Masukไอ้เสื้อผ้าเน่าเขาพอเข้าใจ แต่กางเกงในขาดเป้าไม่ต้องพูดก็ได้ไหม?!
เด็กหนุ่มก้มหน้าเม้มปากแน่น เขาไม่ได้โกรธพี่ชาย แต่อายเรื่องกางเกงในอยู่ต่างหาก! พอจะอ้าปากพูดก็อ้ำอึ้งกินต้มอึ่งอยู่ลำพัง เลยไม่พูดอะไรนาจะดีกว่า ทันใดนั้นตะกร้าผักก็ถูกยื่นมาอยู่เบื้องหน้า น่านน้ำจึงยอมเงยหน้าขึ้นมองพี่ชาย
“ไหน ๆ ก็มาแล้ว มาเป็นลูกมือช่วยล้างผักให้หน่อย”
“ถ้าเสร็จช้าก็ได้กินช้า เสร็จเร็วก็ได้กินเร็ว ฟรีองุ่นปั่นหนึ่งแก้ว” น่านฟ้ารู้ดีว่าน้องชายตนชอบอะไร และองุ่นปั่นก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน ถือว่ายื่นหมูยื่นแมวแล้วกัน
“ดีล! พี่อยากให้น้ำช่วยอะไรบอกมาได้เลย จัดให้ได้ทุกอย่าง” สีหน้าหดหู่ก่อนหน้าถูกลบด้วยรอยยิ้มกว้าง นัยน์ตาคมเปล่งประกายเมื่อได้ยินชื่อของโปรด ระหว่างนั้นก็ลอบสูดกลิ่นน้ำซุปที่เดือดได้ที่ เขาจะยอมอ่อนให้ครั้งนึงก็แล้วกัน แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว!
“อย่างแรกคือรีบไปล้างผักก่อน” นิ้วเรียวชี้ไปตรงอ่างล้างจาน
น่านน้ำรับตะกร้ามาถือไว้แล้วเดินไปอย่างว่าง่าย คงเพราะกระเพาะน้อยกำลังเริ่มประท้วงขอกองกำลังเสริมด้านอาหารก็เป็นได้ ว่าแล้วก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอหลายอึก พลางแอบชำเลืองมองหม้อต้มด้วยสายตาเป็นประกาย
ชายหนุ่มผมบลอนด์ส่ายหัวไปมา มือเรียวจับกระชอนช้อนเอาฟองอากาศด้านบนผิวน้ำซุปออก หลังจากใช้สายตาคาดคะเนดูแล้วคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก กว่ากระดูกจะอ่อนได้ที่ ไม่แข็งมากไป แต่เคี้ยวแล้วอ่อนกรุบกรับ บรรยากาศในห้องมีเพียงเสียงของน้ำที่กำลังเดือดปุด ๆ น่านฟ้าละสายตาจากวัตถุดิบตรงหน้า เขาหันมาคุยกับน้องชายเพื่อไม่ให้รู้สึกเงียบเกินไป
“เรียนเป็นไงบ้าง คิดเอาไว้รึยังว่าอยากเข้าคณะอะไร”
“ตอนนี้ยังคิดอะไรไม่ออกเลยพี่ อยากลองหลายอย่างจนเลือกไม่ถูก”
“ไม่เป็นไร ยังมีเวลาให้คิดอีกเยอะ บางทีสิ่งที่เราคิดกับสิ่งที่เลือกอาจจะไม่ใช่เสมอไปก็ได้” คนเราคิดได้หลายอย่าง แต่กลับเลือกได้ทีละอย่างเท่านั้น บางครั้งก็ได้เลือกในสิ่งที่ไม่คาดคิด หรือไม่ชอบ เพียงเพราะไม่มีทางเลือก เขาล้วนเข้าใจความรู้สึกพวกนี้ดี
“คงแบบนั้น” เด็กหนุ่มตอบโดยไม่คิดอะไรมาก สิ่งที่คิดอยู่ตอนนี้มีแต่ของกินเต็มหัวไปหมด
สองพี่น้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงในห้องครัว ด้วยความพิถีพิถันเลยกินเวลาไปนานพอสมควร ถาดใบใหญ่ถูกยกออกไปตั้งบนโต๊ะกินข้าว อาหารหน้าตาน่ากินถูกเสิร์ฟพร้อมกับกลิ่นหอม ๆ สามแม่ลูกนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะเริ่มลงมือทานอาหารเย็นของวัน อากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยความสุข
ท่ามกลางบรรยากาศมืดมิด มีเพียงเหล่าแมลงออกหากินในยามค่ำคืนส่งเสียงร้องกันระงม แม้จะไร้แสงไฟทว่าก็ยังมีแสงสว่างจากดวงจันทร์ส่องมา พอให้มองเห็นได้ลาง ๆ การกระทำของกลุ่มคนเบื้องหน้าตกอยู่ในสายตาของสองพ่อลูกบนรถสีดำทึบ ไม้ตะพดในมือแกร่งถูกกำแน่นด้วยความขุ่นเคือง
“พ่อให้ผมมาดูอะไร?” พายุถามขึ้นด้วยความสงสัย
“รอก่อน เดี๋ยวก็ได้รู้”
ผ่านไปไม่นานรถหรูสีทึบก็เคลื่อนตัวเข้าไปภายในโกดังร้างเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ซึ่งห่างไกลจากตัวเมืองระยะหนึ่ง เส้นทางนี้ผู้คนไม่ค่อยสัญจรกันเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือแม้กระทั่งกลางคืนก็ตาม
“ขับเข้าไปจอดด้านใน พวกที่เหลือก็ดูต้นทางไว้” เสียงของชายวัยกลางคนเรียบจนน่าขนลุก กลิ่นอายความน่ากลัวปนอันตรายแผ่อยู่รอบตัว
“ครับท่าน”
ร่างสันทัดก้าวลงจากรถก่อนจะยืนขึ้นด้วยความน่าเกรงขาม ตามด้วยร่างสูงใหญ่ของอีกคน ชายหนุ่มสูงราวร้อยแปดสิบ เครื่องหน้าหล่อเหลาคมเข้ม มีไฝหนึ่งเม็ดบริเวณหางตา ผิวขาวกระจ่าง บุคลิกภายนอกดูสุขุมเยือกเย็น ไม่ว่าจะพ่อหรือลูกก็สร้างความกดดันให้แก่เหล่าบอดี้การ์ดได้ไม่แพ้กัน พายุเดินตามแผ่นหลังกว้างโดยไม่พูดอะไร ในใจกลับรู้สึกได้ว่าจะเจอกับเรื่องที่เขาไม่ชอบ และไม่เคยชินกับมันเลยสักครั้ง
เขาลอบถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ทว่าใบหน้าไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์
“ทางนี้ครับท่าน”
“ท่าทางของมันมีพิรุธและน่าสงสัยเป็นอย่างมาก เหมือนว่ามันจะปลอมแปลงเอกสารยื่นเข้าทำงานด้วยครับ” ชายร่างโปร่งในชุดสูทดำทั้งตัวกล่าวขึ้น เขาดันแว่นที่คล้อยลงมากลับเข้าที่เดิม ใบหน้าเรียบนิ่งไม่ต่างจากผู้เป็นนาย
“อย่างอื่น?” ศักดิ์ชัยเอ่ยถามมือขวาของตน ทว่านัยน์ตาคมดั่งเหยี่ยวจดจ้องไปที่เหยื่อตรงหน้า ราวกับกำลังเห็นอาหารอันโอชะ
“เมื่อวันก่อนคนของเราเห็นว่ามันแอบนัดเจอกับคนที่ไม่ใช่พวกของเรา แต่เห็นหน้าไม่ชัดเพราะอีกฝ่ายสวมหมวกกับแมสไว้ครับท่าน”
“อืม”
สองเท้าก้าวไปข้างหน้าด้วยน้ำหนักที่มั่นคง นัยน์ตาคมหลุบมองร่างที่แทบจะไร้วิญญาณ ก่อนจะเอ่ยปากออกคำสั่งเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาซักประวัติ
“ปลุกมันขึ้นมา”
ซ่า!!
น้ำในถังใบใหญ่สาดเข้าที่หน้าบวมเป่งของชายฉกรรจ์ สภาพของเจ้าตัวดูไม่ได้เอาเสียเลย ซ้ำยังมีคราบเลือดแห้งกรังติดอยู่บริเวณกรอบหน้า
“เฮือก! คะ แค่ก ๆ”
ความกลัวคืบคลานเข้ามาทันที ร่างซอมซ่อเงยหน้าสบตาเจ้าของรองเท้าหนังเงาวาวเบื้องหน้า ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความกลัว “อึก.. ทะ ท่าน”
“อย่า อย่าทำอะไรผมเลย ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย!”
“ไม่ได้ทำอะไรผิด?”
“ฉันให้โอกาสแกพูดใหม่อีกรอบ”
ปืนพกเก็บเสียงขนาดกะทัดรัดถูกยื่นให้กับผู้เป็นเจ้าของมัน สีดำเงาวาววับเมื่อกระทบเข้ากับแสงไฟ มือหยาบลูบไล้ของรักไปมาเบา ๆ สิ่งที่ชายวัยกลางคนกำลังให้ความสนใจนั้น ไม่ใช่ร่างที่แทบจะไร้วิญญาณเบื้องหน้า แต่เป็นของที่กำลังถืออยู่ในอุ้งมือต่างหาก
สิ่งที่สามารถคร่าชีวิตคนได้
ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวจากทิศตะวันออก กระทั่งย้ายไปอยู่ตำแหน่งเหนือศีรษะ ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามที่ไร้เมฆบดบัง แสงเหลืองอมส้มทอประกายลงมาบนพื้นผิวด้วยอุณหภูมิที่ร้อนระอุ ส่งผลให้ชายผิวแทนถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก แต่กลับไม่สามารถเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาได้ เพราะดูเหมือนตอนนี้ผู้เป็นนายอารมณ์เสียผิดปกติ เฉียบลอบมองชายหนุ่มผิวขาวราวหยวกเป็นระยะ ทว่าเวลาโดนสายตาคมคู่นั้นมองกลับก็รีบเบือนหน้าหนี“เฮ้ย ลื้อเป็นอะไร?” เฟยหลงทนไม่ไหวจึงเอ่ยถาม เขาเห็นอีกคนเดี๋ยวก้มเดี๋ยวเงย เห็นแล้วเวียนหัวหัวแทน “คนนะเว้ยไม่ใช่ปลาทอง มองอยู่ได้”“แหมเสี่ย ถึงจะมองเสี่ยก็ไม่ท้องหรอกน่า”“เดี๋ยวปั๊ด ฮึ่ย” เฟยหลงยกแขนขึ้นทำท่าจะเหนี่ยวใส่อีกคน ก่อนจะเก็บแขนกลับเข้าที่เดิม เขาทำท่างฮึดฮัดเหมือนไม่มีอะไรดั่งใจเลยสักอย่าง“โธ่...วันนี้เสี่ยเป็นอะไร ทำไมใส่อารมณ์แปลก ๆ แล้วไหนจะพาผมมายืนตากแดดตากลมอยู่หลังร้านด้วย เป็นอะไร๊ เป็นอะไร” ถ้าพามายืนหลบแดดเขาจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่เล่นยืนอาบแดด เหงื่อไม่ไหลไคลไม่ย้อยก็ให้มันรู้กันไป“อั๊วไม่ได้ใส่อารมณ์”“งั้นแปลว่าเสี่ยมีอารมณ์”“ใช่ เฮ้ย ไม่ใช่!” เฟยหลงหันไปถลึงตาใส่คนด้านข้าง หัวเขา
“เอาน่า รอบหน้าถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงนะลูก แม่ไม่อยากให้ฟ้ามีปัญหา ดูท่าแล้วคงเป็นลูกคนมีสตางค์แน่นอน” รตีทำหน้าเป็นกังวลอยู่กลาย ๆ เธอเพียงเป็นห่วงลูกชายว่าจะโดนทำร้าย ทุกวันนี้เงินมันมีค่ามากกว่าความเป็นคนเสียอีก“ครับแม่ ฟ้าเองก็ไม่อยากมีปัญหาหรอกครับ” ยิ่งคนมีสตางค์แต่ไม่มีสติแบบหมอนั่น ไม่รู้ว่ารอดมาถึงทุกวันนี้แบบครบ32ประการได้ยังไงข้าวจ้าวมองเพื่อนสนิทแล้วก็พูดขึ้นมาแทบจะทันควัน นาน ๆ ทีจะได้พูดแซวกลับบ้าง เพราะส่วนมากเป็นเขาที่โดนแซวเสียมากกว่า จังหวะดี ๆ แบบนี้ข้าวจ้าวจะพลาดได้อย่างไรเล่า “โบราณว่าเกลียดอะไรระวังได้แบบนั้นนะเว้ย”“อ๋อหรออออ เหมือนแกกับวินใช่ไหมล่ะ”“เหมือนนรกกับสวรรค์อะบอกเลย” ยิ่งคิดภาพว่าจากที่ตีกันมาจู๋จี๋กันมันไม่ได้! ไม่ได้แบบขีดเส้นผ่าชัด ๆ “กูยอมเป็นโสดจนตายดีกว่าได้กับมัน”“จ้า จำคำนี้ไว้แล้วกัน อย่าให้เห็นว่าลับหลังแอบไปนอนกอดกันบนเถียงนาน้อย” น่านฟ้าพูดแซวอีกคนกลับ ขณะเดียวกันก็กอดซบแม่ของตนด้วยท่าทางออดอ้อนน่าเอ็นดู“เรานี่นะ แกล้งน้องไม่พอยังจะแกล้งเพื่อนอีก ดูหน้าหนูจ้าวซินั่น”ใบหน้ายับยู่ยี่ของชายหนุ่มผมแดงเบื้องหน้า สร้างรอยยิ้มให้กับสองแม่ลูกไ
“น้ารตี! ผมเอาแตงโมมาฝากครับ” ข้าวจ้าวชูถุงแตงโมขนาดใหญ่ในมือ จากนั้นก็เดินเข้าไปหาสองแม่ลูกที่กำลังนั่งอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้าน“อ้าวหนูข้าวจ้าว มากับใครจ๊ะ”รตีวางของในมือลง แล้วรับแตงโมมาจากเด็กหนุ่มรุ่นลูก“มาคนเดียวครับ ผมมาทำธุระแถวนี้พอดี”“น้ากำลังเตรียมทำมื้อเที่ยงพอดีเลย รอเอากลับไปกินที่บ้านด้วยสิจ๊ะ”“จะดีหรอครับ ผมเกรงใจ” ชายหนุ่มผมแดงกล่าวพลางยิ้มส่งไป“ทำไมจะไม่ดีล่ะลูก ถ้างั้นเดี๋ยวน้าเอาแตงโมไปปั่นมากินเลยดีกว่า” เธอก้มมองแตงโมในมือแล้วระบายยิ้มเล็กน้อย ตามด้วยร่างสันทัดของหญิงวัยกลางคนลุกเดินเข้าไปในบ้าน จึงทำให้บนแคร่เหลือเพียงน่านน้ำแทน“ครับ ถ้างั้นรบกวนด้วยนะครับ” ข้าวจ้าวทรุดตัวนั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ เขานั่งฝั่งตรงข้ามกับคนอายุน้อยกว่า มือเรียวได้รูปหยิบตะกร้าสีขาวด้านหน้ามาสานต่ออีกแรง ขณะเดียวกันก็ชวนเด็กหนุ่มคุยไปด้วย “ไงเรา พี่อยู่บ้านรึเปล่า”“ไม่อยู่ครับ พี่ฟ้าไปทำงานในตลาดนู้น”“อ้าว แล้วไปนานรึยัง” พักหลังมาเขาไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนบ่อยเท่าไหร่พอได้ยินข่าวคราวก็ย่อมเกิดความอยากรู้เป็นธรรมดา“พึ่งไปได้สี่วันเอง แล้วพี่มาทำอะไรแถวนี้หรอ?”“พอดีเอาของมาให้คนรู้จัก
ภาพของไร่องุ่นขนาดใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า เฟยหลงและหงส์หยกเดินตามหลังหญิงวัยกลางคนเข้าไปด้านในไร่ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นองุ่นเรียงรายกันเป็นแถว ผลองุ่นสีเขียวอ่อนตัดกับสีม่วงเข้ม ประกอบกับบนท้องฟ้าประดับด้วยเมฆก้อนเล็ก ๆ สีขาวนวล สภาพอากาศปลอดโปร่งทำให้มองเห็นวิวภูเขาชัดเจน เจ้าของเรือนร่างอรชรกวาดสายตามองทิวทัศน์โดยรอบ ใบหน้านวลฉีกยิ้มกว้าง นัยน์ตาของเธอดูสดใสมีชีวิตชีวาเฟยหลงลอบสูดอากาศบริสุทธิ์ นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวหันมองซ้ายขวาด้วยความสนใจ เจ้าของไร่มองทุกอย่างได้อย่างเฉียบขาด ไม่ได้ดีแค่ทำเลโดยรอบ แต่พื้นผิวของดินก็ยังดีอีกด้วย องุ่นทุกต้นนอกจากจะผ่านวิธีการดูแลเบื้องต้นแล้ว ดินก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญของมัน ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้“เสี่ย” เฉียบเอ่ยเรียกเจ้านายเสียงเบา“เสี่ยดูองุ่นพวกนี้สิ น่ากินทั้งนั้นเลย” ชายหนุ่มผิวแทนว่าแล้วก็จ้องพวงองุ่นที่ย้อยลงมาอย่างไม่วางตา มีแต่ลูกใหญ่ ๆ น่ากินทั้งนั้น คิดแล้วก็อยากเด็ดกินสักลูก ถ้าเป็นองุ่นดองก็ยิ่งน่ากิน จิ้มกับพริกเกลือทีนึงถอดจิตขึ้นสวรรค์ได้เลย“อยากกินก็ซื้อ” เฟยหลงตอบแบบขอไปที ทั้งไม่ได้หันไปมองอีกคนด้วยซ้ำ“แหม เสี่ยจะจ่ายให้เฉี
จากเหตุการณ์ก่อนหน้า ทำให้สองพี่น้องพร้อมกับคู่ขาอย่างเฉียบได้มายืนอยู่หน้าร้านขนส่ง น่านฟ้ายังคงทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่ได้สนใจสายตาสามคู่ที่กำลังมองมา เฟยหลงเห็นอีกคนมองข้ามพวกตนเหมือนเป็นวิญญาณพลันรู้สึกฉุนฉิว เขาออกจะโดดเด่นขนาดนี้มองข้ามไปได้ยังไง ตาไม่ถึงจริง!“อีกนานไหม น้องสาวอั๊วรอนานแล้ว” คนตัวสูงยืนล้วงกระเป๋ากางเกง พร้อมกับวางมาดใส่เป็นนัยน์ว่าให้อีกคนรีบไปได้แล้วน่านฟ้าขมวดคิ้วหันไปมอง ก่อนจะหันกลับไปเช็คของในมือต่อ“ถามไม่ได้ยินรึไง” เฟยหลงยังคงถามย้ำอีกคน“ถ้ารีบมากไม่ไปตั้งแต่เมื่อวานล่ะครับคุณ” ถึงแม้คนตัวเล็กจะยอมตอบกลับไป แต่เขาก็ไม่ได้ผินหน้าขึ้นมองคู่สนทนาเลยสักนิด เสมือนพูดกับอากาศแล้วก็จบลงที่ความเงียบอีกเช่นเคย“นี่!” ร่างสูงราวร้อยเก้าสิบเดินอาด ๆ เข้าไปยืนจังก้าเบื้องหน้าเจ้าของเรือนผมบลอนด์ ใบหน้าหล่อเหลาก้มมองคนที่เตี้ยกว่า เขากำลังจะอ้าปากพูดแต่ดันช้ากว่าอีกฝ่าย ที่จู่ ๆ ก็พูดโพล่งออกมา“หลบหน่อย เกะกะ”ชายหนุ่มลูกครึ่งถึงกับกลืนคำพูดลงแทบจะไม่ทัน“เฮีย ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบขี้หน้าเฮียเลยนะ” ร่างอรชรของหงส์หยกรุดเดินข้ามายืนเทียบข้างพี่ชาย เธอมองผู้เป็นพี่สล
“มานี่สิ” ศักดิ์ชัยกระดิกนิ้วเรียกลูกชายพายุลอบถอนหายใจแล้วเข้าไปหาผู้กุมบังเหียนของบ้าน บุคคลที่เขาไม่เคยต่อต้านได้เลยสักครั้ง เมื่อเดินไปถึงชายหนุ่มก็ถูกกดตัวลงกับพื้นจากด้านหลัง เขานั่งนิ่งไม่ไหวติง ราวกับเป็นรูปปั้น เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนกระทำแบบนี้“แกบอกว่าฉันขังแกเหมือนกับนกในกรงงั้นหรอ”“ฉันจะบอกอะไรให้นะ” เขาพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าลูกชายตนเอง ไม่ได้แยแสหรือสนใจสักนิด ว่าอีกคนจะทำหน้าตายังไง “นกที่โดนขังไว้ในกรง ถ้ามันไม่ตายมันก็ออกไปจากกรงไม่ได้ หรือถ้าเจ้าของมันตาย มันก็ออกไปไหนไม่ได้อยู่ดี”“เพราะชีวิตของมันถูกกำหนดมาแล้ว... ว่าต้องตายอยู่ในกรงเท่านั้น”“เข้าใจที่พ่อพูดไหมพายุ?”นัยน์ตาคมแดงก่ำ สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความรู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุด ความรู้สึกในใจพังยับเยินไม่เป็นชิ้นดี“ไปแต่งตัวให้มันดีกว่านี้ ได้เวลาทำหน้าที่ในฐานะลูกชายของฉันแล้ว”“ครับพ่อ...” เขาเค้นเสียงพูดผ่านไรฟันชายหนุ่มร่างแบบบางยืนมองโรงสีขนาดใหญ่ตรงหน้า รถคันใหญ่เทียวเข้าเทียวออกวนเวียนไปมา เขายืนอยู่หน้าทางเข้าได้สักพักหนึ่ง จู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกลังเล ราวกับถ้าก้าวขาข้างใดข้างหนึ่งไป จะมีเรื่อ







