เขาก้าวเข้ามา...พอดีกับพิมสุดาเบือนหน้ามาช้าๆ เธอยิ้มให้กับเขา ยิ้มสวยเหมือนนางฟ้าที่ศิลาคุ้นเคยดี เป็นยิ้มที่พิมสุดาให้กับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ยิ้มแบบเสแสร้งอันใดเลย
ชุดผ้าเพ้นท์ลายกล้วยไม้อ่อนหวานเข้ากันได้ดีกับชุดโซฟาสีครีมและหมอนอิงโทนสีน้ำตาลหวานนุ่มนวล...พิมสุดางดงามเสมอ ดวงหน้าของเธอเนียนด้วยเครื่องสำอางไม่มากและไม่น้อยเกินไป
ยังสวยพริ้ง...และสาวแฉล้มราวกับไม่ใช่วัยห้าสิบกระนั้น
“ไปไหนมาจ๊ะ”
คำทักทายอ่อนโยนัก
“ลักษมีนัดทานมื้อเที่ยง”
“อือม์...” เสียงรับคำอือออ “เป็นไงบ้างล่ะ แม่ดาราดังนั่น”
“ก็ย่ำแย่ฮะ ยังไม่ยอมเลิกสักที”
“นี่แหละน้า เป็นทาสแล้วก็ยากจะถอนตัว เตือนๆ หน่อยซิ ไม่อยากจะเห็นอนาคตที่รุ่งโรจน์ดับวูบ”
“ผมก็เตือนแล้วนะฮะ ไม่รู้จะได้ผลแค่ไหน ถลำลงไปมากแล้วนี่ ผมก็ห่วง”
พิมสุดามองเขาเหมือนจะค้นหา และนั่นทำให้ชายหนุ่มรีบพูดต่อโดยเร็ว
“แค่ห่วงใยฉันท์เพื่อนเท่านั้นฮะ ไม่ได้มีอะไรเกินเลยกัน”
เธอถึงกับหัวเราะออกมา “โธ่...ศิลา ทำราวกับว่าแก้ตัวไม่มีผิด นี่ไม่ได้จ้องจับผิดเธอเลยนะ”
“ไม่รู้ซิ เห็นมองแปลกๆ แล้วยังทำท่าเหมือนคาดคั้นผมซะอีก”
เขานั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน กางแขนออกและพาดศีรษะกับพนักเก้าอี้ พริ้มตาหลับลง เสี้ยวหน้าด้านข้างดูงดงามแข็งแกร่งสมกับเป็นลูกผู้ชาย เธอมองเขาอย่างพึงใจแววตาเหมือนช่างที่มองดูรูปสลักที่ตัวเองได้ทำด้วยมือตัวเองระคนกันอยู่ระหว่างความภาคภูมิใจและหลงใหลได้ปลื้ม
“อยากรู้เท่านั้นเอง ว่าเริ่มจะมองผู้หญิงคนไหนหรือยัง”
“ไม่หรอกฮะ” เขาตอบทั้งที่หลับตาอยู่
“อายุก็มากแล้วนะจ๊ะ แต่งงานมีครอบครัวได้แล้วจะอยู่เป็นโสด ให้สาวพากันหัวใจเต้นถี่อย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน”
“ผมยังไม่พร้อม”
“ก็มีทุกอย่างแล้ว ชื่อเสียงเกียรติยศ บ้างช่องเงินทอง สูตรสำเร็จรูปของผู้หญิงยุคใหม่เชียวนะ เธอน่ะ...รู้ตัวหรือเปล่า”
เขาหัวเราะออกมาแค่นๆ และคำตอบของเขาก็คือ
“บ้านช่องเงินทองน่ะมีเพียบพร้อมอยู่หรอกฮะ แต่ชื่อเสียงเกียรติยศนี่ซิ ผมยังไม่แน่ใจว่าผมมีพอไหม...”
“ศิลา” เสียงเรียกเหมือนปลอบประโลม และราวกับระมัดระวังในถ้อยคำที่จะเอ่ยต่อไปอีก “เราเคยพูดกันเรื่องนี้หลายหนแล้วนี่จ๊ะ เธอเองก็เคยทำท่าเข้าใจ แต่ทำไมตอนนี้ถึงทำท่าหดหู่ใจอย่างนี้”
“หรือฮะ” เขาลืมตาขึ้น ดวงตาเป็นประกาย “ผมทำท่าหดหู่ใจหรอกหรือ”
“ใช่จ้ะ แล้วทำให้น้าใจแป้วไปหมดเลย มันเหมือนกับว่าเธอรังเกียจสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”
“เปล่าเลยฮะ”
เขายื่นมือแตะแขนของเธอเอาไว้ บอกด้วยเสียงหนักแน่น “ผมไม่เคยคิดอย่างนั้น ท่าทางผมอาจจะทำให้น้าแหม่มเสียใจ...แต่ผมภูมิใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ ผมไม่เคยสนใจว่าใครจะมอง จะวิพากษ์วิจารณ์ลับหลังแค่ไหนในเมื่อต่อหน้าไม่มีใครกล้าสักคน...” ระบายยิ้มเยาะไปทั่ว ชายหนุ่มเรียนรู้ได้เจนจบว่า เงินตรานั้นมีอานุภาพมากมายเพียงใด
เงินซื้อได้ทุกอย่าง...กระทั่งความเคารพนับถือ กรุยทางเข้าไปได้ในทุกที่ทุกวงการ
เขารู้สิ่งนี้ด้วยตัวเอง ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมให้กับตัวเองมาช้านาน
“ผมเพียงแต่ยังสะสางเรื่องเก่าๆ ไม่เสร็จสิ้นฮะ ผมกลัวจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง”
หน้านวลใยของพิมสุดาเหมือนจะจางสีลงไป บาดแผลกลางใจของศิลานั้นลึกยาว และเป็นแผลที่เปิดกว้างไม่เคยปิดแผลนั้นลงได้ไม่ว่าเวลาจะผ่านเลยหรือจะทุ่มเทสิ่งใดลงไปก็ไม่เคยปิดแผลนั่นได้สักนิด
“ศิลา น้าขอนะ อย่าหวนกลับไป”
“ผมยอมไม่ได้หรอกฮะ ผมรอเวลามานาน รอเวลาที่ผมพร้อมพอจะกลับไป...ทำให้พวกมันเละเป็นวุ้น”
“แล้วจะได้อะไรขึ้นมา”
“ก็ได้ความสะใจไงล่ะฮะ ผมจะได้เลิกเจ็บปวด น้าแหม่มไม่รู้” เขาพึมพำดึงมือกับมากอดอกตัวเองเอาไว้พริ้มตาหลับลงอีกครั้ง ราวกับจะเก็บซ่อนความปวดร้าวในแววตาเอาไว้มิดชิด เอาไว้เพื่อรับรู้กับตัวเองเท่านั้นเอง “ผมยังฝันร้ายเสมอ...ฝันที่ผมไม่เคยสลัดมันทิ้งไปได้ มันยังอยู่กับผม ฝันร้ายที่ผมไม่เคยลืม มันจะไม่มีวันหาย ถ้าพวกมันยังอยู่ครบหน้า อยู่ดีมีสุข โดยไม่รู้ว่าตัวเคยทำร้ายผมเอาไว้แค่ไหน...แล้วผมก็เจอมันคนหนึ่งแล้วด้วย พอผมจะเริ่มต้นมันก็โผล่มาให้เห็นๆ”
“ใครจ๊ะ”
“ก็สาวิตต์...นายเอ...”
เขาลงเสียงหนักนักหนา “เขาจำผมไม่ได้เลย...สักนิดก็จำไม่ได้ว่าผมเป็นใคร”
“ก็ศิลาเปลี่ยนไปมาก ไม่น่าจะมีใครจำได้ วันนี้เธอไม่เหมือนวันเก่าก่อนนั่นอีกแล้วนะ”
นั่นทำให้ศิลานึกถึงผู้หญิงมอมแมม...แม่สาวที่ใส่เชิ้ตกับกางเกงยีนส์สะพายกระเป๋าใบโต...หน้าตาไม่เติมเสริมแต่งไร้สีสัน และยังเหมือนเดิมกับความพูดมากและท่าทางออกจะนักเลง สีหน้าเขาพลอยอ่อนโยนลงเล็กน้อย แม้หล่อนจะกวนประสาทเขามาตั้งแต่วันวานนี้แล้วก็ตามที
“มีคนจำผมได้คนหนึ่ง”
เขาบอก...หล่อนจำเขาได้ แม้เขาจะไม่ยอมรับ หล่อนก็ยังทำท่าเหมือนปักใจเชื่อ...เขาอยากรู้อีกต่อไปว่าความทรงจำของหล่อนเกี่ยวกับเขาเป็นอย่างไรบ้าง ก็แวดวงคนเก่าๆ ที่เขาไปพบอีกหน มีแต่หล่อนเท่านั้นที่จดจำเขาได้ นอกนั้นได้ลืมเลือนเขาจนหมด...และก็น่าประหลาดนักที่คนซึ่งเคยร้ายกาจและทำร้ายเขามักจะจำเขาไม่ได้
แต่กับหล่อน...ที่ศิลายังจำได้ว่าหล่อนไม่เคยรังแกเขา ไม่เคยพูดจาทำร้ายน้ำใจ กลับจำเขาได้แม่นยำ เพียงแต่เขายังต้องยืนกรานว่าไม่ใช่นายต่อที่หล่อนพร่ำเอ่ยขานอย่างมั่นอกมั่นใจนั่นเลย
“จำที่ผมบอกได้ไหมฮะ เด็กที่ขับรถชนท้ายรถผมบุบเมื่อวานตอนไปโรงพยาบาลน่ะ...เด็กนั่น...กะโปโล บ้าๆ บอๆ แล้ววันนี้ผมได้เจอแกอีก...ผมทวงถามเรื่องที่แกชนคางผม...แกทำยังไงรู้ไหมฮะ น้าแหม่ม” เขาอมยิ้ม ท่าทีอ่อนละมุนลงซึ่งน้อยคนจะได้เห็น จะคุ้นเคยกับศิลาก็เฉพาะบทบาทหน้าเคร่ง ตาคมวับ แต่ประกายตาก็ออกจะดุ และสีหน้าที่ไม่เคยยิ้มแย้มกับใคร
เธอซิคุ้นกับเขา รู้ว่าในความคิดคำนึงยามนี้ของเขากำลังอ่อนโยนและเขาแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
“แกให้เงินผมมาสิบบาท” เขาดึงเอาธนบัตรใบสีน้ำตาลไม่ใหม่นักออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตขาวตัวใย แกว่งธนบัตรนั่นไปมา “สิบบาท ค่ายาขมหนึ่งห่อ...กินแก้ช้ำใน”
“ต๊าย...”
พิมสุดาได้หัวเราะไปด้วย นึกอยากเห็นหน้าเด็กที่ศิลาว่าขึ้นมาเกือบจะทันทีทันใดอยู่เหมือนกัน
“แล้วตอนนั้นศิทำยังไงล่ะ”
“จะทำยังไงล่ะฮะ ก็รับเงินมาใส่กระเป๋า แล้วก็คงจะต้องเก็บเงินนี้เอาไว้ดูเล่นสักหน่อย...แกไม่รู้มังฮะว่าพูดกับใครแบบตลกๆ นี่”
ยังจะเป็นสิ่งค้างคาในใจของเขาไปอีกนานแสนนานทีเดียว เขายังจดจำได้ตั้งแต่ตอนแรกที่ได้พบกันเมื่อวันวาน
ยังจำถ้อยคำที่หล่อนพูดกับเขา และแววตาที่มองราวกับจะค้นหา กับแววตาที่มองใหม่อีกครั้งราวกับหล่อนพอจะรู้แล้วว่าเขาเป็นใครมีฐานะอย่างไร
หล่อนไม่ได้ทำท่าชื่นชมเขาเลยสักนิด...แต่มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งใกล้ชิดหล่อน ที่ชื่นชมเขาเหลือเกิน
“แกยังไม่รู้อะไรอีกหลายอย่าง แล้วผมว่าเมื่อแกรู้แกจะทำท่าตลกกับผมยังไงอีกก็ดีเหมือนกันนะฮะ น้าแหม่มนึกซะว่าเป็นเรื่องคลายเครียด”
เขาหย่อนธนบัตรใบนั้นกลับไปดังเดิมอีกหนหนึ่ง คิดว่าจะเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก
“น้าจะให้ตั้งของว่าง...กินกับน้านะ”
“ผมเพิ่งอิ่มมา”
“น่า...ของว่างนิดหน่อยเอง น้าซื้อติดเข้ามาจากโรงแรม...” จากห้องอาหารดังที่มีชื่อเสียงทางประดิดประดอยอาหารว่างแบบไทยๆ ให้ชวนกินทั้งรูปและรสชาติ
พิมสุดาขึ้นไปเรียกเด็กให้จัดการ...เขามองตามเธอไป...เรือนร่างของพิมสุดายังคงระหงบอบบาง สูงโปร่ง และไม่มีไขมันพอกหนา...พิมสุดาดูแลตัวเองดีเยี่ยม ไม่ปล่อยให้กลายเป็นพะโล้ไปได้
ซึ่งศิลาก็เข้าใจประเด็นนี้ได้เป็นอย่างดี รูปลักษณ์ของพิมสุดาก็คือเครื่องหมายการค้าของเธอเอง...หากเธอไม่งดงามชวนให้ฝันเพ้อถึงแล้วละก้อ อาชีพที่จับทำทุกวันนี้อาจจะไม่สำเร็จงดงามก็เป็นได้ แต่เขาก็รู้จักพิมสุดามากกว่าที่คนอื่นมากมายภายนอกจะได้รู้จักเสียอีก
“ไม่ใช่ห้องนี้”มินตาตัวแข็ง เมื่อเขาเปิดประตูห้องที่หล่อนเป็นคนตกแต่งเพื่อเป็นห้องหอของเขากับมิ่งขวัญหล่อนพยายามจะถอยกลับ แต่ศิลาผลักหล่อนออกเดินไปข้างหน้า“ฉันยอมมาที่นี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ห้องนี้” หล่อนยังเสียงแข็งและมีท่าทีปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“คุณแต่งมันเอง...ก็ใช้เสียเองซิ” เขาบอกนุ่มๆ “ที่ทางของคุณเอง“ฉันทำเพื่อพี่มิ่ง” หล่อนยืนยัน หล่อนรักมิ่งขวัญไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น“แต่มันเป็นสิ่งที่คุณชอบ” เขาดักคอ “ผมรู้ว่ารสนิยมของมิ่งขวัญเกิดจากตัวคุณเป็นหลัก...ลืมซะว่าผมเคยสั่งว่าอย่างไร นั่นเป็นข้ออ้างจะเอาตัวคุณมาทำงานต่างหากเล่า ถ้าผมไม่บอกว่าเป็นห้องหอมีหรือที่คุณจะยอมมาทำ ตอนนั้นคุณชังน้ำหน้าผมจะแย่”“ตอนนี้ก็ใช่”“ผมไม่เชื่อ ไม่มีวันเชื่อ...”เขาปิดประตูไว้ข้างหลังแล้วยืนพิงอยู่อย่างนั้น ตอบหล่อนด้วยถ้อยคำหนักแน่นเขาจะไม่ยอมเสียหล่อนไปศิลาบอกตัวเองว่าเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสมปรารถนาให้จงได้ ต่อให้ยากเท่ายากก็ตามที“เราจะต้องคุยกันตามลำพังสองต่อสองแล้วละ มินตา”เขาบอกด้วยเสียงนุ่มทุ้ม และแน่นอนว่ามีกังวานของความรักอยู่มากมาย เขาไม้ปฏิเสธใจตัวเอง“ไม่...” หล่อนป
พิมสุดามาแล้วกลับไปแล้ว ปล่อยให้มินตาได้ครุ่นคิดตามลำพัง แม้จะมีปรางคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ แต่มินตาก็เหมือนอยู่คนเดียว...หล่อนคิดถึงอนาคตวันข้างหน้าเมื่อไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อ ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้คว้าติดอีกหล่อนจะทำอย่างไรดีนั่นคือสิ่งที่มินตาต้องคิด...มันไม่ใช่เรื่องเล็กเสียด้วย เพราะเท่ากับต้องเอาอนาคตมาเป็นเดิมพัน...อนาคตที่มินตาไม่แน่ใจ และหล่อนก็รู้ว่าเพราะตัวเขานั่นแหละที่ทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมา/////////////////////////////ผู้ชายสองคนต่างวัยแต่มีสายเลือดส่วนหนึ่งเหมือนกันได้เผชิญหน้ากันอีกครั้ง คนแก่ดูจะยิ่งแก่ ในขณะที่คนหนุ่มก็มิได้ทำท่าลำพองว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ ต่างคนต่างมองกันชั่วอึดใจในความเงียบงันแล้วศิลาก็เป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน “สาวิตต์เป็นอย่างไรบ้าง”“ก็ยังเหมือนเดิม...เก็บตัวเอง...และไม่พูดไม่จากับใครเลย”“เขาคงจะหายสักวันหนึ่ง“นั่นคือความหวัง”“ผมจะเอาใจช่วยแล้วกัน”คุณทรงศักดิ์ทำท่าเหมือนไม่คาดคิดเมื่อได้ยินเช่นนั้น“ต่อ...ให้อภัยพ่อกับพี่แล้วใช่ไหม”ชายหนุ่มส่ายหน้า นั่นคือความจริง เขายังไม่อาจจะให้อภัย เพียงแต่เขาคิดว่าเขาจะวางมือในส่วนนี้...หลายปีที่เ
“ไล่ปรางหรือคะ...” มินตาแสนจะตกใจ “ทำไมล่ะคะ ปรางทำผิดตรงไหน”“มันเป็นพวกแกนี่ รับเอาไปซิ นังนั่นมันเลี้ยงไม่เชื่อง หวังว่าที่พูดมานี่แกคงจะเข้าใจนะ”“ค่ะ มินตารับคำ ดวงหน้าสลด ครอบครัวของหล่อนคือซาก...มันคืออดีตที่เหมือนจะเนิ่นนานผ่านมาแล้ว ดวงตาของหล่อนซุ่มไปด้วนน้ำตา ป่วยการจะพูดมากไปกว่านี้อีกเมื่อคุณมารศรีและมิ่งขวัญปั้นปึ่งใส่ มินตามาไหว้พ่อ นั่งพับเพียบอยู่นานจนศิลาต้องเป็นฝ่ายสะกิดหล่อน“กลับดีกว่ามั้ง มินตา...เขาประคองหล่อนลุกขึ้น ท่าทีถนอมเป็นนักหนาบาดตาของมิ่งขวัญสุดขีด หล่อนไม่อาจจะยอมรับออกมาดังๆ ว่าลึกลงไปนั้นหล่อนเจ็บปวดกับการที่ถูกทิ้ง...ทั้งที่หล่อนเคยทระนงในตัวเองมาตลอด ผู้ชายคนนั้นคือชายที่หล่อนรักและเมื่อความจริงเปิดเผยออกมารักกลายเป็นร้าง และขมขื่นที่สุดจะหารสชาติใดมากกว่านี้ ในชีวิตคงจะไม่มีอีกแล้วแน่นอน“แม่คะ...มิ่งตัดสินใจแน่นอนแล้ว พอเสร็จงานพ่อ มิ่งจะไปอยู่เมืองนอก เราไปด้วยกันไหนคะ แม่...เอาบ้านนี้ให้เช่า...ถ้าไม่คิดจะขาย เราคงจะพอมีเงินสักก้อนไปเที่ยวเล่นด้วยกัน พอให้มิ่งหายช้ำใจแล้วค่อยกลับมาใหม่...หรือบางทีเราอยู่ทางโน้นกันเลยก็ได้ มิ่งก็พอจะมีเพื่อนที
ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง และมินตาก็นิ่งงันปราศจากเสียงกรีดร้องจนเขาใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าหล่อนเสียใจแค่ไหนกันการรับรู้ในการสูญเสียหนนี้ มือของเขาลูบไล้เส้นผม“มินตา ได้ยินผมหรือเปล่า”“ก็ดีเหมือนกัน” หล่อนพึมพำออกมา “จะได้จบสิ้นกันแท้จริงๆ”“ไม่....” เขาปฏิเสธเสียงลั่น“เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”“อย่าพูดแบบนี้...ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลัง แล้วเราเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน ที่ผ่านมาผมรู้ว่าผมผิด จะไม่ให้อภัยคนที่รู้สำนึกหรอกหรือ มินตา...ใช่ว่าผมจะไม่เสียใจหรือไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ เพียงแต่ ตอนนั้นความแค้นทำให้ผมบ้าเลือดและลากคุณเข้ามาพัวพันด้วย”“ฉันให้อภัย แล้วก็โยนมันทิ้งเอาไว้ตรงนั้นแหละ...”ศิลากำลังจะพูดอีก แต่เสียงเคาะประตูห้องขัดจังหวะเสียงก่อนและประตูเปิดเข้ามาหลังจากนั้นครรชิตเดินนำหน้าธันวาเข้ามาพร้อมกับกระเช้าดอกไม้ใหญ่ที่บรรจุดอกไม้สวยงามสีสันสดใสชายหนุ่มขยับห่างออกจากเตียงนิดหนึ่ง ครรชิตทักทายและแสดงความห่วงใย ต่อสภาพบาดเจ็บของเขาสักห้านาทีก่อนจะหันไปหามินตา“ไง...มิน หน้าตาเหมือนคนเจ็บหนัก”“เกือบจะตายแต่ไม่ยักจะตาย...”“ประชดใครล่ะนั่น”ถูกดักคอแบบนี้มินตาทำตาวาว “มินไม่มี
สาวิตต์นอนอยู่บนเตียง...ขาของเขาข้างหนึ่งที่ถกขากางเกงขึ้นไปถูกพันด้วยผ้าขาวหนาเปอะ แล้วหน้าตาของเขาก็เหมือนไม่ใช่ลูกชายคนเดิมของเธอ มีรอยช้ำปูดโปนนั่นยังทำใจได้ว่ามันจะหาย แต่ดูซิ...ดูสีหน้าและแววตาของเขามันดูเลื่อนลอย...และมองมาทางเธอย่างว่างเปล่า“เอ...”เธอถลาเข้าไปหาเขา แล้วก็หยุดอีกหนหนึ่ง เมื่อสาวิตต์ทำเหมือนไม่รับรู้ด้วย เขายังมองเบิ่งไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าเธอ คุณสีดาหันขวับมาหาสามี ถามเสียงสั่น“อะไรกันคะนี่ ตาเอเป็นอะไร...ทำไมเขาทำหน้าตาแบบนั้น”คุณทรงศักดิ์โอบบ่าของภรรยาเอาไว้ ร่างแบบบางของเธอสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น“หมอบอกว่าเหมือนเขาจะช็อก พูดกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เป็นพักๆ เหมือนคนสะเทือนใจมากเกินไป”“แล้วแกจะหายไหม”“ต้องอาศัยเวลา แต่ตอนนี้เขาต้องรักษาตัว บางทีอาจจะต้องลางาน...หรืออาจจะต้องถึงขั้นลาออกก็ได้”“ไม่!”เธอร้อง หันมาซบหน้ากับบ่าของสามี นานแล้วที่คนสองคนไม่เคยหันหน้าเข้าหากันอีก ต่างมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง ความบาดหมางในเรื่องเล็กน้อยถูกทำให้ใหญ่มากขึ้น และไม่อาจจะเชื่อมต่อติดกันได้อีกเลยแต่ตอนนี้หัวอกของความเป็นพ่อแม่ที่จะต้องรับผิดชอ
ปืน...มินตาบอกเมื่อเห็นสาวิตต์หยิบมันออกมาวางไว้บนโต๊ะกลมเล็กข้างๆ เก้าอี้ที่เขานั่งลง แววตาที่เขามองดูศิลาทำให้มินตายะเยือกไปตลอดตัว มันบ่งบอกว่าหากเขาจะลั่นไกปืน เขาก็จะทำได้โดยไม่ต้องหยุดคิดชั่งใจอีกเลย มินตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อพูดกับสาวิตต์ดีๆ“คุณเอ ขอให้มินนะ...อย่าถึงกับฆ่ากันเลย...”“บอกแล้วว่าอย่ายุ่ง ไม่ฆ่าเธอด้วยก็บุญเท่าไหร่รึว่าอยากตายตามผัว”“คุณเอจะทำไมได้นะคะ”“ทำไมพี่จะทำไม่ได้ นึกถึงที่มันทำกับพี่ซิ เพราะมัน...” สาวิตต์ชี้มือไปยังศิลาอย่างคั่งแค้น นั่นคือชายที่ร่วมสายเลือดเดียวกัน แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็กึ่งหนึ่งที่เหมือนกัน เขาไม่เคยเชื่อใครพูดอย่างไร เขาก็มักจะหัวเราะขบขันเสียเสมอว่าทุกคนที่พูดนั้น ล้วนแล้วแต่มีอาการทางจิตที่คิดมากเกินการไปเองทั้งนั้น แต่แล้วเขากลับมารู้เป็นคนสุดท้าย รู้เพื่อทำให้โลกที่เคยสวยงามสำหรับเขามันพังทลายลงมาต่อหน้าต่อตาเขาจึงมองหาทางออกใดไม่พบนอกจากทางนี้ ฆ่าศิลาเสีย ก็เท่ากับฆ่าไอ้เด็กเวรคนนั้นด้วย เมื่อหนนั้นมันเลือกรอดได้อาจจะเพราะดวงมันแข็ง แต่คราวนี้ไม่มีวันที่ดวงมันจะแข็งเท่าครั้งนั้นอีก มันจะต้องตายนั่นคือทางที่เขาเลือกให้มั