...พี่จะรีบกลับบ้านให้ไวที่สุด พี่เปลี่ยนใจที่จะไปยุโรปกับญี่ปุ่นต่อแล้ว จะตรงกลับกรุงเทพทันทีหลักจากที่เที่ยวทางภาคตะวันตกของอเมริกานี่เรียบร้อย พี่มีเรื่องบางอย่างที่จะต้องกลับมาสะสางต่อ เรื่องของหัวใจจ้ะ ขอปิดเป็นความลับก่อนนะ แต่เขาประทับใจพี่มาก ขอให้วาดภาพของเขาได้เลยว่าสง่างามเหมือนเจ้าชาย ร่ำรวย และหล่อระเบิด...
มินตาย่นจมูกนิดๆ หล่อนไม่เห็นภาพพจน์อย่างที่มิ่งขวัญบอก ก็พี่สาวของหล่อนเป็นแบบนี้เสมอ หลงใหลง่าย...เห็นหนุ่มๆ ร่ำรวยเข้าหน่อย มิ่งขวัญก็ตาโตเนื้อเต้นไปได้ทุกหน
“พี่มิ่งเอ๊ย...เจ้าชายจริงหรือเปล่า เดี๋ยวก็เป็นเจ้าชายเสกของนางฟ้าเข้าหรอก...เดี๋ยวนี้เจ้าชายเดินดินกินข้าวแกงกันแล้วทั้งน้าน...ฝันหวานจะกลายเป็นฝันสลาย”
////////////////////////////////////////////////////
กางเกงยีนส์เก่าๆ กับเสื้อเชิ้ตที่หล่อนสวมใส่อยู่ ทำให้คุณมารศรีย่นจมูกเข้าใส่เมื่อมินตาเดินเข้ามาในห้องอาหาร หล่อนรีบเอาซองยาวๆ ที่ข้างในเป็นเช็คส่วนตัวของหล่อนเลื่อนไปตรงหน้าเธอโดยเร็ว หล่อนอาจจะบาปก็เป็นได้ ที่ปิดปากมารดาด้วยเงิน แล้วก็ได้ผลเสียด้วยเมื่อหน้าที่บึ้งๆ อยู่เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มได้
“ค่าอะไรอีกล่ะ”
เสียงแหบๆ ของนายโกมุทเอ่ยถาม ดวงตาของเขามองดูซองในมือของภรรยาเขม็ง มินตาเป็นคนตอบคำถามนั้น
“ไม่ใช่เงินหรอกค่ะ พ่อ...เอกสารเรื่องของพี่มิ่งน่ะ” หล่อนกล่าวแก้เพราะไม่อย่างนั้นจะเป็นเรื่องยาว “วันนี้พ่อเป็นยังไงบ้างคะ”
สุขภาพของนายโกมุทไม่ดีนัก หลังจากที่เขาประสบความล้มเหลวในหน้าที่การงาน...เขาตัดสินใจลาออก แล้วก็มานั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านกินใช้เงินจากกองมรดกเก่าๆ ที่พ่อแม่สะสมทิ้งเอาไว้ หลังจากลาออกมาได้สองปี นายโกมุทก็ตรวจพบว่าตัวเองมีปอดที่ไม่แข็งแรงนัก เขาเจ็บออดแอดมาตลอด...และเหมือนหมดความกระตือรือร้นกับเรื่องทุกอย่างในบ้าน อำนาจที่เคยมีมากในมือภรรยาเลยยิ่งมากกว่าเดิม เหมือนนายโกมุทเป็นเพียงเครื่องประดับบ้านหลังนี้เท่านั้น
“ก็เหมือนทุกวัน...” ดวงตาของเขาค่อนข้างเหม่อลอย มันไม่สดใส มินตาไม่เคยเข้าใจพ่อ...หล่อนพยายามจะเข้าใจแต่เหมือนพ่อจะมีโลกส่วนตัวที่ใคร ก็เข้าไปสัมผัสด้วยไม่ได้ แม่เคยบอกว่าพ่อเป็นคนไม่อดทน...
...นี่ถ้าไม่ด่วนลาออก ก็คงจะไปได้อีกไกล ได้เป็นซีสิบก่อนจะเกษียณแน่ๆ...
แม่มักจะกระฟัดกระเฟียดเสมอๆ แต่หล่อนก็ไม่อยากจะโทษพ่อ...พ่อมีสิทธิ์จะลาออกจากงาน พ่อทำได้ในสิทธิ์ข้อนั้น
“แต่วันนี้อากาศดีนะ...พ่อจะออกไปดูพวกช่างมันปรับปรุงเรือนเล็กริมน้ำด้านโน้น”
ดวงตาของมินตาฉายแววยินดีขึ้นมาชั่วแวบ
“ได้ช่างมาแล้วหรือคะ มินไม่ยักรู้...”
“ช่างมาจากบ้านนอก...พ่อแกไปเฟ้นหาเอามา เห็นคุยนักหนาว่าเป็นช่างไม้ฝีมือเยี่ยม”
“แพงไหมคะ”
“ไม่แพงหรอกลูก...พ่อเสียดายบ้านเก่า...มันจะผุเสียหมด...เอามาปรับปรุงเสียใหม่ มันยังใช้ได้...”
“มินขอนะคะ”
หล่อนโพล่งออกไป แล้วก็แทบจะกัดลิ้นตัวเองเมื่อเห็นคุณมารศรีค้อนขวับเข้าให้
“นี่แกเป็นอีกลูกช่างขอด้วยรึ”
ทั้งเธอทั้งมินตาไม่ทันได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปแวบๆ ของนายโกมุท...มารู้สึกกันอีกทีก็ตอนที่นายโกมุทเกาะพื้นโต๊ะลุกขึ้นยืน “ฉันจะไปล่ะนะ...”
“คุณเพิ่งดื่มนมไปแก้วเดียวเอง”
“ฉันอิ่มแล้ว...เรื่องเรือนหลังเล็กนั่นเอาซิ มิน...ถ้าลูกอยากจะได้เอาไปได้เลย”
มินตายิ้มชื่น ก่อนจะค่อยๆ เฝื่อนลงเมื่อคุณมารศรีมองมาเขม็ง ครั้นลับร่างของบิดาแล้ว เธอก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงประชดๆ
“ทำไมล่ะ แม่มิน อยู่บ้านหลังนี้สุขสบายไม่พอหรือไงจ๊ะ ถึงดิ้นรนขอบ้านหลังนั้นน่ะ หรือจะเก็บสะสมสมบัติเอาไว้ตั้งแต่พ่อแม่ยังไม่ตาย”
“มินไม่ใช่คนงกสมบัติสักหน่อย” หล่อนปฏิเสธข้อหาหลังก่อน สีหน้าของหล่อนเป็นปกติจนยากจะรู้ว่าหล่อนคิดสิ่งใดอยู่ในใจ “แม่ก็รู้ว่ามินกลับไม่ค่อยจะเป็นเวลา มินเกรงใจที่ต้องให้ปรางคอยเปิดประตูรั้ว ถ้ามินไปอยู่ที่เรือนเล็กโน่น มินก็เข้าออกได้สะดวก ไม่ต้องรบกวนแล้วบางทีมินก็มีงานที่ต้องเอากลับมาทำที่บ้าน มันเกะกะไปหมด แม่ก็เคยเห็นๆ”
“แก้ตัวงี้ คล่องปากเชียวนะ”
เธอตวัดตาค้อน แต่เช็คอุ่นๆ ในกระเป๋าเสื้อทำให้ไม่อยากจะพูดมากไปกว่านี้ นอกจากสำทับเพิ่มเติมอีกนิดว่า”แล้วแกอย่าลืมล่ะว่าแกยังต้องจ่ายเงินค่าพรมปูห้องพี่มิ่ง อย่าเพิ่งเอาเงินไปทุ่มซื้อของเข้าเรือนโน้น”
“มินจะขนของที่ห้องลงไป แล้วที่โน่นก็มีเครื่องเรือนเก่าๆ อยู่ เอามาปัดๆ ฝุ่นก็ยังใช้ได้ดี มินไปก่อนนะคะ”
หล่อนจรดฝีเท้าลงกับพื้นอย่างแผ่วเบา ครั้นพ้นสายตาของมารดา การเดินเหินของหล่อนก็สะดวกขึ้น มินตานั่งอยู่ที่หัวบันได หล่อนสวมถุงเท้าก่อน แล้วจึงสอดเข้าไปในรองเท้าผูกเชือกจนกระชับ จึงเดินลงไปที่รถยนต์...ขับออกไปจากบ้าน พอเลี้ยวพ้นแนวกำแพง หล่อนก็ได้ยินเสียงกดแตรเร่งจากด้านหลัง มองจากกระจกข้าง หญิงสาวก็อมยิ้มชะลอรถแล้วก็จอดแอบเข้าข้างทาง ให้รถยนต์คันนั้นขึ้นมาจอดเทียบไขกระจกลง
“กดแตรซะแสบแก้หูเชียวนะ คุณเอ...วันนี้ทำไมออกแต่เช้า”
บุรุษหนุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณเอหัวเราะเบาๆ เขาเป็นคนหนุ่มรุ่นพี่ของมินตาก็รุ่นเดียวกันกับมิ่งขวัญ แต่เติบโตมาด้วยกัน จนคุ้นเคย ระยะหลังๆ ที่ต่างฝ่ายได้เติบโตกันมากขึ้นนี่ต่างหากที่ทำให้ห่างเหินกันไป ไม่สู้จะได้พบหน้ากันนักทั้งที่รั้วบ้านก็ชิดติดกัน เดินเข้าเดินออกถึงกันได้ทางประตูข้าง
“คุณแม่ใช้ให้ไปบ้านคุณยาย...ไปรับเด็กคนรับใช้มาใหม่ คุณยายฝึกเด็กไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
“ดีนะ...มีคนฝึกให้ก่อน เอามาไว้บ้านจะไม่ต้องขัดตาคุณป้า...”
แม่ของเขากับแม่ของหล่อน ก็ไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ แค่นึกถึงมินตาก็ยังเอือมๆ นึกถึงภาพตัวเองยามต้องอยู่ต่อหน้าผู้หญิงทั้งสองกับบทเสงี่ยมหงิม พับเพียบเรียบร้อยที่หล่อนได้เพียรพยายามทำได้...ไม่เหมือนมิ่งขวัญที่กระชดกระช้อยนุ่มนวลเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว สีหน้าของหล่อนมีรอยยิ้มขันๆ ที่ทำให้ดวงหน้าของหล่อนสว่างขึ้นอีกมาก
“ไม่ค่อยจะได้เจอมิน งานยุ่งล่ะซิ”
“ยุ่งมาก...ตัวเป็นเกลียว...หัวเป็นน็อตเชียวละ”
“มิน่า...” เขามองดูหัวหล่อนก่อน “ผมเผ้าถึงเหมือนไม่ได้เจอหวีเลย ยุ่งไปหมดแล้ว ยายมินเอ๊ย...มอมแมมอย่างนี้อีกกี่ปีจะขายออก”
“พูดเป็นแม่อีกคนแล้ว ขายไม่ออกก็ไม่เห็นจะเป็นไร อยู่เป็นสาวโสดให้เบิกบานใจเล่นดีกว่า”
“เห็นว่ารวยแล้วด้วย”
“คุณเอนี่ไปฟังข่าวลือจากไหน มินก็ยังจ๊นจน” หล่อนออกเสียงกระดกลิ้นแต่นัยน์ตาเป็นประกายพราว “นี่คงไม่ได้ชวนจอดรถคุยกันเรื่องสัพเพเหระแบบนี้นะ มินจะต้องรีบไป”
“กลางวันนี้กินข้าวด้วยกันไหม”
มินทำตาโต เกือบจะไม่เชื่อหูตัวเอง สาวิตต์ชวนหล่อนไปกินข้าวมื้อกลางวัน...หล่อนต้องบังคับตัวเองไม่ให้แสดงความลิงโลดออกมามากกว่านี้...ทั้งที่ใจข้างในเต้นโครมครามไปหมดแล้ว
“ที่ไหนคะ...แล้วเลี้ยงมินเนื่องในโอกาสอะไรกัน”
“ก็เลี้ยงเฉยๆ อยากคุยด้วยเท่านั้น...ไม่ค่อยจะมีเวลาคุยกัน เคยแวะเข้าไปตอนเย็นๆ คุณน้าก็บอกว่ามินกลับมืดทุกวัน”
นี่เขารู้ด้วยหรือว่าหล่อนทำอะไรบ้าง เหมือนสูบลมเข้าไปในหัวใจของหล่อนเพิ่มอีก มือของตัวเองแท้ๆ มินตายังรู้สึกว่ามันเกะกะไปหมดแล้ว
“บอกมินมาแล้วกันว่าจะไปกินที่ไหน มินจะไปรอ”
“พี่ไปรับที่ออฟฟิศก็ได้นะ”
“ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้อง มินไปเองดีกว่า”
เรื่องอะไรจะให้พวกเพื่อนๆ มันโห่เอา...แต่ไหนแต่ไรแล้วที่มินตาไม่เคยมี ‘นัด’ กับเพศตรงข้าม หากอยู่ๆ มีผู้ชายบุกบั่นไปหา และพาหล่อนออกไปทานมื้อกลางวันคงจะเป็นเรื่องที่พูดล้อเล่นกันได้เป็นเดือนๆ แล้วมินตาก็ยังไม่อยากถูกค่อนแคะด้วย ในเมื่อสาวิตต์กับหล่อนแตกต่างกันมาก เพื่อนๆ หล่อนคงจะไม่ยอมเชื่อเด็ดขาดว่าสาวิตต์จะมาชอบพอหล่อน
อย่างน้อยหากจะเป็นความสุขมินตาก็อยากเก็บไว้ชื่นชมคนเดียว เพราะหล่อนรู้ว่าสุขนี้จะเป็นแต่ความฝันเท่านั้น มันจะไม่เป็นจริงเป็นอันขาด
สาวิตต์บอกสถานที่ โดยที่มินตาก็ไม่ทันได้คิดมาก หล่อนเพียงแต่กระหยิ่มยินดี และตลอดทางที่ขับรถไปถึงออฟฟิศหล่อนรื่นเริงพอจะฮัมเพลงหวานๆ ไปตลอดทางทีเดียว
มินตาเอารถเข้าไปจอดด้านหลังของภัตตาคารหรูๆ แห่งนี้ หล่อนไม่ทันได้เห็นว่าตัวเองตกอยู่ในสายตาคนคนหนึ่งตลอดเวลานับจากหล่อนเลี้ยวรถเข้ามาแล้ว หญิงสาวเปิดประตูก้าวลงมา แล้วด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง หล่อนก้าวเดินฉับๆ ไม่ทันสังเกตว่าหล่อนถูกมองด้วยดวงตาหลายๆ คู่ ก่อนจะมารู้สึกว่าหล่อนเป็นเหมือนตัวประหลาดตรงทางเข้านี่เองมินตาก้มลงมองตัวเอง แล้วหล่อนก็จึงรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ ทำให้เจ้าหนุ่มตรงทางเข้าที่มักจะโค้งต้อนรับลูกค้ามองหล่อนด้วยแววตาชอบกล เสื้อผ้าของหล่อนนี่เอง หญิงสาวเพิ่งนึกเสียใจเป็นหนแรกที่หล่อนแทบจะไม่เคยนุ่งกระโปรงออกจากบ้านมาทำงาน และเสื้อกางเกงชุดนี้ก็ไม่ใช่ชุดลำลองของสาวสมัยเสียด้วย มันดูบึกบึนตามแบบสาวทำงานมากกว่า“คุณจองโต๊ะไว้หรือเปล่าครับ”หล่อนได้ยินคำถาม ตอนแรกมินตาก็ไม่แน่ใจว่าถามหล่อน จนกระทั่งได้ยินเสียงถามอีกหน หล่อนจึงจิ้มอกตัวเองเหมือนย้อนถามกลับ“คุณแหละครับ...จองโต๊ะไว้หรือเปล่า”“ฉันไม่รู้ เพื่อนฉันนัดฉันที่นี่”“อาจจะมีการเข้าใจผิดก็ได้นะครับ”เลือดขึ้นหน้ามินตานิดๆ แล้ว ริมฝีปากเม้นเข้ากัน นี่หล่อนกลายเป็นตัวอะไรไปแล้วหรือถึงได้รับการปฏิบัติแบบนี้...กะแค่เสื้อผ้
“พยายามดูหน่อยแล้วกัน คุณหมี...” เขาบอก นึกเวทนาหล่อนมากกว่า ผีการพนันไม่เคยปรานีผู้ที่หลงใหลได้ปลื้มในมันเป็นอันขาด และตอนนี้สิ่งที่เขารู้เพิ่มเติมก็คือผู้ชายอนาคตไกลคนนั้นก็เป็นอีกคนที่เป็นผีพนันด้วย หางตาเขายังมองเห็นสาวิตต์อยู่ ยังไม่ได้ปล่อยให้ไปพ้นจากความสนใจ แต่ชายหนุ่มนิ่งเกินกว่าลักษมีที่อยู่ร่วมโต๊ะเดียวกันกับเขาจะสังเกตเห็นได้ด้วยซ้ำไป“หมีก็อยากจะเลิกนะคะ...ที่ไหนบ้างที่มีการบำบัดรักษาคนติดการพนัน ติดบุหรี่ ติดเหล้าติดยายังพอจะมีที่ไป”“มันอยู่ที่ใจ เรื่องใหญ่มันอยู่ตรงนั้น”“แต่หมีก็แพ้ใจตัวเองทุกครั้งไป”หล่อนยิ้มเศร้าๆ“อย่างที่ผมขอ ไปพยายามดูใหม่ เงินมันชักจะมากขึ้นแล้วนะ ผมกลัวว่าจะหมุนไม่ทัน แล้วจะพาตัวไปลำบาก...มีตัวอย่างที่เคยเห็นๆ แล้วไม่ใช่หรือ การพนันมันให้คุณกับใครบ้าง มีแต่โทษ จะรวยก็ไม่ทน แต่จนน่ะนานทีเดียว”ลักษมีก้มหน้าลงน้อยๆ โดยรูปลักษณ์ภายนอกของหล่อนนั้น เป็นสาวสวย ใครจะเชื่อว่าอีกด้านหนึ่งของชีวิตหล่อนนั้นมืดดำ ลักษมีเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงเอง...ด้วยความลำพองว่าหล่อนจะไม่ยึดติด แล้วสุดท้ายหล่อนก็พ่ายแพ้เป็นทาส ยิ่งนานวันหล่อนยิ่งเล่นหนักข้อขึ้น“คุณศิ...ห
“ไปไหนมา” มีคนถามหล่อนนับจากเปิดประตูกระจกเข้ามารับไอเย็นระรื่น “หน้าตาเหมือนไปกินรังแตนมา” เพราะหน้าหล่อนเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้จะยังนวลแป้งก็ไม่มีรอยยิ้มแถมยังมีดวงตาขวางๆ เหมือนจะบอกกล่าวผู้พบเห็นอีกด้วยว่า พูดผิดหูหรือมีอะไรขวางตาหล่อนอาจจะอาละวาดก็เป็นได้“อยากฆ่าคน”“เฮ้ย...”เสียงขัดดังลั่น “ได้ติดคุกจนตายปะไร...แกยังเป็นสาวอยู่นา เจ้ามิน...ไปติดคุกแล้วจะเสียดายว่าหมดโอกาสมีผัว”เท่านั้นเองก็ได้ยินเสียงกรี๊ดของหล่อนไปทั่วหน้า แต่ไม่ยักจะมีใครถือสากลับมีเสียงหัวเราะครื้นเครงประสานกันขึ้นมา“เออ...ยังกรี๊ดเป็น ยังเป็นผู้หญิงอยู่ว่ะ”นั่นเท่ากับว่าหล่อนจะถูกยั่วแหย่ หากไม่ยอมยุติ แม้จะทำตาขุ่นหน้าขึงเข้าใส่ก็หาได้มีคนกลัวเกรงหล่อนสักนิด“ฉันอารมณ์ไม่ดีมาจริงๆ นะ อย่ามายั่ว...เดี๋ยวจะทลายห้องนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง”“มันเอาจริงว่ะ”ธันวาก้าวออกมาข้างหน้า มาเอียงคอมองดูเพื่อนสาวอย่างประหลาดใจในพฤติกรรมที่มินตาแสดงออกมือข้างที่เจ็บยังอยู่ในผ้าพันแผลหนาๆ“โมโหอะไรนักหนาเล่า มิน” ธันวาทำเสียงปลอบและนั่นทำให้มินตาอารมณ์ดีขึ้นมานิดหนึ่ง “ไอ้พวกปากหมานี่ถือสาได้ที่ไหนกัน มันพูดยั่วเล่น...ว่
เขาก้าวเข้ามา...พอดีกับพิมสุดาเบือนหน้ามาช้าๆ เธอยิ้มให้กับเขา ยิ้มสวยเหมือนนางฟ้าที่ศิลาคุ้นเคยดี เป็นยิ้มที่พิมสุดาให้กับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ยิ้มแบบเสแสร้งอันใดเลยชุดผ้าเพ้นท์ลายกล้วยไม้อ่อนหวานเข้ากันได้ดีกับชุดโซฟาสีครีมและหมอนอิงโทนสีน้ำตาลหวานนุ่มนวล...พิมสุดางดงามเสมอ ดวงหน้าของเธอเนียนด้วยเครื่องสำอางไม่มากและไม่น้อยเกินไปยังสวยพริ้ง...และสาวแฉล้มราวกับไม่ใช่วัยห้าสิบกระนั้น“ไปไหนมาจ๊ะ”คำทักทายอ่อนโยนัก“ลักษมีนัดทานมื้อเที่ยง”“อือม์...” เสียงรับคำอือออ “เป็นไงบ้างล่ะ แม่ดาราดังนั่น”“ก็ย่ำแย่ฮะ ยังไม่ยอมเลิกสักที”“นี่แหละน้า เป็นทาสแล้วก็ยากจะถอนตัว เตือนๆ หน่อยซิ ไม่อยากจะเห็นอนาคตที่รุ่งโรจน์ดับวูบ”“ผมก็เตือนแล้วนะฮะ ไม่รู้จะได้ผลแค่ไหน ถลำลงไปมากแล้วนี่ ผมก็ห่วง”พิมสุดามองเขาเหมือนจะค้นหา และนั่นทำให้ชายหนุ่มรีบพูดต่อโดยเร็ว“แค่ห่วงใยฉันท์เพื่อนเท่านั้นฮะ ไม่ได้มีอะไรเกินเลยกัน”เธอถึงกับหัวเราะออกมา “โธ่...ศิลา ทำราวกับว่าแก้ตัวไม่มีผิด นี่ไม่ได้จ้องจับผิดเธอเลยนะ”“ไม่รู้ซิ เห็นมองแปลกๆ แล้วยังทำท่าเหมือนคาดคั้นผมซะอีก”เขานั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน กางแข
พิมสุดาไม่ใช่ผู้หญิงเลวมาก่อน ที่ผลักดันเธอมาอยู่ตรงนี้รุนแรงเกินพอ และเขาก็รู้ว่ามันเป็นธุรกิจที่คนดีๆ หลายคนเมินหน้าหนีและยังประณามหยามเหยียดสาปแช่ง แต่มันก็ทำให้คนอีกหลายคนมีกินมีใช้ มีชีวิตอยู่ได้...และนี่เป็นธุรกิจหนึ่งในหลายสิ่งที่พิมสุดาทำ...แต่เธอก็กำลังจะวางมือ ล้างตัวออกไปจากแวดวงนี้ หลังจากคลุกคลีมานานปี จนอาบอิ่มไปด้วยสิ่งที่คนอื่นๆ เรียกกันว่าน้ำกาม...เขาเข้าใจเธอไม่ใช่เพราะลำเอียงจนมองไม่เห็นเขารู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งดีงามอันใด แต่ตราบใดที่พิมสุดาไม่ได้ทำร้ายใคร...และต่อสู้อยู่บนหนทางของเธอ เขาไม่อาจจะซ้ำเติมเธอได้ นอกจากคอยช่วยเหลือดูแลสมญามือขวาของเจ้าแม่แหม่มจึงปรากฏอยู่ในเมื่อเขาเติบโตเป็นหนุ่ม เขาก็อยู่ข้างกายพิมสุดามาตลอด...โดยไม่มีใครรู้ถึงความสัมพันธ์แท้จริงของเขากับเธอผู้ชายหลายคนเขม่นหน้าเขา เรียกเขาว่าแมงดาบรรดาศักดิ์ เกาะพิมสุดาไม่ยอมปล่อยซึ่งศิลาก็ไม่ใส่ใจกับเรื่องนั้นสักนิดเขามองดูเธอเดินกลับมา...ผมสีแดงจ้าของหล่อนเหมือนเปลวเพลิง...ล้อมดวงหน้าเนียนผ่อง...ผิวขาวลออที่ทำให้เธอเหมือนลูกครึ่งฝรั่ง...หลายคนคิดว่าย้อมสีผม...แต่เขาซิรู้ว่าผมเดิมของพิมสุดาก็ไม่เค
“วันนี้คุณเอนัดมินไปกินข้าวกลางวัน” หล่อนบอก เห็นคุณมารศรีหันขวับมาโดยเร็ว รู้ได้ว่ากับเรื่องแบบนี้จะต้องรายงานปิดบังเอาไว้ไม่ได้เป็นอันขาด และก็เห็นสีหน้าแวบๆ ราวกับจะฉายชัดถึงความไม่พอใจให้หล่อนรับรู้“เขานัดแก หรือแกนัดเขากันแน่”“โธ่! แม่ มินจะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงข้าวเขา...เงินมินหมดแล้ว”“อ้อ...แกหมดเงินเพราะจ่ายค่าโต๊ะนี่ใช่ไหมล่ะ แกจะโทษว่าแม่เอาเงินแกอีกใช่หรือเปล่า”มินตาได้แต่ครางอย่างอ่อนใจอยู่ในใจ หล่อนพูดผิดไปอีกแล้ว สาบานได้ว่าหล่อนไม่คิดดังเช่นที่คุณมารศรีกำลังตีโพยตีพายอยู่เลย เธอคิดไปเองทั้งนั้น และที่ดีที่สุดก็คือเงียบเฉยเสียไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วยเป็นดีที่สุด“ก็ได้ ยายมิน ฉันจะหาเงินมาใช้คืนแก จะได้ไม่มาลำเลิกเบิกประจานกัน”“มินไม่ได้คิด” หล่อนแย้งเบาๆ อ่อนใจนักหนา...เคยหลายครั้งที่มินตานึกถึงโลกภายนอกบ้าน นึกถึงการโบยบินจากบ้านไปสู่อิสระ และความโล่งสบายภายนอกปราศจากเสียงพูดเหน็บแนม ดุด่าว่าทำนองนี้ เพียงแต่หล่อนจะใจแข็งสักหน่อยเท่านั้น แต่หล่อนใจแข็งไม่พอ หล่อนยังใจอ่อนยังมีห่วงใยต่อพ่อแม่อยู่โดยเฉพาะกับพ่อ...ที่ห่วงใยมากกว่าแม่หลายเท่าตัว“คุณเอนัดมินไปเพราะอยากรู
“เด็กเป็นไงบ้างฮะ”“ไม่ไหวจ้ะ...นี่ขนาดคุณยายฝึกมาแล้วนะ ยังไม่ค่อยจะได้ดังใจ แม่ละเบื่อต้องเอามาฝึกกันอีก เก็บห้องครัวก็ไม่เรียบร้อย ดูซิ จะเที่ยงคืนอยู่รอมร่อแล้วแม่ยังไม่ได้นอนยังต้องมาดู”“ถ้าไม่ไหวก็ส่งกลับไปหาคุณยาย หาเด็กใหม่มาแล้วกันฮะ”เขาตอบง่ายๆ ไม่ใส่ใจมากนัก“กว่าจะได้อีก แม่ก็เหนื่อย...แม่ทองก็ไม่ไหวแล้ว แกแก่มากแล้วงกๆ เงิ่นๆ...นี่แหละน้า...แม่บอกแล้ว ตาเอ...ให้ลูกหาสะใภ้ให้แม่สักคน เอามาคุมคนในบ้าน ดูแลบ้านและดูแลเอด้วย...เรื่องยายมิ่งไปถึงไหนแล้วจ๊ะ”“ก็คงจะกลับมาเร็วๆ นี้มังฮะ ตอนแวะไปบ้านคุณยายก็เห็นถามถึงมิ่ง...ผมไม่ได้บอกแม่ตอนพาเด็กนี่มา...” เขาพยักพเยิดไปทางสาวใช้คนใหม่ “ชื่ออะไรล่ะฮะ แม่...หน้าตาดีเชียว”“ชื่อแม่แหวน...” เธอบอก ดึงเขาออกมา “เออย่าไปชมมันต่อหน้าซิว่ามันหน้าตาดี...แม่ยิ่งกลัวๆ อยู่ว่าหน้าตาอย่างนี้ จะอยู่ทนเป็นคนใช้ไปได้สักกี่มากน้อย เรื่องยายมิ่งต่อเถอะ...คนกันเองไม่ใช่อื่นไกล เทือกเถาเหล่ากอตื้นลึกหนาบางก็พอจะรู้เห็น...กำพืดเดิมก็ดี จะมีเมียสักคนก็ต้องเลือกหน่อยละ ถึงยายมิ่งแกจะเรียนไม่สู้ดีไปนิด แต่อย่างอื่นก็ชดเชยกันได้”เขาไม่พูดสักคำ...เรื่
แม้จะยังฉงนฉงายว่าทำไมศิลาสั่งให้หล่อนทำเช่นนั้น แต่ลักษมีก็รับคำสั่งนั้นไปปฏิบัติอย่างไม่เกี่ยงงอนและไม่ถามซอกแซกให้ยาวความต่อไป หล่อนรู้นิสัยของเขาอยู่บ้างว่าเขาไม่ชอบให้ถามจุกจิก และที่เขาขอร้องให้ทำก็เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเองจริงๆ ในเมื่อสิ่งที่เขาให้กับหล่อนนั้นมันมากมายกว่านั้น หลายหนที่เขาให้ความช่วยเหลือเพียงเอ่ยปากประโยคเดียว ไม่เคยพูดให้เจ็บช้ำน้ำใจ ไม่เคยซ้ำเติม ไม่เคยขอสิ่งแลกเปลี่ยน ไม่ได้มุ่งหวังในเรือนกายของหล่อน แม้จะเต็มอกเต็มใจให้ฟรีๆ ก็น้อยครั้งนักที่เขาจะตกลงด้วย“ดีแล้ว สนิทกับเขาไว้บ้าง แล้วผมจะให้หมีแนะนำเขากับผมสักหน่อย”“ค่ะ”หล่อนรับคำ“ขอบคุณนะ คุณหมี...นี่ใจคงจะเข้าไปข้างในละมั้ง ผมไม่ดึงเวลาสนุกของคุณดีกว่า” เขาควานหามือของหล่อนมาบีบเบาๆ “โชคดีนะ คุณหมีขอให้ได้”“นี่เป็นคำพรนะคะ หมีจะเฮงแน่ คืนนี้”ลักษมีเปิดประตูก้าวลงไป หล่อนเดินผ่านหน้ารถแสงไฟสาดจับร่างของหล่อน ลักษมีนุ่งกางเกงยีนส์กระชับช่วงขาและเสื้อยืดอีกตัวหนึ่ง สวมแว่นตาสีเข้มทั้งที่เป็นเวลากลางคืน หน้าตาไม่เติมเครื่องสำอาง เกลี้ยงเกลา และทิ้งมาดดาราไปอีกด้วยสถานที่ที่หล่อนกำลังจะเข้าไปนั
“ไม่ใช่ห้องนี้”มินตาตัวแข็ง เมื่อเขาเปิดประตูห้องที่หล่อนเป็นคนตกแต่งเพื่อเป็นห้องหอของเขากับมิ่งขวัญหล่อนพยายามจะถอยกลับ แต่ศิลาผลักหล่อนออกเดินไปข้างหน้า“ฉันยอมมาที่นี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ห้องนี้” หล่อนยังเสียงแข็งและมีท่าทีปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“คุณแต่งมันเอง...ก็ใช้เสียเองซิ” เขาบอกนุ่มๆ “ที่ทางของคุณเอง“ฉันทำเพื่อพี่มิ่ง” หล่อนยืนยัน หล่อนรักมิ่งขวัญไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น“แต่มันเป็นสิ่งที่คุณชอบ” เขาดักคอ “ผมรู้ว่ารสนิยมของมิ่งขวัญเกิดจากตัวคุณเป็นหลัก...ลืมซะว่าผมเคยสั่งว่าอย่างไร นั่นเป็นข้ออ้างจะเอาตัวคุณมาทำงานต่างหากเล่า ถ้าผมไม่บอกว่าเป็นห้องหอมีหรือที่คุณจะยอมมาทำ ตอนนั้นคุณชังน้ำหน้าผมจะแย่”“ตอนนี้ก็ใช่”“ผมไม่เชื่อ ไม่มีวันเชื่อ...”เขาปิดประตูไว้ข้างหลังแล้วยืนพิงอยู่อย่างนั้น ตอบหล่อนด้วยถ้อยคำหนักแน่นเขาจะไม่ยอมเสียหล่อนไปศิลาบอกตัวเองว่าเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสมปรารถนาให้จงได้ ต่อให้ยากเท่ายากก็ตามที“เราจะต้องคุยกันตามลำพังสองต่อสองแล้วละ มินตา”เขาบอกด้วยเสียงนุ่มทุ้ม และแน่นอนว่ามีกังวานของความรักอยู่มากมาย เขาไม้ปฏิเสธใจตัวเอง“ไม่...” หล่อนป
พิมสุดามาแล้วกลับไปแล้ว ปล่อยให้มินตาได้ครุ่นคิดตามลำพัง แม้จะมีปรางคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ แต่มินตาก็เหมือนอยู่คนเดียว...หล่อนคิดถึงอนาคตวันข้างหน้าเมื่อไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อ ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้คว้าติดอีกหล่อนจะทำอย่างไรดีนั่นคือสิ่งที่มินตาต้องคิด...มันไม่ใช่เรื่องเล็กเสียด้วย เพราะเท่ากับต้องเอาอนาคตมาเป็นเดิมพัน...อนาคตที่มินตาไม่แน่ใจ และหล่อนก็รู้ว่าเพราะตัวเขานั่นแหละที่ทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมา/////////////////////////////ผู้ชายสองคนต่างวัยแต่มีสายเลือดส่วนหนึ่งเหมือนกันได้เผชิญหน้ากันอีกครั้ง คนแก่ดูจะยิ่งแก่ ในขณะที่คนหนุ่มก็มิได้ทำท่าลำพองว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ ต่างคนต่างมองกันชั่วอึดใจในความเงียบงันแล้วศิลาก็เป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน “สาวิตต์เป็นอย่างไรบ้าง”“ก็ยังเหมือนเดิม...เก็บตัวเอง...และไม่พูดไม่จากับใครเลย”“เขาคงจะหายสักวันหนึ่ง“นั่นคือความหวัง”“ผมจะเอาใจช่วยแล้วกัน”คุณทรงศักดิ์ทำท่าเหมือนไม่คาดคิดเมื่อได้ยินเช่นนั้น“ต่อ...ให้อภัยพ่อกับพี่แล้วใช่ไหม”ชายหนุ่มส่ายหน้า นั่นคือความจริง เขายังไม่อาจจะให้อภัย เพียงแต่เขาคิดว่าเขาจะวางมือในส่วนนี้...หลายปีที่เ
“ไล่ปรางหรือคะ...” มินตาแสนจะตกใจ “ทำไมล่ะคะ ปรางทำผิดตรงไหน”“มันเป็นพวกแกนี่ รับเอาไปซิ นังนั่นมันเลี้ยงไม่เชื่อง หวังว่าที่พูดมานี่แกคงจะเข้าใจนะ”“ค่ะ มินตารับคำ ดวงหน้าสลด ครอบครัวของหล่อนคือซาก...มันคืออดีตที่เหมือนจะเนิ่นนานผ่านมาแล้ว ดวงตาของหล่อนซุ่มไปด้วนน้ำตา ป่วยการจะพูดมากไปกว่านี้อีกเมื่อคุณมารศรีและมิ่งขวัญปั้นปึ่งใส่ มินตามาไหว้พ่อ นั่งพับเพียบอยู่นานจนศิลาต้องเป็นฝ่ายสะกิดหล่อน“กลับดีกว่ามั้ง มินตา...เขาประคองหล่อนลุกขึ้น ท่าทีถนอมเป็นนักหนาบาดตาของมิ่งขวัญสุดขีด หล่อนไม่อาจจะยอมรับออกมาดังๆ ว่าลึกลงไปนั้นหล่อนเจ็บปวดกับการที่ถูกทิ้ง...ทั้งที่หล่อนเคยทระนงในตัวเองมาตลอด ผู้ชายคนนั้นคือชายที่หล่อนรักและเมื่อความจริงเปิดเผยออกมารักกลายเป็นร้าง และขมขื่นที่สุดจะหารสชาติใดมากกว่านี้ ในชีวิตคงจะไม่มีอีกแล้วแน่นอน“แม่คะ...มิ่งตัดสินใจแน่นอนแล้ว พอเสร็จงานพ่อ มิ่งจะไปอยู่เมืองนอก เราไปด้วยกันไหนคะ แม่...เอาบ้านนี้ให้เช่า...ถ้าไม่คิดจะขาย เราคงจะพอมีเงินสักก้อนไปเที่ยวเล่นด้วยกัน พอให้มิ่งหายช้ำใจแล้วค่อยกลับมาใหม่...หรือบางทีเราอยู่ทางโน้นกันเลยก็ได้ มิ่งก็พอจะมีเพื่อนที
ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง และมินตาก็นิ่งงันปราศจากเสียงกรีดร้องจนเขาใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าหล่อนเสียใจแค่ไหนกันการรับรู้ในการสูญเสียหนนี้ มือของเขาลูบไล้เส้นผม“มินตา ได้ยินผมหรือเปล่า”“ก็ดีเหมือนกัน” หล่อนพึมพำออกมา “จะได้จบสิ้นกันแท้จริงๆ”“ไม่....” เขาปฏิเสธเสียงลั่น“เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”“อย่าพูดแบบนี้...ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลัง แล้วเราเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน ที่ผ่านมาผมรู้ว่าผมผิด จะไม่ให้อภัยคนที่รู้สำนึกหรอกหรือ มินตา...ใช่ว่าผมจะไม่เสียใจหรือไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ เพียงแต่ ตอนนั้นความแค้นทำให้ผมบ้าเลือดและลากคุณเข้ามาพัวพันด้วย”“ฉันให้อภัย แล้วก็โยนมันทิ้งเอาไว้ตรงนั้นแหละ...”ศิลากำลังจะพูดอีก แต่เสียงเคาะประตูห้องขัดจังหวะเสียงก่อนและประตูเปิดเข้ามาหลังจากนั้นครรชิตเดินนำหน้าธันวาเข้ามาพร้อมกับกระเช้าดอกไม้ใหญ่ที่บรรจุดอกไม้สวยงามสีสันสดใสชายหนุ่มขยับห่างออกจากเตียงนิดหนึ่ง ครรชิตทักทายและแสดงความห่วงใย ต่อสภาพบาดเจ็บของเขาสักห้านาทีก่อนจะหันไปหามินตา“ไง...มิน หน้าตาเหมือนคนเจ็บหนัก”“เกือบจะตายแต่ไม่ยักจะตาย...”“ประชดใครล่ะนั่น”ถูกดักคอแบบนี้มินตาทำตาวาว “มินไม่มี
สาวิตต์นอนอยู่บนเตียง...ขาของเขาข้างหนึ่งที่ถกขากางเกงขึ้นไปถูกพันด้วยผ้าขาวหนาเปอะ แล้วหน้าตาของเขาก็เหมือนไม่ใช่ลูกชายคนเดิมของเธอ มีรอยช้ำปูดโปนนั่นยังทำใจได้ว่ามันจะหาย แต่ดูซิ...ดูสีหน้าและแววตาของเขามันดูเลื่อนลอย...และมองมาทางเธอย่างว่างเปล่า“เอ...”เธอถลาเข้าไปหาเขา แล้วก็หยุดอีกหนหนึ่ง เมื่อสาวิตต์ทำเหมือนไม่รับรู้ด้วย เขายังมองเบิ่งไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าเธอ คุณสีดาหันขวับมาหาสามี ถามเสียงสั่น“อะไรกันคะนี่ ตาเอเป็นอะไร...ทำไมเขาทำหน้าตาแบบนั้น”คุณทรงศักดิ์โอบบ่าของภรรยาเอาไว้ ร่างแบบบางของเธอสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น“หมอบอกว่าเหมือนเขาจะช็อก พูดกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เป็นพักๆ เหมือนคนสะเทือนใจมากเกินไป”“แล้วแกจะหายไหม”“ต้องอาศัยเวลา แต่ตอนนี้เขาต้องรักษาตัว บางทีอาจจะต้องลางาน...หรืออาจจะต้องถึงขั้นลาออกก็ได้”“ไม่!”เธอร้อง หันมาซบหน้ากับบ่าของสามี นานแล้วที่คนสองคนไม่เคยหันหน้าเข้าหากันอีก ต่างมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง ความบาดหมางในเรื่องเล็กน้อยถูกทำให้ใหญ่มากขึ้น และไม่อาจจะเชื่อมต่อติดกันได้อีกเลยแต่ตอนนี้หัวอกของความเป็นพ่อแม่ที่จะต้องรับผิดชอ
ปืน...มินตาบอกเมื่อเห็นสาวิตต์หยิบมันออกมาวางไว้บนโต๊ะกลมเล็กข้างๆ เก้าอี้ที่เขานั่งลง แววตาที่เขามองดูศิลาทำให้มินตายะเยือกไปตลอดตัว มันบ่งบอกว่าหากเขาจะลั่นไกปืน เขาก็จะทำได้โดยไม่ต้องหยุดคิดชั่งใจอีกเลย มินตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อพูดกับสาวิตต์ดีๆ“คุณเอ ขอให้มินนะ...อย่าถึงกับฆ่ากันเลย...”“บอกแล้วว่าอย่ายุ่ง ไม่ฆ่าเธอด้วยก็บุญเท่าไหร่รึว่าอยากตายตามผัว”“คุณเอจะทำไมได้นะคะ”“ทำไมพี่จะทำไม่ได้ นึกถึงที่มันทำกับพี่ซิ เพราะมัน...” สาวิตต์ชี้มือไปยังศิลาอย่างคั่งแค้น นั่นคือชายที่ร่วมสายเลือดเดียวกัน แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็กึ่งหนึ่งที่เหมือนกัน เขาไม่เคยเชื่อใครพูดอย่างไร เขาก็มักจะหัวเราะขบขันเสียเสมอว่าทุกคนที่พูดนั้น ล้วนแล้วแต่มีอาการทางจิตที่คิดมากเกินการไปเองทั้งนั้น แต่แล้วเขากลับมารู้เป็นคนสุดท้าย รู้เพื่อทำให้โลกที่เคยสวยงามสำหรับเขามันพังทลายลงมาต่อหน้าต่อตาเขาจึงมองหาทางออกใดไม่พบนอกจากทางนี้ ฆ่าศิลาเสีย ก็เท่ากับฆ่าไอ้เด็กเวรคนนั้นด้วย เมื่อหนนั้นมันเลือกรอดได้อาจจะเพราะดวงมันแข็ง แต่คราวนี้ไม่มีวันที่ดวงมันจะแข็งเท่าครั้งนั้นอีก มันจะต้องตายนั่นคือทางที่เขาเลือกให้มั
สาวิตต์เดินปังๆ จากไปแล้ว ก่อนที่เขาจะกระแทกประตูบ้านด้านหน้าปิดลั่นกุญแจ ปรางก็เสนอหน้าเข้ามา“จะช่วยคุณมินทำแผลให้กับเขา”ปรางบอก หล่อนยืนให้ห่างจากสาวิตต์เข้าไว้ ด้วยไม่แน่ใจในความบ้าของเขาและเขาก็ยอมปล่อยปรางเข้ามาโดยดี ปรางมาคุกเข่าดูศิลาอยู่อีกด้านหนึ่งของเขา“เลือดทั้งนั้นเลย...” ปรางพึมพำ “ทำแผลก่อนนะคะ คุณมินจะเอาอะไรบ้าง”“ต้มน้ำร้อนให้ฉันสักกระติก แล้วหาผ้าสะอาดๆ มา...มีพวกผ้าเช็ดหน้าของฉันเหลืออยู่บ้างมั้งในตู้...แล้วก็พวกผ้าขนหนูผืนเล็กๆ นั่นด้วยก็ได้ คุณเอขังเราเอาไว้ในบ้านแล้วนี่ หยูกยาที่นี่ไม่มีสักอย่าง”“ปรางมีทิงเจอร์กับยาแดง...แล้วก็ยาล้างแผล...” ปรางบอกล้วงมือเข้าไปในกางเกงสามส่วนหยิบยาที่บอกออกมา “เอามาได้แค่นี้ค่ะ จะเอาสำลีกับผ้าพันแผลมาด้วย กลัวคุณมิ่งจะเห็น จะเอาอะไรมาไม่ได้สักอย่าง”“ขอบใจมา ปราง”มินตาคว้าขวดยาพวกนั้นมาด้วยมืออันสั่นเทา ตัวหล่อนเองนั้นสภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนที่ยังนอนทอดร่างนิ่งๆ นี่สักเท่าไหร่ หล่อนรู้ตัวว่าตัวเองก็แย่ เจ็บในช่องท้องจี๊ดๆ เตือนเป็นระยะอย่างไม่เคยเป็น แล้วหล่อนก็อยากล้มตัวลงนอน แล้วหลับให้นานโดยไม่ต้องตื่นขึ้นมารับรู้ใดๆ อีกเ
“คุณมินเป็นอะไร...”แตะตัวมินตาแล้วก็พอว่าไม่ขยับสักนิด ปรางเงยหน้าหล่อนได้เห็นสาวิตต์นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง สีหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างไม่เห็นมาก่อนเลยหันกลับมามองมิ่งขวัญก็เห็นสีหน้าแย้มเยาะประหลาดนัก“คุณมินสลบนะคะ”“ฉันให้แกมาดู ไม่ได้ให้มาพูดมาก แกมีหน้าที่คอยพยาบาลเอาไว้ แต่แกห้ามยุ่งมากไปกว่านี้อีก”“ค่ะ”“พาเข้าไปในห้องนอนซะ”มิ่งขวัญออกคำสั่ง แล้วหล่อนจึงเดินเข้ามาหาสาวิตต์...จับมือของเขาไปบีบเหมือนจะให้กำลังใจแก่เขา“มิ่งเข้าใจว่าคุณเอกำลังเฮิร์ทมาก อีกไม่นานค่ะทุกอย่างจะเรียบร้อยมันจะกลายเป็นปุ๋ยจมดินไปเลย จะไม่มีใครเห็นซากของมันอีก...อย่างนั้นใช่ไหมคะ...ที่นี่มีที่มากมายให้ฝังมัน...”“เมื่อไหร่มันจะมา” คำถามของสาวิตต์เลื่อนลอย“ใจเย็นหน่อยค่ะ ยังไงซะมันก็จะต้องมา”“มันทำกับพี่เจ็บปวดนัก...” เขาหลับตาลง “รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”“จะไม่มีใครรู้...” หล่อนลูบบ่าของเขาเบาๆ ด้วยมือที่เหลืออยู่ปลอบโยนเขา “มิ่งสัญญาว่าจะเอาตัวมันมาให้”“แล้วยายมินล่ะ...”“ขายมันซิ คุณเอ...หลังจากจัดการหมอนั่นแล้ว เอายายมินไปขาย” น้ำเสียงของมิ่งขวัญเหี้ยมเกรียม เขาแหงนหน้ามอง “มิ่งพูดจริงๆ นะ ไม่
“คุณมินเป็นอะไร...”แตะตัวมินตาแล้วก็พอว่าไม่ขยับสักนิด ปรางเงยหน้าหล่อนได้เห็นสาวิตต์นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง สีหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างไม่เห็นมาก่อนเลยหันกลับมามองมิ่งขวัญก็เห็นสีหน้าแย้มเยาะประหลาดนัก“คุณมินสลบนะคะ”“ฉันให้แกมาดู ไม่ได้ให้มาพูดมาก แกมีหน้าที่คอยพยาบาลเอาไว้ แต่แกห้ามยุ่งมากไปกว่านี้อีก”“ค่ะ”“พาเข้าไปในห้องนอนซะ”มิ่งขวัญออกคำสั่ง แล้วหล่อนจึงเดินเข้ามาหาสาวิตต์...จับมือของเขาไปบีบเหมือนจะให้กำลังใจแก่เขา“มิ่งเข้าใจว่าคุณเอกำลังเฮิร์ทมาก อีกไม่นานค่ะทุกอย่างจะเรียบร้อยมันจะกลายเป็นปุ๋ยจมดินไปเลย จะไม่มีใครเห็นซากของมันอีก...อย่างนั้นใช่ไหมคะ...ที่นี่มีที่มากมายให้ฝังมัน...”“เมื่อไหร่มันจะมา” คำถามของสาวิตต์เลื่อนลอย“ใจเย็นหน่อยค่ะ ยังไงซะมันก็จะต้องมา”“มันทำกับพี่เจ็บปวดนัก...” เขาหลับตาลง “รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”“จะไม่มีใครรู้...” หล่อนลูบบ่าของเขาเบาๆ ด้วยมือที่เหลืออยู่ปลอบโยนเขา “มิ่งสัญญาว่าจะเอาตัวมันมาให้”“แล้วยายมินล่ะ...”“ขายมันซิ คุณเอ...หลังจากจัดการหมอนั่นแล้ว เอายายมินไปขาย” น้ำเสียงของมิ่งขวัญเหี้ยมเกรียม เขาแหงนหน้ามอง “มิ่งพูดจริงๆ นะ ไม่