เฟินเสี่ยวหยางที่เพิ่งได้ต่อสู้ก็เอาชนะคู่ต่อสู้ซึ่งมาจากตำหนักสัตว์อสูรได้ภายในไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น ถึงแม้เขายังต้องต่อสู้อีกรอบก็ไม่นับเป็นอะไร ส่วนอีกสามคู่ที่เหลือก็ต่างเป็นคนจากตำหนักกระบี่ทั้งหมดที่เอาชนะไปได้
การต่อสู้แบบพบกันหมดของคนจากตำหนักกระบี่ทั้งสี่ใช้เวลาไม่นานนักก็จบการแข่งขัน เมื่อรวนเอ๋อถูกผลักให้ตกเวทีไปพร้อมสัตว์อสูรของนางสรุปผลผู้ที่ได้เป็นตัวแทนอีกสามคนคือเฟินเสี่ยวหยาง กวงจื้อจิ่งและคงหมิงซึ่งมาจากตำหนักกระบี่ทั้งหมด นับได้ว่าตัวแทนของสำนักในครั้งนี้เป็นคนจากตำหนักกระบี่มากถึง 6 คน ส่วนตำหนักสัตว์อสูรนั้นมีตัวแทนเพียง 4 คนเท่านั้น แถมยังเป็นหญิงล้วนอีกด้วย ยิ่งทำให้คนจากตำหนักกระบี่นึกดูถูกพวกนางไม่น้อย“เฮอะ แค่ผู้หญิงจากตำหนักกระบี่กลับโชคดีได้เป็นตัวแทน พวกเจ้าอย่าทำให้สำนักเราขายหน้าตอนประลองที่เมืองหลวงเล่า” เฟินเสี่ยวหยางกล่าวอย่างเหยียดหยาม
“เจ้าก็พูดเกินไปเสี่ยวหยาง พวกนางอาจจะพอมีฝีมืออยู่ท่าสองท่า คงไม่ทำให้พวกเราต้องเสียหน้ามากหรอกน่า” คงหมิงกล่าวเสริม
“ปากดีเหลือเกินนะเฟินเสี่ยวหยาง เจ้ากับพวกนั่นแหละอย่ามาเป็นตัวถ่วงพวกเรา”
“ใช่ ๆ แค่สัตว์อสูรของพวกเราก็สามารถทำให้พวกเจ้าลงไปนอนเล่นด้านล่างเวทีได้แล้ว ชิ ทำเป็นพูดดีไป” อู๋อิงกับเซียวเหมยกล่าวสวนไปทันควัน
“พวกเจ้าเลิกทะเลาะกันได้แล้ว! แยกย้ายกันไปพักผ่อน พรุ่งนี้ฟังคำสั่งของท่านเจ้าตำหนักเสร็จยังต้องออกเดินทางไปเมืองหลวงอีก” อาจารย์รีบเข้ามาห้ามปราม
ทั้งสองกลุ่มจากตำหนักกระบี่และตำหนักสัตว์อสูรได้แต่แยกจากกันไปตามที่พักของตนเอง ถึงแม้พวกเขาจะเกลียดกันมาแค่ไหนก็ไม่กล้าก่อเรื่องต่อหน้าอาจารย์ให้ถูกลงโทษแน่พรุ่งนี้หลังฟังคำอวยพรจากเจ้าตำหนักทั้งสามคน ต้วนหยง ขุยอัน เหยียนหลง เฟินเสี่ยวหยาง กวงจื้อจิ่ง คังหมิง เจิ้งหลิน หานชิง อู๋อิงและเซียวเหมยจะต้องร่วมทางกันไปยังเมืองหลวงแคว้นหนานเพื่อแข่งขันหาตัวแทนแคว้นต่อไป“พวกเจ้าว่าครั้งนี้เฟินเสี่ยวหยางจะก่อกวนพวกเราระหว่างเดินทางไหม?” อู๋อิงถาม
“ข้าคิดว่าเขาน่าจะไม่กล้า อย่างไรลูกน้องเขาก็ไม่ได้ติดตามมาด้วย” เซียวเหมยเอ่ย
“นั่นสิ คนอย่างเฟินเสี่ยวหยางนั่นน่ะ เก่งแค่ตอนอยู่รวมกลุ่มกันเหมือนหมานั่นแหละ อย่ากังวลเลยน่า” หานชิงกล่าว
“แค่พวกเราอยู่ห่าง ๆ เขาเอาไว้ก็พอแล้ว ข้าเชื่อว่าเขาไม่กล้าลงมือหรอก” เจิ้งหลินออกความเห็นบ้าง
“นี่เจิ้งหลิน พวกเราบ้านอยู่ต่างเมือง หากไปถึงเมืองหลวงแล้วจะพักที่ไหน” หานชิงเริ่มกังวลเรื่องที่พัก
“ฮ่า ฮ่า พวกเจ้าก็พักที่จวนกั๋วกงกับข้าไง คิดมากอะไรกันน่ะ” เจิ้งหลินเอ่ยอย่างขำ ๆ
“พวกเราเกรงใจน่ะสิ ไม่รู้ว่าอาจารย์จะเช่าโรงเตี๊ยมให้พวกเราหรือเปล่า”
“รอตอนก่อนออกเดินทาง ข้าจะบอกอาจารย์ของเราเองว่าให้ไปพักที่จวนท่านตาข้า ส่วนคนอื่นจะพักที่ใดก็เรื่องของพวกเขา” เจิ้งหลินกล่าว
“อืม… เอาตามที่เจ้าว่าก็ได้เจิ้งหลิน” อู๋อิงยิ้มตอบ
เมื่อถึงที่พักแล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเก็บข้าวของใส่แหวนเก็บของสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ เสี่ยวจู้ถูกวางไว้บนเตียงแล้วนั่งมองเจิ้งหลินเก็บของตาปริบ ๆ นางไม่เข้าใจว่าการไปเมืองหลวงจะต้องเตรียมของไปมากมายเช่นนี้หรือ? เสี่ยวจู้ไม่เข้าใจมนุษย์ผู้หญิงพวกนี้สักเท่าไหร่ ด้วยตัวมันยังเด็กนักหลังอาหารเช้าวันต่อมา เหล่าศิษย์ที่เป็นตัวแทนสำนักต่างไปรวมตัวกันที่ลานหน้าสำนักพร้อมกับศิษย์ในตำหนักต่าง ๆ ซึ่งมาเข้าแถวรอส่งพวกเขาเจ้าตำหนักสัตว์อสูรผางเซิง เจ้าตำหนักปรุงยาเยี่ยหว่านซิงและเจ้าตำหนักกระบี่จุนซีเหวินมายืนรอพร้อมรอยยิ้มบางที่เห็นศิษย์ใหม่ทั้ง 10 ซึ่งปีนี้จะเป็นตัวแทนสำนักไปแข่งขันต่อที่เมืองหลวง พวกท่านได้รับรายงานแล้วว่ารายชื่อของศิษย์นั้นมีใครบ้าง ส่วนอาจารย์ที่จะเป็นคนดูแลศิษย์เหล่านี้ระหว่างเดินทางไปแข่งขันมีอาจารย์หลินเหวินป๋อ ซ่งเจิ้งหยวนจากตำหนักกระบี่ และอาจารย์เย่ซูหุยกับเหอจิ้งอีจากตำหนักสัตว์อสูร“ข้าขอให้ทุกคนที่เป็นตัวแทนสำนักในปีนี้ได้รับชัยชนะ” ผางเซิงเอ่ย
“ข้าเองก็ขอให้พวกเจ้าตั้งใจต่อสู้อย่างเต็มที่เช่นกัน” เยี่ยหว่านซิงกล่าว
“ข้าขอให้พวกเจ้ารักและสามัคคีกันให้ดี เพื่อเป็นหน้าเป็นตาของสำนัก” จุนซีเหวินเอ่ย
“พวกเราขอให้พวกเจ้าเดินทางอย่างปลอดภัย ออกเดินทางเถอะ” ผางเซิงกล่าว
“ขอบคุณท่านเจ้าตำหนักขอรับ/เจ้าค่ะ” ตัวแทนทั้ง 10 พร้อมอาจารย์ทั้ง 4 เอ่ย
การเดินทางครั้งนี้ใช้รถม้า 4 คันในการเดินทาง โดยที่เหล่าอาจารย์จะนั่งรวมกันที่รถม้าคันแรก รถม้าคันที่สองเป็นกลุ่มของเจิ้งหลินทั้ง 4 คน คันที่สามและสี่เป็นกลุ่มของศิษย์จากตำหนักกระบี่ โดยมีสัตว์อสูรม้าเมฆาคอยลากรถม้า ซึ่งคาดว่าการเดินทางน่าจะไปถึงยังเมืองหลวงโดยใช้เวลาเพียง 10 วันเท่านั้น จากความสามารถของสัตว์อสูรม้าเมฆาที่แข็งแกร่งและวิ่งได้อย่างรวดเร็วนับพันลี้ภายในวันเดียวระหว่างการเดินทาง อาจารย์จากทั้งสองตำหนักยังคอยสอนเทคนิคการต่อสู้เพิ่มเติมให้กับศิษย์ทั้ง 10 เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งอีกด้วย ทำให้ทุกคนต่างมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะศิษย์จากสำนักอื่นที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันได้ก่อนถึงเมืองหลวงหนึ่งวัน เจิ้งหลินคุยกับอาจารย์ทั้งสี่ว่านางอยากเชิญทุกคนที่ไม่มีบ้านอยู่เมืองหลวงไปพักที่จวนเจิ้งกั๋วกง“หืม? นั่นจะไม่เป็นการรบกวนเกินไปหรือเจิ้งหลิน พวกอาจารย์สามารถเช่าโรงเตี๊ยมให้พวกเจ้าได้นะ” เย่ซูหุยกล่าว
“ไม่รบกวนเลยเจ้าค่ะ จวนกั๋วกงมีเรือนหลายหลัง พวกท่านสามารถพักได้อย่างสบายใจเจ้าค่ะ ท่านตาของข้าคงดีใจที่มีคนมาพักมากมายเจ้าค่ะ” เจิ้งหลินยิ้มกล่าว
“เฮอะ จวนตระกูลเฟินของข้าก็มีเรือนพักมากมายเช่นกัน เจ้าจะมาอวดโอ่อะไร”
“ข้ามิได้อวดโอ่อย่างที่เจ้าคิดหรอกนะเฟินเสี่ยวหยาง จวนเล็ก ๆ ของเจ้าจะมีเรือนพักสักกี่หลังกัน อย่าทะนงตนให้มันมากนัก” เจิ้งหลินเอ่ยสวน
“เอาล่ะ ๆ เราไปดูก่อนก็แล้วกันว่าจะพักที่ใด อาจารย์เกรงใจท่านกั๋วกง” ซ่งเจิ้งหยวนเอ่ยห้ามศิษย์ทั้งสอง
“ท่านอาจารย์ ข้าจะกลับไปพักที่จวนตระกูลเฟินนะขอรับ หากใครอยากพักกับข้าก็ติดตามข้าไปได้” เฟินเสี่ยวหยางเอ่ยขึ้นอย่างอวดดี
ศิษย์และอาจารย์ในตำหนักกระบี่พอฟังเฟินเสี่ยวหยางแล้วก็พากันหันมองหน้าอย่างระอา พวกเขาใช่ว่าจะไม่รู้นิสัยของเฟินเสี่ยวหยาง จึงไม่มีใครคิดจะไปยุ่งกับจวนตระกูลเฟินของเขา แตกต่างกับการไปพักที่จวนกั๋วกงซึ่งน่าจะมีเกียรติมากกว่า ต่างคนจึงต่างซุบซิบกันว่าจะติดตามเจิ้งหลินไปยังจวนกั๋วกงดูก่อนท่าจะดี“พรุ่งนี้ก็จะถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าจะไปส่งเจ้าที่จวนตระกูลเฟินก่อน” หลินเหวินป๋อเอ่ย
“ขอบคุณท่านอาจารย์ขอรับ ข้าจะให้คนเตรียมเรือนพักให้ท่านดีหรือไม่?” เฟินเสี่ยวหยางยังคิดเข้าข้างตัวเอง
“นั่นไม่เป็นไร แค่เจ้าไปยังลานแข่งขันให้ตรงเวลาก็พอแล้ว” ซ่งเจิ้งหยวนกล่าว
“เอาล่ะ ๆ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว พวกเรารีบพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้จะได้เดินทางต่อ” เย่ซูหุยรีบให้ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อน
รุ่งเช้าวันต่อมา ขบวนเดินทางของสำนักพรตหนานหนิงก็ออกเดินทางต่ออย่างรวดเร็ว เหลือระยะทางอีกไม่ไกลแล้วก็จะเข้าเมืองหลวง ทุกคนตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขันระหว่างแคว้น มีหลายสำนักที่เก่งกาจเข้าร่วมมากถึง 10 สำนักในครั้งนี้ ไม่รู้ว่ากฎการแข่งขันปีนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง เนื่องจากการแข่งขันจะจัดขึ้นทุก ๆ 5 ปี เพื่อหาตัวแทนแคว้นไปแข่งกับแคว้นอื่นอีก 4 แคว้นเพื่อหาผู้ชนะต่อไป สำนักพรตหนานหนิงเคยมีตัวแทนสำนักที่เก่งกาจเมื่อห้าปีก่อน แต่ตอนนี้คงต้องพึ่งพาศิษย์ใหม่ทั้ง 10 คนนี้แล้ว เพราะการจำกัดให้เพียงศิษย์ใหม่แต่ละสำนักเข้าร่วมได้เท่านั้น พวกเจิ้งหลินจึงสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้กว่าที่ขบวนของสำนักพรตหนานหนิงจะเดินทางถึงประตูเมืองหลวงก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว หลินเหวินป๋อบังคับรถม้าไปส่งเฟินเสี่ยวหยางที่หน้าจวนตระกูลเฟินโดยไม่คิดจะเข้าไปทักทายคนในตระกูลแม้แต่น้อย พวกเขารีบเคลื่อนรถม้าไปยังจวนเจิ้งกั๋วกงเนื่องจากใกล้ถึงช่วงเย็นแล้ว หากที่จวนเจิ้งกั๋วกงไม่สะดวกในการพักสักหลายวัน เหล่าอาจารย์จะได้พาศิษย์ไปหาโรงเตี๊ยมแทนที่หน้าจวนเจิ้งกั๋วกง พ่อบ้านใหญ่กำลังรอรับคุณหนูที่ส่งพิราบสื่อสารกลับมาเมื่อหลายวันก่อนว่าจะกลับมาเมืองหลวงเพื่อแข่งขันการต่อสู้ในปีนี้ ทำให้ท่านกั๋วกงสั่งคนในจวนเตรียมเรือนพักเอาไว้นับสิบหลังเผื่อว่าพวกเขาจะไม่มีที่พัก เพราะเจิ้งกั๋วกงรู้ดีว่ามีหลายสำนักที่มายังเมืองหลวง โรงเตี๊ยมต่าง ๆ คงเต็มไปด้วยผู้คน ท่านจึงเตรียมการเอาไว้ก่อนล่วงหน้ารถม้าหยุดลงที่หน้าจวนขนาดใหญ่ ก่อนที่อาจารย์เย่ซูหุยกับเจิ้งหลินจะลงไปพบพ่อบ้านใหญ่ด้วยกันพร้อมรอยยิ้ม“ท่านตาพ่อบ้าน นี่อาจารย์ของข้าเย่ซูหุยเจ้าค่ะ ไม่ทราบท่านตาเตรียมเรือนพักเอาไว้ให้พวกเราแล้วหรือยังเจ้าคะ” เจิ้งหลินยิ้มกว้างถาม
“ทุกอย่างเตรียมเอาไว้หมดแล้วขอรับคุณหนู เรือนพักมากกว่าสิบหลังทำความสะอาดไว้แล้ว ขอเชิญทุกท่านเข้าจวนก่อนเถิดขอรับ” พ่อบ้านใหญ่ผายมือเชิญ
“ขอบคุณท่านพ่อบ้านและจวนกั๋วกงที่ให้การต้อนรับพวกเราจากสำนักพรตหนานหนิงเจ้าค่ะ” อาจารย์เย่ซูหุยค้อมคำนับกล่าว
“ท่านไม่ต้องเกรงใจขอรับ นี่เป็นสิ่งที่ท่านกั๋วกงต้องการ เชิญ”
เย่ซูหุยกลับขึ้นรถม้าเพื่อนำขบวนเข้าไปในจวนกั๋วกง ส่วนเจิ้งหลินเดินไปที่ห้องโถงรับแขกหลังจากเรียกเสี่ยวจู้ลงจากรถม้าเพื่อไปพบท่านตาที่นางคิดถึง ส่วนพ่อบ้านใหญ่ยังคงรอให้ทุกคนลงจากรถม้าหลังเข้าจวนอยู่ตามธรรมเนียมศิษย์คนอื่น ๆ ที่ลงมาหลังจากรถม้าจอดเรียบร้อยแล้วต่างมองจวนที่กว้างใหญ่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าเจิ้งหลินจะร่ำรวยมากเพียงนี้ แค่จวนแห่งนี้ที่ตาเห็นก็น่าจะมีเรือนพักมากกว่า 30 หลังกระมัง“ไม่คิดเลยว่าเจิ้งหลินจะมีฐานะขนาดนี้ นางไม่เคยอวดโอ่สิ่งใดในสำนักเลย”
“นั่นสิ ไม่เหมือนเฟินเสี่ยวหลางที่ชอบอวดดีนั่นสักนิด ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว”
“จากนี้พวกเราต้องทำดีกับเจิ้งหลินด้วยล่ะ นางอุตส่าห์เตรียมที่พักดี ๆ เช่นนี้ให้”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว พวกเราไม่ได้นิสัยเหมือนเจ้าแซ่เฟินนั่นสักหน่อย”
ศิษย์ในตำหนักกระบี่ซุบซิบกัน ก่อนจะเดินตามหลังอาจารย์และเพื่อนของเจิ้งหลินเข้าไปในห้องโถงขนาดใหญ่เพื่อทักทายเจ้าบ้านค่ายทหารนอกเมืองหลวงตอนนี้กำลังตั้งกระโจมเพิ่มเติมให้กับคนที่ต้องคอยดูแลพระชายาและชินอ๋องที่เพิ่งมาถึง สมุนไพรบำรุงหลายหีบถูกนำไปยังกระโจมของหมอหลวงตามที่ฮองเฮากำชับเอาไว้ก่อนมาถึง หมอตำแยยังตรวจครรภ์ของเจิ้งหลินและพบว่าเด็กร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่พวกเขาจะปล่อยให้ชินอ๋องพาพระชายาไปพักผ่อนในกระโจม คว
สิ้นรับสั่งของชินอ๋อง กองทัพแคว้นชิงต่างทะลวงประตูเมืองจนเปิดออกโดยที่ภายในไม่มีทหารรักษาการณ์แม้แต่คนเดียวคอยเฝ้าประตูเมือง กองทัพทางบกและทางอากาศของแคว้นชิงบุกเข้าไปยังหน้าประตูวังหลวงที่ตอนนี้มีทหารองครักษ์จำนวนหนึ่งยืนรักษาการณ์อยู่อย่างหวาดกลัวพวกเขาไม่น้อย ชินอ๋องเห็นภาพเช่นนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา“หากพวกเจ้ายอมวางอาวุธ เราสัญญาว่าจะไว้ชีวิตของพวกเจ้า” ชินอ๋องตรัสอย่างเมตตา พระองค์ไม่อยากฆ่าคนโดยใช่เหตุ ยิ่งตอนนี้พระองค์กำลังจะมีบุตรของตนเองด้วยแล้ว ชินอ๋องยิ่งเห็นชีวิตคนมีค่ามากขึ้นเป็นเท่าตัวเคร้ง
หลังแม่ทัพเจี่ยจากไป ชินอ๋องกับเจิ้งหลินก็คุยกันถึงเรื่องที่จะต้องทำศึกต่อ ความจริงเจิ้งหลินไม่อยากทำร้ายราษฎร เพียงแต่นี่เป็นการตัดสินใจของพระสวามีของนาง เจิ้งหลินจึงขอร้องให้ชินอ๋องไว้ชีวิตราษฎรในเมืองชายแดนแคว้นหยาง“ตกลง พี่จะไม่ให้ทหารทำร้ายพวกเขา เราเพียงแค่ไล่เจ้าเมืองและทหารแคว้นหยางออกจากเมืองก็พอ”“ขอบพระทัยเสด็จพี่เพคะ หม่อมฉันไม่อยากให้เกิดการต่อสู้กันไปมาโดยใช่เหตุ”“พี่เข้าใจ เพียงแต่หากเราไม่จัดการแคว้นหยางคืนบ้าง พวกเขาก็จะเหิมเกริมและมาทำร้ายคนของแคว้นเรา น้องอย่าลืมว่าพวกเราสูญเสียผู้คนไปมากแค่ไหนจากศึกในครั้งนี้ หากเสด็จพ่อจะให้บุกยึดแคว้นหยาง พี่ก็คงต้องทำตามรับสั่ง”
กลางดึกคืนนั้น แผนการของชินอ๋องและเจิ้งหลินเป็นไปอย่างราบรื่น ตอนนี้กองทัพแคว้นหยางไม่มีตัวประกันมาต่อรองกับกองทัพแคว้นชิงอีกแล้ว หลังจากนี้จะเป็นการทำศึกเต็มรูปแบบที่ชินอ๋องกับแม่ทัพเจี่ยจะร่วมมือกันสู้ศึก หลังมื้อเที่ยงวันต่อมา แม่ทัพเจี่ยขอเข้าเฝ้าชินอ๋องกับพระชายาเพื่อวางแผนการรบและรายงานสถานการณ์ของเชลยทั้งหมดที่ช่วยมาเมื่อคืน“กราบทูลท่านอ๋อง พระชายา เชลยทั้งหมดมีบางส่วนที่บาดเจ็บจากการถูกศัตรูทรมานและบางส่วนก็เจ็บป่วยจากอาการตรอมใจตอนถูกจับตัวพะย่ะค่ะ”“ให้หมอไปตรวจรักษาเสีย และให้พวกเขาพักผ่อนให้ดี รอจนก
ชินอ๋องเห็นท่าทางสงสัยของเจิ้งหลิน พระองค์จึงถามนางดู พอรู้ว่านางหากิเลนไฟอยู่ พระองค์จึงเล่าให้นางฟังว่ากิเลนไฟไปหาเสบียงอาหารในป่าให้กองทัพได้สองสามวันแล้ว เพราะในค่ายตอนนี้เหลือเพียงข้าวฟ่างเป็นเสบียงพอได้กินวันละมื้อเท่านั้น ทหารบางกลุ่มก็ออกไปล่าสัตว์มาเช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้ไปไกลจากค่ายนักด้วยกลัวว่าจะมีศัตรูซุ่มโจมตี“ลำบากเสด็จพี่แล้วนะเพคะ เสบียงที่หม่อมฉันนำมาครั้งนี้มีทั้งข้าว ข้าวฟ่าง แป้ง ผักและเนื้อสัตว์ที่กว้านซื้อมาจากชาวบ้าน รับรองว่าของที่เก็บไว้ในกำไลเก็บของจะไม่เสียหายแม้แต่น้อยเพคะ” เจิ้งหลินยิ้มตอบชินอ๋อง“ขอบคุณน้องหญิงมาก เจ้าอยากพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่”
เจิ้งหลินส่งองครักษ์เข้าไปรายงานว่านางจะเดินทางไปส่งเสบียงให้ชินอ๋องที่ชายแดนแคว้นหยางด้วยตนเองเพื่อความปลอดภัย ไม่เช่นนั้นหากมีการยักยอกเสบียงหรือเดินทางไปถึงช้า อาจทำให้กองทัพที่กำลังต่อสู้อยู่แนวหน้าอดอยากจนไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะยึดคืนพื้นที่เมืองของแคว้นชิง“เจ้าบอกพระชายาชินอ๋องให้ระมัดระวังตัวด้วย เราขอบคุณแทนกองทัพที่นางช่วยเหลือในครั้งนี้ ส่วนเงินค่าเสบียงนั้น ให้นางส่งรายการบัญชีมาเบิกกับเราได้” ฮ่องเต้ตรัสบอกองครักษ์ของเจิ้งหลินที่แอบมาส่งข่าว“กระหม่อมรับบัญชาพะย่ะค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาทที่อนุญาตให้พระชายาไป”“