"ร้านเพ้นท์สวัสดีค่าาา เชิญนั่งได้เลยค่ะ" ธารณ์กวาดสายตามองรอบๆ ร้านพลางยกยิ้มตอบกลับพนักงานที่ส่งเสียงทักทายต้อนรับ
ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งมุมด้านในของร้าน ระหว่างที่รอพนักงานนำเมนูมาให้ก็สำรวจบรรยากาศรอบๆ ที่ร้านเป็นทั้งคาเฟ่และร้านอาหารขนาดกลางๆ ดูอบอุ่นสบายๆ เหมาะแก่การนั่งพักผ่อน เฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งเป็นโทนสีอ่อน ภายนอกคาเฟ่ร่มรื่นไปด้วยแมกไม้สีเขียวชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย
มีกระถางใส่ต้นกระบองเพชรอันจิ๋วถูกวางประดับไว้ทุกโต๊ะของร้านเรียกความสดชื่น กลิ่นหอมของกาแฟและกลิ่นหวานๆ ของขนมอบใหม่ๆ กรุ่นกระจายอยู่ทั่วร้านชวนให้ท้องหิว
ร้านน่ารักดี
ความจริงตรงนี้เขาเห็นเป็นตึกร้างมานาน เห็นไอ้หมอกบอกอยู่ว่าเหมือนจะเป็นที่ของครอบครัวหมอเจตน์เพื่อนร่วมงานของเขาเอง ยังคิดอยู่เลยว่าปล่อยไว้ทำไมตั้งนานที่ทำเลดีขนาดนี้ แต่พอมาเห็นร้านคาเฟ่เล็กๆ แห่งนี้ก็อดรู้สึกดีไม่ได้
โรงพยาบาลยอมรับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีน้ำตามากที่สุด เขาผ่านความรู้สึกของการมองคนที่ทั้งสูญเสีย ทั้งตั้งความหวัง และทั้งหมดหวังมาหมดแล้ว
อย่างน้อยหากคาเฟ่เล็กๆ แห่งนี้จะพอฮีลใจใครได้บ้างในระหว่างมาเฝ้าไข้ มารอผลตรวจ หรือดูใจ....
หากมันพอจะทำให้จิตใจสงบขึ้นมาได้บ้างเขาก็ยินดีจะแนะนำมา
"สวัสดีค่ะคุณลูกค้า นี่จะเป็นเมนูของทางร้านนะคะ อีกสักพักจะกลับมารับออดเดอร์ค่ะ" ธารณ์ยกยิ้มตอบกลับพนักงานอัธยาศัยดีที่เอ่ยทักทายเขาตั้งแต่หน้าร้าน
เขาเปิดดูเมนูคร่าวๆ พบว่าอาหารจะมีทั้งของหวานและของคาวสไตล์ฟิวส์ชั่นง่ายๆ ร่างสูงจึงเลือกสั่งอาหารง่ายๆ อย่างข้าวผัดอเมริกัน และลาเต้เย็นไปหนึ่งแก้วเมื่อพนักงานคนเดิมมารับออเดอร์
"รออาหารสักครู่นะคะ" คนตัวสูงมองตามร่างเล็กของคนที่รับออเดอร์ไป จากที่สัมผัสไม่น่าจะใช่คนนี้ที่ส่งกาแฟมาให้เขา ดูจากการที่เธอสนใจเขาอย่างพนักงานทั่วไป ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ
ธารณ์มองไปทั่วร้านเห็นคนนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับคอมพิวเตอร์ บ้างก็นั่งคุยกันเสียงเบาอยู่สองสามโต๊ะ เมื่อเห็นดังนั้นตัวเขาจึงก้มหน้าดูสมาร์ทโฟนของตนเองบ้าง
สักพักหนึ่งพนักงานคนเดิมก็กลับมาพร้อมกับถาดที่มีเครื่องดื่มและจานอาหาร ธารณ์ที่ติดตอบข้อมูลกับหมออีกคนอยู่จึงพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย เมื่อเธอทวนเมนูที่นำมาส่ง พอจัดการกับเรื่องงานเรียบร้อยจึงวางโทรศัพท์ข้างตัว ตั้งใจจัดการกับอาหารที่สั่งไป
แต่เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าร่างสูงถึงกับขมวดคิ้วเข้มแปลกใจ เงยหน้าหันมองซ้ายมองขวาแต่ก็ไม่พบใครนอกจากพนักงานคนเดิมที่จัดเรียงขนมอยู่ ก่อนจะก้มใบหน้ามองอาหารในจานอีกครั้ง
ข้าวผัดอเมริกันแบบที่เขาเคยกินก็ไม่ได้ผิดแผกไปจากที่เขาเคยเจอ แต่เป็นไข่ดาวที่เป็นรูปหัวใจ และด้านในที่มีซอสมะเขือเทศวาดเป็นรูปรอยยิ้มต่างหากที่ทำให้เขาแปลกใจ
ร่าสูงรีบยกแก้วกาแฟขึ้นมาดู เมื่อเห็นเป็นรูปวาดรูปเดียวกับเมื่อวานจึงแอบชำเลืองมองดูโต๊ะที่นั่งเยื้องๆ กันอยู่ เมื่อเพ่งดูบนแก้วกาแฟของโต๊ะนั้นไม่มีรูปเหมือนเขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปทางหน้าเคาน์เตอร์ทันที
"ขอโทษนะครับ"
"คะ? ต้องการอะไรเพิ่มรึเปล่าคะคุณลูกค้า" วราลีหันหลังกลับมาถามขึ้นอย่างงุนงง
"คือ...ผมจะขอพบคนที่ทำอาหารให้ผมได้ไหม"
"เกิดอะไรขึ้นคะลูกค้า มีปัญหาอะไรรึเปล่า"
"ไม่มีครับ....ไม่มี ผมแค่มีเรื่องจะคุยกับเขานิดหน่อย" ธารณ์รีบอธิบายเมื่อเห็นท่าทีแตกตื่นของพนักงานสาว เข้าใจว่างานบริการและเป็นร้านอาหารแบบนี้ หากลูกค้าขอพบเชฟก็ถือเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน
"ถ้าอย่างนั้นสักครู่นะคะ" ธารณ์มองตามหลังพนักงานคนเดิมไป ในหัวครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้รับ
ใช่แน่ๆ คนนี้แน่ๆ ที่ส่งกาแฟให้เขา และที่สำคัญเจ้าตัวรู้ด้วยว่าตอนนี้เขาอยู่ในร้านถึงทำแบบนั้นออกมาให้
"เอ่อ...คุณลูกค้าคะ พอดีคุณเพ้นท์ติดทำออเดอร์ เธอแจ้งว่าอีกสักพักจะออกมาให้คุณทานไปก่อนเลย"
เพ้นท์เหรอ? เป็นเจ้าของร้านสินะ
"ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วยนะครับ" เขาจึงตอบรับง่ายๆ ไม่วุ่นวาย เพราะเธอคงจะติดทำออเดอร์อย่างที่พูดจริงๆ ดูจากที่มีคนขับรถเดลิเวอรี่มารอรับอาหาร
เมื่อเป็นแบบนั้นร่างสูงจึงไม่มีทางเลือก เดินกลับมานั่งที่โต๊ะเดิม ลงมือกินอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็วตามวิสัยหมอ แต่สายตาก็ยังสอดส่องไปทางเคาน์เตอร์เป็นระยะๆ โดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองกินหมดไปตอนไหน
อร่อยใช้ได้แฮะ
ธารณ์แอบชมในใจแล้วยกกาแฟขึ้นดื่มอึกใหญ่ ก่อนจะสำลักตกใจเมื่ออยู่ๆ มีแรงสะกิดจากด้านหลัง
"แค่กๆ"
"อ้าวหมอไทม์! เป็นอะไรไหมคะ" ธารณ์เงยหน้ามองคนที่เอ่ยเรียกชื่อเขาอย่างสนิทสนม ทีแรกก็รู้สึกว่าคุ้นๆ เสียงแต่เมื่อมองหน้าคนที่มาสะกิดทักจากทางด้านหลังก็ผงะตกใจ
"คุณ!" เขาอ้าปากเหวอมองหน้าเธออย่างตกใจ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความไม่แน่ใจกับสิ่งที่เห็น พูดไม่ออกไปชั่วขณะนิ่งอึ้งไปหลายวินาที
"หมอไทม์" คนตัวสูงกะพริบตาสองสามทีอย่างมึนงงเมื่อคนตัวเล็กโบกมืออยู่ตรงหน้า
"คุณ...มาได้ไง"
"คุณไทม์! เบาๆ สิคะ" เธอบ่นขึ้นเสียงดัง เมื่อเขาเอาแต่ออกแรงฉุดกระชากจนเธอจะเดินตามแทบไม่ทันเขาเหมือนไม่สนใจที่เธอพูด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าผ่อนจังหวะการเดินลงเล็กน้อย แต่ก็ยังรับรู้ถึงกระแสความหงุดหงิดจากตัวเขาอยู่ดี"ขึ้นรถ" เขาเปิดประตูเพยิดหน้าให้เธอก้าวขึ้นรถ ในขณะที่คนตัวเล็กมองไปที่รถก่อนจะเงยหน้ามองคนตัวสูง"คันนี้เหรอคะ" เธอชี้ไปที่รถคันหรูที่เขาเปิดประตูค้างอยู่อย่างไม่แน่ใจ"ทำไม?" รวีธารไม่ตอบอะไร มองไปที่รถอีกครั้งก่อนจะก้าวขึ้นรถด้วยหัวใจที่เต้นแรง เพราะมันเป็นคันเดียวกับที่เขาหวง และปกติไม่ให้ใครขึ้นบรรยากาศในรถกลับมาสู่ความเงียบอีกครั้ง ทั้งเขาและเธอไม่มีใครพูดอะไรกัน ต่างจากวันแรกลิบลับ ที่เธอและเขาต่างหาเรื่องเพื่อคุยทำความรู้จักกัน รวีธารไม่รู้ว่าที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้มันคืออะไร และยังเดาใจเขาไม่ถูก ว่าไอ้ที่โมโหลากเธอมาแบบนี้เพื่ออะไร แต่เลือกที่จะนั่งเงียบๆ ภาวนาให้ถึงคอนโดตัวเองเร็วที่สุดใช้เวลาไม่นานเขาก็เปิดไฟเลี้ยว ก่อนจะหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าคอนโดตรงหน้า ซึ่งมันคงจะดีกว่านี้ถ้ามันไม่ใช่คอนโดเขา!"คุณไทม์มาที่นี่ทำไมคะ?" รู้ว่าเป็นคำถาม
รวีธารไม่รู้แน่ชัด ถึงเจตนาของคนที่มานั่งอยู่ข้างกัน รู้แต่ว่าพอได้คุยด้วย เขาเป็นคนคุยสนุกเลยทีเดียว เธอเผลอหัวเราะไปกับมุกตลกเขาหลายรอบ จนไปๆ มาๆ รู้สึกผ่อนคลายขึ้น และคุยกับเขาอย่างสนิทสนม"คุณเขตต์นี่มีความแค้นส่วนตัวกับคุณไทม์รึเปล่าคะเนี่ย เผากันซะขนาดนี้" คนตัวเล็กอมยิ้มหยอกล้อกลับ เมื่อส่วนใหญ่เรื่องที่คุยกันเป็นเรื่องที่เขามักจะเผาธารณ์ให้ฟัง"ผมแค่หมั่นไส้มันเท่านั้นแหละครับ ยิ่งตอนนี้ยิ่งหมั่นไส้""ทำไมละคะ" "ก็มันคงอยากจะเข้ามาหาคุณใจจะขาด" เขตต์ตอบกลับยิ้มๆ มองผ่านหลังเธอไป ส่วนเธอไม่คิดจะหันกลับไปมองตามที่เขาพูด"ไม่หรอกมั้งคะ" ปกติมีแต่จะหนีหน้ากัน ไม่มีทางหรอกที่เขาจะอยากเข้ามาหาเธอ"เชื่อผมสิครับ ไอ้หมอกการันตีมาขนาดนั้น" รวีธารเลือกที่จะมาคุยเรื่องเขาต่อ เริ่มเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องทั่วไปแทน เพราะกลัวเขาจะเบื่อเหมือนกัน ลำพังการที่เขามานั่งคุยเป็นเพื่อนเธอก็ถือว่าดีมากแล้ว สักพักข้อความจากเพื่อนสนิทก็แจ้งเตือนเข้ามา เธอเห็นว่าเลยเวลาที่รับปากกับเพื่อนมาสักพักแล้วจึงจัดการตอบแชทว่ากำลังจะกลับ แล้วหันมาเอ่ยลากับคนข้างๆ ซึ่งเขาก็เข้าใจดีไม่ติดอะไร ก่อนจะแลกคอนแทกต์ก
คนที่มีคนรอต่อคิวเพียบยกยิ้มกว้างทันทีเมื่อเจ้าของห้องเดินเข้ามา หลังจากที่เขาบอกให้เธอมานั่งรอด้านในสักพัก คนตัวเล็กทยอยหยิบของออกจากถุงเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้"วันนี้ฉันเอาผลไม้มาเพิ่มให้คุณด้วย" เธอเอากล่องอาหารออกมาเรียงวางไว้"เอามาทำไมเยอะแยะ" คนที่รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยหลังจากฟังคำพูดเพื่อนถามกลับตึงๆ"เผื่อช่วงบ่ายๆ คุณหิวไงคะ""ผมไม่ได้สั่งนี่ เมื่อไหร่จะเลิกเอาของที่ไม่ได้สั่งมาให้สักที" คนที่มักจะส่งกาแฟมาให้เป็นประจำกะพริบตามองเขาอย่างมึนงง เมื่ออยู่ๆ เจ้าตัวมีท่าทีโมโห"ถ้าอย่างนั้นคุณทานแค่นี้ก็ได้ค่ะ" เธอเก็บกล่องผลไม้กลับเข้าถุงตามเดิม ในขณะคนที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรแย่ๆ เริ่มมีอาการเลิ่กลั่กทันที"คือ..ผมหมายถึงบางทีผมก็กินกาแฟมาแล้ว ส่วนช่วงบ่ายผมมีผ่าตัดคงไม่ได้กิน" เหมือนยิ่งพูดยิ่งแย่ ธารณ์ถึงกับหลับตาถอนหายใจเมื่อตัวเองเผลอปากไม่ดีอีกแล้ว ยิ่งเห็นสีหน้าเจื่อนๆ ของเธอก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย"ค่ะ ขอโทษนะคะต่อไปฉันจะไม่เอาสิ่งที่คุณไม่ต้องการมาให้อีก" เธอเพิ่งรู้ว่าการที่เอากาแฟมาให้เขาทุกวันมันฝืนความรู้สึกขนาดนี้ บางทีใช่ว่าเขาจะชอบกาแฟร้านเธอสักหน่อยและสิ่งที
"พี่เพ็ญสวัสดีค่าาา""อ้าวน้องเพ้นท์หายไปนานเลย พี่นึกว่าตัดใจไม่อยากมาส่งข้าวให้หมอแถวนี้แล้ว" รวีธารยกยิ้มกว้างตอบกลับ แต่ไม่พูดอะไร จะให้บอกยังไงล่ะ ว่าดันเข้าใจผิดคิดว่าน้องสาวที่นั่งรถมาด้วยเป็นสาวคนสำคัญของเขา"เพ้นท์เอาขนมมาฝากพี่ๆ ด้วยค่ะ" ร่างบางยื่นขนมถุงใหญ่ให้เพ็ญนภาด้วยความสนิทสนม หลังจากที่ไม่ได้เฉียดมาที่วอร์ดนี้หลายอาทิตย์"ขอบใจนะน้องเพ้นท์ พี่ไปไม่เคยทันเค้กกล้วยหอมของคุณน้องสักที" เพ็ญนภายื่นมือรับด้วยความเต็มใจ โดยปกติใช่ว่าเธอจะรับของฟรีตลอด ตัวเธอเองรวมถึงพยาบาลในวอร์ดต่างติดใจขนมร้านกาแฟตรงข้ามโรงพยาบาลกันหมด มักจะแวะเวียนไปอุดหนุนกันเป็นประจำ ถึงแม้หลังๆ มาหญิงสาวจะหายหน้าหายตาไปก็ตาม แต่พอไปทีไรมักจะไม่ทันเค้กกล้วยหอมทุกที"นี่ไงคะ เพ้นท์แยกเอาไว้เลย ว่าแต่...หมอไทม์พักรึยังคะ" "พักแล้วจ้า เพิ่งเดินไปเข้าห้องน้ำเมื่อกี้เอง แหม ของหมอไทม์คนเดียวแต่ถุงใหญ่กว่าพวกพี่อีกนะ" รวีธารยกยิ้มเขินๆ กำลังจะคุยเล่นต่อระหว่างรอ แต่มีเสียงเรียกจากทางด้านหลังก่อน"คุณเพ้นท์""อ้าวหมอหมอก หมอพีร์ สวัสดีค่ะ" คนตัวเล็กเอ่ยทักทายคนที่เดินยิ้มมาแต่ไกล แม้แต่หมอพีร์ที่ปกติจะเห็น
รับผิดชอบ?"ทำหน้าแบบนั้นคือจะไม่รับ?""ไม่ใช่นะคะ! ฉันแค่ตกใจเฉยๆ" ทั้งงุนงง ทั้งตกใจเลยล่ะ จะให้ตอบยังไงละเนี่ย ที่ไปไล่ปล้ำผู้ชายแบบนั้น ดูแล้วตอบอะไรไปก็ผิด"...""คือ...ฉันปล้ำคุณสำเร็จไหม""!?""ฉันหมายถึง...เหมือนฉันไม่รู้สึกอะไรเลย""ไม่รู้สึก!?" คนที่รู้สึกอยู่ฝ่ายเดียวอ้าปากเหวอมองคนตรงหน้าอย่างโมโห ไอ้ที่นัวเนียกันขนาดนั้นจำอะไรไม่ได้สักอย่าง แล้วไอ้รอยแดงๆ นั่นอีก! เมื่อคืนครางรับเสียงสั่นขนาดนั้นเช้ามาบอกไม่รู้สึก!"คะ...คือฉันเมามาก" เธอรีบอธิบายเสียงสั่นเมื่อเห็นท่าทางไม่สบอารมณ์ของเขา"ก็รู้ตัวนี่ว่าเมามาก""....""แล้วรู้ตัวไหมว่าเมื่อคืนไปคนเดียว แถมเวลาเมาแล้วไม่รู้เรื่องแบบนี้มันอันตรายแค่ไหน ไอ้ที่ที่คุณไปน่ะ ไม่มีใครเขาใสๆ คิดดีกันคุณหรอกนะ จ้องจะลากคุณกลับกันทั้งนั้นแหละ"พูดตรงๆ ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อน หนึ่งในนั้นที่จ้องจะลากเธอขึ้นเตียงก็คือตัวเขาเองนี่แหละรวีธารก้มน้างุดท่าทางสำนึกผิด นิ่งฟังคนมากประสบการณ์เทศนา"ระ...รู้""รู้แล้วยังไป?" เขาขึ้นเสียงสูงถามกลับทันที ทำไมถึงทำตัวได้น่าเป็นห่วงขนาดนี้นะ แล้วทำไมกูต้องห่วงด้วย! ธารณ์คิดอย่างหงุดหงิด"ขอโทษ..."
เสียงตั้งปลุกที่ตั้งอัตโนมัติดังแจ้งเตือนคนที่นอนหลับใหลอยู่ให้ตื่นจากนิทรา ถึงแม้จะรู้สึกร่างกายอ่อนแรง เหนื่อยล้าเพียงใดแต่ด้วยความเคยชินทำให้เจ้าของเตียงนอนกว้างต้องฝืนร่างกายลุกขึ้นเหมือนทุกวัน เพื่อเตรียมตัวไปช่วยที่ร้าน เนื่องจากโดยปกติช่วงเช้าจะเป็นช่วงที่วุ่นวายที่สุดรวีธารผุดลุกขึ้นบิดขี้เกียจอย่างเมื่อยขบ ก่อนจะรู้สึกถึงอุณหภูมิในห้องที่ดูหนาวกว่าปกติ ไหนจะร่างกายที่ดูโล่งแปลกๆคนตัวเล็กก้มใบหน้ามองตัวเองอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสภาพร่างกายตนเองดวงตาก็เบิกกว้างอย่างตกใจ พยายามหาสิ่งผิดปกติในร่างกายตนเองแต่ก็ไม่มี จะมีก็แต่รอยแดงเป็นจ้ำๆ ตรงลำคอและเนินอก"เมื่อคืนไปนอนเมาให้ยุงกัดที่ไหนวะเนี่ย" คนที่รู้ว่าเมาแต่ไม่รู้ว่ากลับมายังไงเกาศีรษะอย่างมึนงง พยายามนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ภาพจำสุดท้ายคือเธอนั่งอยู่กับหมอไทม์..."หมอไทม์!" คนตัวเล็กอุทานเรียกชื่อคุณหมอหนุ่มเสียงดัง เมื่อเริ่มจะคิดอะไรบางอย่างออก คุ้นๆ ว่าเขาเป็นคนมาส่ง เธอขอให้เขามาช่วยเปลี่ยนหลอดไฟ ตามด้วยเธอเดินมึนๆ ไปหาน้ำให้เขากิน หลังจากนั้น....รวีธารมองสำรวจตัวเองอีกรอบ จำได้ว่าเธอกับเขานัวเนียกันพักใหญ่ หลังจากนั้นก
"เสร็จแล้ว" ธารณ์มองผลงานตัวเองเมื่อเห็นว่าหลอดไฟที่เปลี่ยนไปไม่มีปัญหาอะไร จึงก้มบอกคนตัวเล็ก แต่เมื่อไม่เห็นเจ้าของห้องที่เป็นคนขอให้เปลี่ยนหลอดไฟให้จึงก้าวขาลงจากเก้าอี้ทรงสูง ไม่รู้คนเมาจะไปป่วนที่ไหนอีกคนตัวสูงเดินเอาเก้าอี้บาร์ทรงสูงไปเก็บที่เดิม ก่อนจะเดินย้อนกลับมาตรงกลางห้อง ได้ยินเสียงกุกกักจากด้านหลังจึงหมุนตัวหันกลับไปมอง เห็นคนตัวเล็กเดินถือแก้วน้ำมาให้ท่าทางมึนๆ จึงอดลอบหัวเราะในลำคอไม่ได้ ตัวเองเมาซะขนาดนั้นยังจะหาน้ำหาท่ามาให้อีก แล้วนี่ไม่รู้ว่าไปหาถึงไหน จนเขาเปลี่ยนหลอดไฟเรียบร้อยแล้วเพิ่งจะออกมา"น้ำค่ะ" เธอเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ยกยิ้มกว้างอารมณ์ดี"ขอบคุ....เห้ย!" คนตัวสูงที่กำลังเอื้อมมือไปรับ ร้องอุทานอย่างตกใจ เมื่ออยู่ๆ เจ้าของห้องสะดุดขาตัวเองพุ่งตัวมาหาเขาจนเสียหลัก พากันหงายหลังล้มตัวลงบนโซฟาทั้งคู่"คุณเป็นไรไหม" ธารณ์ขยับตัวจุกเล็กน้อย แต่ก็ยังห่วงคนตัวเล็กที่นอนซบอยู่ด้านบน"มะ...ไม่เป็นไรค่ะ" รวีธารผละตัวขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทรงตัวไม่อยู่ทรุดตัวลงไปอีกรอบ"ไหวไหม" ธารณ์เอื้อมมือจับไหล่คนด้านบนช่วยประคองเธออีกแรง"หมอไทม์" คนตัวเล็กที่ทรงตัวได้แล้วแ
"นั่งดีๆ เพ้นท์" เสียงเข้มข้างหูทำให้เธอพยายามปรือตามอง เมื่อเห็นเป็นคนที่อยู่ในความคิดมาโดยตลอดก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจ"หมอไทม์มาได้ไง" คนที่โดนถามคำถามนี้รอบที่สามถอนหายใจยาวหนักใจ ยิ่งเห็นท่าทางไม่ระวังตัวของคนที่นั่งข้างๆ ก็ยิ่งหงุดหงิด รู้ตัวไหมนั่น ว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ไม่ระวังตัวเอาซะเลย!"นั่งดีๆ ไม่งั้นจะปล่อยลงข้างทาง" คนตัวเล็กหน้างอบูดบึ้งทันทีเมื่อโดนดุ ความรู้สึกที่โดนบิดาต่อว่ามาตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นยิ่งทำให้อารมณ์น้อยใจปะทุในอก"จะว่าอะไรนักหนา คิดว่าจะทำอะไรกันก็ได้รึไง! อยากให้มีนักใช่ไหมผัวทียี่สิบคน""อะไรวะเนี่ย! เพ้นท์! ตื่นมาคุยกันก่อน" ธารณ์ยกมือกุมศีรษะอย่างอ่อนแรง ปวดหัวจนแทบระเบิดเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ แล้วผัวยี่สิบคนนี่อะไรวะ?!ความจริงมันเริ่มจากการที่เธอโทรมาหา บอกว่าจะชวนมาดื่มด้วยกัน ซึ่งเขาก็ปฏิเสธไปแล้ว แต่เธอก็ไม่ยอม โวยวายเสียงกรึ่มๆ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ใจแข็งไม่ยอมไปอยู่ดีจนได้รับสายอีกครั้ง คราวนี้เสียงเธอไม่ใช่แค่กรึ่มๆ แต่เมาเลยล่ะ ดูท่าจะเมาหนักซะด้วย! ความจริงเขาพยายามจะไม่สนใจ เพียงแต่ไม่บังเอิญไปได้ยินเสียงจากปลายสายคล้ายมีคนเข้ามาคุยด้วย'
เสียงโหวกเหวกโวยวายของเจ้าหญิงประจำบ้านดังออกมาจากห้องทำงาน รวีธารที่โดนตามตัวมาเช่นเดียวกันกำลังจะเปิดประตูเข้าไปจึงเลือกที่จะหยุดตัวเอง ยืนรออยู่หน้าประตูแทนเสียงที่ดังออกมาใช่ว่าจะเบา เธอจึงได้ยินหมดว่าคนด้านในคุยอะไรกัน"พายไม่เอาเด็ดขาด เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้กับพายมาก่อน!""เขาอาจติดธุระก็ได้ ลองเจอกันอีกรอบไหม""ไม่! ป๊าไม่รู้หรอกว่าพายอายแค่ไหน มีแต่คนมองมาแปลกๆ""ไม่มีใครสนใจหรอก พายคิดมาก""ไม่คิดมากหรอกค่ะ มีอย่างที่ไหน ปล่อยให้พายนั่งรอเกือบชั่วโมง มาถึงก็ตัวเปล่า ไม่สนใจกันสักนิด ดอกไม้สักช่อมาขอโทษก็ไม่มี!""แล้วเขาได้พูดขอโทษไหม""พูด! แต่มันไม่เหมือนกันนี่คะ""ก็เขาขอโทษแล้วไง""ป๊า!""เขาอาจจะติดงานด่วนก็ได้ เลยมาถึงช้า""เขาก็ต้องบอกพายสิคะ!""ก็เราบอกเองไม่ใช่รึไง ว่าไม่ให้ป๊าบอกข้อมูล ถ้าเขาอยากรู้ต้องขอเอง""ป๊า! พายเป็นลูกป๊านะ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปพายจะไม่ไปดูตัวอะไรทั้งนั้น!" ปังรวีธารผงะตกใจเมื่ออยู่ๆ ประตูถูกเปิดออกอย่างแรง ตามด้วยร่างสูงเพรียวของพี่สาวที่เดินออกมาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง"แกมาทำไม?""ป๊าเรียก" เมื่อเรวิกาถามห้วนๆ เธอจึงตอบกลับห้วนๆ เช่นกัน