มินตาเข้าบ้านมาอย่างเงียบๆ หล่อนลงนั่งที่บันไดขั้นล่างแล้วถอดรองเท้าผ้าใบออก ถอดถุงเท้าออกตาม แล้วม้วนถุงเท้าเป็นก้อนกลมๆ ยัดเข้าไปในรองเท้า หิ้วรองเท้าขึ้นบันไดด้วยฝีเท้าแผ่วเบา จนเกือบจะไม่น่าเชื่อว่านี่คือมินตา...นี่หากเพื่อนร่วมงานมาเห็นท่าเดินเหมือนเท้าแทบจะไม่ได้แตะพื้นของหล่อนละก้อ คงจะได้หัวเราะกันเกรียว เพราะยามอยู่ในออฟฟิศ มินตาจะมีก้าวย่างหนักแน่นรุนแรงเป็นจังหวะ บางทีแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้กันแล้วว่าเป็นหล่อน
ประตูด้านหน้ายังไม่ได้ปิดลงกลอน แต่แง้มๆ เอาไว้ หล่อนค่อยๆ ผลักเข้าไปอย่างแผ่วเบา...แต่บานพับที่ค่อนข้างจะฝืดสักหน่อยก็ให้เสียงเอี๊ยดอ๊าด...มินตาจับประตูให้อยู่นิ่งๆ หล่อนกลัวว่าเสียงนี้จะปลุกให้มารดาตื่นลงมา...หล่อนกลับบ้านดึกเสมอก็งานล่วงเวลามันเงินดีเหลือเกิน หล่อนจะยอมให้พลาดไปอย่างไรได้ วันนี้ก็งานล่าช้าเพราะอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ที่ธันวาได้รับ หล่อนเลยมีงานให้สะสาง เพราะเอาเวลาขับรถพาธันวาไปส่งโรงพยาบาล
พรุ่งนี้ก่อนออกจากบ้าน หล่อนจะเอาน้ำมันมาหยอดบานพับเสียหน่อย ไม่ให้มีเสียงแบบนี้เกิดขึ้นมาอีก
ย่องๆ จะไปถึงหน้าห้องของหล่อนอยู่แล้ว มินตาก็ชะงักเมื่อแสงสว่างพึ่บขึ้น หล่อนหยุดอยู่ตรงกลางบ้านนี่เอง
“เพิ่งกลับหรือ”
เสียงทักออกจะเยาะๆ ชอบกลอยู่ มินตาพึมพำตอบออกไปเสียงเบา
“ค่ะ”
“ดึกทุกคืนเลยนะ...มัวแต่ไปเที่ยวซ่กๆ อยู่ล่ะซิ งานเลิกตั้งแต่ห้าโมง ก็อยู่ในกรุงเทพแค่นี้ หนทางไปมาสะดวก ไม่น่าจะให้เกินหนึ่งทุ่ม”
หล่อนไม่โต้ตอบเลย เพราะรู้ว่าต่อให้หล่อนอธิบายอย่างไร ก็จะไม่ได้รับการสนใจ เหมือนหล่อนบอกกล่าวกับลมแล้งมากกว่า หล่อนยืนนิ่งๆ แต่นั่นกลับยิ่งไปยั่วให้เกิดความโมโหได้
“ฉันพูดด้วยก็หันหน้ามาหน่อยซิ...อาไร้...ยายมินแกจะยืนหันหลังให้ฉัน...แกนี่เหลือเกิ๊น...กระด้างอะไรยังงี้” เสียงบ่นแหลมๆ มันเข้าไปกระเทือนอยู่ในแก้วหู แต่มันไม่ได้ทำให้หล่อนสะเทือนใจอะไรนักหนาอาจจะเพราะหล่อนชินชาเสียแล้ว หากวันใดคุณมารศรีพูดกับหล่อนดีๆ น้ำเสียงอ่อนหวานซิ ที่จะทำให้มินตาต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่าปกติสักหน่อย หล่อนค่อยๆ หันตัวกลับมา รองเท้ายังถือค้างอยู่ในมือ
คุณมารศรีเดินลงมา หล่อนได้กลิ่นน้ำอบไทยหอมฟุ้ง หญิงสาวยืนก้มหน้าลงน้อยๆ มืออีกข้างทับมาบนมือที่หิ้วรองเท้าอยู่ คุณมารศรีเดินวนไปรอบๆ ตัวหล่อน ผมที่หล่อนจับมันพันๆ ทบไว้ง่ายๆ และหลุดลุ่ยอยู่แล้วหลุดกระจายลงมา เป็นเส้นผมดำมันขลับยาวเกือบถึงกลางหลังเส้นผมที่เหยียดตรงมีน้ำหนักสลวย แต่หล่อนแทบจะไม่ได้ปล่อยให้มันเคลื่อนไหวตามเส้นสายของมัน อย่างง่ายที่สุดคือจับรวบแล้วพันทบสวมหมวกเข้าไปอีกใบ ไม่ค่อยจะมีใครรู้ว่าหล่อนเป็นเจ้าของเส้นผมสวยงามเพียงนี้
“ดูมอมแมมจริงๆ นะเรา”
“มินเพิ่งเลิกงาน”
“งานอีกแล้ว เอะอะอ้างงานยันเต”
“ก็มินทำงานจริงๆ”
หล่อนยังไม่วายจะเถียง แต่แล้วพอนึกได้หล่อนก็นิ่งเงียบเสีย เพราะรู้ว่าพูดไปก็เท่านั้นเอง คุณมารศรีพยายามจะคาดคั้นถามให้ได้ว่าหล่อนหายไปไหนหลังจากเลิกงาน มิไยที่หล่อนจะยืนยันว่าหล่อนอยู่ในออฟฟิศ มันเป็นธุรกิจเล็กๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันทุกฝ่ายให้งานเดินรุดหน้า มันแข่งกับเวลาแข่งกับระบบแข่งขัน และการหมุนเวียนของดอกเบี้ยที่งดงามเหลือเกินในธนาคาร พวกหล่อนกำลังตั้งตัว...กำลังเริ่มต้นเพื่ออนาคตวันหน้า
“แม่รอแกตั้งแต่ตอนเย็น...ไปนั่งคุยกันก่อน”
“ค่ะ”
“หล่อนเดินมานั่งลงเรียบร้อย ต่อหน้าเธอหล่อนจะวางตัวเป็นสาวสงบเสงี่ยม...ถ้าหากไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง หล่อนก็จะลงไปนั่งพับเพียบเรียบร้อย เก็บเท้าได้มิดชิด วางมือประสานกันเอาไว้บนตัก มินตารู้ว่าหากเพื่อนๆ มาเห็นก็คงจะต้องตาถลนกับอีกรูปแบบหนึ่งของเหล่อน
“พรุ่งนี้ชุดแต่งตัวใหม่ของพี่มิ่งจะมานะ...”
หล่อนมองสบสายตากับเธอแต่ใจหายวับไปแล้ว...หล่อนเข้าใจเพียงแต่เธอเริ่มต้นเท่านั้น
“ก็มีกระจกหนึ่งบาน โต๊ะอีกหนึ่งตัว เก้าอี้อีกตัว...ราคามันก็หมื่นสอง”
มินตาเงียบกริบ หัวใจเท่านั้นที่ไหวระรัว สีหน้าของหล่อนยังเป็นปกติ เงินหมื่นสองจากหยาดเหงื่อแรงงานของหล่อนกำลังจะปลิวไปจากกระเป๋าอีกแล้ว...แต่หล่อนก็มิได้ทักท้วงสักคำ
“ค่ะ...แต่มินไม่มีเงินสด มินจะเขียนเช็คทิ้งเอาไว้ให้แล้วกันนะคะ”
“นี่แม่ไปดูพรมเอาไว้อีกผืนหนึ่ง แหม...มันซ้วยสวย เจ้าของร้านเขาบอกว่า จะเซลห้าสิบเปอร์เซ็นต์ตอนเดือนหน้า คงจะทันเอามาปูห้องให้พี่มิ่งพอดี”
“ค่ะ”
เสียงรับคำของมินตาเบาลงไปอีก... “แม่ดูราคามาก็แล้วกัน...มินจะจัดการให้”
“มีจดหมายของพี่มิ่งถึงแกด้วยนะ แม่เอาไปไว้ในห้องให้แล้ว...” คุณมารศรีนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะถามต่อด้วยเสียงอันอ่อนโยนลงเล็กน้อย “นี่แกกินอะไรมาหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
ถึงหล่อนจะไม่ได้กินอะไรมาเลย มินตาก็ไม่อาจจะกินอะไรได้ลงคออีก หล่อนตีบตันในลำคอ มันตื้อลงไปถึงกระเพาะอาหารนั่นทีเดียว หล่อนเข้ามาในห้องปิดตาลงอย่างเหนื่อยล้า ยืนพิงบานประตูอย่างนั้นอีกนาน รองเท้าที่หิ้วเอาไว้ค่อยๆ หล่นลงไปกองกับพื้น เงินของหล่อนหมดไปกับเรื่องของมิ่งขวัญเสมอๆ
มิ่งขวัญจะกลับบ้านเดือนหน้า...แม่กระตือรือร้นเหลือเกินที่จะจัดห้องให้มิ่งขวัญใหม่ เริ่มต้นจากผ้าม่าน เตียงนอน แล้วก็โต๊ะแต่งตัว เดือนหน้าจะเป็นพรมปูห้อง...มินตาลืมตาขึ้น...พรมหรือ...หล่อนนัยน์ตาตกมองดูพื้นห้องของตัวเอง
ก่อนจะยิ้มหยันๆ ออกมา
หล่อนมีเงินพอจะซื้อพรมแพงๆ ให้มิ่งขวัญใช้ปูห้องแม้จะเป็นตอนที่ลดราคาก็เถอะ หล่อนรู้ว่ารสนิยมของมารดาเป็นอย่างไร คุณมารศรีไม่เคยซื้อของถูกเธออ้างเสมอๆ ว่า
...ของดีราคาไม่เคยถูก ของดีต้องแพง ของไม่แพงไม่ใช่ของดี...
แต่พื้นห้องนี้เป็นเสื่อกกสีน้ำตาลคล้ำๆ ทอด้วยมือเป็นผืนสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดหนึ่งตารางฟุตเอามาปูต่อๆ กัน...มันน่าขันเหลือเกิน มินตาเดินโซเซไปที่เตียงนอนล้มตัวลงนอนโดยที่ไม่ได้ดึงเอาผ้าคลุมเตียงออกเสียก่อน มือข้างหนึ่งพาดไปบนหน้าผาก สองเท้ายังห้อยอยู่เรี่ยๆ พื้น...หล่อนไร้เรี่ยวแรง มันสิ้นไร้แบบนี้ทุกครั้งที่คุณมารศรีมีค่าใช้จ่ายเบิกจ่าย
โต๊ะแต่งตัวหมื่นสองหรือ...แล้วของหล่อนล่ะ...โต๊ะแต่งตัวชุดเก่าดั้งเดิม หล่อนเอาสีมาทาใหม่ให้ขาวนวล...มันเป็นนวลใยแม้ในยามนี้ที่ไม่ได้เปิดไฟในห้อง เพราะหล่อนเปิดหน้าต่างห้องทิ้งเอาไว้ แสงจันทร์สาดส่องเข้ามากระทบมันตกทอดมาถึงหล่อนหลังจากที่เกือบจะถูกโยนทิ้งไปกับรถขยะ หล่อนเอามาปรุงโฉมเสียใหม่ ทาสีใหม่ หาผ้าลูกไม้สวยๆ มาปูทับ แล้วมีกระจาดใบน้อยๆ มาตั้งเรียงรายสำหรับใส่สิ่งของที่ใช้ส่วนตัว...แต่หล่อนจะต้องจ่ายเงินหมื่นสองให้กับมิ่งขวัญ
กระจกหนึ่งบาน โต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้อีกตัว...คงจะสวยงามหยดย้อยกระมัง
หญิงสาวลุกขึ้นมานั่ง เมื่อนึกขึ้นได้ถึงจดหมายของมิ่งขวัญ...เปิดไฟในห้องให้สว่าง แล้วหล่อนจึงเอากรรไกรเล็กๆ ขลิบริมซอง...กระดาษแผ่นบางหล่นลงมา...ลวดลายของกระดาษช่างสวยงาม ข้าวของที่มิ่งขวัญใช้สวยงามเสมอ คุณมารศรีปลูกฝั่งสิ่งนี้ให้กับมิ่งขวัญมาแต่เล็กๆ
ข้อความทั้งหมดเป็นการส่งข่าวความเคลื่อนไหวว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง มิ่งขวัญไปเรียนปริญญาตรี...หล่อนเรียนไม่สู้จะเก่งมากนักหลังจากที่ร่ำเรียนไม่เป็นชิ้นเป็นอันอยู่นาน คุณมารศรีก็อดทนไม่ได้ เธอส่งมิ่งขวัญไปกวดภาษาอย่างหนักแล้วส่งมิ่งขวัญไปอเมริกา หวังอย่างยิ่งว่าจะเป็นการชุบตัวลูกสาวคนโตให้งดงามพร้อมสรรพกลับมา
มิ่งขวัญเดินทางโดยสายการบินที่แพงที่สุด หล่อนจะได้บินกลับบ้านทุกปิดภาค กลับมาพร้อมกับมีข่าวของหล่อนลงตีพิมพ์...ชื่อของหล่อนเป็นที่รู้จักตามหน้านิตยสาร และมิ่งขวัญก็เคยมีรูปลงนิตยสารเพราะหล่อนเป็นสาวสวยเพียงพอ
เมื่อมิ่งขวัญอยู่ใกล้ๆ กับมินตา มิ่งขวัญจะสดสวยและทำให้มินตาดูหมองมัวไปเสียสิ้น
ทุกๆ ปี มินตาไม่กล้าคำนวณเงินหรอกว่ามิ่งขวัญใช้เงินเท่าไร...แต่คุณมารศรีไม่เคยปริปากบ่นสักคำ เธอมีเงินส่งไปเสมอๆ ตามที่มิ่งขวัญร้องขอมา ยิ่งนานปีก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น มินตาเป็นคนไปธนาคาร หล่อนรู้ยอดเงินที่จัดส่งไปทุกครั้ง รู้แล้วหล่อนก็ได้แต่ใจหาย
แต่มิ่งขวัญก็เป็นพี่สาวของหล่อน หักใจได้ดังนี้คราวไร มินตาก็หายใจได้โล่งอกขึ้น กับข้อความย่อหน้าสุดท้ายของมิ่งขวัญทำให้มินตาต้องอ่านอยู่นานกว่าปกติสักหน่อย
...พี่จะรีบกลับบ้านให้ไวที่สุด พี่เปลี่ยนใจที่จะไปยุโรปกับญี่ปุ่นต่อแล้ว จะตรงกลับกรุงเทพทันทีหลักจากที่เที่ยวทางภาคตะวันตกของอเมริกานี่เรียบร้อย พี่มีเรื่องบางอย่างที่จะต้องกลับมาสะสางต่อ เรื่องของหัวใจจ้ะ ขอปิดเป็นความลับก่อนนะ แต่เขาประทับใจพี่มาก ขอให้วาดภาพของเขาได้เลยว่าสง่างามเหมือนเจ้าชาย ร่ำรวย และหล่อระเบิด...มินตาย่นจมูกนิดๆ หล่อนไม่เห็นภาพพจน์อย่างที่มิ่งขวัญบอก ก็พี่สาวของหล่อนเป็นแบบนี้เสมอ หลงใหลง่าย...เห็นหนุ่มๆ ร่ำรวยเข้าหน่อย มิ่งขวัญก็ตาโตเนื้อเต้นไปได้ทุกหน“พี่มิ่งเอ๊ย...เจ้าชายจริงหรือเปล่า เดี๋ยวก็เป็นเจ้าชายเสกของนางฟ้าเข้าหรอก...เดี๋ยวนี้เจ้าชายเดินดินกินข้าวแกงกันแล้วทั้งน้าน...ฝันหวานจะกลายเป็นฝันสลาย”////////////////////////////////////////////////////กางเกงยีนส์เก่าๆ กับเสื้อเชิ้ตที่หล่อนสวมใส่อยู่ ทำให้คุณมารศรีย่นจมูกเข้าใส่เมื่อมินตาเดินเข้ามาในห้องอาหาร หล่อนรีบเอาซองยาวๆ ที่ข้างในเป็นเช็คส่วนตัวของหล่อนเลื่อนไปตรงหน้าเธอโดยเร็ว หล่อนอาจจะบาปก็เป็นได้ ที่ปิดปากมารดาด้วยเงิน แล้วก็ได้ผลเสียด้วยเมื่อหน้าที่บึ้งๆ อยู่เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มได้“ค่าอะไรอีกล
มินตาเอารถเข้าไปจอดด้านหลังของภัตตาคารหรูๆ แห่งนี้ หล่อนไม่ทันได้เห็นว่าตัวเองตกอยู่ในสายตาคนคนหนึ่งตลอดเวลานับจากหล่อนเลี้ยวรถเข้ามาแล้ว หญิงสาวเปิดประตูก้าวลงมา แล้วด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง หล่อนก้าวเดินฉับๆ ไม่ทันสังเกตว่าหล่อนถูกมองด้วยดวงตาหลายๆ คู่ ก่อนจะมารู้สึกว่าหล่อนเป็นเหมือนตัวประหลาดตรงทางเข้านี่เองมินตาก้มลงมองตัวเอง แล้วหล่อนก็จึงรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ ทำให้เจ้าหนุ่มตรงทางเข้าที่มักจะโค้งต้อนรับลูกค้ามองหล่อนด้วยแววตาชอบกล เสื้อผ้าของหล่อนนี่เอง หญิงสาวเพิ่งนึกเสียใจเป็นหนแรกที่หล่อนแทบจะไม่เคยนุ่งกระโปรงออกจากบ้านมาทำงาน และเสื้อกางเกงชุดนี้ก็ไม่ใช่ชุดลำลองของสาวสมัยเสียด้วย มันดูบึกบึนตามแบบสาวทำงานมากกว่า“คุณจองโต๊ะไว้หรือเปล่าครับ”หล่อนได้ยินคำถาม ตอนแรกมินตาก็ไม่แน่ใจว่าถามหล่อน จนกระทั่งได้ยินเสียงถามอีกหน หล่อนจึงจิ้มอกตัวเองเหมือนย้อนถามกลับ“คุณแหละครับ...จองโต๊ะไว้หรือเปล่า”“ฉันไม่รู้ เพื่อนฉันนัดฉันที่นี่”“อาจจะมีการเข้าใจผิดก็ได้นะครับ”เลือดขึ้นหน้ามินตานิดๆ แล้ว ริมฝีปากเม้นเข้ากัน นี่หล่อนกลายเป็นตัวอะไรไปแล้วหรือถึงได้รับการปฏิบัติแบบนี้...กะแค่เสื้อผ้
“พยายามดูหน่อยแล้วกัน คุณหมี...” เขาบอก นึกเวทนาหล่อนมากกว่า ผีการพนันไม่เคยปรานีผู้ที่หลงใหลได้ปลื้มในมันเป็นอันขาด และตอนนี้สิ่งที่เขารู้เพิ่มเติมก็คือผู้ชายอนาคตไกลคนนั้นก็เป็นอีกคนที่เป็นผีพนันด้วย หางตาเขายังมองเห็นสาวิตต์อยู่ ยังไม่ได้ปล่อยให้ไปพ้นจากความสนใจ แต่ชายหนุ่มนิ่งเกินกว่าลักษมีที่อยู่ร่วมโต๊ะเดียวกันกับเขาจะสังเกตเห็นได้ด้วยซ้ำไป“หมีก็อยากจะเลิกนะคะ...ที่ไหนบ้างที่มีการบำบัดรักษาคนติดการพนัน ติดบุหรี่ ติดเหล้าติดยายังพอจะมีที่ไป”“มันอยู่ที่ใจ เรื่องใหญ่มันอยู่ตรงนั้น”“แต่หมีก็แพ้ใจตัวเองทุกครั้งไป”หล่อนยิ้มเศร้าๆ“อย่างที่ผมขอ ไปพยายามดูใหม่ เงินมันชักจะมากขึ้นแล้วนะ ผมกลัวว่าจะหมุนไม่ทัน แล้วจะพาตัวไปลำบาก...มีตัวอย่างที่เคยเห็นๆ แล้วไม่ใช่หรือ การพนันมันให้คุณกับใครบ้าง มีแต่โทษ จะรวยก็ไม่ทน แต่จนน่ะนานทีเดียว”ลักษมีก้มหน้าลงน้อยๆ โดยรูปลักษณ์ภายนอกของหล่อนนั้น เป็นสาวสวย ใครจะเชื่อว่าอีกด้านหนึ่งของชีวิตหล่อนนั้นมืดดำ ลักษมีเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงเอง...ด้วยความลำพองว่าหล่อนจะไม่ยึดติด แล้วสุดท้ายหล่อนก็พ่ายแพ้เป็นทาส ยิ่งนานวันหล่อนยิ่งเล่นหนักข้อขึ้น“คุณศิ...ห
“ไปไหนมา” มีคนถามหล่อนนับจากเปิดประตูกระจกเข้ามารับไอเย็นระรื่น “หน้าตาเหมือนไปกินรังแตนมา” เพราะหน้าหล่อนเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้จะยังนวลแป้งก็ไม่มีรอยยิ้มแถมยังมีดวงตาขวางๆ เหมือนจะบอกกล่าวผู้พบเห็นอีกด้วยว่า พูดผิดหูหรือมีอะไรขวางตาหล่อนอาจจะอาละวาดก็เป็นได้“อยากฆ่าคน”“เฮ้ย...”เสียงขัดดังลั่น “ได้ติดคุกจนตายปะไร...แกยังเป็นสาวอยู่นา เจ้ามิน...ไปติดคุกแล้วจะเสียดายว่าหมดโอกาสมีผัว”เท่านั้นเองก็ได้ยินเสียงกรี๊ดของหล่อนไปทั่วหน้า แต่ไม่ยักจะมีใครถือสากลับมีเสียงหัวเราะครื้นเครงประสานกันขึ้นมา“เออ...ยังกรี๊ดเป็น ยังเป็นผู้หญิงอยู่ว่ะ”นั่นเท่ากับว่าหล่อนจะถูกยั่วแหย่ หากไม่ยอมยุติ แม้จะทำตาขุ่นหน้าขึงเข้าใส่ก็หาได้มีคนกลัวเกรงหล่อนสักนิด“ฉันอารมณ์ไม่ดีมาจริงๆ นะ อย่ามายั่ว...เดี๋ยวจะทลายห้องนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง”“มันเอาจริงว่ะ”ธันวาก้าวออกมาข้างหน้า มาเอียงคอมองดูเพื่อนสาวอย่างประหลาดใจในพฤติกรรมที่มินตาแสดงออกมือข้างที่เจ็บยังอยู่ในผ้าพันแผลหนาๆ“โมโหอะไรนักหนาเล่า มิน” ธันวาทำเสียงปลอบและนั่นทำให้มินตาอารมณ์ดีขึ้นมานิดหนึ่ง “ไอ้พวกปากหมานี่ถือสาได้ที่ไหนกัน มันพูดยั่วเล่น...ว่
เขาก้าวเข้ามา...พอดีกับพิมสุดาเบือนหน้ามาช้าๆ เธอยิ้มให้กับเขา ยิ้มสวยเหมือนนางฟ้าที่ศิลาคุ้นเคยดี เป็นยิ้มที่พิมสุดาให้กับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ยิ้มแบบเสแสร้งอันใดเลยชุดผ้าเพ้นท์ลายกล้วยไม้อ่อนหวานเข้ากันได้ดีกับชุดโซฟาสีครีมและหมอนอิงโทนสีน้ำตาลหวานนุ่มนวล...พิมสุดางดงามเสมอ ดวงหน้าของเธอเนียนด้วยเครื่องสำอางไม่มากและไม่น้อยเกินไปยังสวยพริ้ง...และสาวแฉล้มราวกับไม่ใช่วัยห้าสิบกระนั้น“ไปไหนมาจ๊ะ”คำทักทายอ่อนโยนัก“ลักษมีนัดทานมื้อเที่ยง”“อือม์...” เสียงรับคำอือออ “เป็นไงบ้างล่ะ แม่ดาราดังนั่น”“ก็ย่ำแย่ฮะ ยังไม่ยอมเลิกสักที”“นี่แหละน้า เป็นทาสแล้วก็ยากจะถอนตัว เตือนๆ หน่อยซิ ไม่อยากจะเห็นอนาคตที่รุ่งโรจน์ดับวูบ”“ผมก็เตือนแล้วนะฮะ ไม่รู้จะได้ผลแค่ไหน ถลำลงไปมากแล้วนี่ ผมก็ห่วง”พิมสุดามองเขาเหมือนจะค้นหา และนั่นทำให้ชายหนุ่มรีบพูดต่อโดยเร็ว“แค่ห่วงใยฉันท์เพื่อนเท่านั้นฮะ ไม่ได้มีอะไรเกินเลยกัน”เธอถึงกับหัวเราะออกมา “โธ่...ศิลา ทำราวกับว่าแก้ตัวไม่มีผิด นี่ไม่ได้จ้องจับผิดเธอเลยนะ”“ไม่รู้ซิ เห็นมองแปลกๆ แล้วยังทำท่าเหมือนคาดคั้นผมซะอีก”เขานั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน กางแข
พิมสุดาไม่ใช่ผู้หญิงเลวมาก่อน ที่ผลักดันเธอมาอยู่ตรงนี้รุนแรงเกินพอ และเขาก็รู้ว่ามันเป็นธุรกิจที่คนดีๆ หลายคนเมินหน้าหนีและยังประณามหยามเหยียดสาปแช่ง แต่มันก็ทำให้คนอีกหลายคนมีกินมีใช้ มีชีวิตอยู่ได้...และนี่เป็นธุรกิจหนึ่งในหลายสิ่งที่พิมสุดาทำ...แต่เธอก็กำลังจะวางมือ ล้างตัวออกไปจากแวดวงนี้ หลังจากคลุกคลีมานานปี จนอาบอิ่มไปด้วยสิ่งที่คนอื่นๆ เรียกกันว่าน้ำกาม...เขาเข้าใจเธอไม่ใช่เพราะลำเอียงจนมองไม่เห็นเขารู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งดีงามอันใด แต่ตราบใดที่พิมสุดาไม่ได้ทำร้ายใคร...และต่อสู้อยู่บนหนทางของเธอ เขาไม่อาจจะซ้ำเติมเธอได้ นอกจากคอยช่วยเหลือดูแลสมญามือขวาของเจ้าแม่แหม่มจึงปรากฏอยู่ในเมื่อเขาเติบโตเป็นหนุ่ม เขาก็อยู่ข้างกายพิมสุดามาตลอด...โดยไม่มีใครรู้ถึงความสัมพันธ์แท้จริงของเขากับเธอผู้ชายหลายคนเขม่นหน้าเขา เรียกเขาว่าแมงดาบรรดาศักดิ์ เกาะพิมสุดาไม่ยอมปล่อยซึ่งศิลาก็ไม่ใส่ใจกับเรื่องนั้นสักนิดเขามองดูเธอเดินกลับมา...ผมสีแดงจ้าของหล่อนเหมือนเปลวเพลิง...ล้อมดวงหน้าเนียนผ่อง...ผิวขาวลออที่ทำให้เธอเหมือนลูกครึ่งฝรั่ง...หลายคนคิดว่าย้อมสีผม...แต่เขาซิรู้ว่าผมเดิมของพิมสุดาก็ไม่เค
“วันนี้คุณเอนัดมินไปกินข้าวกลางวัน” หล่อนบอก เห็นคุณมารศรีหันขวับมาโดยเร็ว รู้ได้ว่ากับเรื่องแบบนี้จะต้องรายงานปิดบังเอาไว้ไม่ได้เป็นอันขาด และก็เห็นสีหน้าแวบๆ ราวกับจะฉายชัดถึงความไม่พอใจให้หล่อนรับรู้“เขานัดแก หรือแกนัดเขากันแน่”“โธ่! แม่ มินจะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงข้าวเขา...เงินมินหมดแล้ว”“อ้อ...แกหมดเงินเพราะจ่ายค่าโต๊ะนี่ใช่ไหมล่ะ แกจะโทษว่าแม่เอาเงินแกอีกใช่หรือเปล่า”มินตาได้แต่ครางอย่างอ่อนใจอยู่ในใจ หล่อนพูดผิดไปอีกแล้ว สาบานได้ว่าหล่อนไม่คิดดังเช่นที่คุณมารศรีกำลังตีโพยตีพายอยู่เลย เธอคิดไปเองทั้งนั้น และที่ดีที่สุดก็คือเงียบเฉยเสียไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วยเป็นดีที่สุด“ก็ได้ ยายมิน ฉันจะหาเงินมาใช้คืนแก จะได้ไม่มาลำเลิกเบิกประจานกัน”“มินไม่ได้คิด” หล่อนแย้งเบาๆ อ่อนใจนักหนา...เคยหลายครั้งที่มินตานึกถึงโลกภายนอกบ้าน นึกถึงการโบยบินจากบ้านไปสู่อิสระ และความโล่งสบายภายนอกปราศจากเสียงพูดเหน็บแนม ดุด่าว่าทำนองนี้ เพียงแต่หล่อนจะใจแข็งสักหน่อยเท่านั้น แต่หล่อนใจแข็งไม่พอ หล่อนยังใจอ่อนยังมีห่วงใยต่อพ่อแม่อยู่โดยเฉพาะกับพ่อ...ที่ห่วงใยมากกว่าแม่หลายเท่าตัว“คุณเอนัดมินไปเพราะอยากรู
“เด็กเป็นไงบ้างฮะ”“ไม่ไหวจ้ะ...นี่ขนาดคุณยายฝึกมาแล้วนะ ยังไม่ค่อยจะได้ดังใจ แม่ละเบื่อต้องเอามาฝึกกันอีก เก็บห้องครัวก็ไม่เรียบร้อย ดูซิ จะเที่ยงคืนอยู่รอมร่อแล้วแม่ยังไม่ได้นอนยังต้องมาดู”“ถ้าไม่ไหวก็ส่งกลับไปหาคุณยาย หาเด็กใหม่มาแล้วกันฮะ”เขาตอบง่ายๆ ไม่ใส่ใจมากนัก“กว่าจะได้อีก แม่ก็เหนื่อย...แม่ทองก็ไม่ไหวแล้ว แกแก่มากแล้วงกๆ เงิ่นๆ...นี่แหละน้า...แม่บอกแล้ว ตาเอ...ให้ลูกหาสะใภ้ให้แม่สักคน เอามาคุมคนในบ้าน ดูแลบ้านและดูแลเอด้วย...เรื่องยายมิ่งไปถึงไหนแล้วจ๊ะ”“ก็คงจะกลับมาเร็วๆ นี้มังฮะ ตอนแวะไปบ้านคุณยายก็เห็นถามถึงมิ่ง...ผมไม่ได้บอกแม่ตอนพาเด็กนี่มา...” เขาพยักพเยิดไปทางสาวใช้คนใหม่ “ชื่ออะไรล่ะฮะ แม่...หน้าตาดีเชียว”“ชื่อแม่แหวน...” เธอบอก ดึงเขาออกมา “เออย่าไปชมมันต่อหน้าซิว่ามันหน้าตาดี...แม่ยิ่งกลัวๆ อยู่ว่าหน้าตาอย่างนี้ จะอยู่ทนเป็นคนใช้ไปได้สักกี่มากน้อย เรื่องยายมิ่งต่อเถอะ...คนกันเองไม่ใช่อื่นไกล เทือกเถาเหล่ากอตื้นลึกหนาบางก็พอจะรู้เห็น...กำพืดเดิมก็ดี จะมีเมียสักคนก็ต้องเลือกหน่อยละ ถึงยายมิ่งแกจะเรียนไม่สู้ดีไปนิด แต่อย่างอื่นก็ชดเชยกันได้”เขาไม่พูดสักคำ...เรื่
“ไม่ใช่ห้องนี้”มินตาตัวแข็ง เมื่อเขาเปิดประตูห้องที่หล่อนเป็นคนตกแต่งเพื่อเป็นห้องหอของเขากับมิ่งขวัญหล่อนพยายามจะถอยกลับ แต่ศิลาผลักหล่อนออกเดินไปข้างหน้า“ฉันยอมมาที่นี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ห้องนี้” หล่อนยังเสียงแข็งและมีท่าทีปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“คุณแต่งมันเอง...ก็ใช้เสียเองซิ” เขาบอกนุ่มๆ “ที่ทางของคุณเอง“ฉันทำเพื่อพี่มิ่ง” หล่อนยืนยัน หล่อนรักมิ่งขวัญไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น“แต่มันเป็นสิ่งที่คุณชอบ” เขาดักคอ “ผมรู้ว่ารสนิยมของมิ่งขวัญเกิดจากตัวคุณเป็นหลัก...ลืมซะว่าผมเคยสั่งว่าอย่างไร นั่นเป็นข้ออ้างจะเอาตัวคุณมาทำงานต่างหากเล่า ถ้าผมไม่บอกว่าเป็นห้องหอมีหรือที่คุณจะยอมมาทำ ตอนนั้นคุณชังน้ำหน้าผมจะแย่”“ตอนนี้ก็ใช่”“ผมไม่เชื่อ ไม่มีวันเชื่อ...”เขาปิดประตูไว้ข้างหลังแล้วยืนพิงอยู่อย่างนั้น ตอบหล่อนด้วยถ้อยคำหนักแน่นเขาจะไม่ยอมเสียหล่อนไปศิลาบอกตัวเองว่าเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสมปรารถนาให้จงได้ ต่อให้ยากเท่ายากก็ตามที“เราจะต้องคุยกันตามลำพังสองต่อสองแล้วละ มินตา”เขาบอกด้วยเสียงนุ่มทุ้ม และแน่นอนว่ามีกังวานของความรักอยู่มากมาย เขาไม้ปฏิเสธใจตัวเอง“ไม่...” หล่อนป
พิมสุดามาแล้วกลับไปแล้ว ปล่อยให้มินตาได้ครุ่นคิดตามลำพัง แม้จะมีปรางคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ แต่มินตาก็เหมือนอยู่คนเดียว...หล่อนคิดถึงอนาคตวันข้างหน้าเมื่อไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อ ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้คว้าติดอีกหล่อนจะทำอย่างไรดีนั่นคือสิ่งที่มินตาต้องคิด...มันไม่ใช่เรื่องเล็กเสียด้วย เพราะเท่ากับต้องเอาอนาคตมาเป็นเดิมพัน...อนาคตที่มินตาไม่แน่ใจ และหล่อนก็รู้ว่าเพราะตัวเขานั่นแหละที่ทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมา/////////////////////////////ผู้ชายสองคนต่างวัยแต่มีสายเลือดส่วนหนึ่งเหมือนกันได้เผชิญหน้ากันอีกครั้ง คนแก่ดูจะยิ่งแก่ ในขณะที่คนหนุ่มก็มิได้ทำท่าลำพองว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ ต่างคนต่างมองกันชั่วอึดใจในความเงียบงันแล้วศิลาก็เป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน “สาวิตต์เป็นอย่างไรบ้าง”“ก็ยังเหมือนเดิม...เก็บตัวเอง...และไม่พูดไม่จากับใครเลย”“เขาคงจะหายสักวันหนึ่ง“นั่นคือความหวัง”“ผมจะเอาใจช่วยแล้วกัน”คุณทรงศักดิ์ทำท่าเหมือนไม่คาดคิดเมื่อได้ยินเช่นนั้น“ต่อ...ให้อภัยพ่อกับพี่แล้วใช่ไหม”ชายหนุ่มส่ายหน้า นั่นคือความจริง เขายังไม่อาจจะให้อภัย เพียงแต่เขาคิดว่าเขาจะวางมือในส่วนนี้...หลายปีที่เ
“ไล่ปรางหรือคะ...” มินตาแสนจะตกใจ “ทำไมล่ะคะ ปรางทำผิดตรงไหน”“มันเป็นพวกแกนี่ รับเอาไปซิ นังนั่นมันเลี้ยงไม่เชื่อง หวังว่าที่พูดมานี่แกคงจะเข้าใจนะ”“ค่ะ มินตารับคำ ดวงหน้าสลด ครอบครัวของหล่อนคือซาก...มันคืออดีตที่เหมือนจะเนิ่นนานผ่านมาแล้ว ดวงตาของหล่อนซุ่มไปด้วนน้ำตา ป่วยการจะพูดมากไปกว่านี้อีกเมื่อคุณมารศรีและมิ่งขวัญปั้นปึ่งใส่ มินตามาไหว้พ่อ นั่งพับเพียบอยู่นานจนศิลาต้องเป็นฝ่ายสะกิดหล่อน“กลับดีกว่ามั้ง มินตา...เขาประคองหล่อนลุกขึ้น ท่าทีถนอมเป็นนักหนาบาดตาของมิ่งขวัญสุดขีด หล่อนไม่อาจจะยอมรับออกมาดังๆ ว่าลึกลงไปนั้นหล่อนเจ็บปวดกับการที่ถูกทิ้ง...ทั้งที่หล่อนเคยทระนงในตัวเองมาตลอด ผู้ชายคนนั้นคือชายที่หล่อนรักและเมื่อความจริงเปิดเผยออกมารักกลายเป็นร้าง และขมขื่นที่สุดจะหารสชาติใดมากกว่านี้ ในชีวิตคงจะไม่มีอีกแล้วแน่นอน“แม่คะ...มิ่งตัดสินใจแน่นอนแล้ว พอเสร็จงานพ่อ มิ่งจะไปอยู่เมืองนอก เราไปด้วยกันไหนคะ แม่...เอาบ้านนี้ให้เช่า...ถ้าไม่คิดจะขาย เราคงจะพอมีเงินสักก้อนไปเที่ยวเล่นด้วยกัน พอให้มิ่งหายช้ำใจแล้วค่อยกลับมาใหม่...หรือบางทีเราอยู่ทางโน้นกันเลยก็ได้ มิ่งก็พอจะมีเพื่อนที
ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง และมินตาก็นิ่งงันปราศจากเสียงกรีดร้องจนเขาใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าหล่อนเสียใจแค่ไหนกันการรับรู้ในการสูญเสียหนนี้ มือของเขาลูบไล้เส้นผม“มินตา ได้ยินผมหรือเปล่า”“ก็ดีเหมือนกัน” หล่อนพึมพำออกมา “จะได้จบสิ้นกันแท้จริงๆ”“ไม่....” เขาปฏิเสธเสียงลั่น“เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”“อย่าพูดแบบนี้...ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลัง แล้วเราเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน ที่ผ่านมาผมรู้ว่าผมผิด จะไม่ให้อภัยคนที่รู้สำนึกหรอกหรือ มินตา...ใช่ว่าผมจะไม่เสียใจหรือไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ เพียงแต่ ตอนนั้นความแค้นทำให้ผมบ้าเลือดและลากคุณเข้ามาพัวพันด้วย”“ฉันให้อภัย แล้วก็โยนมันทิ้งเอาไว้ตรงนั้นแหละ...”ศิลากำลังจะพูดอีก แต่เสียงเคาะประตูห้องขัดจังหวะเสียงก่อนและประตูเปิดเข้ามาหลังจากนั้นครรชิตเดินนำหน้าธันวาเข้ามาพร้อมกับกระเช้าดอกไม้ใหญ่ที่บรรจุดอกไม้สวยงามสีสันสดใสชายหนุ่มขยับห่างออกจากเตียงนิดหนึ่ง ครรชิตทักทายและแสดงความห่วงใย ต่อสภาพบาดเจ็บของเขาสักห้านาทีก่อนจะหันไปหามินตา“ไง...มิน หน้าตาเหมือนคนเจ็บหนัก”“เกือบจะตายแต่ไม่ยักจะตาย...”“ประชดใครล่ะนั่น”ถูกดักคอแบบนี้มินตาทำตาวาว “มินไม่มี
สาวิตต์นอนอยู่บนเตียง...ขาของเขาข้างหนึ่งที่ถกขากางเกงขึ้นไปถูกพันด้วยผ้าขาวหนาเปอะ แล้วหน้าตาของเขาก็เหมือนไม่ใช่ลูกชายคนเดิมของเธอ มีรอยช้ำปูดโปนนั่นยังทำใจได้ว่ามันจะหาย แต่ดูซิ...ดูสีหน้าและแววตาของเขามันดูเลื่อนลอย...และมองมาทางเธอย่างว่างเปล่า“เอ...”เธอถลาเข้าไปหาเขา แล้วก็หยุดอีกหนหนึ่ง เมื่อสาวิตต์ทำเหมือนไม่รับรู้ด้วย เขายังมองเบิ่งไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าเธอ คุณสีดาหันขวับมาหาสามี ถามเสียงสั่น“อะไรกันคะนี่ ตาเอเป็นอะไร...ทำไมเขาทำหน้าตาแบบนั้น”คุณทรงศักดิ์โอบบ่าของภรรยาเอาไว้ ร่างแบบบางของเธอสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น“หมอบอกว่าเหมือนเขาจะช็อก พูดกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เป็นพักๆ เหมือนคนสะเทือนใจมากเกินไป”“แล้วแกจะหายไหม”“ต้องอาศัยเวลา แต่ตอนนี้เขาต้องรักษาตัว บางทีอาจจะต้องลางาน...หรืออาจจะต้องถึงขั้นลาออกก็ได้”“ไม่!”เธอร้อง หันมาซบหน้ากับบ่าของสามี นานแล้วที่คนสองคนไม่เคยหันหน้าเข้าหากันอีก ต่างมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง ความบาดหมางในเรื่องเล็กน้อยถูกทำให้ใหญ่มากขึ้น และไม่อาจจะเชื่อมต่อติดกันได้อีกเลยแต่ตอนนี้หัวอกของความเป็นพ่อแม่ที่จะต้องรับผิดชอ
ปืน...มินตาบอกเมื่อเห็นสาวิตต์หยิบมันออกมาวางไว้บนโต๊ะกลมเล็กข้างๆ เก้าอี้ที่เขานั่งลง แววตาที่เขามองดูศิลาทำให้มินตายะเยือกไปตลอดตัว มันบ่งบอกว่าหากเขาจะลั่นไกปืน เขาก็จะทำได้โดยไม่ต้องหยุดคิดชั่งใจอีกเลย มินตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อพูดกับสาวิตต์ดีๆ“คุณเอ ขอให้มินนะ...อย่าถึงกับฆ่ากันเลย...”“บอกแล้วว่าอย่ายุ่ง ไม่ฆ่าเธอด้วยก็บุญเท่าไหร่รึว่าอยากตายตามผัว”“คุณเอจะทำไมได้นะคะ”“ทำไมพี่จะทำไม่ได้ นึกถึงที่มันทำกับพี่ซิ เพราะมัน...” สาวิตต์ชี้มือไปยังศิลาอย่างคั่งแค้น นั่นคือชายที่ร่วมสายเลือดเดียวกัน แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็กึ่งหนึ่งที่เหมือนกัน เขาไม่เคยเชื่อใครพูดอย่างไร เขาก็มักจะหัวเราะขบขันเสียเสมอว่าทุกคนที่พูดนั้น ล้วนแล้วแต่มีอาการทางจิตที่คิดมากเกินการไปเองทั้งนั้น แต่แล้วเขากลับมารู้เป็นคนสุดท้าย รู้เพื่อทำให้โลกที่เคยสวยงามสำหรับเขามันพังทลายลงมาต่อหน้าต่อตาเขาจึงมองหาทางออกใดไม่พบนอกจากทางนี้ ฆ่าศิลาเสีย ก็เท่ากับฆ่าไอ้เด็กเวรคนนั้นด้วย เมื่อหนนั้นมันเลือกรอดได้อาจจะเพราะดวงมันแข็ง แต่คราวนี้ไม่มีวันที่ดวงมันจะแข็งเท่าครั้งนั้นอีก มันจะต้องตายนั่นคือทางที่เขาเลือกให้มั
สาวิตต์เดินปังๆ จากไปแล้ว ก่อนที่เขาจะกระแทกประตูบ้านด้านหน้าปิดลั่นกุญแจ ปรางก็เสนอหน้าเข้ามา“จะช่วยคุณมินทำแผลให้กับเขา”ปรางบอก หล่อนยืนให้ห่างจากสาวิตต์เข้าไว้ ด้วยไม่แน่ใจในความบ้าของเขาและเขาก็ยอมปล่อยปรางเข้ามาโดยดี ปรางมาคุกเข่าดูศิลาอยู่อีกด้านหนึ่งของเขา“เลือดทั้งนั้นเลย...” ปรางพึมพำ “ทำแผลก่อนนะคะ คุณมินจะเอาอะไรบ้าง”“ต้มน้ำร้อนให้ฉันสักกระติก แล้วหาผ้าสะอาดๆ มา...มีพวกผ้าเช็ดหน้าของฉันเหลืออยู่บ้างมั้งในตู้...แล้วก็พวกผ้าขนหนูผืนเล็กๆ นั่นด้วยก็ได้ คุณเอขังเราเอาไว้ในบ้านแล้วนี่ หยูกยาที่นี่ไม่มีสักอย่าง”“ปรางมีทิงเจอร์กับยาแดง...แล้วก็ยาล้างแผล...” ปรางบอกล้วงมือเข้าไปในกางเกงสามส่วนหยิบยาที่บอกออกมา “เอามาได้แค่นี้ค่ะ จะเอาสำลีกับผ้าพันแผลมาด้วย กลัวคุณมิ่งจะเห็น จะเอาอะไรมาไม่ได้สักอย่าง”“ขอบใจมา ปราง”มินตาคว้าขวดยาพวกนั้นมาด้วยมืออันสั่นเทา ตัวหล่อนเองนั้นสภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนที่ยังนอนทอดร่างนิ่งๆ นี่สักเท่าไหร่ หล่อนรู้ตัวว่าตัวเองก็แย่ เจ็บในช่องท้องจี๊ดๆ เตือนเป็นระยะอย่างไม่เคยเป็น แล้วหล่อนก็อยากล้มตัวลงนอน แล้วหลับให้นานโดยไม่ต้องตื่นขึ้นมารับรู้ใดๆ อีกเ
“คุณมินเป็นอะไร...”แตะตัวมินตาแล้วก็พอว่าไม่ขยับสักนิด ปรางเงยหน้าหล่อนได้เห็นสาวิตต์นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง สีหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างไม่เห็นมาก่อนเลยหันกลับมามองมิ่งขวัญก็เห็นสีหน้าแย้มเยาะประหลาดนัก“คุณมินสลบนะคะ”“ฉันให้แกมาดู ไม่ได้ให้มาพูดมาก แกมีหน้าที่คอยพยาบาลเอาไว้ แต่แกห้ามยุ่งมากไปกว่านี้อีก”“ค่ะ”“พาเข้าไปในห้องนอนซะ”มิ่งขวัญออกคำสั่ง แล้วหล่อนจึงเดินเข้ามาหาสาวิตต์...จับมือของเขาไปบีบเหมือนจะให้กำลังใจแก่เขา“มิ่งเข้าใจว่าคุณเอกำลังเฮิร์ทมาก อีกไม่นานค่ะทุกอย่างจะเรียบร้อยมันจะกลายเป็นปุ๋ยจมดินไปเลย จะไม่มีใครเห็นซากของมันอีก...อย่างนั้นใช่ไหมคะ...ที่นี่มีที่มากมายให้ฝังมัน...”“เมื่อไหร่มันจะมา” คำถามของสาวิตต์เลื่อนลอย“ใจเย็นหน่อยค่ะ ยังไงซะมันก็จะต้องมา”“มันทำกับพี่เจ็บปวดนัก...” เขาหลับตาลง “รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”“จะไม่มีใครรู้...” หล่อนลูบบ่าของเขาเบาๆ ด้วยมือที่เหลืออยู่ปลอบโยนเขา “มิ่งสัญญาว่าจะเอาตัวมันมาให้”“แล้วยายมินล่ะ...”“ขายมันซิ คุณเอ...หลังจากจัดการหมอนั่นแล้ว เอายายมินไปขาย” น้ำเสียงของมิ่งขวัญเหี้ยมเกรียม เขาแหงนหน้ามอง “มิ่งพูดจริงๆ นะ ไม่
“คุณมินเป็นอะไร...”แตะตัวมินตาแล้วก็พอว่าไม่ขยับสักนิด ปรางเงยหน้าหล่อนได้เห็นสาวิตต์นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง สีหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างไม่เห็นมาก่อนเลยหันกลับมามองมิ่งขวัญก็เห็นสีหน้าแย้มเยาะประหลาดนัก“คุณมินสลบนะคะ”“ฉันให้แกมาดู ไม่ได้ให้มาพูดมาก แกมีหน้าที่คอยพยาบาลเอาไว้ แต่แกห้ามยุ่งมากไปกว่านี้อีก”“ค่ะ”“พาเข้าไปในห้องนอนซะ”มิ่งขวัญออกคำสั่ง แล้วหล่อนจึงเดินเข้ามาหาสาวิตต์...จับมือของเขาไปบีบเหมือนจะให้กำลังใจแก่เขา“มิ่งเข้าใจว่าคุณเอกำลังเฮิร์ทมาก อีกไม่นานค่ะทุกอย่างจะเรียบร้อยมันจะกลายเป็นปุ๋ยจมดินไปเลย จะไม่มีใครเห็นซากของมันอีก...อย่างนั้นใช่ไหมคะ...ที่นี่มีที่มากมายให้ฝังมัน...”“เมื่อไหร่มันจะมา” คำถามของสาวิตต์เลื่อนลอย“ใจเย็นหน่อยค่ะ ยังไงซะมันก็จะต้องมา”“มันทำกับพี่เจ็บปวดนัก...” เขาหลับตาลง “รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”“จะไม่มีใครรู้...” หล่อนลูบบ่าของเขาเบาๆ ด้วยมือที่เหลืออยู่ปลอบโยนเขา “มิ่งสัญญาว่าจะเอาตัวมันมาให้”“แล้วยายมินล่ะ...”“ขายมันซิ คุณเอ...หลังจากจัดการหมอนั่นแล้ว เอายายมินไปขาย” น้ำเสียงของมิ่งขวัญเหี้ยมเกรียม เขาแหงนหน้ามอง “มิ่งพูดจริงๆ นะ ไม่