มินตาเอารถเข้าไปจอดด้านหลังของภัตตาคารหรูๆ แห่งนี้ หล่อนไม่ทันได้เห็นว่าตัวเองตกอยู่ในสายตาคนคนหนึ่งตลอดเวลานับจากหล่อนเลี้ยวรถเข้ามาแล้ว หญิงสาวเปิดประตูก้าวลงมา แล้วด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง หล่อนก้าวเดินฉับๆ ไม่ทันสังเกตว่าหล่อนถูกมองด้วยดวงตาหลายๆ คู่ ก่อนจะมารู้สึกว่าหล่อนเป็นเหมือนตัวประหลาดตรงทางเข้านี่เอง
มินตาก้มลงมองตัวเอง แล้วหล่อนก็จึงรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ ทำให้เจ้าหนุ่มตรงทางเข้าที่มักจะโค้งต้อนรับลูกค้ามองหล่อนด้วยแววตาชอบกล เสื้อผ้าของหล่อนนี่เอง หญิงสาวเพิ่งนึกเสียใจเป็นหนแรกที่หล่อนแทบจะไม่เคยนุ่งกระโปรงออกจากบ้านมาทำงาน และเสื้อกางเกงชุดนี้ก็ไม่ใช่ชุดลำลองของสาวสมัยเสียด้วย มันดูบึกบึนตามแบบสาวทำงานมากกว่า
“คุณจองโต๊ะไว้หรือเปล่าครับ”
หล่อนได้ยินคำถาม ตอนแรกมินตาก็ไม่แน่ใจว่าถามหล่อน จนกระทั่งได้ยินเสียงถามอีกหน หล่อนจึงจิ้มอกตัวเองเหมือนย้อนถามกลับ
“คุณแหละครับ...จองโต๊ะไว้หรือเปล่า”
“ฉันไม่รู้ เพื่อนฉันนัดฉันที่นี่”
“อาจจะมีการเข้าใจผิดก็ได้นะครับ”
เลือดขึ้นหน้ามินตานิดๆ แล้ว ริมฝีปากเม้นเข้ากัน นี่หล่อนกลายเป็นตัวอะไรไปแล้วหรือถึงได้รับการปฏิบัติแบบนี้...กะแค่เสื้อผ้าภายนอก...
“วันนี้โต๊ะของเราเต็มหมดแล้ว”
คนที่มาทีหลังหล่อนได้เดินเข้าไป...พร้อมกับมีสายตาปรายมองหล่อนเหมือนหล่อนเป็นตัวตลกที่สกปรกมอมแมม มินตาหัวเสียมากขึ้น แล้วก่อนที่หล่อนจะได้ตัดสินใจอะไรต่อไป ก็มีมือหนึ่งเอื้อมมาแตะที่ท่อนแขนของหล่อนเบาๆ ก่อนจะจับกระชับเอาไว้ หญิงสาวหันขวับไปและหล่อนก็ต้องเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อสายตาหล่อนอยู่เพียงระดับเสื้อสูทสีเข้ม และเสื้อเชิ้ตฟ้าอ่อนๆ ตัวใน...หล่อนเลื่อนสายตาขึ้นไปอีกนิด ก่อนจะตาค้าง
“เข้าไปกับผมแล้วกัน”
เขาพูดเบาๆ เรียบๆ มินตาไม่กล้ากระชากแขนกลับ หล่อนปล่อยให้เขา ได้จับแขนหล่อนพาผ่านประตูเข้าเข้ามา...คงจะเหมือนเจ้าชายกับขอทานข้างถนนแน่ๆ เพราะดูเขาโก้หรูตั้งแต่หัวจรดเท้า เส้นผมหวีเรียบไม่กระดิก มันเรียงเส้นเกาะกันโดยที่ไม่ได้ใส่น้ำมันใส่ผมให้เยิ้มฉ่ำ หากแต่เพราะฝีมือของช่างตัดผมที่ประณีตมากๆ สูทสีน้ำเงินเข้มเกือบดำสมตัว สูทแบบนี้ราคาแพงลิบ...ถึงตัดได้กระชับรูปทรงให้เขาดูผึ่งผาย รองเท้าหนังสีดำเป็นเงามันวับ เรียกว่าหากก้มลงไปส่องหน้าก็คงจะเห็นเงา
แล้วหล่อนเล่า...เสื้อเชิ้ตก็ไม่ใช่เชิ้ตหรูหราราคาแพง...หล่อนซื้อเสื้อใส่ตามใจชอบเอาความสบายเข้าว่าเสมอ กางเกงยีนส์ตัวนี้ก็ใช้มานาน จนสีเก่าซีดตรงหัวเข่าออกจะกร่อนไปแล้วด้วยซ้ำ มินตายังคิดเลยว่าตรงเข่าขาดเมื่อไรหล่อนจะเอาแผ่นหนังมาตัดปะให้เท่ รองเท้าผ้าใบของหล่อนก็ดูมอมแมม...หล่อนซักมันแค่อาทิตย์ละครั้ง หล่อนชอบรองเท้าคู่นี้เพราะใส่สบาย แต่หล่อนนึกเสียใจที่มาปรากฏตัวที่นี่แล้วพบกับสายตาแปลกๆ ทั้งที่หล่อนไม่ค่อยจะแคร์อะไรมากนัก
“ที่นี่เขาต้อนรับสุภาพชน”
เสียงห้าวๆ เอ่ยต่อดวงตาของมินตาเริ่มขุ่น ‘สุภาพชน’ หรือ...ก็หล่อนนี่แหละสุภาพชน แม้หล่อนจะไม่ได้เป็น ‘สุภาพสตรี’ แต่หล่อนก็เป็นคนดีๆ คนหนึ่งประกอบอาชีพสุจริต ไม่เคยเบียดเบียนใคร หล่อนดึงแขนอย่างแรงแต่เขาเกาะกุมเอาไว้แน่น
“คุณหาเพื่อนที่นัดคุณเจอหรือยัง คุณมินตา”
เขาออกชื่อหล่อนชัดเจน ทั้งที่เมื่อวันวานตอนที่เจอกันนั้น เขาไม่มีทีท่าว่าจะสนใจหล่อนสักนิด
“ถ้าคุณยังไม่เจอ ผมขอเชิญที่โต๊ะของผม ไม่อย่างนั้นคุณจะเข้ามาคว้าง...ดีไม่ดีคุณอาจจะต้องยืนหลบมุมข้างกระถางต้นไม้หน้าห้องน้ำ คอยแอบมองว่าเพื่อนคุณมาถึงหรือยัง”
“ฉันไปยืนตรงนั้นก็ได้”
“ไม่เหมาะมังครับ...ผมขอเชิญ...” เขายิ้มนิดๆ แววตายังคมกริบลึกซึ้ง มินตาเพิ่งมองละเอียดอีกนิด ว่าตาดุคู่นั้นมันล้อมรอบด้วยขนตาหนายาวเป็นแพงอนช้อย...ที่มันน่าจะมาเป็นดวงตาของหล่อนมากกว่า “ผมไม่คิดเข้าไปในค่าเสียหายเมื่อวันวาน เราจะได้คุยกันด้วยว่าคุณพร้อมจะจ่ายให้ผมหรือยัง ค่าซ่อมรถ ค่าบาดเจ็บ...ผมได้แผลในปาก”
“ฉันไม่ผิด...คุณจอดรถกะทันหันเกินไป ส่วนค่าบาดเจ็บ...ก็ได้...” หล่อนลากเสียงยาว ยิ้มอย่างขี้โกงนิดๆ “ปากแตกใช่ไหม เอายาแก้ร้อนในไปกินซิ...ยาขมน่ะห่อละไม่กี่บาท กินห่อเดียวก็หาย แต่เอาเถอะ...ฉันจะจ่ายให้สิบบาท...”
หล่อนเปิดกระเป๋าด้วยมือข้างเดียว หยิบธนบัตรใบละสิบบาทออกมาส่งให้กับเขาแถมคะยั้นคะยอเขาอีกด้วย
“เจอกันคราวหน้า จะได้ไม่มาทวงฉันยิกๆ”
เขาจะรู้สึกอย่างไร มินตาไม่อาจจะรู้ได้ เพราะดวงตาของเขามันสงบเหลือเกิน แถมยังลึกยากเกินจะหยั่งอีกด้วย แต่เขาก็รับเงินสิบบาทนั่นไปเหมือนกัน
“มิน...”
เสียงเรียกชื่อหล่อน มินตาเหลียวหา นัยน์ตาฉายประกายยินดี หล่อนรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงทิพย์จากสวรรค์ไม่มีผิด แล้วชายหนุ่มร่างเพรียวก็เดินเข้ามาถึง เขาไม่ทันมองผู้ชายที่อยู่ใกล้ๆ มินตา หญิงสาวก็เช่นกัน หล่อนมัวแต่ให้ความสนใจกับบุรุษผู้มาใหม่ จึงไม่ทันได้เห็นว่าเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ วิ่งเข้าชาร์ตเขา...ไหล่กว้างใต้เสื้อสูทสีเข้มนั่นไหวนิดๆ ก่อนจะสงบนิ่งดังเดิมแล้วมือเขาก็คลายออกจากท่อนแขนของมินตา
“มานานแล้วหรือ รถติดน่ะกว่าจะมาถึงได้...มินมากับใคร”
สาวิตต์เงยหน้าขึ้นมองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า บุรุษที่มีดวงหน้าเรียบเฉยเหมือนรูปสลัก มีเรือนร่างโปร่งแต่ดูแข็งแกร่งเหมือนป้อมปราการ เขาไม่เคยเห็นบุรุษผู้นี้มาก่อน
ศิลาเป็นฝ่ายก้มศีรษะให้นิดๆ
“ผมเจอสุภาพสตรีคนนี้ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ข้างนอกเลยพาเธอเข้ามา” เขาเลื่อนสายตามองเฉพาะดวงหน้าของมินตา “หวังว่าเราคงจะได้พบกันอีกวันหน้านะครับ คุณมินตา”
“ฮึ...สุภาพสตรี...เขาประชดมินหรอกนะนั่น...เขาคงอยากจะเรียกมินว่าอีเพิ้งมากกว่า”
หล่อนกระฟัดกระเฟียดเมื่อลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่สาวิตต์เลื่อนออกให้หล่อนนั่ง “คุณเอสังเกตบ้างหรือเปล่าว่าเขาเหมือนใครที่คุณเอเคยรู้จัก...” หล่อนมองหาศิลานั่งอยู่ที่ไหน...
แล้วเมื่อเห็น หล่อนจึงบอกกับสาวิตต์
“คุณเอค่อยๆ หันไปมองนะคะ”
ชายหนุ่มทำตามคำขอร้องของหล่อน แล้วมินตาก็เป็นฝ่ายถอนสายตากลับมาก่อน เมื่อชายหนุ่มมองกลับมาอย่างแน่แน่วแถมด้วยยิ้มมุมปากที่มินตาแสนจะไม่ชอบ
“ไม่เหมือนใครเลยนี่ มีอะไรหรือ มินว่าเขาเหมือนใคร”
“คุณต่อไงคะ คุณเอจำคุณต่อได้ไหม...คุณต่อที่เคยมาอยู่บ้านคุณเอน่ะ คุณต่อที่เป็น...”
หล่อนหยุดโดยกะทันหัน เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของสาวิตต์ยังจะน้ำเสียงเฉียบขาดของเขาอีกด้วย
“เราจะไม่พูดเรื่องนั้นกันอีกแล้วนะ มิน...มันจบไปแล้ว เป็นเรื่องหมองมัวที่สุดของตระกูล”
หล่อนยิ้มแห้งๆ
“มินขอโทษ มินเพียงแต่เขาเหมือน แต่เมื่อวานมินทักเขา...เขาก็บอกว่าไม่ใช่...”
“นายคนนั้นตายไปแล้วนะ มิน...คนตายไปแล้วเราจะไม่พูดถึงเขาอีก...แล้วมินก็จำคนผิดด้วย ถ้านายนั่นยังอยู่จนถึงทุกวันนี้น่ะหรือ พี่ว่าเขาคงจะไม่มาได้ดิบได้ดีขนาดนี้แน่...ถ้าจะต้องมาเจอกันในที่แบบนี้ คนอย่างเขาก็แค่พนักงานต้อนรับหน้าประตูเท่านั้นเอง”
เขารับเมนูเล่มสวยมาจากบริการหนุ่มที่เข้ามาโค้งคำนับใกล้ๆ สั่งอาหารให้กับมินตาด้วย หล่อนค่อยๆ เหลือบตามองหน้าเขา ท่าทางสาวิตต์เหมือนจะโกรธ มินตาพลอยโกรธตัวเองเหมือนกัน หล่อนไม่น่าจะลืมเลยว่าสาวิตต์ไม่ชอบผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายคนที่เคยเข้ามาอยู่อย่างคนอาศัยในบ้านของสาวิตต์เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
“แล้วมินไปรู้จักมักจี่ผู้ชายคนนั้นได้ยังไง”
“บังเอิญน่ะค่ะ เมื่อวานมินพาเพื่อนไปหาหมอ เขาก็พาเด็กๆ ของเขาไปหาหมอเหมือนกัน...เขาเป็นคนไม่ดีนะคะ คุณเอ” หล่อนเบาเสียงลงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แม้ศิลาจะอยู่ไกล หล่อนก็กลัวว่าเขาจะได้ยินว่าหล่อนกำลังพูดถึงเขา “ไอ้ท่าทางโก้ๆ ข้างนอกนี่น่ะมันแค่เปลือก เขาเป็นแมงดาค่ะ คุณเอ...”
ชายหนุ่มเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าจะเชื่อมินตาได้สักเพียงใด หล่อนอาจจะรู้มาไม่ถูกต้องก็เป็นได้ ‘แมงดา’ มีระดับอย่างนั้นหรือถึงแต่งตัวโก้มาดดี เข้ามาในร้านอาหารหรูๆ ระดับนี้ สาวิตต์จึงปรามเรียบๆ
“มินถ้ายังไม่จักเขาดีพอ อย่าเพิ่งไปทึกทักว่าเขาเป็นอย่างนั้น พี่ว่าท่าทางเขาดูดีเกินกว่าจะเป็นแบบนั้น”
“แต่มีคนบอกมินว่าเขาเป็นมือขวาของเจ้าแม่...เจ้าแม่เนื้อสดน่ะค่ะ คนที่ชื่อแหม่มน่ะ...”
“พยายามดูหน่อยแล้วกัน คุณหมี...” เขาบอก นึกเวทนาหล่อนมากกว่า ผีการพนันไม่เคยปรานีผู้ที่หลงใหลได้ปลื้มในมันเป็นอันขาด และตอนนี้สิ่งที่เขารู้เพิ่มเติมก็คือผู้ชายอนาคตไกลคนนั้นก็เป็นอีกคนที่เป็นผีพนันด้วย หางตาเขายังมองเห็นสาวิตต์อยู่ ยังไม่ได้ปล่อยให้ไปพ้นจากความสนใจ แต่ชายหนุ่มนิ่งเกินกว่าลักษมีที่อยู่ร่วมโต๊ะเดียวกันกับเขาจะสังเกตเห็นได้ด้วยซ้ำไป“หมีก็อยากจะเลิกนะคะ...ที่ไหนบ้างที่มีการบำบัดรักษาคนติดการพนัน ติดบุหรี่ ติดเหล้าติดยายังพอจะมีที่ไป”“มันอยู่ที่ใจ เรื่องใหญ่มันอยู่ตรงนั้น”“แต่หมีก็แพ้ใจตัวเองทุกครั้งไป”หล่อนยิ้มเศร้าๆ“อย่างที่ผมขอ ไปพยายามดูใหม่ เงินมันชักจะมากขึ้นแล้วนะ ผมกลัวว่าจะหมุนไม่ทัน แล้วจะพาตัวไปลำบาก...มีตัวอย่างที่เคยเห็นๆ แล้วไม่ใช่หรือ การพนันมันให้คุณกับใครบ้าง มีแต่โทษ จะรวยก็ไม่ทน แต่จนน่ะนานทีเดียว”ลักษมีก้มหน้าลงน้อยๆ โดยรูปลักษณ์ภายนอกของหล่อนนั้น เป็นสาวสวย ใครจะเชื่อว่าอีกด้านหนึ่งของชีวิตหล่อนนั้นมืดดำ ลักษมีเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงเอง...ด้วยความลำพองว่าหล่อนจะไม่ยึดติด แล้วสุดท้ายหล่อนก็พ่ายแพ้เป็นทาส ยิ่งนานวันหล่อนยิ่งเล่นหนักข้อขึ้น“คุณศิ...ห
“ไปไหนมา” มีคนถามหล่อนนับจากเปิดประตูกระจกเข้ามารับไอเย็นระรื่น “หน้าตาเหมือนไปกินรังแตนมา” เพราะหน้าหล่อนเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้จะยังนวลแป้งก็ไม่มีรอยยิ้มแถมยังมีดวงตาขวางๆ เหมือนจะบอกกล่าวผู้พบเห็นอีกด้วยว่า พูดผิดหูหรือมีอะไรขวางตาหล่อนอาจจะอาละวาดก็เป็นได้“อยากฆ่าคน”“เฮ้ย...”เสียงขัดดังลั่น “ได้ติดคุกจนตายปะไร...แกยังเป็นสาวอยู่นา เจ้ามิน...ไปติดคุกแล้วจะเสียดายว่าหมดโอกาสมีผัว”เท่านั้นเองก็ได้ยินเสียงกรี๊ดของหล่อนไปทั่วหน้า แต่ไม่ยักจะมีใครถือสากลับมีเสียงหัวเราะครื้นเครงประสานกันขึ้นมา“เออ...ยังกรี๊ดเป็น ยังเป็นผู้หญิงอยู่ว่ะ”นั่นเท่ากับว่าหล่อนจะถูกยั่วแหย่ หากไม่ยอมยุติ แม้จะทำตาขุ่นหน้าขึงเข้าใส่ก็หาได้มีคนกลัวเกรงหล่อนสักนิด“ฉันอารมณ์ไม่ดีมาจริงๆ นะ อย่ามายั่ว...เดี๋ยวจะทลายห้องนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง”“มันเอาจริงว่ะ”ธันวาก้าวออกมาข้างหน้า มาเอียงคอมองดูเพื่อนสาวอย่างประหลาดใจในพฤติกรรมที่มินตาแสดงออกมือข้างที่เจ็บยังอยู่ในผ้าพันแผลหนาๆ“โมโหอะไรนักหนาเล่า มิน” ธันวาทำเสียงปลอบและนั่นทำให้มินตาอารมณ์ดีขึ้นมานิดหนึ่ง “ไอ้พวกปากหมานี่ถือสาได้ที่ไหนกัน มันพูดยั่วเล่น...ว่
เขาก้าวเข้ามา...พอดีกับพิมสุดาเบือนหน้ามาช้าๆ เธอยิ้มให้กับเขา ยิ้มสวยเหมือนนางฟ้าที่ศิลาคุ้นเคยดี เป็นยิ้มที่พิมสุดาให้กับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ยิ้มแบบเสแสร้งอันใดเลยชุดผ้าเพ้นท์ลายกล้วยไม้อ่อนหวานเข้ากันได้ดีกับชุดโซฟาสีครีมและหมอนอิงโทนสีน้ำตาลหวานนุ่มนวล...พิมสุดางดงามเสมอ ดวงหน้าของเธอเนียนด้วยเครื่องสำอางไม่มากและไม่น้อยเกินไปยังสวยพริ้ง...และสาวแฉล้มราวกับไม่ใช่วัยห้าสิบกระนั้น“ไปไหนมาจ๊ะ”คำทักทายอ่อนโยนัก“ลักษมีนัดทานมื้อเที่ยง”“อือม์...” เสียงรับคำอือออ “เป็นไงบ้างล่ะ แม่ดาราดังนั่น”“ก็ย่ำแย่ฮะ ยังไม่ยอมเลิกสักที”“นี่แหละน้า เป็นทาสแล้วก็ยากจะถอนตัว เตือนๆ หน่อยซิ ไม่อยากจะเห็นอนาคตที่รุ่งโรจน์ดับวูบ”“ผมก็เตือนแล้วนะฮะ ไม่รู้จะได้ผลแค่ไหน ถลำลงไปมากแล้วนี่ ผมก็ห่วง”พิมสุดามองเขาเหมือนจะค้นหา และนั่นทำให้ชายหนุ่มรีบพูดต่อโดยเร็ว“แค่ห่วงใยฉันท์เพื่อนเท่านั้นฮะ ไม่ได้มีอะไรเกินเลยกัน”เธอถึงกับหัวเราะออกมา “โธ่...ศิลา ทำราวกับว่าแก้ตัวไม่มีผิด นี่ไม่ได้จ้องจับผิดเธอเลยนะ”“ไม่รู้ซิ เห็นมองแปลกๆ แล้วยังทำท่าเหมือนคาดคั้นผมซะอีก”เขานั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน กางแข
พิมสุดาไม่ใช่ผู้หญิงเลวมาก่อน ที่ผลักดันเธอมาอยู่ตรงนี้รุนแรงเกินพอ และเขาก็รู้ว่ามันเป็นธุรกิจที่คนดีๆ หลายคนเมินหน้าหนีและยังประณามหยามเหยียดสาปแช่ง แต่มันก็ทำให้คนอีกหลายคนมีกินมีใช้ มีชีวิตอยู่ได้...และนี่เป็นธุรกิจหนึ่งในหลายสิ่งที่พิมสุดาทำ...แต่เธอก็กำลังจะวางมือ ล้างตัวออกไปจากแวดวงนี้ หลังจากคลุกคลีมานานปี จนอาบอิ่มไปด้วยสิ่งที่คนอื่นๆ เรียกกันว่าน้ำกาม...เขาเข้าใจเธอไม่ใช่เพราะลำเอียงจนมองไม่เห็นเขารู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งดีงามอันใด แต่ตราบใดที่พิมสุดาไม่ได้ทำร้ายใคร...และต่อสู้อยู่บนหนทางของเธอ เขาไม่อาจจะซ้ำเติมเธอได้ นอกจากคอยช่วยเหลือดูแลสมญามือขวาของเจ้าแม่แหม่มจึงปรากฏอยู่ในเมื่อเขาเติบโตเป็นหนุ่ม เขาก็อยู่ข้างกายพิมสุดามาตลอด...โดยไม่มีใครรู้ถึงความสัมพันธ์แท้จริงของเขากับเธอผู้ชายหลายคนเขม่นหน้าเขา เรียกเขาว่าแมงดาบรรดาศักดิ์ เกาะพิมสุดาไม่ยอมปล่อยซึ่งศิลาก็ไม่ใส่ใจกับเรื่องนั้นสักนิดเขามองดูเธอเดินกลับมา...ผมสีแดงจ้าของหล่อนเหมือนเปลวเพลิง...ล้อมดวงหน้าเนียนผ่อง...ผิวขาวลออที่ทำให้เธอเหมือนลูกครึ่งฝรั่ง...หลายคนคิดว่าย้อมสีผม...แต่เขาซิรู้ว่าผมเดิมของพิมสุดาก็ไม่เค
“วันนี้คุณเอนัดมินไปกินข้าวกลางวัน” หล่อนบอก เห็นคุณมารศรีหันขวับมาโดยเร็ว รู้ได้ว่ากับเรื่องแบบนี้จะต้องรายงานปิดบังเอาไว้ไม่ได้เป็นอันขาด และก็เห็นสีหน้าแวบๆ ราวกับจะฉายชัดถึงความไม่พอใจให้หล่อนรับรู้“เขานัดแก หรือแกนัดเขากันแน่”“โธ่! แม่ มินจะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงข้าวเขา...เงินมินหมดแล้ว”“อ้อ...แกหมดเงินเพราะจ่ายค่าโต๊ะนี่ใช่ไหมล่ะ แกจะโทษว่าแม่เอาเงินแกอีกใช่หรือเปล่า”มินตาได้แต่ครางอย่างอ่อนใจอยู่ในใจ หล่อนพูดผิดไปอีกแล้ว สาบานได้ว่าหล่อนไม่คิดดังเช่นที่คุณมารศรีกำลังตีโพยตีพายอยู่เลย เธอคิดไปเองทั้งนั้น และที่ดีที่สุดก็คือเงียบเฉยเสียไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วยเป็นดีที่สุด“ก็ได้ ยายมิน ฉันจะหาเงินมาใช้คืนแก จะได้ไม่มาลำเลิกเบิกประจานกัน”“มินไม่ได้คิด” หล่อนแย้งเบาๆ อ่อนใจนักหนา...เคยหลายครั้งที่มินตานึกถึงโลกภายนอกบ้าน นึกถึงการโบยบินจากบ้านไปสู่อิสระ และความโล่งสบายภายนอกปราศจากเสียงพูดเหน็บแนม ดุด่าว่าทำนองนี้ เพียงแต่หล่อนจะใจแข็งสักหน่อยเท่านั้น แต่หล่อนใจแข็งไม่พอ หล่อนยังใจอ่อนยังมีห่วงใยต่อพ่อแม่อยู่โดยเฉพาะกับพ่อ...ที่ห่วงใยมากกว่าแม่หลายเท่าตัว“คุณเอนัดมินไปเพราะอยากรู
“เด็กเป็นไงบ้างฮะ”“ไม่ไหวจ้ะ...นี่ขนาดคุณยายฝึกมาแล้วนะ ยังไม่ค่อยจะได้ดังใจ แม่ละเบื่อต้องเอามาฝึกกันอีก เก็บห้องครัวก็ไม่เรียบร้อย ดูซิ จะเที่ยงคืนอยู่รอมร่อแล้วแม่ยังไม่ได้นอนยังต้องมาดู”“ถ้าไม่ไหวก็ส่งกลับไปหาคุณยาย หาเด็กใหม่มาแล้วกันฮะ”เขาตอบง่ายๆ ไม่ใส่ใจมากนัก“กว่าจะได้อีก แม่ก็เหนื่อย...แม่ทองก็ไม่ไหวแล้ว แกแก่มากแล้วงกๆ เงิ่นๆ...นี่แหละน้า...แม่บอกแล้ว ตาเอ...ให้ลูกหาสะใภ้ให้แม่สักคน เอามาคุมคนในบ้าน ดูแลบ้านและดูแลเอด้วย...เรื่องยายมิ่งไปถึงไหนแล้วจ๊ะ”“ก็คงจะกลับมาเร็วๆ นี้มังฮะ ตอนแวะไปบ้านคุณยายก็เห็นถามถึงมิ่ง...ผมไม่ได้บอกแม่ตอนพาเด็กนี่มา...” เขาพยักพเยิดไปทางสาวใช้คนใหม่ “ชื่ออะไรล่ะฮะ แม่...หน้าตาดีเชียว”“ชื่อแม่แหวน...” เธอบอก ดึงเขาออกมา “เออย่าไปชมมันต่อหน้าซิว่ามันหน้าตาดี...แม่ยิ่งกลัวๆ อยู่ว่าหน้าตาอย่างนี้ จะอยู่ทนเป็นคนใช้ไปได้สักกี่มากน้อย เรื่องยายมิ่งต่อเถอะ...คนกันเองไม่ใช่อื่นไกล เทือกเถาเหล่ากอตื้นลึกหนาบางก็พอจะรู้เห็น...กำพืดเดิมก็ดี จะมีเมียสักคนก็ต้องเลือกหน่อยละ ถึงยายมิ่งแกจะเรียนไม่สู้ดีไปนิด แต่อย่างอื่นก็ชดเชยกันได้”เขาไม่พูดสักคำ...เรื่
แม้จะยังฉงนฉงายว่าทำไมศิลาสั่งให้หล่อนทำเช่นนั้น แต่ลักษมีก็รับคำสั่งนั้นไปปฏิบัติอย่างไม่เกี่ยงงอนและไม่ถามซอกแซกให้ยาวความต่อไป หล่อนรู้นิสัยของเขาอยู่บ้างว่าเขาไม่ชอบให้ถามจุกจิก และที่เขาขอร้องให้ทำก็เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเองจริงๆ ในเมื่อสิ่งที่เขาให้กับหล่อนนั้นมันมากมายกว่านั้น หลายหนที่เขาให้ความช่วยเหลือเพียงเอ่ยปากประโยคเดียว ไม่เคยพูดให้เจ็บช้ำน้ำใจ ไม่เคยซ้ำเติม ไม่เคยขอสิ่งแลกเปลี่ยน ไม่ได้มุ่งหวังในเรือนกายของหล่อน แม้จะเต็มอกเต็มใจให้ฟรีๆ ก็น้อยครั้งนักที่เขาจะตกลงด้วย“ดีแล้ว สนิทกับเขาไว้บ้าง แล้วผมจะให้หมีแนะนำเขากับผมสักหน่อย”“ค่ะ”หล่อนรับคำ“ขอบคุณนะ คุณหมี...นี่ใจคงจะเข้าไปข้างในละมั้ง ผมไม่ดึงเวลาสนุกของคุณดีกว่า” เขาควานหามือของหล่อนมาบีบเบาๆ “โชคดีนะ คุณหมีขอให้ได้”“นี่เป็นคำพรนะคะ หมีจะเฮงแน่ คืนนี้”ลักษมีเปิดประตูก้าวลงไป หล่อนเดินผ่านหน้ารถแสงไฟสาดจับร่างของหล่อน ลักษมีนุ่งกางเกงยีนส์กระชับช่วงขาและเสื้อยืดอีกตัวหนึ่ง สวมแว่นตาสีเข้มทั้งที่เป็นเวลากลางคืน หน้าตาไม่เติมเครื่องสำอาง เกลี้ยงเกลา และทิ้งมาดดาราไปอีกด้วยสถานที่ที่หล่อนกำลังจะเข้าไปนั
จะมีอะไรดีไปกว่ากระวีดกระวาดตามเขาที่ก้าวยาวๆ ออกไปก่อนหน้านั้นแล้วอีกแววรัตน์นึกอยากตามตัวพิมสุดามาอีกคนหนึ่ง หล่อนรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก ลองเรื่องถึงมือศิลาแล้วละก้อ เรื่องอาจจะขมวดจบลงสั้นๆ แต่หล่อนกลัวใจยุพาวรรณด้วย นังเพื่อนของหล่อนกำลังบ้าคลั่ง ไม่ใช่อกหักธรรมดาๆ เสียด้วย มันยิ่งกว่ายับเยินเหมือนยุพาวรรณจะถูกกรีดอกควักหัวใจออกมากรีดเป็นริ้วๆ แล้วไม่ใช่แค่นั้น ความเป็นจริงโหดร้ายกับยุพาวรรณไปมากกว่านั้นอีกหลายเท่า ชายที่หลงรักทำร้ายด้วยเจตนาจะให้แท้งลูกที่ยุพาวรรณหวังจะให้เป็นสายโซ่คล้องใจชายผู้เป็นที่รักเอาไว้ผู้หญิงอย่างพวกหล่อนมักจะเจอดีแบบนี้เสมอ หากไม่รู้จักประมาณตัวเองหรือประมาณสถานการณ์ให้ดี“คุณศิ แววขอร้องนะ อ้อยกำลังบอบช้ำมาก”“ฉันรู้ แล้วก็ไม่ได้ไปเพื่อทำร้ายอ้อยด้วย เพียงแต่ฉันควรจะได้พูดกับอ้อยบ้าง ก่อนที่จะแย่ไปกว่านี้ อ้อยน่าจะได้พักผ่อน พักนานเท่าที่ต้องการหลังออกจากโรงพยาบาลแล้ว ไม่ต้องทำงาน แต่ฉันจะจ่ายเงินให้ไม่ให้เดือดร้อนเลยจะเลือกพักในประเทศหรือไปต่างประเทศก็ได้ ฉันจะจัดการเป็นธุระให้ทุกอย่าง”“แววกลัวนังอ้อยมันจะไม่ยอมไปไหนเลยซิคะ กลัวมันจะตามตื้อเข
“ไม่ใช่ห้องนี้”มินตาตัวแข็ง เมื่อเขาเปิดประตูห้องที่หล่อนเป็นคนตกแต่งเพื่อเป็นห้องหอของเขากับมิ่งขวัญหล่อนพยายามจะถอยกลับ แต่ศิลาผลักหล่อนออกเดินไปข้างหน้า“ฉันยอมมาที่นี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ห้องนี้” หล่อนยังเสียงแข็งและมีท่าทีปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“คุณแต่งมันเอง...ก็ใช้เสียเองซิ” เขาบอกนุ่มๆ “ที่ทางของคุณเอง“ฉันทำเพื่อพี่มิ่ง” หล่อนยืนยัน หล่อนรักมิ่งขวัญไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น“แต่มันเป็นสิ่งที่คุณชอบ” เขาดักคอ “ผมรู้ว่ารสนิยมของมิ่งขวัญเกิดจากตัวคุณเป็นหลัก...ลืมซะว่าผมเคยสั่งว่าอย่างไร นั่นเป็นข้ออ้างจะเอาตัวคุณมาทำงานต่างหากเล่า ถ้าผมไม่บอกว่าเป็นห้องหอมีหรือที่คุณจะยอมมาทำ ตอนนั้นคุณชังน้ำหน้าผมจะแย่”“ตอนนี้ก็ใช่”“ผมไม่เชื่อ ไม่มีวันเชื่อ...”เขาปิดประตูไว้ข้างหลังแล้วยืนพิงอยู่อย่างนั้น ตอบหล่อนด้วยถ้อยคำหนักแน่นเขาจะไม่ยอมเสียหล่อนไปศิลาบอกตัวเองว่าเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสมปรารถนาให้จงได้ ต่อให้ยากเท่ายากก็ตามที“เราจะต้องคุยกันตามลำพังสองต่อสองแล้วละ มินตา”เขาบอกด้วยเสียงนุ่มทุ้ม และแน่นอนว่ามีกังวานของความรักอยู่มากมาย เขาไม้ปฏิเสธใจตัวเอง“ไม่...” หล่อนป
พิมสุดามาแล้วกลับไปแล้ว ปล่อยให้มินตาได้ครุ่นคิดตามลำพัง แม้จะมีปรางคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ แต่มินตาก็เหมือนอยู่คนเดียว...หล่อนคิดถึงอนาคตวันข้างหน้าเมื่อไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อ ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้คว้าติดอีกหล่อนจะทำอย่างไรดีนั่นคือสิ่งที่มินตาต้องคิด...มันไม่ใช่เรื่องเล็กเสียด้วย เพราะเท่ากับต้องเอาอนาคตมาเป็นเดิมพัน...อนาคตที่มินตาไม่แน่ใจ และหล่อนก็รู้ว่าเพราะตัวเขานั่นแหละที่ทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมา/////////////////////////////ผู้ชายสองคนต่างวัยแต่มีสายเลือดส่วนหนึ่งเหมือนกันได้เผชิญหน้ากันอีกครั้ง คนแก่ดูจะยิ่งแก่ ในขณะที่คนหนุ่มก็มิได้ทำท่าลำพองว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ ต่างคนต่างมองกันชั่วอึดใจในความเงียบงันแล้วศิลาก็เป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน “สาวิตต์เป็นอย่างไรบ้าง”“ก็ยังเหมือนเดิม...เก็บตัวเอง...และไม่พูดไม่จากับใครเลย”“เขาคงจะหายสักวันหนึ่ง“นั่นคือความหวัง”“ผมจะเอาใจช่วยแล้วกัน”คุณทรงศักดิ์ทำท่าเหมือนไม่คาดคิดเมื่อได้ยินเช่นนั้น“ต่อ...ให้อภัยพ่อกับพี่แล้วใช่ไหม”ชายหนุ่มส่ายหน้า นั่นคือความจริง เขายังไม่อาจจะให้อภัย เพียงแต่เขาคิดว่าเขาจะวางมือในส่วนนี้...หลายปีที่เ
“ไล่ปรางหรือคะ...” มินตาแสนจะตกใจ “ทำไมล่ะคะ ปรางทำผิดตรงไหน”“มันเป็นพวกแกนี่ รับเอาไปซิ นังนั่นมันเลี้ยงไม่เชื่อง หวังว่าที่พูดมานี่แกคงจะเข้าใจนะ”“ค่ะ มินตารับคำ ดวงหน้าสลด ครอบครัวของหล่อนคือซาก...มันคืออดีตที่เหมือนจะเนิ่นนานผ่านมาแล้ว ดวงตาของหล่อนซุ่มไปด้วนน้ำตา ป่วยการจะพูดมากไปกว่านี้อีกเมื่อคุณมารศรีและมิ่งขวัญปั้นปึ่งใส่ มินตามาไหว้พ่อ นั่งพับเพียบอยู่นานจนศิลาต้องเป็นฝ่ายสะกิดหล่อน“กลับดีกว่ามั้ง มินตา...เขาประคองหล่อนลุกขึ้น ท่าทีถนอมเป็นนักหนาบาดตาของมิ่งขวัญสุดขีด หล่อนไม่อาจจะยอมรับออกมาดังๆ ว่าลึกลงไปนั้นหล่อนเจ็บปวดกับการที่ถูกทิ้ง...ทั้งที่หล่อนเคยทระนงในตัวเองมาตลอด ผู้ชายคนนั้นคือชายที่หล่อนรักและเมื่อความจริงเปิดเผยออกมารักกลายเป็นร้าง และขมขื่นที่สุดจะหารสชาติใดมากกว่านี้ ในชีวิตคงจะไม่มีอีกแล้วแน่นอน“แม่คะ...มิ่งตัดสินใจแน่นอนแล้ว พอเสร็จงานพ่อ มิ่งจะไปอยู่เมืองนอก เราไปด้วยกันไหนคะ แม่...เอาบ้านนี้ให้เช่า...ถ้าไม่คิดจะขาย เราคงจะพอมีเงินสักก้อนไปเที่ยวเล่นด้วยกัน พอให้มิ่งหายช้ำใจแล้วค่อยกลับมาใหม่...หรือบางทีเราอยู่ทางโน้นกันเลยก็ได้ มิ่งก็พอจะมีเพื่อนที
ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง และมินตาก็นิ่งงันปราศจากเสียงกรีดร้องจนเขาใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าหล่อนเสียใจแค่ไหนกันการรับรู้ในการสูญเสียหนนี้ มือของเขาลูบไล้เส้นผม“มินตา ได้ยินผมหรือเปล่า”“ก็ดีเหมือนกัน” หล่อนพึมพำออกมา “จะได้จบสิ้นกันแท้จริงๆ”“ไม่....” เขาปฏิเสธเสียงลั่น“เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”“อย่าพูดแบบนี้...ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลัง แล้วเราเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน ที่ผ่านมาผมรู้ว่าผมผิด จะไม่ให้อภัยคนที่รู้สำนึกหรอกหรือ มินตา...ใช่ว่าผมจะไม่เสียใจหรือไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ เพียงแต่ ตอนนั้นความแค้นทำให้ผมบ้าเลือดและลากคุณเข้ามาพัวพันด้วย”“ฉันให้อภัย แล้วก็โยนมันทิ้งเอาไว้ตรงนั้นแหละ...”ศิลากำลังจะพูดอีก แต่เสียงเคาะประตูห้องขัดจังหวะเสียงก่อนและประตูเปิดเข้ามาหลังจากนั้นครรชิตเดินนำหน้าธันวาเข้ามาพร้อมกับกระเช้าดอกไม้ใหญ่ที่บรรจุดอกไม้สวยงามสีสันสดใสชายหนุ่มขยับห่างออกจากเตียงนิดหนึ่ง ครรชิตทักทายและแสดงความห่วงใย ต่อสภาพบาดเจ็บของเขาสักห้านาทีก่อนจะหันไปหามินตา“ไง...มิน หน้าตาเหมือนคนเจ็บหนัก”“เกือบจะตายแต่ไม่ยักจะตาย...”“ประชดใครล่ะนั่น”ถูกดักคอแบบนี้มินตาทำตาวาว “มินไม่มี
สาวิตต์นอนอยู่บนเตียง...ขาของเขาข้างหนึ่งที่ถกขากางเกงขึ้นไปถูกพันด้วยผ้าขาวหนาเปอะ แล้วหน้าตาของเขาก็เหมือนไม่ใช่ลูกชายคนเดิมของเธอ มีรอยช้ำปูดโปนนั่นยังทำใจได้ว่ามันจะหาย แต่ดูซิ...ดูสีหน้าและแววตาของเขามันดูเลื่อนลอย...และมองมาทางเธอย่างว่างเปล่า“เอ...”เธอถลาเข้าไปหาเขา แล้วก็หยุดอีกหนหนึ่ง เมื่อสาวิตต์ทำเหมือนไม่รับรู้ด้วย เขายังมองเบิ่งไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าเธอ คุณสีดาหันขวับมาหาสามี ถามเสียงสั่น“อะไรกันคะนี่ ตาเอเป็นอะไร...ทำไมเขาทำหน้าตาแบบนั้น”คุณทรงศักดิ์โอบบ่าของภรรยาเอาไว้ ร่างแบบบางของเธอสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น“หมอบอกว่าเหมือนเขาจะช็อก พูดกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เป็นพักๆ เหมือนคนสะเทือนใจมากเกินไป”“แล้วแกจะหายไหม”“ต้องอาศัยเวลา แต่ตอนนี้เขาต้องรักษาตัว บางทีอาจจะต้องลางาน...หรืออาจจะต้องถึงขั้นลาออกก็ได้”“ไม่!”เธอร้อง หันมาซบหน้ากับบ่าของสามี นานแล้วที่คนสองคนไม่เคยหันหน้าเข้าหากันอีก ต่างมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง ความบาดหมางในเรื่องเล็กน้อยถูกทำให้ใหญ่มากขึ้น และไม่อาจจะเชื่อมต่อติดกันได้อีกเลยแต่ตอนนี้หัวอกของความเป็นพ่อแม่ที่จะต้องรับผิดชอ
ปืน...มินตาบอกเมื่อเห็นสาวิตต์หยิบมันออกมาวางไว้บนโต๊ะกลมเล็กข้างๆ เก้าอี้ที่เขานั่งลง แววตาที่เขามองดูศิลาทำให้มินตายะเยือกไปตลอดตัว มันบ่งบอกว่าหากเขาจะลั่นไกปืน เขาก็จะทำได้โดยไม่ต้องหยุดคิดชั่งใจอีกเลย มินตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อพูดกับสาวิตต์ดีๆ“คุณเอ ขอให้มินนะ...อย่าถึงกับฆ่ากันเลย...”“บอกแล้วว่าอย่ายุ่ง ไม่ฆ่าเธอด้วยก็บุญเท่าไหร่รึว่าอยากตายตามผัว”“คุณเอจะทำไมได้นะคะ”“ทำไมพี่จะทำไม่ได้ นึกถึงที่มันทำกับพี่ซิ เพราะมัน...” สาวิตต์ชี้มือไปยังศิลาอย่างคั่งแค้น นั่นคือชายที่ร่วมสายเลือดเดียวกัน แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็กึ่งหนึ่งที่เหมือนกัน เขาไม่เคยเชื่อใครพูดอย่างไร เขาก็มักจะหัวเราะขบขันเสียเสมอว่าทุกคนที่พูดนั้น ล้วนแล้วแต่มีอาการทางจิตที่คิดมากเกินการไปเองทั้งนั้น แต่แล้วเขากลับมารู้เป็นคนสุดท้าย รู้เพื่อทำให้โลกที่เคยสวยงามสำหรับเขามันพังทลายลงมาต่อหน้าต่อตาเขาจึงมองหาทางออกใดไม่พบนอกจากทางนี้ ฆ่าศิลาเสีย ก็เท่ากับฆ่าไอ้เด็กเวรคนนั้นด้วย เมื่อหนนั้นมันเลือกรอดได้อาจจะเพราะดวงมันแข็ง แต่คราวนี้ไม่มีวันที่ดวงมันจะแข็งเท่าครั้งนั้นอีก มันจะต้องตายนั่นคือทางที่เขาเลือกให้มั
สาวิตต์เดินปังๆ จากไปแล้ว ก่อนที่เขาจะกระแทกประตูบ้านด้านหน้าปิดลั่นกุญแจ ปรางก็เสนอหน้าเข้ามา“จะช่วยคุณมินทำแผลให้กับเขา”ปรางบอก หล่อนยืนให้ห่างจากสาวิตต์เข้าไว้ ด้วยไม่แน่ใจในความบ้าของเขาและเขาก็ยอมปล่อยปรางเข้ามาโดยดี ปรางมาคุกเข่าดูศิลาอยู่อีกด้านหนึ่งของเขา“เลือดทั้งนั้นเลย...” ปรางพึมพำ “ทำแผลก่อนนะคะ คุณมินจะเอาอะไรบ้าง”“ต้มน้ำร้อนให้ฉันสักกระติก แล้วหาผ้าสะอาดๆ มา...มีพวกผ้าเช็ดหน้าของฉันเหลืออยู่บ้างมั้งในตู้...แล้วก็พวกผ้าขนหนูผืนเล็กๆ นั่นด้วยก็ได้ คุณเอขังเราเอาไว้ในบ้านแล้วนี่ หยูกยาที่นี่ไม่มีสักอย่าง”“ปรางมีทิงเจอร์กับยาแดง...แล้วก็ยาล้างแผล...” ปรางบอกล้วงมือเข้าไปในกางเกงสามส่วนหยิบยาที่บอกออกมา “เอามาได้แค่นี้ค่ะ จะเอาสำลีกับผ้าพันแผลมาด้วย กลัวคุณมิ่งจะเห็น จะเอาอะไรมาไม่ได้สักอย่าง”“ขอบใจมา ปราง”มินตาคว้าขวดยาพวกนั้นมาด้วยมืออันสั่นเทา ตัวหล่อนเองนั้นสภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนที่ยังนอนทอดร่างนิ่งๆ นี่สักเท่าไหร่ หล่อนรู้ตัวว่าตัวเองก็แย่ เจ็บในช่องท้องจี๊ดๆ เตือนเป็นระยะอย่างไม่เคยเป็น แล้วหล่อนก็อยากล้มตัวลงนอน แล้วหลับให้นานโดยไม่ต้องตื่นขึ้นมารับรู้ใดๆ อีกเ
“คุณมินเป็นอะไร...”แตะตัวมินตาแล้วก็พอว่าไม่ขยับสักนิด ปรางเงยหน้าหล่อนได้เห็นสาวิตต์นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง สีหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างไม่เห็นมาก่อนเลยหันกลับมามองมิ่งขวัญก็เห็นสีหน้าแย้มเยาะประหลาดนัก“คุณมินสลบนะคะ”“ฉันให้แกมาดู ไม่ได้ให้มาพูดมาก แกมีหน้าที่คอยพยาบาลเอาไว้ แต่แกห้ามยุ่งมากไปกว่านี้อีก”“ค่ะ”“พาเข้าไปในห้องนอนซะ”มิ่งขวัญออกคำสั่ง แล้วหล่อนจึงเดินเข้ามาหาสาวิตต์...จับมือของเขาไปบีบเหมือนจะให้กำลังใจแก่เขา“มิ่งเข้าใจว่าคุณเอกำลังเฮิร์ทมาก อีกไม่นานค่ะทุกอย่างจะเรียบร้อยมันจะกลายเป็นปุ๋ยจมดินไปเลย จะไม่มีใครเห็นซากของมันอีก...อย่างนั้นใช่ไหมคะ...ที่นี่มีที่มากมายให้ฝังมัน...”“เมื่อไหร่มันจะมา” คำถามของสาวิตต์เลื่อนลอย“ใจเย็นหน่อยค่ะ ยังไงซะมันก็จะต้องมา”“มันทำกับพี่เจ็บปวดนัก...” เขาหลับตาลง “รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”“จะไม่มีใครรู้...” หล่อนลูบบ่าของเขาเบาๆ ด้วยมือที่เหลืออยู่ปลอบโยนเขา “มิ่งสัญญาว่าจะเอาตัวมันมาให้”“แล้วยายมินล่ะ...”“ขายมันซิ คุณเอ...หลังจากจัดการหมอนั่นแล้ว เอายายมินไปขาย” น้ำเสียงของมิ่งขวัญเหี้ยมเกรียม เขาแหงนหน้ามอง “มิ่งพูดจริงๆ นะ ไม่
“คุณมินเป็นอะไร...”แตะตัวมินตาแล้วก็พอว่าไม่ขยับสักนิด ปรางเงยหน้าหล่อนได้เห็นสาวิตต์นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง สีหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างไม่เห็นมาก่อนเลยหันกลับมามองมิ่งขวัญก็เห็นสีหน้าแย้มเยาะประหลาดนัก“คุณมินสลบนะคะ”“ฉันให้แกมาดู ไม่ได้ให้มาพูดมาก แกมีหน้าที่คอยพยาบาลเอาไว้ แต่แกห้ามยุ่งมากไปกว่านี้อีก”“ค่ะ”“พาเข้าไปในห้องนอนซะ”มิ่งขวัญออกคำสั่ง แล้วหล่อนจึงเดินเข้ามาหาสาวิตต์...จับมือของเขาไปบีบเหมือนจะให้กำลังใจแก่เขา“มิ่งเข้าใจว่าคุณเอกำลังเฮิร์ทมาก อีกไม่นานค่ะทุกอย่างจะเรียบร้อยมันจะกลายเป็นปุ๋ยจมดินไปเลย จะไม่มีใครเห็นซากของมันอีก...อย่างนั้นใช่ไหมคะ...ที่นี่มีที่มากมายให้ฝังมัน...”“เมื่อไหร่มันจะมา” คำถามของสาวิตต์เลื่อนลอย“ใจเย็นหน่อยค่ะ ยังไงซะมันก็จะต้องมา”“มันทำกับพี่เจ็บปวดนัก...” เขาหลับตาลง “รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”“จะไม่มีใครรู้...” หล่อนลูบบ่าของเขาเบาๆ ด้วยมือที่เหลืออยู่ปลอบโยนเขา “มิ่งสัญญาว่าจะเอาตัวมันมาให้”“แล้วยายมินล่ะ...”“ขายมันซิ คุณเอ...หลังจากจัดการหมอนั่นแล้ว เอายายมินไปขาย” น้ำเสียงของมิ่งขวัญเหี้ยมเกรียม เขาแหงนหน้ามอง “มิ่งพูดจริงๆ นะ ไม่