“ไปไหนมา” มีคนถามหล่อนนับจากเปิดประตูกระจกเข้ามารับไอเย็นระรื่น “หน้าตาเหมือนไปกินรังแตนมา” เพราะหน้าหล่อนเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้จะยังนวลแป้งก็ไม่มีรอยยิ้มแถมยังมีดวงตาขวางๆ เหมือนจะบอกกล่าวผู้พบเห็นอีกด้วยว่า พูดผิดหูหรือมีอะไรขวางตาหล่อนอาจจะอาละวาดก็เป็นได้
“อยากฆ่าคน”
“เฮ้ย...”
เสียงขัดดังลั่น “ได้ติดคุกจนตายปะไร...แกยังเป็นสาวอยู่นา เจ้ามิน...ไปติดคุกแล้วจะเสียดายว่าหมดโอกาสมีผัว”
เท่านั้นเองก็ได้ยินเสียงกรี๊ดของหล่อนไปทั่วหน้า แต่ไม่ยักจะมีใครถือสากลับมีเสียงหัวเราะครื้นเครงประสานกันขึ้นมา
“เออ...ยังกรี๊ดเป็น ยังเป็นผู้หญิงอยู่ว่ะ”
นั่นเท่ากับว่าหล่อนจะถูกยั่วแหย่ หากไม่ยอมยุติ แม้จะทำตาขุ่นหน้าขึงเข้าใส่ก็หาได้มีคนกลัวเกรงหล่อนสักนิด
“ฉันอารมณ์ไม่ดีมาจริงๆ นะ อย่ามายั่ว...เดี๋ยวจะทลายห้องนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง”
“มันเอาจริงว่ะ”
ธันวาก้าวออกมาข้างหน้า มาเอียงคอมองดูเพื่อนสาวอย่างประหลาดใจในพฤติกรรมที่มินตาแสดงออก
มือข้างที่เจ็บยังอยู่ในผ้าพันแผลหนาๆ
“โมโหอะไรนักหนาเล่า มิน” ธันวาทำเสียงปลอบและนั่นทำให้มินตาอารมณ์ดีขึ้นมานิดหนึ่ง “ไอ้พวกปากหมานี่ถือสาได้ที่ไหนกัน มันพูดยั่วเล่น...ว่าแต่วันนี้เมนส์มาหรือไงวะ...”
เท่านั้นเองมินตาก็กระโจนเข้ามาหา แต่ธันวาไวนักที่หลบไปเสียก่อน มินตาเลยได้แต่เอามือเท้าเอวหมับ หล่อนโกรธเสียจนกลายเป็นอารมณ์ขัน เพราะรู้ว่าหากหล่อนยังโมโหอีกต่อไปหล่อนจะถูกยั่วจนไม่เป็นอันได้ทำงานอีก
“นั่นไง...” ธันวาชี้หน้าหล่อน “ก็ไอ้โรคผู้หญิงเมนส์มาทีไรสติก็ลงไปอยู่กับหัวแม่เท้า บ้าเลือดไปเลย กินยาแก้ปวดหรือยัง จะหาให้กิน”
“บ้าซิ...เมนส์ยังไม่มา”
หล่อนเดินไปที่โต๊ะทำงาน พยายามตั้งสมาธิจะทำงานแต่หล่อนก็ถูกรบกวนเสียแล้ว หล่อนเคยเชื่อมั่นอย่างหนึ่งว่าตัวเองควบคุมเรื่องของหัวใจเอาไว้ได้ มันจะไม่มีอาการกำเริบให้ต้องเจ็บปวดเลย แต่หล่อนคาดผิด เล่นกับเรื่องหัวใจ เรื่องความรักไม่ต่างอะไรไปจากเล่นกับไฟเลย สุดท้ายที่เคยคิดว่าจะไม่ร้อนก็ร้อนรุ่มกลายเป็นถูกไฟลวก
หล่อนทำงานไม่ได้จริงๆ ตอนยกมือกุมขมับทั้งสองหน้าตาบูดบึ้งก็ทำให้เพื่อนร่วมงานด้วยกระทุ้งถองให้ดูไปตามๆ กัน แล้วธันวาก็อาสาเป็นแนวหน้าเข้ามาถาม
“มิน...เป็นอะไรกันแน่ ทำท่าเหมือนถูกโลกถล่ม”
หล่อนมองเขา...จะบอกว่าอย่างไรดีเล่า หากบอกว่าหล่อนกำลังมีอาการเหมือนคนอกหัก ก็อาจจะได้ยินเสียงหัวเราะก๊าก กลายเป็นเรื่องโจ๊กของเพื่อนชายถ้วนหน้ากันไปอีก
และนั่นมินตารู้ว่าทำให้หล่อนเสียหน้าอย่างรุนแรงอีกด้วย ซึ่งหล่อนจะยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด
“ฉัน...ฉัน” หล่อนนึกเรื่องจะเบนความสนใจของเพื่อนไปทางอื่นแล้วหล่อนก็นึกออก เมื่อผู้ชายคนนั้นแวบผ่านเข้ามา “นายจำได้ไหม อีตาคนที่เป็นมือขวาเจ้าแม่เนื้อสดน่ะ ฉันเพิ่งเจอเขาอีกนะ...”
“เรอะ” ธันวาตาลุกไปด้วย “หมอนั่นมันให้มินชดใช้ค่าเสียหายอีกหรือเปล่าล่ะ”
“แน่นอน ฉันก็ให้ไปนะ สิบบาท เพราะเขาว่าปากเขาเจ็บ...”
“สิบบาท” ธันวาทวน แล้วมินตาก็พยักหน้าหงึกๆ “คงจะโกรธจนตัวสั่นเชียว เงินสิบบาทสำหรับคนระดับนั้นน่ะมันกระจอกชะมัด”
“ไม่รู้ซิ ก็เห็นเฉยๆนะ”
“กับเรื่องแค่นี้น่ะรึที่อารมณ์เสีย”
“ฉันไปกินข้าวร้านบ้านั่นมา” หล่อนบอกชื่อร้านกับเขา “มันทำยังกะว่าฉันเป็นกุ๊ย ไม่ยอมให้เข้าร้าน”
“แล้วทำไมต้องไปกินข้าวร้านนั้น อ๊ะ...มีกินแพงๆ แล้วไม่ชวนเพื่อนฝูง”
“มีคนเลี้ยงย่ะ...เพื่อนบ้านเก่าแก่ฉัน...เขาจะเลี้ยงฉันก็ไปตามนัด ขืนเอาพวกนายไปด้วย ฉันก็จะโดนด่าเปิงไปเท่านั้น บ๋อยไม่ยอมให้ฉันเข้าร้าน จนอีตานั่นมาถึง...อีตาต่อ...”
“รู้ชื่อเล่นเขาด้วยหรือ”
“ฉันว่าใช่เขานะ...ต้องใช่เขาแน่ๆ อีตาต่อ...เพื่อนเก่าในอดีตของฉัน...ถึงเขาจะเปลี่ยนไปแยะ ฉันก็จำเขาได้ฉันจำคนแม่นนะ...”
“ไม่ใช่มั้ง คนเรานี่เหมือนกันได้ ละม้ายๆ กันบางทีก็ทำให้เราทึกทักผิดคน...”
“คงจะไม่ได้หมายความว่าจะเข้าไปพัวพันกับคนอย่างเขา...อันตรายนะ มิน...เขากับยัยแหม่มน่ะช่วยกันค้าขายเนื้อสดเป็นล่ำเป็นสัน”
“กลัวอะไร กลัวเขาจะเอาฉันไปขายรึ...ก็ดีซิ เผื่อขายออกจะได้ไม่ต้องอยู่ขึ้นคานให้คนที่นี่กระแนะกระแหนอยู่นั่นแล้ว” หล่อนทำเสียงสะบัดๆ ให้รู้ว่าแกล้งทำมากกว่าจะเกิดน้อยใจจริงจัง
“อย่าเข้าใกล้เขา นั่นน่ะอันตรายเกินพอ...ขอเตือนนะ...ด้วยความหวังดี”
///////////////////////////
จากกระจกหน้าต่างบานยาวใสสะอาดนี้ สามารถมองออกไปเห็นอาณาบริเวณด้านหน้าได้จนทั่ว ดังนั้นเมื่อรถยนต์หรูสีเขียวก้านมะลิแล่นเข้ามาจอดนั้น จึงมองเห็นได้เต็มตา...รอยยิ้มน้อยๆ ผุดพรายออกมาเมื่อมองเห็นเจ้าของรถเปิดประตูก้าวลงมา เป็นยิ้มที่บ่งบอกถึงความยินดีเมื่อพบเห็น...และคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันนั้นก็รับรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าถึงเวลาที่จะต้องฉากหลบไปก่อน
“แววไปก่อนนะคะ คุณแหม่ม”
เธอพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้ทักท้วงเอาไว้ และไม่ได้ขยับจากท่านั่งในอิริยาบถสบายๆ เท้าแขนข้างหนึ่งกับแก้ม หันหน้ามองออกไปยังภายนอก ในห้องหับอันแสนสบาย เพดานสูงขึ้นไปให้ลมโกรกเข้ามาได้ยามที่ไม่ได้เปิดแอร์ เป็นห้องที่จัดแต่งตามสไตล์ชอบของเจ้าบ้านโดยแท้ ตรงนี้เป็นมุมของโซฟาหนังนิ่มที่นั่งแล้วแทบจะจมหาย ไม่อยากจะลุกขึ้นมาอีกเพราะความนุ่มสบายเหลือเกิน
“อย่าเพิ่งกลับแล้วกันนะ แวว เดี๋ยวเราค่อยคุยกันต่อแล้วค่ำๆ ฉันจะแวะไปเยี่ยมยัยอ้อยด้วย”
“ค่ะ คุณแหม่ม”
คนรับคำเสียงอ่อนโยนบอกความยำเกรง ทั้งที่หญิงคนออกคำสั่งก็ไม่ใช่คนดุร้ายหรือน่ากลัวสักนิด หากแต่เป็นหญิงสาวใหญ่วัยห้าสิบ...ย่างห้าสิบเอ็ด ห้าสิบกะรัตที่กำลังกรุ่นกลิ่นหอมของแม่ดอกกระดังงาลนไฟ ไม่มีใครรู้ว่ากี่ไฟที่ย่างลนกระดังงาดอกนี้จนขจรขจาย
แต่พิมสุดาก็ก่อให้เกิดความยำเกรงต่อผู้คนของเธอเสมอมา ด้วยความเด็ดขาดเฉพาะตัวและใจที่ถึง กล้าได้กล้าเสีย...
“แวว...”
เขาเรียกหล่อนเอาไว้เสียก่อน หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้น อกใจร้อนได้ทุกครั้งอยากอยู่ใกล้เขาได้เห็นเขา...และรู้ว่าไม่อาจจะครอบครองเป็นเจ้าของเขาได้
“ไปเยี่ยมอ้อยหรือยัง”
“ไปแล้วค่ะ”
“เป็นไงบ้าง ฉันยังไม่ได้แวะไปดูอีกเลย”
“ก็ยังสะลึมสะลืออยู่นะคะ หมอให้ยาระงับประสาทด้วย อ้อยฟุ้งซ่านมากเหลือเกิน”
”คอยเฝ้าๆ เอาไว้หน่อยนะ ฉันน่ะเกรงว่าอ้อยจะคิดสั้นเอาง่ายๆ ลองบ้าได้ถึงขนาดนั้นแล้ว ชีวิตตัวอาจจะไม่ห่วงอีก”
“ค่ะ แววจะดูแลอย่างดีที่สุด นอกจากจ้างพยาบาลพิเศษเฝ้าตลอดแล้ว แววก็ยังไปเฝ้าอยู่ด้วยเมื่อคืนก็ทั้งคืน”
“มิน่า หน้าตาดูโรยๆ บำรุงกำลังตัวเองเอาไว้บ้าง” ในน้ำเสียงนั้นเหมือนห่วงใย แต่แววรัตน์ก็เตือนตัวเองว่าหล่อนจะต้องไม่คิดมากเลยเถิดไป ศิลาห่วงใยคนทุกคนที่ทำงานให้กับพิมสุดา เขาดูแลพวกหล่อนอย่างดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะรักใคร่ไยดีแบบชู้สาว หล่อนต้องไม่คิดทึกทักและตีความเข้าข้างตัวเองหากไม่ต้องการจะเจ็บปวดแก่หัวใจเอง
เขาเดินเลยไปแล้ว แววรัตน์หันมามองตามหลังเขาด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ หล่อนยังจดจำครั้งที่มีความสัมพันธ์กับเขาได้ มันยังกำซาบซ่าน ยังถวิลหา ยังปรารถนาให้เกิดขึ้นอีกสักครั้งหนึ่ง แต่มันก็ช่างเป็นไปได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน มันเป็นเรื่องประเภทที่เรียกได้ว่าครั้งเดียวก็เกินพอ เหมือนสายน้ำที่ไหลล่วงผ่านไปแล้วไม่ไหลย้อนกลับมาทำความเย็นชื่นฉ่ำใจให้อีกแล้ว
ทิ้งไว้แต่ความทรงจำ...
แววรัตน์รู้ว่าหากไม่ใช่ศิลา...ไม่ใช่ผู้ชายที่พิมสุดาหวงแหน...หล่อนจะลองตามตื้อเขา...หล่อนมั่นใจในเสน่ห์และมารยาหญิงของตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเป็นเขาสมชื่อศิลา...ที่ตระหง่านมั่นคงและยังเป็นผู้ชายของพิมสุดา หล่อนจะต้องหักห้ามใจตัวเองไว้เท่านั้น
“ไม่ใช่ห้องนี้”มินตาตัวแข็ง เมื่อเขาเปิดประตูห้องที่หล่อนเป็นคนตกแต่งเพื่อเป็นห้องหอของเขากับมิ่งขวัญหล่อนพยายามจะถอยกลับ แต่ศิลาผลักหล่อนออกเดินไปข้างหน้า“ฉันยอมมาที่นี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ห้องนี้” หล่อนยังเสียงแข็งและมีท่าทีปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“คุณแต่งมันเอง...ก็ใช้เสียเองซิ” เขาบอกนุ่มๆ “ที่ทางของคุณเอง“ฉันทำเพื่อพี่มิ่ง” หล่อนยืนยัน หล่อนรักมิ่งขวัญไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น“แต่มันเป็นสิ่งที่คุณชอบ” เขาดักคอ “ผมรู้ว่ารสนิยมของมิ่งขวัญเกิดจากตัวคุณเป็นหลัก...ลืมซะว่าผมเคยสั่งว่าอย่างไร นั่นเป็นข้ออ้างจะเอาตัวคุณมาทำงานต่างหากเล่า ถ้าผมไม่บอกว่าเป็นห้องหอมีหรือที่คุณจะยอมมาทำ ตอนนั้นคุณชังน้ำหน้าผมจะแย่”“ตอนนี้ก็ใช่”“ผมไม่เชื่อ ไม่มีวันเชื่อ...”เขาปิดประตูไว้ข้างหลังแล้วยืนพิงอยู่อย่างนั้น ตอบหล่อนด้วยถ้อยคำหนักแน่นเขาจะไม่ยอมเสียหล่อนไปศิลาบอกตัวเองว่าเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสมปรารถนาให้จงได้ ต่อให้ยากเท่ายากก็ตามที“เราจะต้องคุยกันตามลำพังสองต่อสองแล้วละ มินตา”เขาบอกด้วยเสียงนุ่มทุ้ม และแน่นอนว่ามีกังวานของความรักอยู่มากมาย เขาไม้ปฏิเสธใจตัวเอง“ไม่...” หล่อนป
พิมสุดามาแล้วกลับไปแล้ว ปล่อยให้มินตาได้ครุ่นคิดตามลำพัง แม้จะมีปรางคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ แต่มินตาก็เหมือนอยู่คนเดียว...หล่อนคิดถึงอนาคตวันข้างหน้าเมื่อไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อ ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้คว้าติดอีกหล่อนจะทำอย่างไรดีนั่นคือสิ่งที่มินตาต้องคิด...มันไม่ใช่เรื่องเล็กเสียด้วย เพราะเท่ากับต้องเอาอนาคตมาเป็นเดิมพัน...อนาคตที่มินตาไม่แน่ใจ และหล่อนก็รู้ว่าเพราะตัวเขานั่นแหละที่ทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมา/////////////////////////////ผู้ชายสองคนต่างวัยแต่มีสายเลือดส่วนหนึ่งเหมือนกันได้เผชิญหน้ากันอีกครั้ง คนแก่ดูจะยิ่งแก่ ในขณะที่คนหนุ่มก็มิได้ทำท่าลำพองว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ ต่างคนต่างมองกันชั่วอึดใจในความเงียบงันแล้วศิลาก็เป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน “สาวิตต์เป็นอย่างไรบ้าง”“ก็ยังเหมือนเดิม...เก็บตัวเอง...และไม่พูดไม่จากับใครเลย”“เขาคงจะหายสักวันหนึ่ง“นั่นคือความหวัง”“ผมจะเอาใจช่วยแล้วกัน”คุณทรงศักดิ์ทำท่าเหมือนไม่คาดคิดเมื่อได้ยินเช่นนั้น“ต่อ...ให้อภัยพ่อกับพี่แล้วใช่ไหม”ชายหนุ่มส่ายหน้า นั่นคือความจริง เขายังไม่อาจจะให้อภัย เพียงแต่เขาคิดว่าเขาจะวางมือในส่วนนี้...หลายปีที่เ
“ไล่ปรางหรือคะ...” มินตาแสนจะตกใจ “ทำไมล่ะคะ ปรางทำผิดตรงไหน”“มันเป็นพวกแกนี่ รับเอาไปซิ นังนั่นมันเลี้ยงไม่เชื่อง หวังว่าที่พูดมานี่แกคงจะเข้าใจนะ”“ค่ะ มินตารับคำ ดวงหน้าสลด ครอบครัวของหล่อนคือซาก...มันคืออดีตที่เหมือนจะเนิ่นนานผ่านมาแล้ว ดวงตาของหล่อนซุ่มไปด้วนน้ำตา ป่วยการจะพูดมากไปกว่านี้อีกเมื่อคุณมารศรีและมิ่งขวัญปั้นปึ่งใส่ มินตามาไหว้พ่อ นั่งพับเพียบอยู่นานจนศิลาต้องเป็นฝ่ายสะกิดหล่อน“กลับดีกว่ามั้ง มินตา...เขาประคองหล่อนลุกขึ้น ท่าทีถนอมเป็นนักหนาบาดตาของมิ่งขวัญสุดขีด หล่อนไม่อาจจะยอมรับออกมาดังๆ ว่าลึกลงไปนั้นหล่อนเจ็บปวดกับการที่ถูกทิ้ง...ทั้งที่หล่อนเคยทระนงในตัวเองมาตลอด ผู้ชายคนนั้นคือชายที่หล่อนรักและเมื่อความจริงเปิดเผยออกมารักกลายเป็นร้าง และขมขื่นที่สุดจะหารสชาติใดมากกว่านี้ ในชีวิตคงจะไม่มีอีกแล้วแน่นอน“แม่คะ...มิ่งตัดสินใจแน่นอนแล้ว พอเสร็จงานพ่อ มิ่งจะไปอยู่เมืองนอก เราไปด้วยกันไหนคะ แม่...เอาบ้านนี้ให้เช่า...ถ้าไม่คิดจะขาย เราคงจะพอมีเงินสักก้อนไปเที่ยวเล่นด้วยกัน พอให้มิ่งหายช้ำใจแล้วค่อยกลับมาใหม่...หรือบางทีเราอยู่ทางโน้นกันเลยก็ได้ มิ่งก็พอจะมีเพื่อนที
ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง และมินตาก็นิ่งงันปราศจากเสียงกรีดร้องจนเขาใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าหล่อนเสียใจแค่ไหนกันการรับรู้ในการสูญเสียหนนี้ มือของเขาลูบไล้เส้นผม“มินตา ได้ยินผมหรือเปล่า”“ก็ดีเหมือนกัน” หล่อนพึมพำออกมา “จะได้จบสิ้นกันแท้จริงๆ”“ไม่....” เขาปฏิเสธเสียงลั่น“เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”“อย่าพูดแบบนี้...ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลัง แล้วเราเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน ที่ผ่านมาผมรู้ว่าผมผิด จะไม่ให้อภัยคนที่รู้สำนึกหรอกหรือ มินตา...ใช่ว่าผมจะไม่เสียใจหรือไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ เพียงแต่ ตอนนั้นความแค้นทำให้ผมบ้าเลือดและลากคุณเข้ามาพัวพันด้วย”“ฉันให้อภัย แล้วก็โยนมันทิ้งเอาไว้ตรงนั้นแหละ...”ศิลากำลังจะพูดอีก แต่เสียงเคาะประตูห้องขัดจังหวะเสียงก่อนและประตูเปิดเข้ามาหลังจากนั้นครรชิตเดินนำหน้าธันวาเข้ามาพร้อมกับกระเช้าดอกไม้ใหญ่ที่บรรจุดอกไม้สวยงามสีสันสดใสชายหนุ่มขยับห่างออกจากเตียงนิดหนึ่ง ครรชิตทักทายและแสดงความห่วงใย ต่อสภาพบาดเจ็บของเขาสักห้านาทีก่อนจะหันไปหามินตา“ไง...มิน หน้าตาเหมือนคนเจ็บหนัก”“เกือบจะตายแต่ไม่ยักจะตาย...”“ประชดใครล่ะนั่น”ถูกดักคอแบบนี้มินตาทำตาวาว “มินไม่มี
สาวิตต์นอนอยู่บนเตียง...ขาของเขาข้างหนึ่งที่ถกขากางเกงขึ้นไปถูกพันด้วยผ้าขาวหนาเปอะ แล้วหน้าตาของเขาก็เหมือนไม่ใช่ลูกชายคนเดิมของเธอ มีรอยช้ำปูดโปนนั่นยังทำใจได้ว่ามันจะหาย แต่ดูซิ...ดูสีหน้าและแววตาของเขามันดูเลื่อนลอย...และมองมาทางเธอย่างว่างเปล่า“เอ...”เธอถลาเข้าไปหาเขา แล้วก็หยุดอีกหนหนึ่ง เมื่อสาวิตต์ทำเหมือนไม่รับรู้ด้วย เขายังมองเบิ่งไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าเธอ คุณสีดาหันขวับมาหาสามี ถามเสียงสั่น“อะไรกันคะนี่ ตาเอเป็นอะไร...ทำไมเขาทำหน้าตาแบบนั้น”คุณทรงศักดิ์โอบบ่าของภรรยาเอาไว้ ร่างแบบบางของเธอสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น“หมอบอกว่าเหมือนเขาจะช็อก พูดกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เป็นพักๆ เหมือนคนสะเทือนใจมากเกินไป”“แล้วแกจะหายไหม”“ต้องอาศัยเวลา แต่ตอนนี้เขาต้องรักษาตัว บางทีอาจจะต้องลางาน...หรืออาจจะต้องถึงขั้นลาออกก็ได้”“ไม่!”เธอร้อง หันมาซบหน้ากับบ่าของสามี นานแล้วที่คนสองคนไม่เคยหันหน้าเข้าหากันอีก ต่างมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง ความบาดหมางในเรื่องเล็กน้อยถูกทำให้ใหญ่มากขึ้น และไม่อาจจะเชื่อมต่อติดกันได้อีกเลยแต่ตอนนี้หัวอกของความเป็นพ่อแม่ที่จะต้องรับผิดชอ
ปืน...มินตาบอกเมื่อเห็นสาวิตต์หยิบมันออกมาวางไว้บนโต๊ะกลมเล็กข้างๆ เก้าอี้ที่เขานั่งลง แววตาที่เขามองดูศิลาทำให้มินตายะเยือกไปตลอดตัว มันบ่งบอกว่าหากเขาจะลั่นไกปืน เขาก็จะทำได้โดยไม่ต้องหยุดคิดชั่งใจอีกเลย มินตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อพูดกับสาวิตต์ดีๆ“คุณเอ ขอให้มินนะ...อย่าถึงกับฆ่ากันเลย...”“บอกแล้วว่าอย่ายุ่ง ไม่ฆ่าเธอด้วยก็บุญเท่าไหร่รึว่าอยากตายตามผัว”“คุณเอจะทำไมได้นะคะ”“ทำไมพี่จะทำไม่ได้ นึกถึงที่มันทำกับพี่ซิ เพราะมัน...” สาวิตต์ชี้มือไปยังศิลาอย่างคั่งแค้น นั่นคือชายที่ร่วมสายเลือดเดียวกัน แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็กึ่งหนึ่งที่เหมือนกัน เขาไม่เคยเชื่อใครพูดอย่างไร เขาก็มักจะหัวเราะขบขันเสียเสมอว่าทุกคนที่พูดนั้น ล้วนแล้วแต่มีอาการทางจิตที่คิดมากเกินการไปเองทั้งนั้น แต่แล้วเขากลับมารู้เป็นคนสุดท้าย รู้เพื่อทำให้โลกที่เคยสวยงามสำหรับเขามันพังทลายลงมาต่อหน้าต่อตาเขาจึงมองหาทางออกใดไม่พบนอกจากทางนี้ ฆ่าศิลาเสีย ก็เท่ากับฆ่าไอ้เด็กเวรคนนั้นด้วย เมื่อหนนั้นมันเลือกรอดได้อาจจะเพราะดวงมันแข็ง แต่คราวนี้ไม่มีวันที่ดวงมันจะแข็งเท่าครั้งนั้นอีก มันจะต้องตายนั่นคือทางที่เขาเลือกให้มั