหมื่นต้านพ่ะย่ะค่ะ”“เงินห้าแสนตำลึงซื้อเสบียงได้เพียงหนึ่งหมื่นต้านเองรึ?”ฉินซูแค่นเสียงเย็นและพูดต่อด้วยสายตาเย็นชา “เฉินจาง เสบียงในเมืองเหลียงโจวของพวกเจ้าขึ้นราคาแพงถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน หนึ่งต้านต่อห้าสิบตำลึงน่ะหรือ”ถานเหวยและคนอื่น ๆ ก็โกรธเช่นกันตามราคาตลาดปกติ เสบียงหนึ่งต้านจะมีราคาอยู่ที่ประมาณห้าตำลึงเท่านั้นแต่ราคาที่เฉินจางพูดมากลับเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า!ราคาที่ขัดกับความเป็นจริงเช่นนี้ชวนให้คนฟังตกใจกู้เสวี่ยเจี้ยนเอ่ยเหน็บ “เสบียงหนึ่งต้านราคาห้าสิบตำลึงรึ ใต้เท้าเฉิน เสบียงในเมืองเหลียงโจวของเจ้าทำจากทองคำหรือไรถึงได้แพงขนาดนี้ มิกลัวอิ่มจนท้องแตกตายหรือไร!”เฉินจางรีบอธิบาย “องค์รัชทายาท ท่านใต้เท้าเสวี่ยเจี้ยน พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยบอกว่าซื้อเสบียงมาหนึ่งหมื่นต้าน แต่มิได้บอกว่าใช้เงินบรรเทาภัยพิบัติไปทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น พ่อค้าขายข้าวก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว“ใช่ ๆ ๆ วันนี้พวกเราแค่ส่งมอบเสบียงหนึ่งหมื่นต้านให
ฉินซูเปิดกล่องไม้ในมือแล้วมองเข้าไปข้างใน เห็นเพียงขวดกระเบื้องขนาดเล็กที่ภายในบรรจุโอสถลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดถั่วนอกจากนั้น ยังมียันต์กระดาษสีเหลืองวางอยู่อีกสองสามแผ่นเมื่อเห็นดังนั้น เขาก็อดมิได้ที่จะพึมพำ “ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ มิบอกข้าสักคำว่ายันต์พวกนี้มีประโยชน์กระไรกันบ้าง มันน่านัก”เขายกยันต์ขึ้นมาแล้วเก็บไว้ในอกเสื้อจากนั้นก็รีบมุ่งหน้าไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่มิไกลหลังจากซื้อม้าชั้นดีตัวหนึ่งในเมืองแล้วก็ควบม้าห้อตะบึงตรงไปยังทิศทางของเป่ยเยี่ยนมิหยุดหย่อน......วันรุ่งขึ้นภายในเมืองหลวงจินหลิงแห่งเป่ยเยี่ยนหยวนหัวกำลังก้าวเดินด้วยมือไพล่หลังอย่างหยิ่งยโสไปตามถนนสายหลักของเมืองเมื่อเดินผ่านแผงลอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งก็เห็นเครื่องหยกบนแผงนั้นงดงามเป็นพิเศษ จึงหยิบขึ้นมาพินิจดูพ่อค้าเห็นว่าอาภรณ์ของเขามิธรรมดา จึงรีบกล่าวแนะนำว่า “คุณชายตาถึงมากขอรับ นี่คือเครื่องประดับที่แกะสลักจากหยกขาวมันแพะ ขายเพียงหนึ่งถึงสองตำลึงเงินเท่านั้นขอรับ”หยวนหัวมองเครื่องประดับในมือสองสามครั้ง แล้วกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ของมิเลว ข้าจะเอา”พูดจบ เขาก็ถือเครื่องหยกหันหลังเดินออกไปเมื่อ
“ดินแดนเป่ยเยี่ยนมีแต่อันตรายรอบด้าน พาเจ้าไปด้วยมีแต่จะทำข้าพะวง”“แต่คนมันอดคิดถึงพระองค์มิได้นี่เพคะ”เซี่ยหลานกอดฉินซูจากด้านหลังพลางซบใบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างหนาของเขาและสะอื้นไห้เบา ๆฉินซูอดใจอ่อนมิได้ จึงหันกลับไปโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน เขาเชยคางเรียวเล็กของนางขึ้นพร้อมจุมพิตลึกซึ้งจากนั้นฉินซูก็คิดจะหันหลังเดินออกไป แต่ก็กลับถูกเซี่ยหลานรั้งแขนไว้แน่นเห็นเซี่ยหลานแสดงสีหน้าอาลัยอาวรณ์ ดวงตาคู่งามที่มีน้ำตาคลอหน่วยมองเขาอย่างตัดพ้อ“ก็ได้ ช้านิดช้าหน่อยคงมิเป็นกระไรหรอก”ฉินซูตัดสินใจเด็ดขาด อุ้มเซี่ยหลานแล้วกระโดดขึ้นเตียงอย่างรวดเร็วเซี่ยหลานทั้งตกใจและดีใจ จากนั้นก็ให้ความร่วมมืออย่างชำนิชำนาญในห้องรับรองตำหนักบูรพา เหลยเจิ้นที่กำลังนั่งจิบชาคอยอยู่ ในขณะนั้นเองหูของเขาก็กระดิกเล็กน้อยแล้วตั้งตรงขึ้นวินาทีต่อมา เขาก็บ่นพึมพำออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ “คนหนุ่มสาวสมัยนี้ มิรู้จักแยกแยะเรื่องสำคัญเร่งด่วนกระไรกันเลย นี่มันเวลาไหนแล้วยังคิดถึงเรื่องนั้นอีก เฮ้อ”สองเค่อต่อมาฉินซูก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเขา “หัวหน้าโหรหลวง ออกเดินทางได้แล้ว”“องค์รัชทายาททรงมีกำลังวังช
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท