มินตาเอารถเข้าไปจอดด้านหลังของภัตตาคารหรูๆ แห่งนี้ หล่อนไม่ทันได้เห็นว่าตัวเองตกอยู่ในสายตาคนคนหนึ่งตลอดเวลานับจากหล่อนเลี้ยวรถเข้ามาแล้ว หญิงสาวเปิดประตูก้าวลงมา แล้วด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง หล่อนก้าวเดินฉับๆ ไม่ทันสังเกตว่าหล่อนถูกมองด้วยดวงตาหลายๆ คู่ ก่อนจะมารู้สึกว่าหล่อนเป็นเหมือนตัวประหลาดตรงทางเข้านี่เอง
มินตาก้มลงมองตัวเอง แล้วหล่อนก็จึงรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ ทำให้เจ้าหนุ่มตรงทางเข้าที่มักจะโค้งต้อนรับลูกค้ามองหล่อนด้วยแววตาชอบกล เสื้อผ้าของหล่อนนี่เอง หญิงสาวเพิ่งนึกเสียใจเป็นหนแรกที่หล่อนแทบจะไม่เคยนุ่งกระโปรงออกจากบ้านมาทำงาน และเสื้อกางเกงชุดนี้ก็ไม่ใช่ชุดลำลองของสาวสมัยเสียด้วย มันดูบึกบึนตามแบบสาวทำงานมากกว่า
“คุณจองโต๊ะไว้หรือเปล่าครับ”
หล่อนได้ยินคำถาม ตอนแรกมินตาก็ไม่แน่ใจว่าถามหล่อน จนกระทั่งได้ยินเสียงถามอีกหน หล่อนจึงจิ้มอกตัวเองเหมือนย้อนถามกลับ
“คุณแหละครับ...จองโต๊ะไว้หรือเปล่า”
“ฉันไม่รู้ เพื่อนฉันนัดฉันที่นี่”
“อาจจะมีการเข้าใจผิดก็ได้นะครับ”
เลือดขึ้นหน้ามินตานิดๆ แล้ว ริมฝีปากเม้นเข้ากัน นี่หล่อนกลายเป็นตัวอะไรไปแล้วหรือถึงได้รับการปฏิบัติแบบนี้...กะแค่เสื้อผ้าภายนอก...
“วันนี้โต๊ะของเราเต็มหมดแล้ว”
คนที่มาทีหลังหล่อนได้เดินเข้าไป...พร้อมกับมีสายตาปรายมองหล่อนเหมือนหล่อนเป็นตัวตลกที่สกปรกมอมแมม มินตาหัวเสียมากขึ้น แล้วก่อนที่หล่อนจะได้ตัดสินใจอะไรต่อไป ก็มีมือหนึ่งเอื้อมมาแตะที่ท่อนแขนของหล่อนเบาๆ ก่อนจะจับกระชับเอาไว้ หญิงสาวหันขวับไปและหล่อนก็ต้องเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อสายตาหล่อนอยู่เพียงระดับเสื้อสูทสีเข้ม และเสื้อเชิ้ตฟ้าอ่อนๆ ตัวใน...หล่อนเลื่อนสายตาขึ้นไปอีกนิด ก่อนจะตาค้าง
“เข้าไปกับผมแล้วกัน”
เขาพูดเบาๆ เรียบๆ มินตาไม่กล้ากระชากแขนกลับ หล่อนปล่อยให้เขา ได้จับแขนหล่อนพาผ่านประตูเข้าเข้ามา...คงจะเหมือนเจ้าชายกับขอทานข้างถนนแน่ๆ เพราะดูเขาโก้หรูตั้งแต่หัวจรดเท้า เส้นผมหวีเรียบไม่กระดิก มันเรียงเส้นเกาะกันโดยที่ไม่ได้ใส่น้ำมันใส่ผมให้เยิ้มฉ่ำ หากแต่เพราะฝีมือของช่างตัดผมที่ประณีตมากๆ สูทสีน้ำเงินเข้มเกือบดำสมตัว สูทแบบนี้ราคาแพงลิบ...ถึงตัดได้กระชับรูปทรงให้เขาดูผึ่งผาย รองเท้าหนังสีดำเป็นเงามันวับ เรียกว่าหากก้มลงไปส่องหน้าก็คงจะเห็นเงา
แล้วหล่อนเล่า...เสื้อเชิ้ตก็ไม่ใช่เชิ้ตหรูหราราคาแพง...หล่อนซื้อเสื้อใส่ตามใจชอบเอาความสบายเข้าว่าเสมอ กางเกงยีนส์ตัวนี้ก็ใช้มานาน จนสีเก่าซีดตรงหัวเข่าออกจะกร่อนไปแล้วด้วยซ้ำ มินตายังคิดเลยว่าตรงเข่าขาดเมื่อไรหล่อนจะเอาแผ่นหนังมาตัดปะให้เท่ รองเท้าผ้าใบของหล่อนก็ดูมอมแมม...หล่อนซักมันแค่อาทิตย์ละครั้ง หล่อนชอบรองเท้าคู่นี้เพราะใส่สบาย แต่หล่อนนึกเสียใจที่มาปรากฏตัวที่นี่แล้วพบกับสายตาแปลกๆ ทั้งที่หล่อนไม่ค่อยจะแคร์อะไรมากนัก
“ที่นี่เขาต้อนรับสุภาพชน”
เสียงห้าวๆ เอ่ยต่อดวงตาของมินตาเริ่มขุ่น ‘สุภาพชน’ หรือ...ก็หล่อนนี่แหละสุภาพชน แม้หล่อนจะไม่ได้เป็น ‘สุภาพสตรี’ แต่หล่อนก็เป็นคนดีๆ คนหนึ่งประกอบอาชีพสุจริต ไม่เคยเบียดเบียนใคร หล่อนดึงแขนอย่างแรงแต่เขาเกาะกุมเอาไว้แน่น
“คุณหาเพื่อนที่นัดคุณเจอหรือยัง คุณมินตา”
เขาออกชื่อหล่อนชัดเจน ทั้งที่เมื่อวันวานตอนที่เจอกันนั้น เขาไม่มีทีท่าว่าจะสนใจหล่อนสักนิด
“ถ้าคุณยังไม่เจอ ผมขอเชิญที่โต๊ะของผม ไม่อย่างนั้นคุณจะเข้ามาคว้าง...ดีไม่ดีคุณอาจจะต้องยืนหลบมุมข้างกระถางต้นไม้หน้าห้องน้ำ คอยแอบมองว่าเพื่อนคุณมาถึงหรือยัง”
“ฉันไปยืนตรงนั้นก็ได้”
“ไม่เหมาะมังครับ...ผมขอเชิญ...” เขายิ้มนิดๆ แววตายังคมกริบลึกซึ้ง มินตาเพิ่งมองละเอียดอีกนิด ว่าตาดุคู่นั้นมันล้อมรอบด้วยขนตาหนายาวเป็นแพงอนช้อย...ที่มันน่าจะมาเป็นดวงตาของหล่อนมากกว่า “ผมไม่คิดเข้าไปในค่าเสียหายเมื่อวันวาน เราจะได้คุยกันด้วยว่าคุณพร้อมจะจ่ายให้ผมหรือยัง ค่าซ่อมรถ ค่าบาดเจ็บ...ผมได้แผลในปาก”
“ฉันไม่ผิด...คุณจอดรถกะทันหันเกินไป ส่วนค่าบาดเจ็บ...ก็ได้...” หล่อนลากเสียงยาว ยิ้มอย่างขี้โกงนิดๆ “ปากแตกใช่ไหม เอายาแก้ร้อนในไปกินซิ...ยาขมน่ะห่อละไม่กี่บาท กินห่อเดียวก็หาย แต่เอาเถอะ...ฉันจะจ่ายให้สิบบาท...”
หล่อนเปิดกระเป๋าด้วยมือข้างเดียว หยิบธนบัตรใบละสิบบาทออกมาส่งให้กับเขาแถมคะยั้นคะยอเขาอีกด้วย
“เจอกันคราวหน้า จะได้ไม่มาทวงฉันยิกๆ”
เขาจะรู้สึกอย่างไร มินตาไม่อาจจะรู้ได้ เพราะดวงตาของเขามันสงบเหลือเกิน แถมยังลึกยากเกินจะหยั่งอีกด้วย แต่เขาก็รับเงินสิบบาทนั่นไปเหมือนกัน
“มิน...”
เสียงเรียกชื่อหล่อน มินตาเหลียวหา นัยน์ตาฉายประกายยินดี หล่อนรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงทิพย์จากสวรรค์ไม่มีผิด แล้วชายหนุ่มร่างเพรียวก็เดินเข้ามาถึง เขาไม่ทันมองผู้ชายที่อยู่ใกล้ๆ มินตา หญิงสาวก็เช่นกัน หล่อนมัวแต่ให้ความสนใจกับบุรุษผู้มาใหม่ จึงไม่ทันได้เห็นว่าเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ วิ่งเข้าชาร์ตเขา...ไหล่กว้างใต้เสื้อสูทสีเข้มนั่นไหวนิดๆ ก่อนจะสงบนิ่งดังเดิมแล้วมือเขาก็คลายออกจากท่อนแขนของมินตา
“มานานแล้วหรือ รถติดน่ะกว่าจะมาถึงได้...มินมากับใคร”
สาวิตต์เงยหน้าขึ้นมองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า บุรุษที่มีดวงหน้าเรียบเฉยเหมือนรูปสลัก มีเรือนร่างโปร่งแต่ดูแข็งแกร่งเหมือนป้อมปราการ เขาไม่เคยเห็นบุรุษผู้นี้มาก่อน
ศิลาเป็นฝ่ายก้มศีรษะให้นิดๆ
“ผมเจอสุภาพสตรีคนนี้ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ข้างนอกเลยพาเธอเข้ามา” เขาเลื่อนสายตามองเฉพาะดวงหน้าของมินตา “หวังว่าเราคงจะได้พบกันอีกวันหน้านะครับ คุณมินตา”
“ฮึ...สุภาพสตรี...เขาประชดมินหรอกนะนั่น...เขาคงอยากจะเรียกมินว่าอีเพิ้งมากกว่า”
หล่อนกระฟัดกระเฟียดเมื่อลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่สาวิตต์เลื่อนออกให้หล่อนนั่ง “คุณเอสังเกตบ้างหรือเปล่าว่าเขาเหมือนใครที่คุณเอเคยรู้จัก...” หล่อนมองหาศิลานั่งอยู่ที่ไหน...
แล้วเมื่อเห็น หล่อนจึงบอกกับสาวิตต์
“คุณเอค่อยๆ หันไปมองนะคะ”
ชายหนุ่มทำตามคำขอร้องของหล่อน แล้วมินตาก็เป็นฝ่ายถอนสายตากลับมาก่อน เมื่อชายหนุ่มมองกลับมาอย่างแน่แน่วแถมด้วยยิ้มมุมปากที่มินตาแสนจะไม่ชอบ
“ไม่เหมือนใครเลยนี่ มีอะไรหรือ มินว่าเขาเหมือนใคร”
“คุณต่อไงคะ คุณเอจำคุณต่อได้ไหม...คุณต่อที่เคยมาอยู่บ้านคุณเอน่ะ คุณต่อที่เป็น...”
หล่อนหยุดโดยกะทันหัน เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของสาวิตต์ยังจะน้ำเสียงเฉียบขาดของเขาอีกด้วย
“เราจะไม่พูดเรื่องนั้นกันอีกแล้วนะ มิน...มันจบไปแล้ว เป็นเรื่องหมองมัวที่สุดของตระกูล”
หล่อนยิ้มแห้งๆ
“มินขอโทษ มินเพียงแต่เขาเหมือน แต่เมื่อวานมินทักเขา...เขาก็บอกว่าไม่ใช่...”
“นายคนนั้นตายไปแล้วนะ มิน...คนตายไปแล้วเราจะไม่พูดถึงเขาอีก...แล้วมินก็จำคนผิดด้วย ถ้านายนั่นยังอยู่จนถึงทุกวันนี้น่ะหรือ พี่ว่าเขาคงจะไม่มาได้ดิบได้ดีขนาดนี้แน่...ถ้าจะต้องมาเจอกันในที่แบบนี้ คนอย่างเขาก็แค่พนักงานต้อนรับหน้าประตูเท่านั้นเอง”
เขารับเมนูเล่มสวยมาจากบริการหนุ่มที่เข้ามาโค้งคำนับใกล้ๆ สั่งอาหารให้กับมินตาด้วย หล่อนค่อยๆ เหลือบตามองหน้าเขา ท่าทางสาวิตต์เหมือนจะโกรธ มินตาพลอยโกรธตัวเองเหมือนกัน หล่อนไม่น่าจะลืมเลยว่าสาวิตต์ไม่ชอบผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายคนที่เคยเข้ามาอยู่อย่างคนอาศัยในบ้านของสาวิตต์เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
“แล้วมินไปรู้จักมักจี่ผู้ชายคนนั้นได้ยังไง”
“บังเอิญน่ะค่ะ เมื่อวานมินพาเพื่อนไปหาหมอ เขาก็พาเด็กๆ ของเขาไปหาหมอเหมือนกัน...เขาเป็นคนไม่ดีนะคะ คุณเอ” หล่อนเบาเสียงลงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แม้ศิลาจะอยู่ไกล หล่อนก็กลัวว่าเขาจะได้ยินว่าหล่อนกำลังพูดถึงเขา “ไอ้ท่าทางโก้ๆ ข้างนอกนี่น่ะมันแค่เปลือก เขาเป็นแมงดาค่ะ คุณเอ...”
ชายหนุ่มเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าจะเชื่อมินตาได้สักเพียงใด หล่อนอาจจะรู้มาไม่ถูกต้องก็เป็นได้ ‘แมงดา’ มีระดับอย่างนั้นหรือถึงแต่งตัวโก้มาดดี เข้ามาในร้านอาหารหรูๆ ระดับนี้ สาวิตต์จึงปรามเรียบๆ
“มินถ้ายังไม่จักเขาดีพอ อย่าเพิ่งไปทึกทักว่าเขาเป็นอย่างนั้น พี่ว่าท่าทางเขาดูดีเกินกว่าจะเป็นแบบนั้น”
“แต่มีคนบอกมินว่าเขาเป็นมือขวาของเจ้าแม่...เจ้าแม่เนื้อสดน่ะค่ะ คนที่ชื่อแหม่มน่ะ...”
“ไม่ใช่ห้องนี้”มินตาตัวแข็ง เมื่อเขาเปิดประตูห้องที่หล่อนเป็นคนตกแต่งเพื่อเป็นห้องหอของเขากับมิ่งขวัญหล่อนพยายามจะถอยกลับ แต่ศิลาผลักหล่อนออกเดินไปข้างหน้า“ฉันยอมมาที่นี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ห้องนี้” หล่อนยังเสียงแข็งและมีท่าทีปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“คุณแต่งมันเอง...ก็ใช้เสียเองซิ” เขาบอกนุ่มๆ “ที่ทางของคุณเอง“ฉันทำเพื่อพี่มิ่ง” หล่อนยืนยัน หล่อนรักมิ่งขวัญไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น“แต่มันเป็นสิ่งที่คุณชอบ” เขาดักคอ “ผมรู้ว่ารสนิยมของมิ่งขวัญเกิดจากตัวคุณเป็นหลัก...ลืมซะว่าผมเคยสั่งว่าอย่างไร นั่นเป็นข้ออ้างจะเอาตัวคุณมาทำงานต่างหากเล่า ถ้าผมไม่บอกว่าเป็นห้องหอมีหรือที่คุณจะยอมมาทำ ตอนนั้นคุณชังน้ำหน้าผมจะแย่”“ตอนนี้ก็ใช่”“ผมไม่เชื่อ ไม่มีวันเชื่อ...”เขาปิดประตูไว้ข้างหลังแล้วยืนพิงอยู่อย่างนั้น ตอบหล่อนด้วยถ้อยคำหนักแน่นเขาจะไม่ยอมเสียหล่อนไปศิลาบอกตัวเองว่าเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสมปรารถนาให้จงได้ ต่อให้ยากเท่ายากก็ตามที“เราจะต้องคุยกันตามลำพังสองต่อสองแล้วละ มินตา”เขาบอกด้วยเสียงนุ่มทุ้ม และแน่นอนว่ามีกังวานของความรักอยู่มากมาย เขาไม้ปฏิเสธใจตัวเอง“ไม่...” หล่อนป
พิมสุดามาแล้วกลับไปแล้ว ปล่อยให้มินตาได้ครุ่นคิดตามลำพัง แม้จะมีปรางคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ แต่มินตาก็เหมือนอยู่คนเดียว...หล่อนคิดถึงอนาคตวันข้างหน้าเมื่อไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อ ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้คว้าติดอีกหล่อนจะทำอย่างไรดีนั่นคือสิ่งที่มินตาต้องคิด...มันไม่ใช่เรื่องเล็กเสียด้วย เพราะเท่ากับต้องเอาอนาคตมาเป็นเดิมพัน...อนาคตที่มินตาไม่แน่ใจ และหล่อนก็รู้ว่าเพราะตัวเขานั่นแหละที่ทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมา/////////////////////////////ผู้ชายสองคนต่างวัยแต่มีสายเลือดส่วนหนึ่งเหมือนกันได้เผชิญหน้ากันอีกครั้ง คนแก่ดูจะยิ่งแก่ ในขณะที่คนหนุ่มก็มิได้ทำท่าลำพองว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ ต่างคนต่างมองกันชั่วอึดใจในความเงียบงันแล้วศิลาก็เป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน “สาวิตต์เป็นอย่างไรบ้าง”“ก็ยังเหมือนเดิม...เก็บตัวเอง...และไม่พูดไม่จากับใครเลย”“เขาคงจะหายสักวันหนึ่ง“นั่นคือความหวัง”“ผมจะเอาใจช่วยแล้วกัน”คุณทรงศักดิ์ทำท่าเหมือนไม่คาดคิดเมื่อได้ยินเช่นนั้น“ต่อ...ให้อภัยพ่อกับพี่แล้วใช่ไหม”ชายหนุ่มส่ายหน้า นั่นคือความจริง เขายังไม่อาจจะให้อภัย เพียงแต่เขาคิดว่าเขาจะวางมือในส่วนนี้...หลายปีที่เ
“ไล่ปรางหรือคะ...” มินตาแสนจะตกใจ “ทำไมล่ะคะ ปรางทำผิดตรงไหน”“มันเป็นพวกแกนี่ รับเอาไปซิ นังนั่นมันเลี้ยงไม่เชื่อง หวังว่าที่พูดมานี่แกคงจะเข้าใจนะ”“ค่ะ มินตารับคำ ดวงหน้าสลด ครอบครัวของหล่อนคือซาก...มันคืออดีตที่เหมือนจะเนิ่นนานผ่านมาแล้ว ดวงตาของหล่อนซุ่มไปด้วนน้ำตา ป่วยการจะพูดมากไปกว่านี้อีกเมื่อคุณมารศรีและมิ่งขวัญปั้นปึ่งใส่ มินตามาไหว้พ่อ นั่งพับเพียบอยู่นานจนศิลาต้องเป็นฝ่ายสะกิดหล่อน“กลับดีกว่ามั้ง มินตา...เขาประคองหล่อนลุกขึ้น ท่าทีถนอมเป็นนักหนาบาดตาของมิ่งขวัญสุดขีด หล่อนไม่อาจจะยอมรับออกมาดังๆ ว่าลึกลงไปนั้นหล่อนเจ็บปวดกับการที่ถูกทิ้ง...ทั้งที่หล่อนเคยทระนงในตัวเองมาตลอด ผู้ชายคนนั้นคือชายที่หล่อนรักและเมื่อความจริงเปิดเผยออกมารักกลายเป็นร้าง และขมขื่นที่สุดจะหารสชาติใดมากกว่านี้ ในชีวิตคงจะไม่มีอีกแล้วแน่นอน“แม่คะ...มิ่งตัดสินใจแน่นอนแล้ว พอเสร็จงานพ่อ มิ่งจะไปอยู่เมืองนอก เราไปด้วยกันไหนคะ แม่...เอาบ้านนี้ให้เช่า...ถ้าไม่คิดจะขาย เราคงจะพอมีเงินสักก้อนไปเที่ยวเล่นด้วยกัน พอให้มิ่งหายช้ำใจแล้วค่อยกลับมาใหม่...หรือบางทีเราอยู่ทางโน้นกันเลยก็ได้ มิ่งก็พอจะมีเพื่อนที
ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง และมินตาก็นิ่งงันปราศจากเสียงกรีดร้องจนเขาใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าหล่อนเสียใจแค่ไหนกันการรับรู้ในการสูญเสียหนนี้ มือของเขาลูบไล้เส้นผม“มินตา ได้ยินผมหรือเปล่า”“ก็ดีเหมือนกัน” หล่อนพึมพำออกมา “จะได้จบสิ้นกันแท้จริงๆ”“ไม่....” เขาปฏิเสธเสียงลั่น“เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”“อย่าพูดแบบนี้...ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลัง แล้วเราเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน ที่ผ่านมาผมรู้ว่าผมผิด จะไม่ให้อภัยคนที่รู้สำนึกหรอกหรือ มินตา...ใช่ว่าผมจะไม่เสียใจหรือไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ เพียงแต่ ตอนนั้นความแค้นทำให้ผมบ้าเลือดและลากคุณเข้ามาพัวพันด้วย”“ฉันให้อภัย แล้วก็โยนมันทิ้งเอาไว้ตรงนั้นแหละ...”ศิลากำลังจะพูดอีก แต่เสียงเคาะประตูห้องขัดจังหวะเสียงก่อนและประตูเปิดเข้ามาหลังจากนั้นครรชิตเดินนำหน้าธันวาเข้ามาพร้อมกับกระเช้าดอกไม้ใหญ่ที่บรรจุดอกไม้สวยงามสีสันสดใสชายหนุ่มขยับห่างออกจากเตียงนิดหนึ่ง ครรชิตทักทายและแสดงความห่วงใย ต่อสภาพบาดเจ็บของเขาสักห้านาทีก่อนจะหันไปหามินตา“ไง...มิน หน้าตาเหมือนคนเจ็บหนัก”“เกือบจะตายแต่ไม่ยักจะตาย...”“ประชดใครล่ะนั่น”ถูกดักคอแบบนี้มินตาทำตาวาว “มินไม่มี
สาวิตต์นอนอยู่บนเตียง...ขาของเขาข้างหนึ่งที่ถกขากางเกงขึ้นไปถูกพันด้วยผ้าขาวหนาเปอะ แล้วหน้าตาของเขาก็เหมือนไม่ใช่ลูกชายคนเดิมของเธอ มีรอยช้ำปูดโปนนั่นยังทำใจได้ว่ามันจะหาย แต่ดูซิ...ดูสีหน้าและแววตาของเขามันดูเลื่อนลอย...และมองมาทางเธอย่างว่างเปล่า“เอ...”เธอถลาเข้าไปหาเขา แล้วก็หยุดอีกหนหนึ่ง เมื่อสาวิตต์ทำเหมือนไม่รับรู้ด้วย เขายังมองเบิ่งไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าเธอ คุณสีดาหันขวับมาหาสามี ถามเสียงสั่น“อะไรกันคะนี่ ตาเอเป็นอะไร...ทำไมเขาทำหน้าตาแบบนั้น”คุณทรงศักดิ์โอบบ่าของภรรยาเอาไว้ ร่างแบบบางของเธอสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น“หมอบอกว่าเหมือนเขาจะช็อก พูดกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เป็นพักๆ เหมือนคนสะเทือนใจมากเกินไป”“แล้วแกจะหายไหม”“ต้องอาศัยเวลา แต่ตอนนี้เขาต้องรักษาตัว บางทีอาจจะต้องลางาน...หรืออาจจะต้องถึงขั้นลาออกก็ได้”“ไม่!”เธอร้อง หันมาซบหน้ากับบ่าของสามี นานแล้วที่คนสองคนไม่เคยหันหน้าเข้าหากันอีก ต่างมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง ความบาดหมางในเรื่องเล็กน้อยถูกทำให้ใหญ่มากขึ้น และไม่อาจจะเชื่อมต่อติดกันได้อีกเลยแต่ตอนนี้หัวอกของความเป็นพ่อแม่ที่จะต้องรับผิดชอ
ปืน...มินตาบอกเมื่อเห็นสาวิตต์หยิบมันออกมาวางไว้บนโต๊ะกลมเล็กข้างๆ เก้าอี้ที่เขานั่งลง แววตาที่เขามองดูศิลาทำให้มินตายะเยือกไปตลอดตัว มันบ่งบอกว่าหากเขาจะลั่นไกปืน เขาก็จะทำได้โดยไม่ต้องหยุดคิดชั่งใจอีกเลย มินตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อพูดกับสาวิตต์ดีๆ“คุณเอ ขอให้มินนะ...อย่าถึงกับฆ่ากันเลย...”“บอกแล้วว่าอย่ายุ่ง ไม่ฆ่าเธอด้วยก็บุญเท่าไหร่รึว่าอยากตายตามผัว”“คุณเอจะทำไมได้นะคะ”“ทำไมพี่จะทำไม่ได้ นึกถึงที่มันทำกับพี่ซิ เพราะมัน...” สาวิตต์ชี้มือไปยังศิลาอย่างคั่งแค้น นั่นคือชายที่ร่วมสายเลือดเดียวกัน แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็กึ่งหนึ่งที่เหมือนกัน เขาไม่เคยเชื่อใครพูดอย่างไร เขาก็มักจะหัวเราะขบขันเสียเสมอว่าทุกคนที่พูดนั้น ล้วนแล้วแต่มีอาการทางจิตที่คิดมากเกินการไปเองทั้งนั้น แต่แล้วเขากลับมารู้เป็นคนสุดท้าย รู้เพื่อทำให้โลกที่เคยสวยงามสำหรับเขามันพังทลายลงมาต่อหน้าต่อตาเขาจึงมองหาทางออกใดไม่พบนอกจากทางนี้ ฆ่าศิลาเสีย ก็เท่ากับฆ่าไอ้เด็กเวรคนนั้นด้วย เมื่อหนนั้นมันเลือกรอดได้อาจจะเพราะดวงมันแข็ง แต่คราวนี้ไม่มีวันที่ดวงมันจะแข็งเท่าครั้งนั้นอีก มันจะต้องตายนั่นคือทางที่เขาเลือกให้มั