”ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!”หัวลูกศรลุกเป็นไฟพุ่งแหวกอากาศตรงไปยังเรือสินค้าดอกแล้วดอกเล่าในชั่วพริบตา กระสอบข้าวที่กองอยู่บนเรือก็ลุกไหม้ขึ้นทันที“มิดีแล้ว! พวกมันจุดไฟเผา รีบดับไฟเร็วเข้า!”เฉิงผิงตะโกนเสียงดัง พร้อมทั้งคว้าโล่หวายขึ้นมาแล้วพุ่งไปดับไฟเป็นคนแรกเมื่อเห็นเช่นนั้น คนอื่น ๆ ก็รีบเข้ามาช่วยดับไฟกันอย่างเร่งด่วนแต่ในเวลานี้ ลูกธนูเพลิงยังคงพุ่งมามิหยุด เมื่อพวกเขาดับไฟที่จุดหนึ่งได้ อีกจุดหนึ่งก็ลุกไหม้ขึ้นมาอีกเมื่อเห็นฉากนี้ สายตาของสวีหลายก็ฉายแววอาฆาตรุนแรง!ก่อนออกเดินทาง เขาได้สัญญากับฉินซูเอาไว้ว่า ตราบใดที่ตนยังอยู่ ข้าวจะต้องปลอดภัย!หากปล่อยให้พวกโจรจุดไฟต่อไป ข้าวจำนวนแปดพันต้านนี้จะต้องถูกเผาจนมิเหลือแน่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็ชักกระบี่ยาวออกมาจากฝัก พร้อมพูดเสียงหนักแน่นว่า “เฉิงผิง เจ้าคอยดูแลเรือสินค้าให้ดี ข้าจะลงไปฆ่าพวกมันเอง!”พูดจบ ร่างของเขาก็ขยับพลิ้วไหว กระโดดเพียงมิกี่ครั้งก็ลงไปถึงตลิ่งแม่น้ำกระบี่ในมือของเขากระตุกเบา ๆ ก่อนจะพุ่งตรงเข้าหาพวกโจรด้วยความรวดเร็วเฉิงอิงที่อยู่บนเรือเห็นเช่นนั้นก็คว้ากระบี่ขึ้นมา แล้วกระโดดลงไปช่วยทันทีอย่
จูฟางพูดด้วยสีหน้าขมขื่น "ข้ามิรู้จริง ๆ ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร..."“มิรู้แม้แต่ตัวตนของคนบอกข่าว เจ้าก็ยังเชื่อคำพูดเขาอย่างนั้นรึ?”“ท่านจอมยุทธ์ พวกเราเป็นโจรสลัด ได้ยินข่าวเช่นนี้ก็อดที่จะเชื่อมิได้อยู่แล้ว และเมื่อเรือของพวกท่านเทียบท่า คนของเราก็เห็นว่าบนเรือขนข้าวสารไว้จริง ๆ เราจึงกล้าลงมือเสี่ยงเช่นนี้”สวีหลายถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก "แล้วเจ้าจะหาตัวคนที่ปล่อยข่าวลือนั่นได้หรือไม่?"จูฟางได้แต่ยกมืออย่างจนใจ "ท่านจอมยุทธ์ คนผู้นั้นหายตัวไปนานแล้ว ข้าจะไปตามหาได้อย่างไร?"“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีประโยชน์ให้เก็บเจ้าเอาไว้!”สวีหลายขยับกระบี่ในมือ แผลยาวบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนลำคอของจูฟาง เลือดสดไหลรินออกมามิหยุด!จูฟางตกใจจนขาสั่น ปัสสาวะรดกางเกงด้วยความหวาดกลัว!เขารีบพูดขึ้น "โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดท่านจอมยุทธ์! ข้าจะหาตัวคนผู้นั้นมาให้ มิว่าจะยากเย็นเพียงใด ขอแค่ท่านไว้ชีวิตข้าเท่านั้น!""ดีมาก!"สวีหลายเก็บกระบี่ก่อนจะยื่นมือไปจับคางของจูฟาง และยัดยาสองเม็ดเข้าไปในปากจูฟางพยายามดิ้นรน แต่กลับเผลอกลืนยานั้นลงไปโดยมิตั้งใจเมื่อเห็นเช่นนั้น สวีหลายก็ปล่อยตัวเขาสีหน้าขอ
หลังจากตรวจนับสิ่งของแล้วก็พบว่าข้าวสารบนเรือมิได้เสียหายมากนักสวีหลายจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วสั่งว่า “รุ่งสางวันพรุ่งก็ไปซื้อข้าวสารในเมืองมาเสริมส่วนที่เสียหายคืนนี้ให้ครบ”ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งตอบรับด้วยความเคารพว่า “รับทราบ!"ตลอดคืนที่เหลือ สวีหลายทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าด้วยตัวเองโชคดีที่ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นอีกจนถึงรุ่งเช้าหลังจากที่ไปซื้อข้าวในเมืองกลับมาได้แล้ว เรือสินค้าก็ออกเดินทางต่อไปและมุ่งหน้าล่องใต้ไปตามแม่น้ำ……ในเวลาเดียวกันห่างออกไปทางทิศตะวันออกของเมืองหลงเฉิงราวหลายสิบลี้ อารามลอยฟ้าเสวียนคงบนภูเขาอันซานร่างสองร่างปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูวัดในสภาพค่อนข้างอิดโรยคนหนึ่งเป็นพระธุดงค์รูปร่างกำย ใบหน้าฉายแววเคร่งเครียดราวกับมีความแค้นฝังลึก มือถือไม้เท้าปราบมารอีกคนหนึ่งเป็นผู้เฒ่าอายุเกินหกสิบปี สวมชุดคลุมสีดำ ผมยุ่งเหยิงปล่อยกระเซอะกระเซิง มือถือไม้เท้าหัวมังกรปรากฏว่าพวกเขาก็คือคู่มู่และเย่ชางสิง!ทั้งสองเดินทางอยู่หลายวัน กว่าจะกลับมาถึงอารามลอยฟ้าเสวียนคงนักพรตที่กำลังกวาดลานวัดก็คำนับคูมู่แล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “ศิษย์คารวะอา
ก่อนที่คูมู่จะพูดจบ ผู้เฒ่าก็เตือนเขาว่า "คูมู่ ผู้ออกบวชมิพูดจาเท็จ รีบพูดความจริงมาเสียดี ๆ"น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบขึ้นกว่าเดิมคูมู่อธิบายด้วยสีหน้าขมขื่น "อาจารย์อา คนผู้นั้นเตือนศิษย์ไว้โดยเฉพาะว่า หากศิษย์เปิดเผยตัวตนของเขาออกไป เขาจะมิช่วยแก้ไขสิ่งที่เขาทำไว้"“ถ้าเช่นนั้น เจ้าจะมาหาอาตมาด้วยเหตุใด? รอให้คนผู้นั้นช่วยแก้ไขก็พอแล้วมิใช่หรือ”“อาจารย์อา คนผู้นั้นใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ศิษย์ แต่ศิษย์มิต้องการสมรู้ร่วมคิดกับเขา จึงต้องมารบกวนท่าน”ผู้เฒ่าส่ายหัวเล็กน้อย "เจ้าตั้งใจปิดบังอาตมา ข้อนี้อาตมามิถือโทษ แต่ถึงเจ้าจะพูดความจริง พลังนี้อาตมาก็มิอาจทำอะไรได้อยู่ดี"เมื่อได้ยินเช่นนั้น คูมู่ก็เผยสีหน้าหมดหวังเย่ชางสิงอดมิได้ที่จะพึมพำว่า "นึกว่าจะเป็นพระอริยะเสียอีก ที่แท้ก็แค่นี้เองรึ?"ยังมิทันที่เขาจะพูดจบ บรรยากาศรอบ ๆ ก็เย็นยะเยือกลงอย่างฉับพลันจนเขาต้องสั่นสะท้านเขาเหลือบมองไปทางผู้เฒ่า เห็นเพียงสายตาเย็นเยียบของอีกฝ่ายจ้องเขม็งมาที่ตนอย่างแน่วแน่หัวใจของเย่ชางสิงสั่นสะท้าน ความกลัวแผ่ซ่านไปจนถึงกระดูกเขารีบพูดออกมาด้วยความตกใจ "ท่านผู้อาวุโส อย่าเข้าใจผิด ข้
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาฉินซูดูแลจัดการเรื่องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในอำเภอฉงซานด้วยการสนับสนุนเสบียงข้าวที่เพียงพอ ชาวบ้านกว่าสองแสนคนในอำเภอฉงซานจึงมิต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไปอย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนน้ำเนื่องจากแม่น้ำกุ้ยฮวาเจียงแห้งขอดนั้นยังมิได้รับการแก้ไขวันนี้ที่ห้องประชุมใหญ่ของที่ว่าการอำเภอฉินซูสอบถามผู้ว่าการอำเภอ “ใต้เท้ากาน แม่น้ำกุ้ยฮวาเจียงของพวกท่านมีต้นน้ำอยู่ที่ใด?”กานรุ่ยตอบด้วยความเคารพ "กราบทูลองค์รัชทายาท แม่น้ำกุ้ยฮวาเจียงเป็นเพียงสาขาหนึ่งของแม่น้ำเหลียนเจียง โดยจุดที่ไหลมาบรรจบกันอยู่ที่ทางด้านเหนือห่างไปสามสิบลี้ที่เนินเขาสูง"“ในเมื่อแม่น้ำกุ้ยฮวาเจียงเป็นเพียงแม่น้ำสาขา แล้วมันจะแห้งแล้งได้อย่างไร? หรือว่าแม่น้ำเหลียนเจียงเองก็แห้งไปด้วย?”“มิใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ แม่น้ำเหลียนเจียงยังคงมีน้ำไหลอย่างอุดมสมบูรณ์ แต่เป็นเพราะชนเผ่าโครยอได้ทำการปิดกั้นทางน้ำสาขาที่แม่น้ำเชื่อมต่อเอาไว้ ข้าน้อยเคยส่งคนไปเจรจาหลายครั้งแล้วแต่ก็มิเป็นผลสำเร็จเลยสักครั้ง”ฉินซูแค่นเสียงอย่างเย็นชา "หึ! แค่ชนเผ่าตัวเล็ก ๆ ก็กล้าปิดกั้นแม่น้ำสาขาของต้าเหยียน ข้าเก
"ยังเหลืออีกสองลูก""นั่นก็เพียงพอแล้ว"หลังจากที่กู้เสวี่ยเจี้ยนพูดจบก็กอดกระบี่ยาวเอนตัวพิงประตูหลับตาพักผ่อนเซี่ยหลานพูดอย่างมิสบายใจ "องค์รัชทายาท ในเมื่อชนเผ่าโครยอกล้าตัดเส้นทางน้ำของแม่น้ำกุ้ยฮวาเจียงได้ แสดงว่าพวกเขาอาจมีเจตนาร้าย หากเกิดการต่อสู้ขึ้น พวกเราที่มีเพียงสิบกว่าคนจะเอาชนะได้อย่างไรเพคะ?"ฉินซูยิ้มอย่างมิใส่ใจ "วางใจได้ ต่อให้เกิดการต่อสู้ ก็มิได้หมายความว่าจะแพ้เสียหน่อย อีกทั้งข้าคือองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ หากพวกเขากล้าล่วงเกินเช่นนั้น มิกลัวหรือว่าราชสำนักจะส่งทหารมาเหยียบพวกเขาให้ราบเป็นหน้ากลองหรือไร?”“มิว่าอย่างไร ท่านก็ต้องระวังตัวด้วยเพคะ หม่อมฉันจะรอท่านกลับมา”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ออกเดินทางพร้อมกู้เสวี่ยเจี้ยนและถานเหวยก่อนที่กู้เสวี่ยเจี้ยนจะออกไป นางจ้องมองไปยังเซี่ยหลานพร้อมกับรอยยิ้มเย็นแฝงเลศนัยที่ชวนให้ครุ่นคิดเมื่อเห็นเช่นนี้ เซี่ยหลานก็อดขมวดคิ้วมิได้ มองมิออกว่าแววตาของกู้เสวี่ยเจี้ยนต้องการสื่อถึงสิ่งใดด้านนอกที่ว่าการอำเภอกานรุ่ยมาพร้อมกับทหารสิบนายและเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วฉินซูมิพูดพร่ำทำเพลง พลันโบกมือสั่งการ "ไปก
ทั่วป๋าชื่อหันไปถามทหารคนเดิม "รัชทายาทไร้ประโยชน์นั่นพาคนมาเท่าใด?""ท่านหัวหน้า พวกเขามากันเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น!”“ว่ากระไรนะ แค่สิบกว่าคน?”“ขอรับ อีกทั้งคนที่ติดตามมาด้วยก็เป็นเพียงเจ้าหน้าที่จากอำเภอฉงซาน หลายคนยังเป็นหน้าเดิมที่เคยเห็นกันอยู่แล้ว”ได้ยินดังนั้น ทั่วป๋าชื่อก็หัวเราะลั่นอีกครั้ง ฮ่าฮ่าฮ่า! รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดคนนั้นช่างกล้าจริง ๆ! แค่สิบกว่าคนก็กล้าบุกเข้ามาในชนเผ่าโครยอของข้า คิดว่าชนเผ่าโครยอของเรายังอ่อนแอเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อนหรืออย่างไร!”ผู้นำคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "ท่านหัวหน้า รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดคนนั้นกล้ามาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ คงต้องมีอะไรให้พึ่งพาอยู่เป็นแน่ เราอย่าประมาทเลย"ทั่วป๋าชื่อโบกมือไปมา เอ่ยอย่างมิเห็นด้วย “หึ ๆ เขาเป็นแค่รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลด จะมีอะไรให้พึ่งพาได้!"“ท่านหัวหน้า ข้าได้ยินมาว่า ช่วงนี้รัชทายาทเปลี่ยนไปมาก เมื่อมินานมานี้ในงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทฮองไทเฮา เขายังสามารถเอาชนะบัณฑิตของเป่ยเยี่ยนได้อย่างหมดจด แม้แต่ขุนนางอาวุโสของสำนักหอสมุดหลวงแห่งเป่ยเยี่ยนก็ยังแพ้ให้เขา"“เจ้าคิดมากไปแล้ว! เ
เมื่อบ้วนออกมา ปรากฏว่าเป็นเศษฟันหลายซี่!ทั่วป๋าชื่อโกรธจนตัวสั่น เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นยืน ฉินซูก็เอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบหน้าอกของเขาไว้!"ท่านหัวหน้า!!"หลังจากที่เหล่าผู้นำได้สติกลับมา พวกเขาทั้งหมดก็ชักดาบออกมาทันทีและจ้องมองไปยังฉินซูด้วยสายตาดุร้าย!เหล่าทหารที่เฝ้าประตูเมืองเห็นเหตุการณ์ก็ชักอาวุธเตรียมพร้อมทันทีเช่นกันเมื่อเห็นเช่นนี้ ถานเหวยก็ตะโกนด้วยเสียงเกรี้ยวกราด "บังอาจ! กล้าชักดาบต่อหน้าองค์รัชทายาท พวกเจ้าคิดจะทำอะไร ต้องการก่อกบฏรึ?"ผู้นำคนหนึ่งพูดด้วยเสียงหนักแน่น "ใต้เท้า พวกเรามิได้ตั้งใจหาเรื่อง แต่องค์รัชทายาทเป็นฝ่ายลงมือก่อน!"“ใช่แล้ว รีบปล่อยหัวหน้าของพวกเราเสีย มิเช่นนั้นอย่าหาว่าพวกเรามิเกรงใจ!"ฉินซูแสยะยิ้มเย็นชา สีหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน "พวกเจ้าจะลองดูก็ได้ว่าดาบของพวกเจ้าจะเร็ว หรือเท้าของข้าจะไวกว่า!"เมื่อพูดจบ เขาก็เพิ่มแรงกดเท้าลงไปอีกทันใดนั้นก็มีเสียง กร๊อบ ดังขึ้นจากกระดูกหน้าอกของทั่วป๋าชื่อเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ บรรดาผู้นำต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าหวาดหวั่น และรีบยอมแพ้ในทันที“องค์รัชทายาท หากมีอะไ
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ