เมื่อได้ยินคำพูดของซ่างกวนอวิ๋นซี ฉินซูก็มีหน้าเคร่งเครียดทันที!เขาคิดในใจว่า ข้าเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนอยู่ดี ๆ จะให้ไปเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์แห่งหอดารารักษ์ของเจ้าด้วยเหตุใด?เห็นข้าโง่หรือไร!เขาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด "เจ้าอย่ามาล้อเล่น ข้าเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ไม่มีทางไปเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์ของเป่ยเยี่ยนพวกเจ้าได้หรอก""พูดให้ถูกคือ บุตรแห่งนักปราชญ์แห่งหอดารารักษ์ต่างหาก!""หอดารารักษ์ของเจ้าก็เป็นของเป่ยเยี่ยน ข้ามิยอมรับอยู่แล้ว!"ซ่างกวนอวิ๋นซีส่งเสียงหึ กล่าวอย่างหยิ่งผยอง "เจ้าคิดว่า เจ้ามีสิทธิ์ปฏิเสธหรือ เมื่อข้าฝ่าผนึกในร่างกายได้ การจับเจ้ากลับไปก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก""วันนี้ข้าขอพูดไว้ตรงนี้ เจ้าต้องเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์แห่งหอดารารักษ์ มิอยากเป็นก็ต้องเป็น!"นางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว แสดงออกถึงความแข็งแกร่ง!มุมปากของฉินซูกระตุกเล็กน้อย หมดคำจะพูดหากซ่างกวนอวิ๋นซีฝ่าผนึกได้จริงและฟื้นพลังที่แข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัวนั้นกลับมา เขาก็ไม่มีทางต่อต้านได้ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเผชิญหน้ากับวรยุทธ์อันแท้จริง จะรักษาชีวิตไว้ได้หรือไม่
ซ่างกวนอวิ๋นซีเหลือบมองด้านหลังของฉินซูแวบหนึ่ง จากนั้นหลับตาลงอีกครั้ง ตั้งใจใช้พลังฝ่าผนึกในร่างกายผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูปซ่างกวนอวิ๋นซีลืมตาขึ้นทันที มองไปยังทิศทางที่ฉินซูจากไปด้วยสายตาคมกริบจากนั้นร่างของนางก็วูบหายไป เพียงพริบตาก็ไปปรากฏบนต้นไม้ใหญ่ด้านหน้าเมื่อมองไปรอบ ๆ บริเวณนี้ ไม่มีแม้แต่เงาของฉินซู!นางแค่นเสียงเย็นชา กล่าวด้วยจิตสังหารแรงกล้า "องค์รัชทายาทผู้รอวันปลด ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะหนีไปได้ถึงไหน!"พูดจบ นางก็กระโจนขึ้นไล่ตามไปข้างหน้าทันทีเวลาเดียวกันนั้นเอง ฉินซูวิ่งหนีจนสุดกำลัง มาถึงบริเวณรอบนอกของป่าเขาหยิบหน้ากากหนังบางเบาราวปีกแมลงทับออกมาจากอกเสื้อ สวมครอบใบหน้าอย่างคล่องแคล่วจากนั้นก็รีบกลับด้านเสื้อคลุม สวมใหม่อีกครั้ง พลิกโฉมกลายเป็นชายชราในชุดคลุมสีดำเมื่อมาถึงถนนหลวง เขาชะลอฝีเท้าลง เดินปะปนไปกับผู้คนบนท้องถนนมินานนักร่างของซ่างกวนอวิ๋นซีก็พุ่งออกมาจากป่า!เมื่อมาถึงถนนหลวง นางกวาดสายตาคมกริบไปตามผู้คนบนถนนเมื่อแน่ใจว่าไม่มีฉินซูอยู่ในนั้น นางก็กระโจนขึ้นเวหาติดตามไปข้างหน้ารอจนกระทั่งนางหายลับไปสุดสายตา ฉินซูที่ปลอมเป็นชายชราใน
ฉินซูรับจดหมายมาเปิดดู สีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวดูอัปลักษณ์เกินบรรยายเนื้อความในจดหมายเขียนว่า 'องค์รัชทายาทผู้รอวันปลด ข้ายังมีธุระด่วนต้องกลับเป่ยเยี่ยน ไม่มีเวลาเล่นแมวไล่จับหนูกับเจ้า ข้าจับตัวเด็กสาวจากสำนักหอดูดาวหลวงไว้แล้ว ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน หากเจ้ามิปรากฏตัวที่หอดารารักษ์ภายในเวลานั้น ก็เตรียมเก็บศพเด็กคนนั้นได้เลย!'ลงนาม ซ่างกวนอวิ๋นซี!หลังจากที่ฉินซูอ่านจดหมายจบ พ่อค้าคนนั้นก็ยื่นกระบี่ยาวให้เห็นเพียงปลอกกระบี่ประดับด้วยอัญมณีเจ็ดเม็ดเรียงกันเป็นรูปกลุ่มดาวหมีใหญ่!ที่ปลายด้ามกระบี่ยังมีน้ำเต้าหยกขาวเล็ก ๆ สองลูกห้อยอยู่ เป็นกระบี่ประจำตัวของกู้เสวี่ยเจี้ยน!ฉินซูถามด้วยเสียงเคร่งขรึม "คนที่ให้เจ้าส่งจดหมาย ตอนนี้อยู่ที่ใด?""เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน คนผู้นั้นให้เงินข้าสิบตำลึง ฝากข้าให้นำจดหมายและกระบี่เล่มนี้มาให้ท่าน พอนางให้ของกับข้าแล้วก็ขี่ม้าไปทางเหนือ บอกว่าจะกลับเป่ยเยี่ยน"เมื่อได้ยินพ่อค้าพูดเช่นนี้ สีหน้าของฉินซูก็นิ่งขรึมราวกับน้ำนิ่งกู้เสวี่ยเจี้ยนถูกซ่างกวนอวิ๋นซีจับตัวไปแล้ว แถมยังถูกพาตัวกลับเป่ยเยี่ยน!เขามิคาดคิดว่าเจ้าสำนักหอดารารักษ์จะใช้
ซ่างกวนอวิ๋นซียื่นนิ้วเรียวสวยแตะตัวกู้เสวี่ยเจี้ยนสองสามครั้งกู้เสวี่ยเจี้ยนก็กลับมาเคลื่อนไหวได้ แต่กำลังภายในทั้งหมดของนางยังคงถูกซ่างกวนอวิ๋นซีสะกดไว้นางขึ้นควบม้า พลางพูดประชดประชัน "เจ้าสำนักหอดารารักษ์ ยังต้องกักขังผู้ฝึกยุทธ์ระดับปฐพีขั้นกลางเช่นข้า หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปคงถูกคนหัวเราะเยาะน่าดู""หึ หากมิใช่เพราะอาจารย์ของเจ้ากดพลังของข้าไว้ ข้าจะใช้วิธีงุ่มง่ามเช่นนี้บีบบังคับฉินซูเพื่อการใด เจ้าอย่าพูดมาก หากกล้ายั่วโมโหข้า ข้าก็มิรังเกียจที่จะให้เจ้าได้รับความทุกข์ทรมานสักหน่อย""เจ้ากล้าหรือ? หากข้าเป็นกระไรไป ก็คอยดูเถิดว่าอาจารย์ข้าจะทำลายหอดารารักษ์ของพวกเจ้าหรือไม่""เจ้าก็ลองดูสิ!"เมื่อได้ยินเช่นนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ส่งเสียงหึเบา ๆ มิพูดอะไรซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวอย่างเย็นชา "เมื่อถึงหอดารารักษ์ ข้าจะรับรองเจ้าอย่างดี ขอเพียงฉินซูมาตามนัด ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป!"กู้เสวี่ยเจี้ยนเลิกคิ้วถาม "แล้วหากฉินซูมิมาเล่า?""เช่นนั้นเจ้าก็ตายไปเสีย!""เขาเป็นองค์รัชทายาท หากมิได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท เขาจะออกจากต้าเหยียนได้อย่างไร ยิ่งมิต้องพูดถึงการไปเป่ยเยี่ยน!""ข้าให
เสียนเฟยขมวดคิ้ว ถามว่า "เซียวเอ๋อร์ มีเรื่องกระไรตกอกตกใจขนาดนี้ เกิดกระไรขึ้นกันแน่?""หมู่เฟย เมื่อหลายวันก่อน ลูกเขียนจดหมายถึงหัวหน้าชนเผ่าโครยอ ทั่วป๋าชื่อ ให้เขาลงมือลอบกำจัดองค์รัชทายาทที่รอวันปลด แล้วให้สัญญาว่า เมื่อลูกได้ขึ้นครองราชย์ จะยกเมืองสองเมืองให้เผ่าของพวกเขาฟื้นฟูแคว้นผลคือเมื่อครู่ลูกได้รับข่าว ทั่วป๋าชื่อถูกฉินซูกำจัดไปแล้ว ซ้ำร้ายจดหมายที่ลูกเขียนก็ตกไปอยู่ในมือของฉินซู...""ว่ากระไรนะ?!"เสียนเฟยตกใจผุดลุกขึ้น พลันถามเสียงดัง "เซียวเอ๋อร์ เจ้าทำกระไรลงไป ชนเผ่าโครยอเป็นเผ่าใต้อาณัติของต้าเหยียน เจ้ากล้าเขียนจดหมายถึงหัวหน้าของพวกมัน? ไหนยัง… ยังให้เขากำจัดฉินซูอีก เจ้า..."นางพูดยังมิทันจบ ก็รู้สึกแน่นหน้าอกพร้อมด้วยร่างที่สั่นเทาเมื่อเห็นดังนั้น ฉินเซียวก็รีบเข้าไปประคอง "หมู่เฟย ท่านเป็นกระไรหรือไม่ อย่าได้บันดาลโทสะเลยพ่ะย่ะค่ะ หากท่านประชวรจะเป็นเรื่องใหญ่""เจ้าลูกมิรักดี เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้าจะมิโกรธได้อย่างไร? ปกติเจ้าออกจะฉลาด ไฉนถึงทำผิดพลาดโง่ ๆ เช่นนี้!"เสียนเฟยยิ่งพูดก็ยิ่งเดือดดาล และตบหน้าฉินเซียวฉาดหนึ่งฉินเซียวพูดอย่างมิยอมแพ้ "
หลังจากเขาออกไป เสียนเฟยก็พูดกับนางรับใช้ข้างกายว่า "ไป ไปเชิญขันทีเกามาพบข้าที""เพคะ!"นางรับใช้รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็วหนึ่งเค่อต่อมาขันทีรูปร่างปานกลาง อายุประมาณห้าสิบปีก็เดินเข้ามาคนผู้นี้มีนามว่า เกาส่วง เป็นหนึ่งในขันทีผู้ดูแลสำนักขันทีฝ่ายพิธีการหลังจากเขามาถึงตำหนักอวี้จ้าว ก็คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม "ข้าน้อยขอคารวะพระสนมเสียนเฟย"เสียนเฟยโบกมือ "ลุกขึ้นเถิด""ขอบพระทัยพระสนมเสียนเฟย มิทราบว่าพระสนมเรียกข้าน้อยมา มีบัญชากระไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?"เสียนเฟยมิได้ตอบ แต่พยักหน้าให้นางรับใช้ผู้นั้นเล็กน้อยนางรับใช้ถอยออกไปอย่างรู้ความ ยังปิดประตูก่อนจากไปด้วยเมื่อเห็นดังนั้น เกาส่วงก็มีสีหน้าเคร่งขรึม พลางเอ่ยถามเสียงเบา "พระสนม มีข่าวจากหวงเฟิงส่งกลับมาหรือพ่ะย่ะค่ะ?""หวงเฟิงตายแล้ว""ว่ากระไรนะพ่ะย่ะค่ะ?!"เกาส่วงมีสีหน้าประหลาดใจ และพูดพึมพำ "หวงเฟิงมีพลังระดับสวรรค์ครึ่งขั้น ด้วยพลังเช่นนั้น นอกจากจะมิสำเร็จแล้วยังถูกฆ่าตายอีก เป็นไปได้อย่างไรกัน?""หึ แม้แต่บุตรแห่งนักปราชญ์และผู้อาวุโสหอดารารักษ์ยังตายด้วยน้ำมือฉินซู หวงเฟิงถูกฆ่าตาย เจ้ายังคิดว่ามีกระไรที่เป็นไ
ฉินหยางถามต่อ "เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?""ข้าก็มิทราบรายละเอียด ข้าก็เพิ่งได้รับข่าวมินานมานี้เอง"ฉินหยางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "ที่พวกเขาหายตัวไปกะทันหัน คงจะมิใช่ถูกคนขององค์รัชทายาทจับตัวไปหรอกใช่หรือไม่?"ฉินหงส่ายหน้าน้อย ๆ "คงเป็นไปได้ยาก ท้ายที่สุดพวกเขาก็แค่ปล่อยข่าวเรื่องเรือสินค้าให้คนบางกลุ่มรู้ ส่วนคนที่เผยแพร่ข่าวออกไปจริง ๆ คือคนอื่น แม้ว่าองค์รัชทายาทจะรู้เรื่องเข้า ก็มิน่าจะตามสืบมาถึงตัวพวกเขาเร็วเช่นนี้""กันไว้ดีกว่าแก้ คนเหล่านั้นเป็นคนสนิทของเรา หากพวกเขาตกไปอยู่ในมือฉินซู พวกเราได้เจอปัญหาใหญ่เป็นแน่""ข้าถึงได้มาปรึกษาเจ้าเรื่องนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือเพิ่มกำลังคนออกไปตามหาพวกเขา แล้วฆ่าปิดปากเสีย เพื่อป้องกันปัญหาในภายหลัง"ฉินหยางพยักหน้า "ได้ ข้าจะให้ผู้ดูแลในวังนำคนไป เจ้าจะให้คนของเจ้าออกเดินทางเมื่อไร?""รออยู่ข้างนอกแล้ว!""ดี ถ้าเช่นนั้นอย่ารอช้า ให้พวกเขาออกเดินทางเลย"จากนั้น คนสนิทของจวนอ๋องซิ่นและจวนอ๋องฉีก็นำผู้ใต้บังคับบัญชาลงใต้ มุ่งหน้าไปยังเหยี่ยนโจว......สำนักหอดูดาวหลวงเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องโถงชั้นบนสุดในตอนนั้นเอ
เหลยเจิ้นโบกมือปัดรำคาญ กล่าวว่า "ไปเถอะ ตั้งใจฝึกฝนให้ดี ข้าหวังว่าเจ้าจะสร้างชื่อในการประชุมระหว่างแคว้นในอีกมิกี่เดือนหน้าข้าง""เช่นนั้นข้าไปก่อน"จีอันพูดจบก็หันหลังเดินจากไปเหลยเจิ้นยกมือขึ้นค้ำหน้าผาก ขณะมองดูแผ่นหลังของเขา รู้สึกปวดหัวมากจีอันมีสายเลือดของชือโหยว หากปลุกพลังได้มากขึ้นก่อนการประชุมระหว่างแคว้น ต้าเหยียนก็จะมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยที่จะก้าวเข้าสู่ยี่สิบอันดับแรกแต่จีอันผู้นี้เป็นคนใจร้อน และถูกกระตุ้นจากภายนอกได้ง่าย ดังนั้นแม้ว่าคุณสมบัติและศักยภาพจะดีมากแต่วรยุทธกลับมิกระเตื้องขึ้นเท่าที่ควรในช่วงตลอดหลายปีหากเขาตั้งใจฝึกฝนได้สักสองสามเดือน จะสามารถเทียบเคียงกับการฝึกฝนอย่างหนักของตู๋กูโฉ่วเยวี่ยและกู้เสวี่ยเจี้ยนเป็นเวลาหลายปีจีอันผู้นี้คือคนที่เหลยเจิ้นหวังพึ่งมากที่สุดในสนามประลองของการประชุมระหว่างแคว้นหลังจากมองส่งจีอันเดินจากไป เขายกมือขึ้นร่าย ปล่อยลำแสงสายหนึ่งออกมาในความว่างเปล่าเบื้องหน้าแสงสีขาวกระจายออกในอากาศ จากนั้นร่างของกู้เสวี่ยเจี้ยนก็ปรากฏขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ในภาพ กู้เสวี่ยเจี้ยนกำลังกินดื่มอย่างเอร็ดอร่อย มีสาวใช้สอ
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ