“คารวะท่านกั๋วกงขอรับ/เจ้าค่ะ” ทุกคนต่างค้อมตัวคำนับเฒ่าชราที่นั่งยิ้มอยู่ในห้องโถงรับแขกขนาดใหญ่ของจวนหลัก
“พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของพวกเจ้าเองนะ ข้าเตรียมบ่าวรับใช้ให้พวกเจ้าประจำเรือนเอาไว้แล้ว อยากได้สิ่งใดก็บอกพวกเขาได้ ขอบคุณที่ให้เกียรติจวนกั๋วกงของข้าได้ดูแลพวกเจ้าระหว่างการแข่งขัน” เจิ้งกั๋วกงกล่าวอย่างอารมณ์ดี
“ท่านกั๋วกงกล่าวหนักไปแล้วขอรับ เป็นพวกเราต่างหากที่มารบกวน” หลินเหวินป๋อตอบอย่างนอบน้อม
“ท่านตา นี่เป็นเพื่อน ๆ ของข้าจากสำนักเจ้าค่ะ”
เจิ้งหลินแนะนำทุกคนให้เจิ้งกั๋วกงรู้จักพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนที่ถูกเจิ้งหลินเรียกชื่อต่างยืนขึ้นคำนับเจิ้งกั๋วกงอย่างมีมารยาท ส่วนสัตว์อสูรของพวกเขานั้นรออยู่ที่ลานหน้าห้องโถงเพื่อไม่ให้ที่นี่แออัดนัก มีเพียงเสี่ยวจู้ตัวน้อยของเจิ้งหลินที่ถูกเจิ้งกั๋วกงอุ้มเล่นและหยอกล้ออยู่เท่านั้นที่อยู่ในห้องโถงแห่งนี้“ยินดีต้อนรับทุกคนสู่จวนกั๋วกงนะ อีกสามวันข้างหน้าจะเป็นวันประลองแล้ว ช่วงนี้พวกเจ้าก็พักผ่อนที่นี่อย่างสบายใจเถิด ค่ำนี้ข้าสั่งคนเตรียมงานเลี้ยงเล็ก ๆ เพื่อต้อนรับพวกเจ้าที่สวนด้านหลัง พวกเจ้าอยากพักผ่อนกันก่อนหรือไม่เล่า”
“พวกเราไม่เหนื่อยขอรับ/เจ้าค่ะ” ทุกคนตอบกลับเสียงดังอย่างร่าเริง
“ดี ดี ฮ่า ฮ่า มีคนเยอะ ๆ เช่นนี้ก็ดี จวนของข้าเงียบเหงามานานแล้ว มีแขกมาเยือนบ้างทำให้คนแก่อย่างข้ามีความสุขนัก พ่อบ้านใหญ่ งานเลี้ยงจัดเตรียมเรียบร้อยหรือยัง”
“เรียนนายท่าน ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ เชิญทุกท่านไปยังสวนด้านหลังได้เลย”
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ กินให้เต็มที่อย่าได้เกรงใจ ข้าสั่งคนเตรียมอาหารขึ้นชื่อของเมืองหลวงเอาไว้ให้ทุกคนมากมายเลยเชียวล่ะ ฮ่า ฮ่า”
เจิ้งกั๋วกงกล่าวอย่างอารมณ์ดีแถมยังไม่ยอมวางเสี่ยวจู้ลงอีก ดูท่าเขาจะถูกหมูน้อยน่ารักของหลานสาวตกเข้าเสียแล้วคนอื่น ๆ เดินตามหลังไปพร้อมกับมองรอบ ๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ ทุกคนไม่คิดว่าที่จวนกั๋วกงนี้จะหรูหราหมาเห่าแทบจะเทียบเท่าตำหนักของเหล่าราชวงศ์เลยทีเดียวเชียว แล้วจะไม่ให้พวกเขาที่อยู่แต่ในสำนักตื่นเต้นได้อย่างไรงานเลี้ยงอาหารเย็นครั้งนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศชื่นมื่น พ่อบ้านใหญ่ยังจ้างนักแสดงมาร้องรำทำเพลงเพื่อผ่อนคลายให้ทุกคนรับชมด้วย เจิ้งกั๋วกงยังชวนทุกคนพูดคุยอย่างเป็นกันเอง อีกทั้งยังฝากฝังหลานสาวคนเดียวให้พวกเขาช่วยดูแลหลังงานเลี้ยงจบลงในยามค่ำ บ่าวประจำเรือนเป็นผู้นำทางแขกไปยังเรือนพักที่จัดเอาไว้ให้แขกแต่ละคน ส่วนเจิ้งหลินกับเสี่ยวจู้ก็แยกไปที่เรือนของนางซึ่งอยู่ติดกับเรือนหลักของท่านตาเช่นกันเช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนต่างมาร่วมทานอาหารที่เรือนหลักหลังจากได้พักผ่อนในที่นอนนุ่ม ๆ เสียที เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้พวกเขาทำเพียงนอนกันในรถม้าเท่านั้นมาตลอดทาง“วันนี้พวกเจ้าอยากไปเดินเล่นในเมืองหลวงกันหรือไม่?” เจิ้งกั๋วกงเอ่ยถาม
“ที่นี่มีร้านค้าอาวุธดี ๆ อยู่หรือไม่ขอรับท่านกั๋วกง” ต้วนหยงเอ่ยถาม เขาอยากได้กระบี่ใหม่สักเล่มสำหรับการแข่งขันครั้งนี้
“แน่นอนว่ามี หากพวกเจ้าอยากได้สิ่งใดก็บอกบ่าวได้เลย ให้ร้านค้ามาเก็บเงินที่จวนข้า ถือว่าเป็นของขวัญพบหน้าที่ข้ามอบให้พวกเจ้าก็แล้วกันนะ” เจิ้งกั๋วกงป้อนอาหารเสี่ยวจู้ไปพูดไปอย่างมีความสุข
“โอ้ ข้าไม่กล้ารบกวนท่านกั๋วกงมากขนาดนั้นหรอกขอรับ ข้าพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง”
“เพ้ย! ข้าเห็นพวกเจ้าเหมือนหลานข้าเช่นกัน พวกเจ้าก็รับน้ำใจนี้เอาไว้เถิด เงินทองเล็กน้อยไม่นับเป็นอะไร” เจิ้งกั๋วกงไม่ยอมให้ต้วนหยงปฏิเสธ
อาจารย์ซ่งได้แต่พยักหน้าให้ต้วนหยงรับความเมตตานี้เอาไว้ ความจริงพวกเขาเองก็อยากได้สินค้าคุณภาพดีที่ในเมืองหลวงมีขายเช่นกัน ในเมื่อท่านกั๋วกงมีน้ำใจเหลือล้นเช่นนี้ พวกเขาก็จะซื้อสิ่งของจำเป็นที่ต้องการตามคำสั่ง“ทุกคนอย่าได้ถือสาท่านตาข้าเลยเจ้าค่ะ นาน ๆ ท่านตาจะมีลูกหลานมากมายมาอยู่ด้วยท่านจึงอยากให้ทุกคนทำตัวตามสบาย” เจิ้งหลินเอ่ยยิ้ม ๆ
“ท่านกั๋วกงสุดยอดไปเลยเจ้าค่ะ สมแล้วที่เป็นท่านตาของเจิ้งหลิน ฮิ ฮิ” อู๋อิงยิ้มขำ
“ใช่ ๆ ท่านตาของเจิ้งหลินช่างใจกว้างนัก วันนี้พวกเราต้องซื้อของให้มากไว้นะ”
“พวกเจ้าสองคนไม่คิดจะเกรงใจท่านตาของเจิ้งหลินสักหน่อยหรือ” หานชิงเอ่ย
“ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องเกรงใจตาหรอกเด็ก ๆ พวกเจ้าอยากได้สิ่งใดก็เลือกเลย”
บรรยากาศการกินอาหารเช้ามื้อนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสดใสของศิษย์ในสำนักพรตหนานหนิง ต่างจากความอึมครึมในจวนตระกูลเฟินมากนัก เพราะเฟินหลางรู้สึกเสียหน้าที่ไม่มีใครอยากมาพักที่จวนของเขา แต่กลับไปพักที่จวนกั๋วกงกันหมด เฟินเสี่ยวหยางก็ไม่กล้าพูดสิ่งใดมากนัก เขาต้องเตรียมตัวแข่งขันในอีกสามวันข้างหน้าไม่ให้ขายหน้าตระกูลเฟินด้วยหลังมื้อเช้าจบลง พวกเจิ้งหลินต่างพากันออกไปเดินเล่นในเมืองหลวงกลุ่มใหญ่ไม่ต่างจากศิษย์สำนักอื่น ๆ ที่เดินทางมาถึงก่อนพวกเขาไม่กี่วัน ด้วยการแข่งขันในรอบห้าปีมีครั้ง ทำให้หลายสำนักมาก่อนล่วงหน้าเพื่อหาซื้อสินค้าชั้นดีซึ่งมีขายในเมืองหลวงเท่านั้น“เจิ้งหลิน ร้านค้าอาวุธดี ๆ มีร้านใดบ้าง เจ้าพอรู้จักหรือไม่” ขุยอันถาม
“อืม… มีอยู่หลายร้านนะ แต่ร้านที่ดีที่สุดเป็นร้านของราชวงศ์น่ะ พวกเจ้าอยากไปดูก่อนหรือไม่เล่า?” เจิ้งหลินเอ่ย
“ราคาแพงไหม ข้าเกรงใจที่ตาของเจ้าจะต้องมาจ่ายเงินเหล่านี้ให้พวกเรานะ” ต้วนหลงเอ่ยขึ้นบ้าง เขายังอยากจ่ายเงินเองอยู่ดี
“ฮ่า ฮ่า ราคาเท่าไหร่ก็ไม่ระคายกระเป๋าท่านตาข้าหรอกน่า พวกเจ้าเลือกซื้อตามสบายเถิด ข้าเองยังอยากได้เสื้อเกราะดี ๆ สักตัวเอาไว้แข่งขันครั้งนี้ด้วย” เจิ้งหลินตอบยิ้ม ๆ
“เฮ้อ ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจ้าจะร่ำรวยปานนี้ ในสำนักข้าก็ไม่เห็นเจ้าจะซื้ออะไรสักเท่าไหร่เลย ไม่เหมือนสองพี่น้องตระกูลเฟินนั่นสักนิด” เหยียนหลงเอ่ยขึ้น
“เจ้าไม่ต้องสนใจพวกเขาหรอกน่า พวกเขานิสัยเช่นไรพวกเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ”
“นั่นสิ ๆ อย่าไปสนใจพวกเขาเลย ในเมื่อเจิ้งหลินพูดแบบนี้แล้ว พวกเจ้าก็เลือกของที่ต้องการอย่างสบายใจเถอะน่า” เซียวเหมยกล่าว
บ่าวคนสนิทของเจิ้งหลินนำทางทุกคนไปยังร้านขายอาวุธของราชวงศ์ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ที่นั่นเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่มาเลือกซื้อสิ่งของ โดยมีผู้ดูแลร้านคอยตรวจสอบและดูแลลูกค้าร่วมกับเด็กในร้าน เมื่อเขาพบเจิ้งหลินกับพวกก็รีบเดินมาค้อมกายคารวะอย่างนอบน้อมทันที“ไม่ทราบว่าคุณหนูเจิ้งจะมา ข้าน้อยขออภัยที่มาต้อนรับล่าช้าขอรับ”
“ท่านลุงไม่ต้องมากพิธีเจ้าค่ะ ข้าพาเพื่อน ๆ มาเลือกซื้อสินค้าไม่นาน”
“เช่นนั้นพวกท่านตามข้ามาที่ห้องรับรองชั้นสองก่อนเถิดขอรับ อยากซื้อสิ่งใดก็สั่งคนของข้าได้เลย พวกเขาจะไปนำมาให้พวกท่านเลือกเอง”
“ขอบคุณท่านลุงที่ช่วยอำนวยความสะดวกเจ้าค่ะ ค่าสินค้าท่านส่งคนไปเก็บที่จวนกั๋วกงได้เลยนะเจ้าคะ ท่านตาแจ้งพ่อบ้านใหญ่เอาไว้แล้ว”
“ตกลงขอรับ เชิญคุณหนู คุณชายทุกท่านตามข้ามา” ผู้ดูแลเรียกเด็กในร้านมาอีกสองคนก่อนจะเดินนำหน้าทุกคนไปยังห้องรับรองขนาดใหญ่บนชั้นสอง
คนอื่น ๆ ในร้านไม่รู้ว่าเจิ้งหลินเป็นใคร แต่ในเมื่อผู้ดูแลร้านต้อนรับด้วยตนเองเช่นนี้ก็คงจะเป็นลูกหลานคนใหญ่คนโตในเมืองหลวงกระมัง พวกเขาถึงจะอิจฉาแต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ นอกจากเดินดูสิ่งของต่าง ๆ ในร้านที่มีอยู่อาจารย์กับเพื่อนคนอื่น ๆ ของเจิ้งหลินไม่คิดว่าพวกเขาจะได้รับการต้อนรับดีเช่นนี้ก็เชื่อแล้วว่าเจิ้งกั๋วกงนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆผู้ดูแลร้านให้คนนำสินค้ามากมายมาให้ทุกคนเลือกซื้อ ซึ่งแต่ละชิ้นล้วนเป็นสินค้าระดับฟ้ากระจ่างถึงระดับสวรรค์ทั้งนั้น อาจารย์ทั้งสี่ที่มีพลังระดับทะเลปราณพอใจไม่น้อย ถึงแม้ราคาจะสูงอยู่สักหน่อย แต่อาวุธและชุดเกราะทุกชิ้นต่างมีคุณภาพดีถึง 7 ส่วนเลยทีเดียว“เจิ้งหลิน อาวุธของอาจารย์ราคาสูงเกินไป อาจารย์จ่ายเองจะดีกว่านะ” ซ่งเจิ้งหยวนกล่าวบอกลูกศิษย์ของตน
“ท่านอาจารย์อย่าได้เกรงใจเจ้าค่ะ ในเมื่อท่านตาเอ่ยแล้ว อาจารย์ก็ซื้อไปได้เลย”
“เฮ้อ ข้าไม่อยากเอาเปรียบท่าตาของเจ้านะเจิ้งหลิน” หลินหยวนป๋อเอ่ย
“พวกท่านอย่าได้คิดมากเจ้าค่ะ สิ่งของราคาแค่นี้ท่านตาไม่นับว่าเป็นอะไร อีกอย่างที่จวนของท่านตายังมีอาวุธและชุดเกราะดี ๆ แทบจะล้นคลังเก็บของแล้วเจ้าค่ะ ฮิ ฮิ” เจิ้งหลินเล่าไปขำไป
“อ้าว แล้วเหตุใดเจ้ายังต้องการเกราะใหม่อีกเล่า?” คังหมิงถามอย่างงง ๆ
“ชุดเกราะพวกนั้นระดับพลังสูงเกินไป ข้ากลัวจะถูกปล้นน่ะสิ” เจิ้งหลินตอบ
ในห้องรับรองตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยอย่างสนุกสนานเกือบหนึ่งชั่วยาม กว่าที่ทุกคนจะได้อาวุธและชุดเกราะที่ต้องการสำหรับการเข้าแข่งขันในครั้งนี้ ส่วนอาจารย์ทั้งสี่ก็ได้อาวุธระดับสวรรค์ไปคนละชิ้นเช่นกันผู้ดูแลที่วันนี้ได้ต้อนรับเจิ้งหลินยิ้มกว้างอย่างพอใจ วันนี้รายได้ของกลุ่มเจิ้งหลินกลุ่มเดียวก็มากถึงสองหมื่นตำลึงแล้ว นับว่าจวนกั๋วกงช่างมือเติบนัก แต่เขาก็รู้ดีว่าปกติจวนกั๋วกงไม่ค่อยซื้อหาสิ่งใดมาหลายปี เพราะสิ่งของที่ได้รับพระราชทานจากฝ่าบาททุกปีก็แทบจะไม่มีที่เก็บอยู่แล้วเจิ้งหลินหลังออกจากร้านค้าของราชวงศ์แล้วยังพาเพื่อน ๆ ไปซื้อเสื้อผ้าที่ร้านประจำของจวนกั๋วกงนางอีกคนละสองชุดด้วย นางบอกว่าอยากให้ทุกคนใส่เสื้อผ้าใหม่ในการแข่งขันครั้งนี้ จะได้ไม่อับอายสำนักอื่น ๆ ถึงแม้พวกนางจะมีเสื้อคลุมของสำนักเป็นสัญลักษณ์สวมทับอยู่ก็ตามที“นี่เจิ้งหลิน เจ้าจะใช้จ่ายมากเกินไปหรือไม่” เซียวเหมยเอ่ยอย่างเกรงใจ
“พวกเจ้าไม่ต้องคิดมากน่า ท่านตากับข้าไม่ได้ใช้จ่ายเช่นนี้บ่อย ๆ เสียหน่อย”
“เฮ้อ ข้าล่ะอิจฉาเจ้าเสียจริง ๆ ที่มีท่านตาใจดีเช่นนี้ ไม่เหมือนที่บ้านข้า” กวงจื้อจิ่งเอ่ย
“ฮ่า ฮ่า พวกเจ้าจะมาอิจฉาข้าทำไม อย่างน้อยครอบครัวพวกเจ้าก็มีผู้คนมากมาย แต่ที่จวนของข้ามีเพียงข้ากับท่านตาเท่านั้น พอมีพวกเจ้ามาพักด้วยก็นับเป็นพรของพวกเราสองตาหลานแล้ว ขอบคุณทุกคนที่ไม่รังเกียจจวนท่านตาข้านะ”
หลังออกจากร้านเสื้อผ้า ทุกคนจึงตัดสินใจกลับไปพักผ่อนที่จวนกั๋วกง คราแรกพวกเขาคิดจะนั่งกินอาหารในโรงเตี๊ยมสักแห่ง เพียงแต่คนในเมืองหลวงมีจำนวนมากจนไม่อยากไปเบียดเสียดกับใครอีก พวกเขาจึงตัดสินใจไปทานอาหารที่จวนกั๋วกงแทนผู้คนภายในงานต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำของเจิ้งหลินอย่างสนุกปาก เพียงแต่เรื่องนี้พวกนางไม่อาจทำสิ่งใดได้ หากเรื่องไปถึงหูของฝ่าบาทและฮองเฮา พวกนางก็กลัวว่าจะถูกตำหนิแทน อย่างไรพระชายาของชินอ๋องก็มีอำนาจมากกว่าพวกนางที่เป็นเพียงฮูหยินขุนนางเท่านั้น เรื่องในครั้งนี้จึงทำให้หลังจากนั้น เจิ้งหลินไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงใด ๆ ที่ได้รับเทียบเชิญอีกเลย กระทั่งชินอ๋องกลับมาจากภารกิจในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เจิ้งหลินจึงชวนชินอ๋องไปหาซื้อเตาหลอมอาวุธตามที่เสี่ยวจู้อยากได้&
หนึ่งเดือนต่อมา เจิ้งกั๋วกงที่อยู่เป็นเพื่อนหลานสาวและเสี่ยวจู้มานานก็ได้เวลาต้องกลับไปยังแคว้นหนานแล้ว เจิ้งหลินน้ำตาคลอเบ้าเมื่อต้องลาท่านตาของนาง เสี่ยวจู้ยังมอบยาเพิ่มปราณระดับเซียนให้ท่านตาอีกเม็ดหนึ่ง มันหวังว่าท่านตาจะเข้าใกล้สู่การเป็นเซียนอีกสักเล็กน้อยก็ยังดี
พรึ่บ!!! พระสนมทั้งหมดรีบลงไปคุกเข่าเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษทันที พวกนางรู้ดีว่าเวลาที่ฮ่องเต้กริ้วนั้นเป็นอย่างไร ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่พวกนางจะถือดี เพราะตระกูลพวกนางยังไม่มีความสามารถพอเทียบเท่าตระกูลขอ
ครึ่งเซียนคนหนึ่งที่ถูกพลังของเสี่ยวจู้ทั้งตัวทับอยู่จนไม่สามารถต่อสู้ได้ ได้แต่ร้องอย่างเจ็บปวดเพราะตอนนี้กระดูกทั่วทั้งตัวของเขานั้นลั่นกรอบแกรบไปหมด ทั้งที่เขาเป็นถึงครึ่งเซียนแต่กลับพลาดท่าให้สัตว์อสูรระดับสวรรค์ตัวหนึ่ง โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเสี่ยวจู้ถึงแม้จะมีระดับต่ำแต่เมื่อรวมกับพลังสัตว์เทพแล้วก็สามารถต่อสู้กับครึ่งเซียนได้ไม่ลำบาก ยิ่งเมื่อเสี่ยวจู้ขยายร่างเต็มที่ ความสามารถในการปกป้องตนเองและพลังต่อสู้ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยจนไม่อาจคาดเดา“โอ้
เมื่อขบวนออกจากเมืองหลวงจนถึงที่พักสัตว์อสูรของแคว้นชิง เสี่ยวจู้ที่มากับเจิ้งกั๋วกงก็ขยายร่างกายให้ใหญ่โตเพื่อให้คนยกเกี้ยวของเจิ้งหลินขึ้นไป เจิ้งกั๋วกงเองก็เก็บม้าทมิฬเอาไว้ในมิติจิตของตนและขึ้นไปนั่งบนหลังเสี่ยวจู้เป็นเพื่อนหลานสาวเพื่อพูดคุยกันระหว่างทาง ชินอ๋องเองก็นั่งบนกิเลนไฟปากมากของพระองค์เพื่อป้องกันอันตรายระหว่างทาง ยังดีที่มันไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเสี่ยวจู้เหมือนทุกครั้ง อาจเพราะในขบวนมีคนในแคว้นชิงจำนวนมาก กิเลนไฟจึงไม่อยากทำตัวเหลาะแหละเหมือนที่ผ่านมาเวลาอยู่กับชินอ๋องสองคน
สองสัปดาห์ต่อมา อู๋อิง หานชิงและเซียวเหมยต่างบอกลาเจิ้งหลิน เพราะถึงเวลาที่พวกนางจะต้องเดินทางกลับบ้านยังต่างเมืองเพื่อทำพิธีปักปิ่นในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า เจิ้งกั๋วกงยังมอบของขวัญปักปิ่นให้ทุกคน เนื่องจากไม่สามารถไปร่วมงานด้วยตนเองได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ทำเอาพวกนางต่างซาบซึ้งในความเมตตาของเจิ้งกั๋วกงที่มีให้มาตลอดเวลาที่มายังจวนกั๋วกง