กว่าพริมโรสจะหาวิธีแยกตัวมาได้ก็เกือบบ่าย เธออยากอยู่เป็นเพื่อนเล่นให้กับเด็กน้อยมากกว่านี้ แต่จนใจว่าเพลียเหลือเกิน เธอถูกปลุกตั้งแต่เช้า ตอนนี้เลยอยากจะนอนตายสักสองสามชั่วโมง ก่อนจะลากสังขารไปทำงานต่อ
หญิงสาวไขกุญแจแล้วเปิดประตูเข้ามาในห้อง แสงสว่างภายนอกผ่านเข้ามาตามรอยแหวกของม่านได้เพียงเล็กน้อย ส่วนลึกเข้าไปด้านในจึงเห็นเพียงแสงสลัวเลือนลาง
เธอเดินเข้ามาโดยไม่ได้เปิดไฟด้วยความคุ้นชิน แต่แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อมีวงแขนแข็งแรงโอบมารอบตัวจากทางด้านหลัง พร้อมๆ กับจมูกโด่งที่กดลงมาแรงๆ ที่แก้ม สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด
กลิ่นคุ้นเคยระเหยเข้าจมูก ทำให้รู้ว่าบุรุษลึกลับผู้นี้เป็นใคร
“คุณ!” พริมโรสดิ้นรนเต็มที่ พยายามกระทุ้งศอกไปทางด้านหลัง แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรเลย กลับใช้แขนแข็งแรงราวกับปลอกเหล็กรัดแน่นขึ้นไปอีก
“อยู่นิ่งๆ เถอะ ขอแค่กอดเฉยๆ เท่านั้นแหละ แต่ถ้าดิ้นนักก็ไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น!” พอพูดจบ ก็เลื่อนจมูกมาซุกไซ้แถวซอกคอ ใช้ริมฝีปากขบเม้มเบาๆ ไปด้วย
“เข้ามาทำไมคะ?” เธอพูดพลาง ย่นคอหนีการรุกรานของเขา ไรเคราที่ถากไปกับผิวเนื้อนุ่มทำให้รู้สึกจั๊กจี้ ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดอยู่ที่ใบหูที่ไวต่อสัมผัส ทำให้รู้สึกวูบวาบไปมา
พริมโรสถอนหายใจ วันนี้เธอโดนปลุกแต่เช้า จึงเพลียเกินกว่าจะปะทะกับเขา เลยเลิกต่อต้าน อีกอย่างเธอก็เริ่มคุ้นกับนิสัยที่ไร้ยางอายของเขาบ้างแล้ว ถ้าทำอะไรที่เกินกว่านี้ ค่อยว่ากันทีหลัง
“มาทวงสัญญา”
“สัญญา?”
“คุณแสดงไม่สมบทบาท แม้แต่เด็กยังดูออก อย่างนี้ต้องทำโทษ!” ไม่ทันขาดคำ เขาขบฟันเบาๆ ที่ไหล่กลมมน ความรู้สึกบางอย่างแผ่ซ่านบริเวณที่ถูกเขาขบเม้ม จนสะท้านนิดๆ
“อื้อ! แล้วจะให้ฉันทำยังไง?”
“เราควรสนิทสนมกันให้มากกว่านี้ ให้พี่ชายผมเชื่อได้อย่างสนิทใจ ไม่งั้นผมเดือดร้อนแน่!”
“หืม? เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเชียว?” พริมโรสเอียงหน้ามองข้าง อุทานอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มคลายวงแขน จับร่างบางให้หันมาเผชิญหน้า
“นี่คุณไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ตัวกันแน่?”
“ฉันควรรู้อะไร? รู้สึกว่าคุณจะมีเรื่องราวลับลมคมในมากมายเหลือเกิน มีอะไรที่ฉันควรรู้ แล้วคุณยังไม่ได้บอกฉันหรือคะ? เพราะถ้าคุณยังปิดบัง ฉันก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้อย่างที่เห็น!”
“คุณดูไม่ออกหรือว่า พี่ชายผมเขาสนใจคุณ?”
“เหลวไหล!” พริมโรสบ่น ดันตัวเองออกจากอ้อมกอด แล้วเดินไปนั่งที่โซฟา “จะเป็นไปไม่ได้ยังไง ฉันขึ้นชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของคุณอยู่นะ!”
เขาเดินมาทิ้งตัวลงนั่งแนบชิด มือข้างหนึ่งโอบมาที่ไหล่ พอเธอเอนตัวไปข้างหน้า มือข้างนั้นจึงตกลงไปเกาะอยู่ที่โค้งสะโพก
“พี่ชายผมเขาดูออก ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด เขาเป็นคนเดียวที่ตบตายากที่สุด! ฉลาดที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด มีความสามารถไปหมดในทุกๆ ด้าน มีข้อเสียอยู่อย่างเดียวคือ ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้!”
“คุณจะมาโฆษณาชวนเชื่อพี่ชายคุณให้ฉันฟังเพื่ออะไร! ฉันไม่ได้สนใจโปรไฟล์ของเขาเสียหน่อย!”
“ผมเห็นคุณเข้ากันได้ดีกับยาร่าซะขนาดนั้น บางทีอาจสนใจตำแหน่งแม่เลี้ยงขึ้นมาก็ได้”
“คุณคิดมากไปแล้ว ฉันแค่เห็นว่ายาร่าก็เหมือนกับฉัน ต่างก็กำพร้าแม่เหมือนกันแค่นั้น!”
“แค่นั้นจริงๆ หรือ? ผู้ชายสมบูรณ์แบบอย่างนั้น ทำไมคุณถึงมองผ่านไปง่ายๆ”
“เฮอะ! อย่ามาทำน้ำเสียงกล้ำกลืนความน้อยเนื้อต่ำใจหน่อยเลย ฉันรู้ว่าคุณไม่เคยมีความรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าขนาดนั้นเสียหน่อย คนหลงตัวเองอย่างคุณ คงลืมไปแล้วว่าถ่อมตัวสะกดยังไง!” พริมโรสตวัดสายตาค้อนอย่างหมั่นไส้
“เกลียดนัก! คนรู้ทัน!” นัยน์ตาดำสนิทเปล่งประกายวาววับ แฝงนัยบางอย่าง คล้ายกับคาดหวังบางสิ่งที่ตนไม่อาจปล่อยให้หลุดมือไปได้
“แต่ผมมีเรื่องอยากปรึกษา”
“อะไรคะ?”
“ถ้าเราเปลี่ยนความสัมพันธ์หลอกๆ นี้ ให้เป็นจริงขึ้นมาล่ะ มีทางเป็นไปได้ไหม?”
“หมายถึง…คุณจะขอคบกับฉัน?”
“ใช่! คุณ..จะว่ายังไง?”
หญิงสาวตะลึงงันอย่างคาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดมาแบบนี้ แต่แล้วก็คิดได้ว่าเขาเห็นการกลั่นแกล้งเธอเป็นเรื่องสนุกอีกแล้ว จึงรู้สึกขันในใจขึ้นมา
“อย่าบอกนะว่าคุณถูกใจฉันตั้งแต่แรกเห็น เพราะว่าฉันสวยจนปลาตกใจ นกตะลึงจนบินหงายหลัง พระจันทร์ยังอับอาย ดอกไม้พากันหุบกลีบ” เขาได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“คุณไม่ได้สวยสะพรึงขนาดนั้น! แต่..ก็ทำให้ผมไม่อาจละสายตาไปจากคุณได้เลย” ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายระยับยามทอดมองหญิงสาวที่นั่งข้างๆ
นี่เขาจริงจัง? .. แต่อาจจะเป็นบทเกี้ยวพาราสีปลอมๆ ของเขาก็ได้
“นี่!..ถ้าคุณคิดว่าจะ..”
“ผมไม่ได้ล้อเล่น..ผมจริงจัง!” พริมโรสตาโตอ้าปากค้าง ทำไมเขารู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร แล้วจะพูดอะไร
พยาธิในสมองฉันเป็นสายสืบให้เขาหรือไง??
“แต่ถ้าคุณยังไม่แน่ใจในตัวผม เราค่อยๆ เรียนรู้กันไปก็ได้ ขอแค่เพียงคุณเปิดใจ” หญิงสาวได้สติ หุบปากฉับ ก้มหน้าต่ำ หันหนีไปทางอื่น ถ้อยคำของเขาก่อให้เกิดความปั่นป่วนภายในจิตใจที่ขัดแย้งกันอยู่ ทำให้ใจเต้นขึ้นมารัวแรง กระแทกกับผนังอกจนรู้สึกได้
“ฉัน..ยังไม่พร้อมที่จะคบใครจริงจังในตอนนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะงานที่ต้องปกปิดตัวเองอยู่ในที่ลับ จึงไม่อาจคบใครได้อย่างเปิดเผย ไม่แน่ว่าคนที่ฉันจริงจังด้วย อาจต้องได้รับผลกระทบจากงานที่ทำ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างแน่นอน”
“คุณพูดเหมือนฝังใจกับความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวมาก่อน”
“ก็ไม่เชิง”
“จะไม่เล่าสักหน่อยหรือ?”
“คือ..ฉัน..”
ก๊อกๆๆ!!
“พี่สาวๆ! หลับอยู่หรือเปล่าคะ? เปิดประตูหน่อยค่า!”
พริมโรสสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงดังหน้าประตู เพราะกำลังอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง จึงทรงตัวขึ้นนั่งหลังตรง
“คุณออกไปก่อนเถอะค่ะ ฉันจะไปเปิดประตู”
อิฟราอิมยกมือไล้แก้มนวลสีแดงระเรื่อของหญิงสาว เธอรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วเคลื่อนผ่านบนแก้มตนในลักษณะเล้าโลม ปลุกความรู้สึกตื่นเต้นไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมา จนต้องหลับตาหลีกหนีอารมณ์ปั่นป่วนที่กำลังก่อตัวในขณะนี้
ก๊อกๆๆ!!
“พี่สาวๆ! เปิดประตูหน่อยค่า!”
นาทีต่อมาเขาก็บีบพวงแก้มนุ่มนิ่ม ดึงจนโย้ไปข้างหนึ่งอย่างไม่ปรานีปราศรัย คิ้วงามขมวดเข้าหากันแน่น นัยน์ตาคมวาวโรจน์ด้วยโทสะ ตวัดขึ้นมองอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วปัดมือเขาออก
เขายกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ สายตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มขบขัน ขณะจ้องมองดูสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะของเธอ แล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟตรงข้างประตู
ฉับพลันราวกับเธอมีลางสังหรณ์บางอย่าง เสียดแทงมาจากช่องท้อง แล้วพุ่งขึ้นระเบิดตูมในหัวสมอง ทำให้ชาวาบไปทั่วทั้งร่าง เข้าใจเจตนาที่ชั่วร้ายของเขาในทันที
เขาเป็นคนเถรตรงแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!! บอกให้ออกไป ก็จะเดินออกไปง่ายๆ แบบนี้เนี่ยนะ!! ทำไมไม่ออกไปทางเดิม!!
ยาร่ายกมือที่กำลังเคาะประตูค้างกลางอากาศ เมื่อประตูถูกกระชากเปิดออก ปากจิ้มลิ้มอ้าค้างเบิกตากลมโตจนดูน่าขัน ใบหน้าเงยแหงนมองร่างสูงอย่างทำอะไรไม่ถูก ฮาน่ากับเด็กรับใช้อีกสองสามคนที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลัง ต่างก็ตกตะลึงพรึงเพลิดเผลอจ้องหน้าเจ้านายหนุ่มอย่างไม่เชื่อสายตาไปตามๆ กัน
คงเป็นเพราะยาร่าเคาะประตูและตะโกนเสียงดัง แล้วเธอก็ไม่เปิดประตูรับเสียที คนข้างนอกเลยมายืนดูด้วยความเป็นห่วง คงกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไป คงคาดไม่ถึงว่าจะเจอเหตุการณ์ที่ตรงกันข้ามกับความคิดเช่นนี้
พริมโรสเองก็ปากอ้าตาค้างไปด้วยเหมือนกัน จ้องไปยังบุรุษที่ยืนจังก้าอยู่หน้าประตูอย่างไม่รู้จักอับอายนั้นเขม็ง ไม่คาดคิดว่าเขาจะกล้าเปิดประตูออกไปเช่นนี้ เธอไม่มีภูมิต้านทานเรื่องความหน้าหนาเช่นเขา ความรู้สึกในตอนนี้คือแทบอยากจะแทรกร่างให้จมหายไปกับโซฟา
ให้ตายเถอะ!! ผู้ชายคนนี้ช่างน่าปาดคอให้ตายไปเสียจริงๆ!!
“เอ้า! มายืนอ้าปากอะไรกันตรงนี้? ยุงลงไปตายได้ทั้งรังแล้ว! ไม่มีอะไรทำกันหรือไง!” เสียงทุ้มหนักเยียบเย็นแฝงแววข่มขู่ ใบหน้าเรียบเฉยเย็นชา ทำให้ฮาน่าและคนอื่นๆ ได้สติ ตื่นกลัวจนหัวหด รีบหุบปากฉับ ก้มหน้าแดงก่ำหลบสายตา แล้วรีบเร่งเดินแยกย้ายกันไปทันที
ผู้พันอิฟราอิมหันมามองคนในห้อง ขยิบตาลงข้างหนึ่งพร้อมกับตวัดแตะสองนิ้วที่ข้างขมับคล้ายท่าวันทยาหัตถ์ พริมโรสถลึงตาคู่งามให้กับพฤติกรรมที่ชั่วร้ายของเขา ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้แยแสสายตาถมึงทึงนั่นแม้แต่น้อย เดินผิวปากออกไปจากห้องอย่างอารมณ์ดี ก่อนไปยังขยี้ศีรษะสาวน้อยที่หน้าห้องจนผมยุ่งเหยิง ไม่ได้ใส่ใจสายตาเกรี้ยวกราดที่ทิ่มแทงใส่เขาราวกับคมมีดนั้นด้วยเช่นกัน เด็กสาวกำลังรู้สึกว่า ถูกผู้เป็นอาแทงข้างหลังอย่างไม่เป็นธรรม
ยาร่าเดินหน้ามุ่ยเข้ามาหาพริมโรส เธอมองสาวดูน้อยที่กำลังกวาดสายตาคมกริบสำรวจไปรอบๆ ตัวอย่างพยายามจับผิด จนหญิงสาวต้องหัวเราะออกมา
“เป็นอะไรสาวน้อย! ชิ้นส่วนในร่างพี่สาวหายไปเหรอ?”
“ไม่มีอะไรหาย แล้วก็ไม่มีอะไรเพิ่มมา นอกจากหน้าแดงนิดหน่อย ค่อยยังชั่ว!” สาวน้อยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจไปมา ดูน่าขันไม่ใช่น้อย
“มาหาพี่สาวมีอะไรจ๊ะ?” พริมโรสพยายามพยายามเปลี่ยนประเด็น เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“หนูเบื่ออยู่ในห้องคนเดียว เลยมาดูว่าพี่สาวทำอะไรอยู่”
“อ๋อ ก็..” พริมโรสหยิบอุปกรณ์จากกระเป๋าสัมภาระออกมาวางบนโต๊ะเพื่อกลบเกลื่อน “ก็ว่าจะเขียนคอนเทนท์ ทำเสียงแทรกในวีดีโอน่ะ”
“บันทึกใส่เจ้านี่หรือคะ?” ยาร่าหยิบกล้องโกโปรที่วางอยู่ขึ้นมา
“นั่นแหละ แต่ยังเขียนไม่เสร็จ”
“หนูขอดูข้างในได้ไหมคะ?”
“ได้ แต่ต้องใส่หูฟังด้วยนะ พี่สาวต้องใช้สมาธิ” เธอหยิบสมุดออกมาเปิดหน้าที่ว่าง วางปากกาทับไว้ แล้วหงายหลังหลับตาพิงโซฟา ทำทีเป็นคิดข้อความเพื่อเขียนคอนเทนต์ แต่ความจริงรู้สึกง่วงงุนเต็มที
“เอ๊ะ! ผู้ชายคนนี้เหมือนหนูจะเคยเห็น แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน!”
“คนไหน?” พริมโรสลืมตา ย่าร่าขยับเข้ามาใกล้ มื้อชี้ตรงตำแหน่งที่สงสัย
“คนนี้ค่ะ เขามีแผลเป็นนูนยาวแถวๆ คอเสื้อ เหมือนหนูจะเคยเห็นแผลเป็นแบบนี้ แต่ก็นึกไม่ออก เขาเป็นใครหรือคะ?” ยาร่าชี้ไปที่บอดี้การ์ดชาวเอเชียในวันนั้น
พริมโรสตะลึง รู้สึกทึ่งกับสายตาคมกริบของสาวน้อย ที่เห็นรายละเอียดแม้เพียงเล็กน้อย เธอขยายภาพตรงจุดสังเกตขึ้นมาดู ทำให้มือสั่น เมื่อนึกถึงแผลเป็นลักษณะเดียวกันนี้ ของใครคนหนึ่ง
……………………………
ประโยค.. “สวยจนปลาตกใจ นกตะลึงจนบินหงายหลัง พระจันทร์ยังอับอาย ดอกไม้พากันหุบกลีบ”
ผู้เขียนดัดแปลงมาจาก.. “มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง”
ซึ่งผศ.ถาวร สิกขโกศล นักวิชาการด้านจีนวิทยา แปลโคลงกลอนที่เขียนสดุดีความงามของ 4 สาวงาม ในตำนานจีน (ไซซี-หวางเจาจิน-เตียวเสียน-หยางกุ้ยเฟย) เป็นภาษาไทยให้เห็นว่าพวกเธอสวยขนาดไหน
ค่ำคืนแห่งพระเกียรติ ถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ ณ พระราชวังขององค์สุลต่าน งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพถูกเนรมิตขึ้น อย่างวิจิตรตระการตา ทุกซอกทุกมุมของพระราชวังส่องประกายด้วยโคมไฟแก้วเจียระไนระยิบระยับ พรมแดงทอดยาวจากบันไดสู่โถงต้อนรับ โต๊ะอาหารเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ พร้อมเครื่องเงินแท้ที่ขัดเงาจนแวววาว เมนูรสเลิศจากเชฟมิชลิน ถูกเสิร์ฟแบบคอร์ส เคียงคู่กับเครื่องดื่มชั้นสูงจากทั่วทุกมุมโลก ขับกล่อมด้วยเสียงดนตรีออร์เคสตร้า ที่บรรเลงอย่างไพเราะ ทำให้ค่ำคืนนี้ สมพระเกียรติขององค์สุลต่านอย่างถึงที่สุด บรรดาผู้นำจากนานาประเทศ และทูตานุทูต ต่างตบเท้าเข้าร่วมงาน แขกเหรื่อล้วนเอ่ยปากชื่นชม ถึงบรรยากาศที่ได้รับการจัดเตรียมมาอย่างไร้ที่ติ และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของงานนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น เจ้าหญิงไลลา สตรีหมายเลขหนึ่ง พระชายาของเจ้าชายอิดรีส ผู้ลงมาดูแลทุกอย่างด้วยตนเอง อย่างละเอียดถี่ถ้วน บางคนถึงกับกล่าวชมต่อหน้าเจ้าชายอิดรีส ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้เขาจะยังคงยืนสงบนิ่งในท่าทีสุขุมเช่นเคย แต่ในใจลึกๆ กลับรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ตนเลือกคู่ครองไม่ผิด สายตาของอิดรีส
แสงสว่างที่ลอยละล่องในความมืดส่องมาที่รินรดา พร้อมกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครในโลกนี้ มันเหมือนเสียงที่มาจากที่ไกลโพ้น ฟังดูทั้งใกล้ และไกลในเวลาเดียวกัน“ถึงเวลาแล้ว...จงทำตามสัญญา!”รินรดารู้สึกเหมือนร่างกายของเธอกำลังล่องลอย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ตกลงไปในความเวิ้งว้างอันไร้จุดสิ้นสุด เธอพยายามมองหาเจ้าของเสียงแต่ไม่พบใครเธอหลับตาลงแล้วทันใดนั้น ภาพอดีตของเธอเมื่ออายุสิบห้าปีก็ย้อนกลับมา เธอเห็นตัวเองยืนอยู่หน้าหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในห้องลับใต้พระราชวัง ความศักดิ์สิทธิ์ของมันทำให้เธอรู้สึกได้ ถึงพลังลี้ลับที่ซ่อนอยู่ภายใน เธอท่องบทสวดที่แอบจดจำไว้ พร้อมกับอธิษฐานถึงสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในชีวิต นั่นคือ..การตามหาครอบครัวที่แท้จริงจากนั้นเธอก็เริ่มฝันซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบันเธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองยืนอยู่ในอุโมงค์ที่ทอดยาวไปสู่แสงสว่างที่อยู่เบื้องหน้า เธอรู้ว่านี่คือจุดที่ผู้ตายต้องเดินผ่านไปยังภพหน้า แต่แล้วเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง“รินรดา เธอยังมีสิทธิ์เลือกเส้นทางของตนเองอยู่นะ”เบื้องหน้าของเ
ค่ำคืนแห่งความสุขมาถึง... ท้องฟ้ายามราตรีของอาณาจักรเปเรซประดับไปด้วยแสงจันทร์และดวงดาวระยิบระยับ ขณะที่ปราสาทหลวง ถูกประดับด้วยผ้าม่านสีขาว และทอง ลวดลายอาหรับอันวิจิตร เจิดจรัสด้วยแสงไฟนวลอบอุ่น ของไฟระย้าคริสตัลสะท้อนแสง จนดูงดงามราวสรวงสวรรค์ ดอกไม้หายากจากทั่วทั้งอาณาจักร ถูกจัดวางประดับประดาไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่งดงาม ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย ภายในห้องโถงใหญ่ของพระราชวัง พรมเนื้อละเอียดทอดยาวตั้งแต่ประตูไปจนถึงแท่นพิธี โต๊ะเลี้ยงอาหารค่ำประดับด้วยผ้าปักทอง ดอกกุหลาบและลิลลี่ขาวบริสุทธิ์ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ตัดกับแสงเทียนที่กระพริบไหว ม่านบางเบาปลิวไสวไปตามสายลมเย็นของค่ำคืน พระราชพิธีอภิเษกสมรส ถูกจัดขึ้นตามขนบธรรมเนียม เป็นพิธีนิกะห์อันศักดิ์สิทธิ์ของโมเสลม ภายใต้กฎหมายชารีอะห์ และธรรมเนียมของราชวงศ์ ซึ่งแสดงถึงความงดงาม และเปี่ยมไปด้วยความหมาย นักวิชาการศาสนา(อุละมาอ์) ผู้ประกอบพิธี นั่งอยู่บนแท่นหินอ่อน ด้านข้างมีพยานฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว พร้อมด้วยบุคคลสำคัญจากราชวงศ์และข้าราชบริพาร เจ้าชายอิสราร์ ประทับยืนในชุดทางการขององค์มกุฏราชกุมาร เสด็จเข้ามายังแท่นพิธี พระอ
บรรยากาศภายในพระราชวังเปเรซวันนี้ เต็มไปด้วยความสงบและเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ครบหนึ่งร้อยวันแห่งการจากไปของเจ้าหญิงรินรดา องค์สุลต่านทรงมีพระราชดำริให้จัด ‘โรงทานขนาดใหญ่’ เพื่อแจกจ่ายอาหาร และสิ่งของจำเป็นแก่ประชาชนผู้ยากไร้ ถือเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ ภายในโรงทานถูกจัดขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เต็นท์ขนาดใหญ่ถูกกางเรียงรายภายในลานกว้างของลานพิธีหน้าพระราชวัง โต๊ะยาวหลายตัวถูกตั้งไว้ สำหรับแจกจ่ายอาหารร้อนที่ปรุงสำเร็จ และขนมหวานอาหรับ เช่น บาสบูซาและกุนาฟา รวมถึงน้ำดื่มเย็นๆ สำหรับประชาชนที่มาร่วมรับแจกอาหาร บรรดาข้าราชบริพาร และอาสาสมัครจากประชาชน ต่างช่วยกันแจกจ่ายด้วยรอยยิ้ม แม้จะเป็นวันแห่งความอาลัย แต่ทุกคนก็เต็มใจทำความดี เพื่อเป็นบุญกุศล ให้แก่เจ้าหญิงผู้ล่วงลับ นอกจากอาหารแล้ว ยังมีจุดแจกอาหารแห้ง และของใช้จำเป็น เช่น อินทผลัม ข้าวสาร น้ำมันพืช เครื่องปรุงรส สบู่ และยาสามัญ เพื่อให้ผู้ยากไร้สามารถนำกลับไปใช้ที่บ้านได้ ภายในงานยังมีแพทย์อาสา คอยตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้กับประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือสังคม ที่เจ้าหญิงรินรดาเคยผลักดั
เสียงไซเรนรถพยาบาลแผดก้องไปทั่วท้องถนน แต่รามิลไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น หูของเขาอื้อไปหมด มีเพียงเสียงลมหายใจบางเบาของรินรดา ที่กำลังแผ่วลงทุกขณะ เป็นสิ่งเดียวที่เขากำลังโฟกัส เลือดของเธอเปรอะเปื้อนเต็มมือเขา ลามไปตามแขนเสื้อ แผ่นอก และหยดลงเป็นทางบนเปลพยาบาล ร่างเล็กที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับนอนแน่นิ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังคงยิ้มให้เขา “คุณ..รามิล…” เสียงของเธอเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน “รดา! เดี๋ยวเราก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว… แค่ทนไว้ก่อนนะรดา อย่าหลับนะ ได้ยินผมไหม!?” รามิลกุมมือหญิงสาวแน่น น้ำเสียงสั่นเครือ ความกลัวถาโถมเข้าใส่จนเขาหายใจแทบไม่ออก รินรดาไอออกมาเป็นเลือด ก่อนจะระบายลมหายใจบางเบา “ท่านพี่… ปลอดภัยไหม?” หัวใจของรามิลเหมือนถูกบีบจนแหลกสลาย เธอกำลังอาการสาหัส แต่ยังเป็นห่วงพี่ชายมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก “ปลอดภัย! เขาปลอดภัย..” รามิลเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นสะอื้น “ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องเสี่ยงขนาดนี้ด้วยฮึ!?” “เพราะเขาคือ… พี่ชายของฉัน” รินรดายิ้มจางๆ เสียงเธอขาดหายเป็นช่วงๆ เปลือกตาของเธอหนักอึ้งลงทุกที “รดา! อย่าหลับนะ! มองผมสิ มองผม!” มือของเธอใน
เสียงโกลาหลของฝูงชนยังคงดังก้องทั่วลานพิธี แต่แล้วจู่ๆ ผู้คนก็เริ่มแหวกออกเป็นสองทาง ราวกับคลื่นน้ำที่ถูกแบ่งออกโดยพลังที่มองไม่เห็น ท่ามกลางช่องว่างที่เปิดออก ปรากฏร่างของชายคนหนึ่ง เขายืนอยู่ในเงามืด แฝงตัวอยู่ในกลุ่มประชาชนที่กำลังแตกตื่น ในมือของเขากำปืนไรเฟิล ที่บรรจุกระสุนเจาะเกราะแน่น สายตาคมกริบกวาดไปรอบบริเวณอย่างระแวดระวัง ก่อนจะกลับมาตรึงอยู่ที่เป้าหมาย บุรุษผู้ตายยากที่สุดเท่าที่เขาเคยสังหารมา ร่างสูงสง่าของเจ้าชายอิสราร์ ยืนเด่นอยู่บนลานพิธียกพื้น ราวกับถูกจัดวางให้อยู่ในระยะยิงอย่างเหมาะเจาะ โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้นเร็วที่สุด และต้องสร้างผลกระทบที่รุนแรงที่สุด ถ้าจะต้องถูกจับหลังจากเหนี่ยวไก อย่างน้อยก็ขอให้มันได้ตาย..เพื่อสังเวยผู้ที่ข้ารักและเคารพเหนือสิ่งอื่นใด ผู้ที่สมควรได้รับทุกสิ่งที่ปรารถนาบนโลกใบนี้!! “ตอนนี้แหละ!!” อาซีฟพึมพำกับตัวเองก่อนจะรีบยกปืนขึ้น ปึ่ก! แรงกระชากอย่างรุนแรง ทำให้ปืนในมือของอาซีฟหายไปในพริบตา เขาตวัดสายตาไปด้านข้าง แววตาเปลี่ยนเป็นโทสะสีเข้มจัด แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่ชิงอาวุธไปจากมือเขา