เหมยซูหนี่ว์เดินเข้างานมาอย่างเฉิดฉาย พร้อมกับทุกสายตาที่มองนางเป็นตาเดียว เพราะความหรูหราของชุดที่นางใส่ ทั้งตัวประดับด้วยเครื่องเงิน ตัดกับชุดสีฟ้าสดที่นางสวมใส่ วันนี้นางไม่ใส่ผ้าคลุมหน้าแล้ว ทำให้เผยโฉมหน้าที่งดงาม หน้าเรียวรูปไข่ ปากอิ่มอวบแต้มชาดสีแดงสด เพื่อให้ตัดกับเครื่องประดับและชุด ทำให้เหล่าบรรดาบุรุษส่วนใหญ่ในท้องพระโรงล้วนสนใจมองมาที่นางเหมยซูหนี่ว์เห็นเป้าหมายแล้ว นางจงใจส่งสายตาและยิ้มหวานส่งให้เขา แต่คนที่พยักหน้าให้นาง คือเสนาบดีจิ้งที่ยืนข้างๆ เขาแทน นางหงุดหงิดเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งประจำที่“อ้อนั่นองค์หญิงแคว้นเซี่ยหนาน ที่เค้าร่ำลือว่างามล่มเมือง พี่หก ท่านว่า นางงามเช่นนั้นจริงหรือไม่”“งามก็งาม แต่ดูแล้ว งามเพราะเครื่องแต่งกายมากกว่า งดงาม แต่ดูร้ายอย่างไรพิกล”“จะว่าไป ข้าว่า พี่สะใภ้ งามกว่านางเยอะเลยนะเพคะ”“องค์หญิงทรงล้อเล่นแล้วเพคะ”“นั่นสิน้องแปด เจ้าพูดถูกนะ พี่สะใภ้ไม่ได้แต่งมากเหมือนนาง ยังงามกว่าขนาดนี้ ถ้าได้แต่งเพิ่มอีกนิด ข้าว่านางคงงามไม่ถึงครึ่งของท่านหรอก”“พวกท่านอยากทานขนมสินะเพคะ หม่อมฉันไม่หลงกลหรอกนะเพคะ”“ฮ่าๆ พี่สะใภ้ เราไม่ได้ยกยอท่า
ซีเฟยเงยหน้ามามองพระสวามี“ด้วยตำแหน่ง และบรรดาศักดิ์ของพระองค์ เดิมทีก็ต้องเป็นแบบนั้น เหมือนเสด็จพ่อของหม่อมฉัน ที่มีทั้งเสด็จแม่ และพระสนมหลายคน”“ข้ามีเจ้าเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ข้าไม่ต้องการพระชายารอง สนม หรืออนุอะไรอีก เจ้าไม่ควรเอาเรื่องไร้สาระนั่นมาใส่ใจนะ เพราะข้า ไม่เคยคิดจะแต่งตั้งพระชายาเพิ่ม”“แต่หากเสด็จพ่อประทานให้ พระองค์ก็ไม่อาจขัด”“ไม่หรอก เสด็จพ่อไม่เคยทำอะไรโดยที่ไม่ปรึกษาข้า ยิ่งไม่เคยข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้าแบบนี้ พระองค์ยิ่งไม่ทำ”“แต่ตอนนั้น เสด็จพ่อส่งราชโองการเรื่องอภิเษกของเราไปให้ท่านนะเพคะ นั่นก็เป็นการบังคับพระองค์เช่นกัน”“นั่นแหละ เหตุผลที่พระองค์จะไม่ทำอีก ครั้งนั้น คือครั้งเดียวที่พระองค์จำเป็นต้องทำ โดยไม่ได้ปรึกษาข้าก่อน พระองค์เองก็ถูกบรรดาเหล่าขุนนางกดดันให้ต้องตัดสินพระทัย เลือกใครสักคนที่จะอภิเษก ตอนนั้นน้องห้ายังศึกษาอยู่ น้องสี่ก็อายุยังน้อย ส่วนพี่ใหญ่ข้า เขากับชิงอี้เหนียงกำลังจะทำการหมั้นหมายกัน ข้าจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในเวลานั้น พระองค์ไม่มีทางเลือกเพราะเรื่องนั้นทำให้พระองค์รู้สึกผิดกับข้ามาโดยตลอด แต่พอเรื่องของเจ้า ในท้องพร
“โอ้ ข้าต้องขออภัยพวกท่านทั้งสองด้วยนะ ข้าก็คิดว่าเสียงสุนัขกัดกัน จึงให้พวกขันทีเอาน้ำมาสาด ไม่คิดว่าจะเป็น....”“หยาบคายยิ่งนัก เจ้าเป็นใครกัน กล้ามาทำกับแขกของฮ่องเต้แบบนี้งั้นหรือ”“ขออภัยจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยไม่ทราบว่าพวกท่านคือใครกัน”“ข้า องค์หญิงเหมยซูนี่ว์แห่งแคว้นเซี่ยหนาน เจ้าเป็นใคร ยศอะไร บอกข้ามา พรุ่งนี้ข้าจะได้แจ้งฝ่าบาท ว่าเจ้าบังอาจมาล่วงเกินข้า”“โอ้ๆๆ องค์หญิง โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย เพียงแต่ ตอนนี้มันยามวิกาลแล้ว และเป็นเวลาที่องค์ไทเฮาจะสวดมนต์ หากพวกท่านยังส่งเสียงรบกวนพระนางล่ะก็ ข้าว่า คืนนี้ พวกท่านอาจจะได้ไปทะเลาะกันต่อในคุกหลวงนะ”“นี่เจ้ากล้าขู่ข้างั้นหรือ”“โอ้ๆๆ ข้าน้อยมิกล้า มิกล้า แต่แค่เตือนพระองค์ ข้ารับคำสั่งมาจากไทเฮา ให้มาดูว่ามีเสียงเอะอะอะไร ถ้างั้น ข้ากลับไปทูลพระองค์ก่อนก็แล้วกัน”“เจ้าหยุดนะ รอก่อน ไม่ต้องไปทูล ข้าหยุดแล้ว นังบ้านนอก ฝากไว้ก่อนเถอะ”“นังคนป่าเถื่อน ไร้มารยาท ไร้การอบรม ครั้งหน้าข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ เจ้าไม่รอดแน่”“ฝันไปเถอะ นังสารเลว”“นี่เจ้า”“เอาล่ะๆ พวกท่านยังไม่หยุดใช่หรือไม่ ข้าจะได้พาพวกท่านไปพบไทเฮาทั้งคู่เลย”""หย
ซีเฟยถึงกับแปลกใจ ท่านอ๋องไม่เคยมีท่าทีแบบนี้กับนางมาก่อน เขาแทบจะไม่เคยใส่ใจความรู้สึกใครเลยด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้ ถึงขั้นยอมง้อนาง แต่นางจะพูดเรื่องนี้ออกไปอย่างไร ในเมื่อมันก็ยังเป็นแค่ความกังวลใจเล็กๆ ของนางเท่านั้น“ไม่มีอะไรเพคะ พระองค์ไม่ไปห้องหนังสือหรือเพคะ”“ไม่ล่ะ วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ไหนๆ เจ้าก็ออกไปเที่ยวกับข้าไม่ได้แล้ว เราก็นอนพักผ่อนอยู่ที่นี่แหละ แต่แค่ช่วงกลางวันนะ คืนนี้ ต้องกลับไปที่ห้องของเราแล้ว”ซีเฟยรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา จริงๆ นางไม่ควรเอาความไม่สบายใจเหล่านี้ มาสาดใส่ผู้ที่ไม่รู้เรื่องอย่างพระสวามีของนาง มันจะทำให้ชีวิตคู่แย่ลงกว่านี้ นางเองก็ไม่ควรทำตัวแบบนี้ ซีเฟยค่อยๆ หันมาหาเขา ซุกหน้าเข้าไปที่หน้าอกอุ่นๆ ของเขา เขากระชับตัวนางเข้ามาชิดมากขึ้น“เพคะ”“นอนเถอะ ข้าจะนอนเป็นเพื่อน ยังปวดท้องอยู่หรือไม่”“ไม่แล้วเพคะ”“พักเถอะ จะได้หายปวด”ชินอ๋องก้มลงจูบหน้าผากนางเบาๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะผล็อยหลับไป ชินอ๋องเองก็รู้สึกเพลียไม่น้อยที่ต้องไปยืนรับแขกตั้งแต่เช้า เขาแทบจะหลับไปก่อนซีเฟยเสียด้วยซ้ำไป ซีเฟยเอง ก็เริ่มดีขึ้น หลังจากได้กินยาเข้าไป และเพราะฤทธิ์ยา จึงทำให้น
เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับจากด้านใน ชินอ๋องจึงถือวิสาสะ ค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป และเดินไปหาซีเฟยที่นั่งเขียนบางอย่างอยู่ที่โต๊ะหนังสือของนางเขาค่อยๆ เดินเข้าไป นั่งใกล้ๆ นาง และโอบกอดนางจากด้านหลัง สูดกลิ่นหอมจากกายนาง“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ”“หม่อมฉันกำลังเขียนรายการสั่งซื้อยาชุดใหม่เพคะ เอาไปให้ที่กองทัพ กับค่ายผู้อพยพ”“เหตุใดเจ้าไม่ให้อันเหมยทำล่ะ”“สมุนไพรบางตัวต้องสั่งจากที่อื่น ข้าต้องฝากให้พี่เยว่เทียน ส่งไปสั่งให้ที่แคว้นเยี่ยน ให้สหายของเขาช่วยหาให้เพคะ”เมื่อชินอ๋องได้ยินชื่อเยว่เทียน เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่ก็ยังไม่กล้าว่าอะไร“เจ้าเอารายการยามาให้ข้าก็ได้ ข้าก็มีสหายอยู่ทางเหนืออยู่มาก ข้าให้เขาช่วยจัดหาได้”“ไม่รบกวนพระองค์ดีกว่าเพคะ ข้าให้พี่เยว่เทียน เป็นผู้จัดหาเป็นประจำอยู่แล้ว เขารู้แหล่งเป็นอย่างดีเพคะ”“ทำไมเจ้าถึงติดต่อกับเขาอีกแล้วล่ะ เจ้าก็รู้ว่า …..”ซีเฟยหันหน้ามามองเขา ทำให้เขารีบหุบปาก เพราะสายตานางตอนนี้ ยากที่จะคาดเดาอารมณ์“เฟยเฟย เจ้าเป็นอะไรไป หงุดหงิดอะไรอยู่หรือ ไปเดินเล่นในเมืองกับข้าดีหรือไม่ เจ้าไม่ได้ไปเที่ยวมาสักพักแล้วนี่ ตอนนี้แผลก็หายแล้ว ไข้
วันนี้ในเมืองหลวงคึกคักตั้งแต่เช้า เนื่องจากขบวนเสด็จจากหลากหลายแคว้นที่ต่างเริ่มเดินทางมาถึง รวมถึงแคว้นเซี่ยหนาน ที่ขบวนและคณะเดินทางดูจะยิ่งใหญ่ และสะดุดตากว่าทุกที่ ทั้งชุดเครื่องแต่งกายที่สวมกันมาที่มีสีสันสดใส เครื่องประดับเงินที่ส่งเสี่ยงเวลาเดิน ชายที่สวมแค่เสื้อคลุม และสวมหมวกใบเล็กๆ ประดับบนศีรษะ ในเกี้ยวที่พวกเขาแบกมานั้นมีรูปทรงคล้ายๆ กระโจมฟักทองใบย่อมๆ มีผ้าโปร่งๆ คล้ายผ้าม่านบดบังผู้ที่นั่งอยู่ด้านใน ผู้คนต่างพยายามมองเข้าไปให้เห็นผู้ที่นั่งอยู่ในเกี้ยวว่าจะงดงามเพียงใด เพราะเกี้ยวตกแต่งมาอย่างสวยหรูเมื่อขบวนต่างๆ ผ่านพ้นเขตในเมืองไป ก็จะมุ่งไปสู่ที่เดียวกันคือวังหลวง ที่จะเป็นที่พำนักสำหรับแขกทุกคนที่มาร่วมฉลองงานพระราชพิธีวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ แคว้นเยี่ยนก็เป็นหนึ่งในขบวนนี้ที่เข้าวังมาพร้อมกัน ซีเหมยนั่งอยู่ในเกี้ยว ที่จัดเตรียมไว้เพื่อสตรีโดยเฉพาะ และแต่ละขบวน ต้องลงมารับการต้อนรับจากคณะทูตที่มารอต้อนรับองค์รัชทายาท ชินอ๋อง องค์ชายสี่ และองค์ชายห้า และคณะทูตอีก สามคน มารอรับพระราชอาคันตุกะของฮ่องเต้ คณะทูตจะประกาศแจ้งว่าแขกเหล่านั้นมาจากที่ใด และท่านทูตอ