พอนึกได้ว่าตัวเองกำลังแอบนินทาเขาอยู่ในใจ ระยะเผาขน มิหนำซ้ำยังเป็นคำชมมากกว่าตำหนิ พลันทำให้พวงแก้มนวลเนียนแดงก่ำขึ้นมา หัวใจเต้นระรัว ความกดดันอย่างหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณหน้าอกจนรู้สึกวาบหวิว กดทับเสียจนทำให้หายใจลำบาก จำต้องหลบสายตาเขา จึงไม่ทันได้เห็นประกายลึกล้ำที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ที่ซ่อนเร้นอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย
ชายหนุ่มมองขนตางอนยาวทาบไปบนผิวเนียนกระจ่าง คนตรงหน้าในยามที่เขินอาย ช่างงามจนแทบไม่อยากจะละสายตา เขาเลื่อนสายตาลง มองริมฝีปากอิ่มแดงระเรื่อแวววาวท่ามกลางแสงสลัว ที่กำลังเผยอออกเล็กน้อยคล้ายเผลอตัว แต่กลับดูยั่วยวนท้าทายให้รุกประชิดในความรู้สึกของเขา
พริมโรสช้อนตามองเขานิดหนึ่ง เห็นเขาจ้องมองอย่างไม่วางตา ทำให้เธอรู้สึกประหม่าวางตัวไม่ถูก มีความรู้สึกว่าทั้งหน้ากำลังร้อนผ่าวไปจนถึงใบหู เผลอใช้ปลายลิ้นสีชมพูเลียริมฝีปากที่จู่ๆ ก็แห้งผากขึ้นมากระทันหันให้ชุ่มชื้น
พริบตานั้นในใจเขาพลันสั่นไหว ความเย้ายวนอย่างเป็นธรรมชาตินั้น ทำให้เขาควบคุมตัวเองต่อไปไม่ได้อีก การยั่วยวนในระดับนี้ ไม่ว่าชายใดก็ยากที่จะต้านทานไหว
“เอ่อ..” เธอพยายามจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ ที่กดดันอยู่ในช่องอก
ใจเขาเต้นรัวแรง อารมณ์พลุ่งพล่านสุดข่มกลั้น มือใหญ่โอบรั้งร่างบางเข้ามาชิดตัวทันที
อ๊ะ!
พริมโรสได้สติ รวบรวมกำลังผลักร่างเขาออก แต่เหมือนเขาจะระวังตัวอยู่แล้ว วงแขนแข็งแรงที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามจึงรัดร่างบอบบางเอาไว้แน่น แรงต่อต้านของหญิงสาวกระตุ้นความต้องการของเขาให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ยกมือเชยคางของเธอขึ้น แล้วก้มลงมาประทับริมฝีปากกับกลีบปากอวบอิ่มอย่างหนักหน่วงร้อนแรง ไม่ยินดีรับรู้การประท้วงใดๆ ทั้งสิ้น
ร่างกายของเขารุมร้อนราวกับเปลวเพลิง วงแขนยังกอดรัดร่างเล็กบอบบางไว้แนบอกอย่างแนบแน่น เมื่อหญิงสาวเบนหน้าออกเพื่อหายใจ ริมฝีปากที่ร้อนผ่าวจึงก้มลงพรมจูบบนพวงแก้มนวลอย่างเคลิบเคลิ้ม ผิวบางของหญิงสาวถูกไรหนวดครูดจนเป็นปื้นแดง แล้วเลื่อนไปจูบซุกไซ้ที่ซอกคอหอมกรุ่น ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนถูกกอดด้วยเตาอบทำความร้อนอย่างไรอย่างนั้น
"โรส..ฮันนี่~" เขากระซิบเสียงพร่า พริมโรสรู้สึกถึงอาการหอบหายใจที่ข้างหู ริมฝีปากเร่าร้อนงับเม้มติ่งหูนุ่มนิ่ม แล้วใช้ปลายลิ้นไล้เลียไปตามความแข็งของใบหู ซอกซอนตามร่องเล็กด้านในอย่างยั่วเย้า ร่างบางสะท้านน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่
“อื้อ~..”
“ฮาบิบที..ที่รัก~” เสียงแหบพร่า เอ่ยประโยคสั้นๆ แต่ในน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความรักความปรารถนา
พริมโรสรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ราวกับจะเป็นไข้ เธอไม่เคยเผชิญกับความใกล้ชิดที่อ่อนโยนแฝงความร้อนแรงเช่นนี้มาก่อน ทำให้สั่นสะท้านไปทั้งตัวจนคนที่รัดไว้แน่นยังรู้สึก แข้งขาพาลอ่อนแรงจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะชอบรสสัมผัสที่ชวนวาบหวามนี้หรือจะต่อต้านเขาดี
ชายหนุ่มอุ้มร่างบอบบางจนเท้าพ้นพื้น แขนขาวนวลเนียนโอบไปรอบคออัตโนมัติเพื่อพยุงตัว เขาพาเดินไปที่เตียงโดยไม่หยุดจุมพิต เธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป ฝีมือการต่อสู้ กิริยาที่ปราดเปรียวเหล่านั้นหายไปไหน และยิ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม เพียงแค่ถูกสัมผัสที่เร่าร้อนของเขาลูบไล้ ถึงกับทำให้ร่างกายอ่อนระทวยจนไร้เรี่ยวแรงได้เช่นนี้
เขาค่อยๆ วางร่างบอบบางลงบนเตียงนุ่มอย่างทะนุถนอม ร่างแข็งแรงโน้มลงมาทาบทับ ยันศอกข้างหนึ่งเพื่อรองรับน้ำหนัก ริมฝีปากบางจุมพิตหนักหน่วงต่อเนื่องแทบไม่หยุดพักหายใจ ซ้ำยังสอดแทรกเรียวลิ้นอันร้อนผ่าว ควานไปทั่วโพรงปากเนื้อนุ่มเพื่อลิ้มชิมรสหอมหวาน รุกเร้าดุนดันแล้วตวัดเกี่ยวลิ้นเล็กนุ่มอุ่นอย่างเชี่ยวชาญ
หญิงสาวรู้สึกมึนงงสับสนไปหมด มือเรียวบางที่วางทาบอกไว้ในทีแรก ต่างก็แข็งเกร็งขยุ้มอกเสื้อของเขาเอาไว้แน่น ค่อยๆ ดึงรั้งอกแข็งแรงเข้ามาชิดอย่างลืมเนื้อลืมตัว
ฝ่ามือข้างหนึ่งของเขา เล้าโลมไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างถือวิสาสะ ทั้งๆ ที่มีเสื้อผ้าขวางอยู่ รุกคืบสูงขึ้นจนมากอบกุมเคล้นคลึงทรวงอกอวบหยุ่นจนเต็มล้นฝ่ามือ แล้วปัดปลายนิ้วหัวแม่มือไล้ที่ยอดอกเต่งตูมเพียงเบาๆ แต่กลับทำให้คนใต้ร่างแอ่นอกขึ้น ยอดอกชูชันตอบรับสัมผัสของเขาด้วยความเสียวซ่าน
“อ๊ะ!..อื๊อออ!~” เสียงหวานร้องครางรัญจวนอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ หลังจากที่ริมฝีปากบางรุ่มร้อนงับที่ยอดของความอวบอิ่ม ทั้งขบทั้งเม้มผ่านเสื้อผ้าที่สวม ปลุกความวาบหวิวให้ยิ่งแผ่ซ่านไปทั่วเรือนร่าง ความพลุ่งพล่านปะทุอยู่ในอกจนเกินจะต้านไหวครั้งแล้วครั้งเล่า
ชายหนุ่มงับเม้มผิวตรงหน้าอกที่พ้นขอบเสื้อ จนทิ้งรอยแดงบนเนินเนื้ออวบหยุ่นไปทั่ว เธอรู้สึกร้อนตรงบริเวณที่ริมฝีปากของเขาแนบลงไปกับผิวจนสะท้าน เขาทำราวกับกำลังตีตราประทับ เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
ติ๊ดๆๆ ตี๊ดดด!! ติ๊ดๆๆ ตี๊ดดด!!
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้น ท่ามกลางความปรารถนาที่แรงร้อน ในขณะที่จิตใจของหญิงสาว ยังอยู่ในสภาวะกระเจิดกระเจิง ประสาทรับรู้จึงไม่ค่อยแจ่มชัดเท่าไหร่นัก สมองยังอยู่ในภาวะงุนงงสับสน และประมวลผลช้า กว่าจะรู้สึกว่ามีเสียงดังรบกวน เวลาก็ผ่านไปได้สักพักหนึ่งแล้ว
“คุณ~..เดี๋ยว~” เธอคิดที่จะตวาดใส่เขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา เพื่อเรียกสติ แต่กลับพบว่าเสียงที่เปล่งออกไปนั้น แหบระโหยราวกับกำลังจะขาดใจ เธอสูดหายใจเข้าแรงเพื่อให้สมองปลอดโปร่ง พยายามดันหน้าเขาออกห่าง
เขาเงยหน้ายันตัวขึ้นมาอยู่เหนือร่าง แววตาฉ่ำหวานเต็มไปด้วยอารมณ์พิศวาส มุมปากแตะแต้มรอยยิ้มพราวเสน่ห์แฝงความเอาแต่ใจ พร้อมทั้งรวบข้อมือทั้งสองข้างของเธอไว้เหนือศีรษะ ระดมจุมพิตไปทั่วทั้งใบหน้านวลราวกับคนคลั่งรัก หญิงสาวเบนหน้าหนี ริมฝีปากเร่าร้อนจึงไล้เรื่อยลงไปซุกไซ้บริเวณซอกคอหอมกรุ่น
ติ๊ดๆๆ ตี๊ดดด!! ติ๊ดๆๆ ตี๊ดดด!!
เสียงโทรศัพท์ยังคงกระตุ้นเตือนดังอย่างต่อเนื่อง เธอรู้สึกได้ถึงนิ้วแข็งแรงของเขาปลดกระดุมเม็ดแรกออกไปแล้ว ใบหน้าคมคายก้มลงมาซบอยู่ระหว่างเนินอกทันทีที่กระดุมเม็ดแรกหลุดออก ในขณะที่กำลังเริ่มจะปลดเม็ดที่สองเป็นลำดับต่อไป
“ดะ..เดี๋ยวค่ะ!..รับ..โทรศัพท์ก่อน..อื้อ!~”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจุมพิตอย่างหนักหน่วง ปิดเสียงหวานที่กำลังอ้าปากประท้วง ทำให้คำพูดเลือนหายไปในทันที
ติ๊ดๆๆ ตี๊ดดด!! ติ๊ดๆๆ ตี๊ดดด!!
เสียงรอบข้างเร่งเร้าต่อเนื่อง ในเมื่อวิธีต่อต้านใช้ไม่ได้ผล เธอคงต้องเปลี่ยนมาใช้ไม้อ่อนเข้าปะทะ
พริมโรสหอบหายใจรัญจวน เขาจงใจกลั่นแกล้งทรมานเธอ ใช้ทั้งปากและลิ้น ปลุกเร้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ความตั้งใจที่คิดจะต่อต้านเลือนหายไปหมด
หญิงสาวเบนศีรษะเบี่ยงหน้าออกเพื่อหายใจ ริมฝีปากร้อนร้ายเคลื่อนไปซุกไซ้ที่ใบหู ขบเม้มเบาๆ ตามแรงอารมณ์ พริมโรสบิดตัวใบหน้าเงยแหงนด้วยความวาบหวิว ราวกับทุกรูขุมขนบนผิวกาย เต็มไปด้วยกระแสแห่งความพิสวาสที่ไวต่อความรู้สึกได้แผ่ซ่านไปทั่ว
“อื้อ!~ ขะ..คนดี..หยุด..หยุดก่อนค่ะ..นะคะ~”
พริมโรสพยายามระงับความรู้สึกวาบหวิว ถึงแม้เสียงหวานที่เปล่งออกมา จะคล้ายเสียงครวญครางแผ่วหวิว ฟังดูกระตุ้นเร้าในอารมณ์มากกว่าคำสั่งห้ามก็ตามที แต่ทว่ากลับได้ผล บุรุษคลั่งรักที่ไม่สนใจในสิ่งรอบข้าง ยุติพฤติกรรมร้อนแรงลงในทันใด
เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ทั้งปากและตา ก้มลงจุมพิตหนักๆ ที่ริมฝีปากอวบอิ่มที่กำลังบวมเป่งจนแดงก่ำนั้นทีหนึ่ง แล้วทรงตัวลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าหลังมาสไลค์เพื่อรับสาย
“ว่าไง ฮาน่า?”
“ฝ่าบาท คนที่ให้ไปรับจากบ้านของอัลวานีมาถึงแล้วเพคะ”
“อืม ให้เขารอสักครู่ จะไปเดี๋ยวนี้!” เขาวางสายแล้วมองสบนัยน์ตาคมหวานที่กำลังจ้องเป๋ง “คนที่คุณจะไปรับที่บ้านอัลวานีเขามาถึงแล้ว จะออกไปด้วยกันเลยไหม?” หญิงสาวพยักหน้า
“รบกวนคุณ ออกไปรับแขกให้ก่อนได้ไหมคะ ฉันขอเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่ง แล้วจะตามไป” เธอพูดจบ ก็รีบลุกขึ้น พาตัวเองหนีหายไปยืนใจสั่นในห้องน้ำทันที โดยไม่รอให้เขามีโอกาสได้ปฏิเสธ ถ้ายังขืนชักช้า เธอคงไม่มีกำลังใจที่จะไปต่อต้านเขาได้อีก
…
พริมโรสเดินตรงไปยังห้องรับแขกอย่างคุ้นเคย เนื่องจากคฤหาสน์ที่เรียกว่าเรือนตะวันออกนี้ ลักษณะโครงสร้างจะคล้ายๆ กับเรือนตะวันตก เจ้าของบ้านเคยให้เธอดูแบบแปลนคร่าวๆ ของคฤหาสน์สุดหรูหลังนี้มาก่อน อาณาเขตที่กว้างขวางกินพื้นที่สองฟากถนน แบ่งเป็นทิศตะวันออก และทิศตะวันตก พรางสายตาจากคนภายนอกโดยใช้สวนไม้ร่มรื่นคั่นกลาง ถ้ามองจากที่สูงจะเห็นเป็นสองหลังที่แยกกันคนละส่วน เพียงแต่คฤหาสน์ฝั่งตะวันออกจะมีขนาดพื้นที่ที่ใหญ่กว่า และมีการตกแต่งที่หรูหราอลังการมากกว่า
บนผืนดินพื้นที่ปกตินั้นแยกส่วน แต่กลับมีอาณาเขตชั้นใต้ดินเชื่อมติดต่อกันอย่างกว้างขวาง แบ่งเป็นห้องต่างๆ และเป็นคลังอาวุธยุทโธปกรณ์นานาชนิด
โครงสร้างของคฤหาสน์ทางทิศตะวันตก มีการติดตั้งตาข่ายชนิดพิเศษฝังไปกับผนังอาคาร สำหรับป้องกันการตรวจจับสัญญาณจากภายนอก หรือการแสกนพื้นที่ภายในจากดาวเทียม อีกทั้งยังออกแบบแผ่นผนังกันไฟ และให้ทนทานต่อแรงระเบิดอีกด้วย
พื้นที่ทางทิศตะวันออก จะใช้สำหรับเข้าออกปกติ และรับรองแขกภายนอกเท่านั้น และห้ามคนทำงานในบ้านเข้าออกผ่านทางทิศตะวันตกโดยเด็ดขาด ซึ่งแน่นอนว่าสงวนไว้สำหรับเข้าออกเฉพาะกิจ
หญิงสาวย่างเท้าผ่านประตูห้องโถง สิ่งแรกที่ปรากฎสู่สายตาคือแชนเดอเลียร์ลวดลายวิจิตรขนาดใหญ่บนเพดาน เนื้อคริสตัลโปร่งใสแวววาว ผ่านการเจียระไนอย่างประณีต สะท้อนกับแสงไฟเจิดจ้าเป็นประกายระยิบระยับจับตา
ภายในห้องโถงมีโซฟานุ่มสบายหลายตัว ตั้งอยู่ชิดหน้าต่างยาวจรดพื้น วางหมอนนุ่มหนาที่ทำจากขนสัตว์สีขาวครีม ผ้าม่านหนาหนักซึ่งทอจากเส้นไหมสีทองอร่าม บนพื้นปูพรมลายดอกไม้ผืนใหญ่ เฟอร์นิเจอร์ และการออกแบบภายในห้องนี้ ล้วนเป็นสีทองในสไตล์เปอร์เซีย มีความเลิศหรูอลังการ สะท้อนถึงสถานะที่สูงส่งของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี
ถ้าเธอไม่เคยรู้จักเขา ต้องคิดไปว่าหลงเข้ามาอยู่ในปราสาทพระราชวังของราชวงศ์ชั้นสูงอย่างแน่นอน
หญิงสาวเดินผ่านห้องโถงเข้าประตูห้องรับแขก ตามหลังเด็กรับใช้ที่กำลังยกน้ำชาเข้ามาเสิร์ฟ กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาพื้นเมืองแผ่กระจายไปทั่วห้อง ชาวเปเรซชอบดื่มชามาก สามารถดื่มได้ทั้งวันโดยไม่เลือกเวลา
“คุณมาแล้ว!” เขาลุกขึ้นทันทีที่เห็นหญิงสาวเดินเข้ามา
ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างอบอุ่น วางมือไว้ตรงเหนือเอว เธอเผลอมองสบนัยน์ตาพราวระยับที่ย้ำเตือนถึงความใกล้ชิด ทำให้หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที เธอรีบหลุบตาลงเบือนหน้าหนี หันไปมองแขกที่กำลังมองตรงมาที่เธออย่างประเมิน
พริมโรสนึกชมอยู่ในใจ ผู้มาใหม่นี้เป็นผู้หญิงที่สวยหยาดเยิ้มเสียจนหาใครเทียบได้ยาก สวยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ส่วนโค้งส่วนเว้ายั่วยวนท้าทายสายตาอย่างชัดเจน หน้าอกหน้าใจ ก็มีมากกว่าผู้หญิงทั่วไปจะพึงมี เทียบกับเธอที่ไซส์เพียงแค่คัพซีแล้ว ผู้หญิงคนนี้คงหนีไม่พ้นคัพดีขึ้นไป ดูแล้วช่างน่าตะลึงตะลานเสียจริงๆ
“มิสแอนเดอร์สัน นี่มิสนรากร คู่หมั้นของผม”
ผู้มาเยือนเบิกตากว้างเล็กน้อย อย่างประหลาดใจ แล้วยิ้มกลบเกลื่อน ลุกขึ้นส่งมือให้อีกฝ่าย แนะนำตัวเองทันที
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันคามิล่า แอนเดอร์สัน” พริมโรสจับมือทักทายตอบ
“ฉันพริมโรสค่ะ ยินดีเช่นกัน ทราบหรือเปล่าคะว่าชื่อของคุณสะกดคำเดียวกับคำว่า กามิละห์ ในภาษาอาหรับเพียงแต่ออกเสียงต่างกัน”
“ทราบค่ะ แม้แต่ความหมายก็แตกต่างด้วย ว่าแต่คุณรู้ภาษาอาหรับด้วยหรือคะ?”
“โรสเขาจบจากมหาลัยในอิสราเอลครับ”
“อ้อ..ค่ะ”
เมื่อเจ้าของบ้านเชิญให้นั่ง คามิลล่าจึงแอบช้อนสายตาขึ้นมองดูหญิงสาวนัยน์ตาคมหวาน เครื่องหน้าได้รูปงามสลักเสลาราวกับภาพเขียนที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม เพียงแค่ได้เห็นก็ทำให้ไม่อาจละสายตาไปได้ ขนาดผู้หญิงด้วยกันยังอดไม่ได้ที่จะมองซ้ำแล้วซ้ำอีก เธอไม่อยากยอมรับเลยว่า นี่เป็นความงดงามที่สะกดใจผู้คนได้จริงๆ
ก่อนที่เธอจะมาที่นี่ ได้สืบประวัติของหญิงสาวมาบ้าง และรู้ว่าคู่หมั้นตัวจริงของเธอคนนี้เป็นใคร เลยอดแปลกใจไม่น้อยที่เจ้าของบ้านแนะนำตัวหญิงสาวผู้นี้ในสถานะคู่หมั้นด้วยเหมือนกัน
อยากรู้นักว่า..ถ้าใครคนนั้นรู้ข่าวนี้แล้วจะรู้สึกอย่างไร??
ค่ำคืนแห่งพระเกียรติ ถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ ณ พระราชวังขององค์สุลต่าน งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพถูกเนรมิตขึ้น อย่างวิจิตรตระการตา ทุกซอกทุกมุมของพระราชวังส่องประกายด้วยโคมไฟแก้วเจียระไนระยิบระยับ พรมแดงทอดยาวจากบันไดสู่โถงต้อนรับ โต๊ะอาหารเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ พร้อมเครื่องเงินแท้ที่ขัดเงาจนแวววาว เมนูรสเลิศจากเชฟมิชลิน ถูกเสิร์ฟแบบคอร์ส เคียงคู่กับเครื่องดื่มชั้นสูงจากทั่วทุกมุมโลก ขับกล่อมด้วยเสียงดนตรีออร์เคสตร้า ที่บรรเลงอย่างไพเราะ ทำให้ค่ำคืนนี้ สมพระเกียรติขององค์สุลต่านอย่างถึงที่สุด บรรดาผู้นำจากนานาประเทศ และทูตานุทูต ต่างตบเท้าเข้าร่วมงาน แขกเหรื่อล้วนเอ่ยปากชื่นชม ถึงบรรยากาศที่ได้รับการจัดเตรียมมาอย่างไร้ที่ติ และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของงานนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น เจ้าหญิงไลลา สตรีหมายเลขหนึ่ง พระชายาของเจ้าชายอิดรีส ผู้ลงมาดูแลทุกอย่างด้วยตนเอง อย่างละเอียดถี่ถ้วน บางคนถึงกับกล่าวชมต่อหน้าเจ้าชายอิดรีส ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้เขาจะยังคงยืนสงบนิ่งในท่าทีสุขุมเช่นเคย แต่ในใจลึกๆ กลับรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ตนเลือกคู่ครองไม่ผิด สายตาของอิดรีส
แสงสว่างที่ลอยละล่องในความมืดส่องมาที่รินรดา พร้อมกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครในโลกนี้ มันเหมือนเสียงที่มาจากที่ไกลโพ้น ฟังดูทั้งใกล้ และไกลในเวลาเดียวกัน“ถึงเวลาแล้ว...จงทำตามสัญญา!”รินรดารู้สึกเหมือนร่างกายของเธอกำลังล่องลอย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ตกลงไปในความเวิ้งว้างอันไร้จุดสิ้นสุด เธอพยายามมองหาเจ้าของเสียงแต่ไม่พบใครเธอหลับตาลงแล้วทันใดนั้น ภาพอดีตของเธอเมื่ออายุสิบห้าปีก็ย้อนกลับมา เธอเห็นตัวเองยืนอยู่หน้าหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในห้องลับใต้พระราชวัง ความศักดิ์สิทธิ์ของมันทำให้เธอรู้สึกได้ ถึงพลังลี้ลับที่ซ่อนอยู่ภายใน เธอท่องบทสวดที่แอบจดจำไว้ พร้อมกับอธิษฐานถึงสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในชีวิต นั่นคือ..การตามหาครอบครัวที่แท้จริงจากนั้นเธอก็เริ่มฝันซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบันเธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองยืนอยู่ในอุโมงค์ที่ทอดยาวไปสู่แสงสว่างที่อยู่เบื้องหน้า เธอรู้ว่านี่คือจุดที่ผู้ตายต้องเดินผ่านไปยังภพหน้า แต่แล้วเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง“รินรดา เธอยังมีสิทธิ์เลือกเส้นทางของตนเองอยู่นะ”เบื้องหน้าของเ
ค่ำคืนแห่งความสุขมาถึง... ท้องฟ้ายามราตรีของอาณาจักรเปเรซประดับไปด้วยแสงจันทร์และดวงดาวระยิบระยับ ขณะที่ปราสาทหลวง ถูกประดับด้วยผ้าม่านสีขาว และทอง ลวดลายอาหรับอันวิจิตร เจิดจรัสด้วยแสงไฟนวลอบอุ่น ของไฟระย้าคริสตัลสะท้อนแสง จนดูงดงามราวสรวงสวรรค์ ดอกไม้หายากจากทั่วทั้งอาณาจักร ถูกจัดวางประดับประดาไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่งดงาม ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย ภายในห้องโถงใหญ่ของพระราชวัง พรมเนื้อละเอียดทอดยาวตั้งแต่ประตูไปจนถึงแท่นพิธี โต๊ะเลี้ยงอาหารค่ำประดับด้วยผ้าปักทอง ดอกกุหลาบและลิลลี่ขาวบริสุทธิ์ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ตัดกับแสงเทียนที่กระพริบไหว ม่านบางเบาปลิวไสวไปตามสายลมเย็นของค่ำคืน พระราชพิธีอภิเษกสมรส ถูกจัดขึ้นตามขนบธรรมเนียม เป็นพิธีนิกะห์อันศักดิ์สิทธิ์ของโมเสลม ภายใต้กฎหมายชารีอะห์ และธรรมเนียมของราชวงศ์ ซึ่งแสดงถึงความงดงาม และเปี่ยมไปด้วยความหมาย นักวิชาการศาสนา(อุละมาอ์) ผู้ประกอบพิธี นั่งอยู่บนแท่นหินอ่อน ด้านข้างมีพยานฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว พร้อมด้วยบุคคลสำคัญจากราชวงศ์และข้าราชบริพาร เจ้าชายอิสราร์ ประทับยืนในชุดทางการขององค์มกุฏราชกุมาร เสด็จเข้ามายังแท่นพิธี พระอ
บรรยากาศภายในพระราชวังเปเรซวันนี้ เต็มไปด้วยความสงบและเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ครบหนึ่งร้อยวันแห่งการจากไปของเจ้าหญิงรินรดา องค์สุลต่านทรงมีพระราชดำริให้จัด ‘โรงทานขนาดใหญ่’ เพื่อแจกจ่ายอาหาร และสิ่งของจำเป็นแก่ประชาชนผู้ยากไร้ ถือเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ ภายในโรงทานถูกจัดขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เต็นท์ขนาดใหญ่ถูกกางเรียงรายภายในลานกว้างของลานพิธีหน้าพระราชวัง โต๊ะยาวหลายตัวถูกตั้งไว้ สำหรับแจกจ่ายอาหารร้อนที่ปรุงสำเร็จ และขนมหวานอาหรับ เช่น บาสบูซาและกุนาฟา รวมถึงน้ำดื่มเย็นๆ สำหรับประชาชนที่มาร่วมรับแจกอาหาร บรรดาข้าราชบริพาร และอาสาสมัครจากประชาชน ต่างช่วยกันแจกจ่ายด้วยรอยยิ้ม แม้จะเป็นวันแห่งความอาลัย แต่ทุกคนก็เต็มใจทำความดี เพื่อเป็นบุญกุศล ให้แก่เจ้าหญิงผู้ล่วงลับ นอกจากอาหารแล้ว ยังมีจุดแจกอาหารแห้ง และของใช้จำเป็น เช่น อินทผลัม ข้าวสาร น้ำมันพืช เครื่องปรุงรส สบู่ และยาสามัญ เพื่อให้ผู้ยากไร้สามารถนำกลับไปใช้ที่บ้านได้ ภายในงานยังมีแพทย์อาสา คอยตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้กับประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือสังคม ที่เจ้าหญิงรินรดาเคยผลักดั
เสียงไซเรนรถพยาบาลแผดก้องไปทั่วท้องถนน แต่รามิลไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น หูของเขาอื้อไปหมด มีเพียงเสียงลมหายใจบางเบาของรินรดา ที่กำลังแผ่วลงทุกขณะ เป็นสิ่งเดียวที่เขากำลังโฟกัส เลือดของเธอเปรอะเปื้อนเต็มมือเขา ลามไปตามแขนเสื้อ แผ่นอก และหยดลงเป็นทางบนเปลพยาบาล ร่างเล็กที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับนอนแน่นิ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังคงยิ้มให้เขา “คุณ..รามิล…” เสียงของเธอเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน “รดา! เดี๋ยวเราก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว… แค่ทนไว้ก่อนนะรดา อย่าหลับนะ ได้ยินผมไหม!?” รามิลกุมมือหญิงสาวแน่น น้ำเสียงสั่นเครือ ความกลัวถาโถมเข้าใส่จนเขาหายใจแทบไม่ออก รินรดาไอออกมาเป็นเลือด ก่อนจะระบายลมหายใจบางเบา “ท่านพี่… ปลอดภัยไหม?” หัวใจของรามิลเหมือนถูกบีบจนแหลกสลาย เธอกำลังอาการสาหัส แต่ยังเป็นห่วงพี่ชายมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก “ปลอดภัย! เขาปลอดภัย..” รามิลเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นสะอื้น “ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องเสี่ยงขนาดนี้ด้วยฮึ!?” “เพราะเขาคือ… พี่ชายของฉัน” รินรดายิ้มจางๆ เสียงเธอขาดหายเป็นช่วงๆ เปลือกตาของเธอหนักอึ้งลงทุกที “รดา! อย่าหลับนะ! มองผมสิ มองผม!” มือของเธอใน
เสียงโกลาหลของฝูงชนยังคงดังก้องทั่วลานพิธี แต่แล้วจู่ๆ ผู้คนก็เริ่มแหวกออกเป็นสองทาง ราวกับคลื่นน้ำที่ถูกแบ่งออกโดยพลังที่มองไม่เห็น ท่ามกลางช่องว่างที่เปิดออก ปรากฏร่างของชายคนหนึ่ง เขายืนอยู่ในเงามืด แฝงตัวอยู่ในกลุ่มประชาชนที่กำลังแตกตื่น ในมือของเขากำปืนไรเฟิล ที่บรรจุกระสุนเจาะเกราะแน่น สายตาคมกริบกวาดไปรอบบริเวณอย่างระแวดระวัง ก่อนจะกลับมาตรึงอยู่ที่เป้าหมาย บุรุษผู้ตายยากที่สุดเท่าที่เขาเคยสังหารมา ร่างสูงสง่าของเจ้าชายอิสราร์ ยืนเด่นอยู่บนลานพิธียกพื้น ราวกับถูกจัดวางให้อยู่ในระยะยิงอย่างเหมาะเจาะ โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้นเร็วที่สุด และต้องสร้างผลกระทบที่รุนแรงที่สุด ถ้าจะต้องถูกจับหลังจากเหนี่ยวไก อย่างน้อยก็ขอให้มันได้ตาย..เพื่อสังเวยผู้ที่ข้ารักและเคารพเหนือสิ่งอื่นใด ผู้ที่สมควรได้รับทุกสิ่งที่ปรารถนาบนโลกใบนี้!! “ตอนนี้แหละ!!” อาซีฟพึมพำกับตัวเองก่อนจะรีบยกปืนขึ้น ปึ่ก! แรงกระชากอย่างรุนแรง ทำให้ปืนในมือของอาซีฟหายไปในพริบตา เขาตวัดสายตาไปด้านข้าง แววตาเปลี่ยนเป็นโทสะสีเข้มจัด แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่ชิงอาวุธไปจากมือเขา