เทือกเขาหลงเมิ่ง
เทืองเขาสูงเสียดฟ้าถูกปกคุลมด้วยสายหมอกเมฆาเห็นเป็นทะเลหมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณ สายลมเย็นยะเยือกพาดผ่านไปมาอยู่เป็นระยะ กระทบอาภรณ์ขาวจนชายผ้าพลิ้วไหวสะบัดไปมา
เส้นผมสีดำสนิทยาวถึงบั้นเอวถูกเกล้าครึ่งศีรษะปล่อยส่วนปลายให้ทิ้งตัวลงในวันสบายๆ เช่นนี้ มวยผมถูกจัดให้เป็นทรงได้รูปสวยงามเสียบปิ่นปักผมทำจากหยกสีขาว กำลังยืนเอามือไพล่หลังพร้อมหมุนหยกก้อนกลมสีขาวเหมือนกับอาภรณ์ไปมาอยู่ตลอดเวลา พลางทอดสายตามองขุนเขาสูงตรงหน้าที่เพิ่งจะกลับมาพำนักอยู่ได้เพียงแค่สามปีเท่านั้น ร่างสูงใหญ่ท่ามกลางอาภรณ์ขาวสวมใส่อยู่บนเรือนกาย เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลคู่โศก ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มรับกับจมูกโด่งสูงและริมฝีปากหยักได้รูปสวยโครงหน้าประหนึ่งรูปสลัก หล่อเหลางดงามเป็นที่เลื่องลือไปทั่วหล้าว่าเป็นบุรุษรูปงามที่หาพบได้ยากยิ่ง หากแต่บุรุษผู้ลือนามอันเป็นที่กล่าวขานไปทั่วแผ่นดินผู้นี้ กับมีสมญานามที่ผิดไปจากรูปลักษณ์ภายนอกอันงดงามอย่างสิ้นเชิง อุปราชอำมหิต นามเลื่องลือที่ผู้คนต่างสะพรึงกลัวและหวาดหวั่น อุปราชอินอวิ๋นหยางแห่งหยวนเป่ย ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีชีวิตที่ลึกลับและน่าพิศวงเป็นยิ่งนัก ท่ามกลางทะเลหมอกที่ปกคลุมไปทั่วขุนเขาสูง อินทรีทองสื่อสารแหวกว่ายเมฆหมอกหนาดังกล่าว สยายปีกกว้างบินตรงเข้าไปหาอุปราชรูปงามที่กำลังยืนอยู่ด้านนอกของตำหนัก ท่อนแขนใหญ่ยกขึ้นค้างไว้เพื่อรอรับอินทรีทองตัวดังกล่าวกำลังนำข่าวสารสำคัญทั่วทุกสารทิศมารายงาย และถ้าหากเป็นอินทรีทองที่มีกลักไม้ประทับตราประจำพระองค์ของอุปราชลือชื่อ นั้นหมายถึงเป็นข่าวสำคัญที่ส่งมาจากวังหลวง อินทรีทองถูกปล่อยให้บินกลับไปเช่นเดิมหลังจากกลักไม้ถูกถอดออกจากขาของมัน พร้อมข่าวสารที่เขียนใส่ผ้าแพรผืนน้อยรายงานข่าวสำคัญให้แก่อุปราชหนุ่มได้ทรงล่วงรู้ทั้งหมด รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นที่มุมปาก หึหึหึหึ!!! เสียงหัวเราะกึ่งเสียงคำรามดั่งอยู่ในลำคอเมื่ออ่านรายงานบนผ้าแพรผืนนั้นจบลง “เจ้าโตขึ้นมากเลยนะฉวี่เอ๋อ รู้จักวางแผนกำจัดข้าได้แล้ว! ช่างไม่แตกต่างจากบิดาของเจ้าแม้แต่น้อย” อุปราชหน้าหยกกล่าวพร้อมหันกายกลับเข้าพระตำหนัก อินอวิ๋นหยาง อุปราชผู้ลือนามบัดนี้ได้เสด็จกลับมาประทับอยู่ในจวนส่วนพระองค์ซึ่งสร้างขึ้นอยู่กลางเทือกเขาสูงหลงเมิ่งพระองค์พานพบสถานที่แห่งนี้ด้วยความบังเอิญ ด้วยทำเลที่ตั้งลึกลับและอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามยิ่ง ทำให้อุปราชหนุ่มพึงพอพระทัยที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบหนีความวุ่นวาย อีกทั้งเป็นสถานที่ซ่อนเร้นพระองค์ได้เป็นอย่างดียากยิ่งนักที่จะมีผู้ใดล่วงรู้ จึงทรงมีพระบัญชาให้สร้างจวนที่ประทับขึ้นบนเทือกเขาหลงเมิ่งแห่งนี้ จวนแห่งนี้สร้างด้วยไม้ทั้งหมดและกำลังคนที่นำมาสร้าง ล้วนเป็นทหารฝีมือดีที่จงรักภักดีต่ออินอวิ๋นหยางเพียงระยะเวลาแค่หกเดือน จวนขนาดใหญ่บนเนื้อที่นับร้อยหมู่เสร็จสมบูรณ์โดยใช้เวลาสร้างรวดเร็วยิ่งนัก แรงงานจากกองทัพพื้นฐานเดิมคือชาวนาชาวไร่ ชาวประมงและช่างฝีมือต่างๆ ล้วนอยู่ภายในกองทัพของอุปราชรูปงามทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้การสร้างจวนบนเทือกเขาสูงจึงไม่ยากแม้แต่น้อย และจวนดังกล่าวถูกสร้างขึ้นตามพระบัญชาของอินอวิ๋นหยางที่ได้ออกแบบด้วยตัวเอง เต็มไปด้วยความประณีตสวยงามสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรม ตลอดจนถึงความเชื่อดั้งเดิมภายใต้จารีตประเพณีของหยวนเป่ยที่สืบสานต่อๆ กันมา จวนอุปราชผู้ลือนามหรืออีกชื่อหนึ่ง จวนสกุลอินนับได้ว่าตั้งอยู่อย่างลึกลับ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าท่ามกลางเทือกเขาสูงเสียดฟ้าจะมีจวนใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เช่นนั้น และอินอวิ๋นหยางได้เข้ามาพำนักหลังจากหยวนเป่ยปลอดจากสงครามจนก้าวเข้าสู่ปีที่สาม ในเวลานี้ พระองค์ประทับอยู่ที่นี่ตลอดโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ นอกจากกองทหารที่ถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดีจำนวนสามพันนาย ทำหน้าที่คอยอารักขาบริเวณรอบจวนดังกล่าว ในขณะที่กองทัพของพระองค์ล้วนอยู่ในค่ายทหาร และกระจายไปตามเมืองต่างๆ และเฝ้าระวังรักษาชายแดนรวมไปถึงกระจายไปตามแคว้นที่อยู่ภายใต้การปกครอง โดยมีฐานบัญชาทัพที่เมืองอันหยางเต็มไปด้วยกองกำลังทหารสองแสนชีวิตอยู่ภายในนั้นภายใต้พระบัญชาของอุปราชอินอวิ๋นหยางเท่านั้น จึงจะสามารถเดินทัพไปที่ใดๆ ได้ หากไม่มีพระบัญชาจากอุปราชลือชื่อ กองทัพจะไม่เคลื่อนพลออกมาเป็นอันขาด พระตำหนักใหญ่ ซึ่งอยู่ทิศตะวันออกอันเป็นทิศมงคล และยังเป็นที่ตั้งสามารถเห็นเทือกเขาสูงเสียดฟ้าและทะเลหมอกปกคลุมอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะยามเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและในยามเมื่อพระอาทิตย์ตก สวยงามมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมราวกับว่าตำหนักดังกล่าวอยู่บนสวรรค์ไม่มีผิด เป็นตำหนักที่อุปราชหนุ่มโปรดปรานยิ่งนัก “หรงเฉิน!” เสียงเรียกหาคนสนิทดังขึ้นทันทีที่เสด็จกลับเข้าสู่พระตำหนัก ครืดดดด!!!! ประตูทางเข้าถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วพร้อมร่างสูงขององค์รักษ์หรงเฉินก้าวเข้ามาภายในพระตำหนัก “กระหม่อมอยู่ตรงนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มขานรับสั่ง ในขณะที่อินอวิ๋นหยางประทับลงนั่งบนตั่งที่ยกสูงจากพื้นขึ้นมาเล็กน้อย โต๊ะตัวยาวตรงพระพักตร์วางกู่ฉินตัวโปรด บริเวณด้านข้างตั้งโต๊ะตัวเตี้ยสำหรับวางเตาและกาน้ำพร้อมชุดชงชาที่กำลังส่งไอควันขาวพวยพุ่งออกมาอยู่ในขณะนั้น ก่อนจะถูกเทลงถ้วยพร้อมถูกนิ้วมือเรียวของอุปราชรูปงามยกขึ้นจิบอย่างละเมียดละไม อินอวิ๋นหยางนิ่งเงียบไปชั่วขณะด้วยกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ภายในใจ สายตาจับจ้องอยู่ที่หยกสีขาวก้อนกลมขนาดพอดีมือกำลังถูกคลึงไปมายามเมื่อใช้ความคิด ท่ามกลางสายตาของหรงเฉินที่คอยติดตามรับใช้อุปราชหนุ่มตั้งแต่พระองค์มีชันษาเพียงแค่ 15 เท่านั้น จวบจนตอนนี้ชันษาเข้าสู่ปีที่ 29 แล้ว ดังนั้นจึงล่วงรู้ดีว่าหากอินอวิ๋นหยางมีลักษณะเช่นนี้ หมายถึงกำลังวางแผนการอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ “หรงเฉิน!” รับสั่งหาองครักษ์ขึ้นมาอีกครั้ง “พ่ะย่ะค่ะ!” องค์รักษ์คนสนิทขานโดยพลัน “จงทำหน้าที่ส่งสาสน์สำคัญนี้ของข้าไปที่วังหลวง และเข้าพบฝ่าบาทแทนข้าบอกว่า ไม่ปฏิเสธสมรสพระราชทานที่พระองค์มอบให้แต่อย่างใด” สิ้นเสียงของอุปราชหนุ่ม “อะไรนะ! พระองค์ยินยอมสมรสอย่างนั้นเหรอพ่ะย่ะค่ะ!” หรงเฉินเอ่ยถามกลับไปด้วยไม่คาดคิดว่า อุปราชผู้กล้าจะตอบรับได้อย่างง่ายดายเหนือความคาดหมายยิ่งนัก “เหตุใดพระองค์จึงยอมรับสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ! ทรงปฏิเสธได้เหตุใดจึงไม่บอกปัดไปทำไมต้องทำตามความต้องการของฝ่าบาทด้วย นี่คงจะต้องถูกผู้อื่นยุยงมาเป็นแน่” หรงเฉินเอ่ยตามความเห็นของตัวเอง อุปราชรูปงามยังคงยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างละเมียดละไมอยู่เช่นเดิม หากแต่พระเนตรคู่โศกกลับปรากฏสายพระเนตรแข็งกร้าวรังสีอำมหิตลุกโชนขึ้นมาทันทีพร้อมแสยะยิ้มเหยียดออกมาบางๆ “เจ้ายังคิดว่าภายในวังหลวงยามนี้จะหลงเหลือผู้ที่จะสามารถยุแยงอวิ๋นฉวี่ได้อยู่อีกเหรอ ในเมื่อพระเชษฐาของข้าทั้งหมดล้วนถูกฮองไทเฮากำจัดไปหมดสิ้นแล้ว ที่หลงเหลือรอดชีวิตอยู่ก็คือเหล่าพระชายาหม้ายและสนมเท่านั้น ซึ่งล้วนอยู่ทางฝ่ายข้าทั้งสิ้น พวกที่คอยยุแยงเกรงว่าจะเป็นฝ่ายศัตรูที่รวมตัวกันเพื่อจะกำจัดข้าเสียมากกว่า หาไม่แล้วลำพังอวิ๋นฉวี่ไม่กล้าคิดที่จะมอบองค์หญิงจากแคว้นซางและแคว้นต้าเหลียงให้อภิเษกกับข้าหรอก และข้าคิดว่าสองแคว้นนี้กำลังจับมือกันเพื่อหวังโค่นล้มหยวนเป่ย” ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นหรงเฉิน มีประกายตาลุกวาววับขึ้นมาทันที หากอุปราชรูปงามมีรับสั่งเช่นนี้แสดงว่าสายข่าวที่แทรกซึมไปทั่วหล้าได้กรองข่าวมาแล้วเป็นอย่างดี ร่างสูงขององครักษ์หนุ่มทรุดลงนั่งคุกเข่าตรงพระพักตร์อย่างรวดเร็ว “ถ้าเช่นนั้นรับสั่งมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ต้องการให้กระหม่อมลงมืออย่างไรบ้าง” หรงเฉินขันอาสาทันที ใบหน้างามดั่งรูปสลักยกยิ้มตรงมุมปากพร้อมวางถ้วยชาลง บนโต๊ะเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรคนสนิท “ข้าจะทำให้ต้าหยวนและต้าซางล่วงรู้ว่า ผลของการคิดโค่นล้มข้าเพื่อหวังครอบครองหยวนเป่ยจะได้ผลตอบแทนอย่างไรกลับไป องค์หญิงจากสองแคว้นที่ถูกส่งมานั้น ผู้ใดคาดที่ว่าจะมาถึงวังหลวงก่อนให้จัดการฆ่าทิ้ง! ทำให้แนบเนียนเหมือนว่านางตายเอง ผู้ที่ถึงวังหลวงภายหลังผู้นั้นจะถูกส่งตัวมาหาข้าที่นี่!” รับสั่งของอุปราชหนุ่มทำให้หรงเฉินที่กำลังตั้งใจฟังเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์หล่อเหลาตรงหน้าทันที “อะไรนะ! พระองค์จะทรงนำมาที่นี่! จะเป็นการดีอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” หรงเฉินกราบทูลกลับไป “ดีหรือไม่ต่อไปเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง! ข้าจะทำให้นางมีสภาพที่เรียกว่าอยู่ไม่สู้ตาย การที่นางมาที่นี่แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นพระชายาของข้าแต่ก็เพียงในนามเท่านั้น” รับสั่งเต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียมช่างน่าสะพรึงยิ่งนัก ก่อนจะยื่นหยกก้อนกลมสีขาวให้กับหรงเฉินพร้อมมีรับสั่งกำชับ “จงนำหยกขาวนี้ไปยังบ้านที่ตั้งอยู่หลังเขาหลงเมิ่ง ที่นั่นมีคนผู้หนึ่งอยู่ที่นั่นเจ้าจงไปรับของบางอย่างเพื่อนำไปใช้กับองค์หญิงที่จะถูกนำมาหาข้าที่นี่ วิธีใช้ผู้ที่พำนักอยู่หลังเขาจะอธิบายให้เจ้าฟัง ข้าจะส่งอินทรีย์สื่อสารไปให้คนผู้นั้นล่วงรู้ก่อนที่เจ้าจะไปพบ แล้วจงจัดเตรียมสินสอดของข้ามอบให้กับผู้ที่จะมาเป็นพระชายาให้อย่างสมเกียรติด้วย” รับสั่งของอุปราชรูปงามทำให้หรงเฉินขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เหตุใดพระองค์จำต้องจัดหาสินสอดมอบให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หรงเฉินทูลถามกลับไป “ในเมื่ออีกฝ่ายวางแผนหญิงงามล่มเมืองเช่นนี้ ข้าก็จะลงเล่นแก้เหงาสักหน่อย อยู่ว่างๆ มานานสามปีแล้ว ห่างเหินการวางแผนมานาน เกิดเหตุการณ์แบบนี้ทำให้ข้ามีอะไรทำขึ้นมาก็ดีเหมือนกัน ข้าจะทำให้แผนของอวิ๋นฉวี่ที่อุตส่าห์ขบคิดแทบตายเป็นไปด้วยดีตามความคิดของหลานข้า! และจะใช้เหตุการณ์ครั้งนี้ ทวงทุกอย่างของข้ากลับคืน!” รับสั่งคำรามลั่นอยู่ในลำคอ “เช่นนั้นก็หมายความว่าพระองค์....” หรงเฉินกล่าวออกมาเพียงแค่นั้นก็เงียบงันไม่ต้องพูดต่อไปก็ล่วงรู้จนหมดสิ้น “ถึงเวลาที่หยวนเป่ยต้องผลัดเปลี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่ได้แล้ว! ข้าไม่เคยผิดสัญญาตามที่เคยรับปากไว้กับฮองไทเฮาแต่อย่างใดยินดีและเต็มใจที่จะเฝ้าดูแลหยวนเป่ยและอวิ๋นฉวี่อย่างเงียบๆ แต่เพราะหลานข้ากลับเป็นฝ่ายฉีกสัญญาใจที่เคยรับปากไว้กับฮองไทเฮาก่อน เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรักษาสัตย์สัญญาที่เคยให้ไว้เช่นกัน” รับสั่งสุรเสียงเบาแฝงเร้นความผิดหวัง เหตุการณ์ในอดีตหวนคืนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง ในวันที่ฮองไทเฮาส่งพระราชสาสน์กลับมาหาอินอวิ๋นหยางอีกเป็นครั้งที่สองโดยเนื้อความในสาสน์ดังกล่าว ขอร้องพระองค์ให้ดูแลอินอวิ๋นฉวี่อยู่รอดปลอดภัยต่อไป และทรงขอคำมั่นจากอุปราชหนุ่มให้รักษาราชบัลลังก์นี้ตกอยู่กับสายสกุลอินเท่านั้น และถ้าวันใดอวิ๋นฉวี่สมคบกับศัตรูเพื่อหวังกำจัดผู้รักษาราชบัลลังก์หยวนเป่ย ให้อินอวิ๋นหยาง ทำทุกอย่างเพื่อรักษาบัลลังก์นี้ให้อยู่รอดปลอดภัยสืบต่อไปให้ได้ และเพราะด้วยเหตุผลนี้เองจึงทำให้อุปราชหนุ่ม ยินยอมที่จะลงนามในคำสัตย์ปฏิญาณพร้อมกรีดเลือดสาบานส่งกลับไปถวายฮองไทเฮา ซึ่งทันทีที่พระนางได้อ่านพระราชสาสน์จากอินอวิ๋นหยางที่ส่งกลับมาดังกล่าว จึงทำให้พระนางจากไปอย่างสงบและหมดห่วงเพราะเชื่อมั่นว่าตราบใดที่อุปราชหนุ่มผู้นี้ยังคงอยู่บัลลังก์ของหยวนเป่ยจะยังคงอยู่รอดปลอดภัยสืบต่อไป โดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้อินอวิ๋นฉวี่เป็นฝ่ายผิดสัญญาเข้าให้เสียเอง “ดูท่าฉวี่เอ๋อในเวลานี้ไม่แตกต่างไปจากพระเชษฐาของข้าเสียแล้ว อวิ๋นโฉท่านช่างถ่ายทอดสายเลือดความเกลียดชังที่มีต่อข้าไปถึงโอรสของตัวเองได้ถอดแบบกันมาเลยทีเดียว ราวกับว่าเป็นคนเดียวกันไม่มีผิด แต่ก็ดีในเมื่อไม่เคยมีผู้ใดคิดเห็นว่าข้าก็เป็นสายเลือดของเสด็จพ่อเช่นเดียวกัน ในเมื่อหลานชายของข้ากล้ามีความคิดเช่นนี้ได้ก็ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงเอาไว้ดูเล่นอีกต่อไป” อุปราชรูปงามรำพึงอยู่ภายในใจพร้อมมีรับสั่งออกมา “ข้าจะไม่ให้มันผู้ใดที่คิดจะทำลายข้าและหยวนเป่ยมีชีวิตรอดกลับไปสักคน! แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นหลานของข้า ที่มีสายเลือดเดียวกันก็ตาม! ข้าจะให้ต้าซางและต้าเหลียงพังพินาศและล่มแคว้นสิ้นชื่อหายไปจากบันทึกของชนรุ่นหลัง และนางผู้ที่จะก้าวเข้ามาเป็นพระชายาของข้า จะมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย มาที่นี่ได้แต่ออกไม่ได้จะต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะตายคาจวน!!!!” รับสั่งเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวและอำมหิตอย่างยิ่งยวด พระเนตรสีน้ำตาลคู่โศกของบุรุษผู้ลือนาม อุปราชหน้าหยกรูปงามลือเลื่องสำหรับผู้ที่ไม่ล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริง ทว่าในความเป็นจริงแล้วอำมหิตและโหดเหี้ยมเหลือจะกล่าว เพราะนับตั้งแต่จำความได้ต้องใช้ปัญญาของตัวเองทุกวิถีทางเพื่อดิ้นรนให้มีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย ไม่เคยไว้วางใจผู้ใด ไร้รักและเย็นชาเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งบนเทือกเขาภูหิมะ สมชื่อฉายานามอันเลื่องลือ อุปราชอำมหิต วิธีการดังกล่าวเป็นหนึ่งในขั้นตอนการทรมานอย่างหนึ่งที่เต็มไปด้วยความเลือดเย็นยิ่งนักของอุปราชหน้าหยกที่ไม่เหมือนผู้ใดและไม่มีผู้ใดเหมือนกับพระองค์ ที่สามารถคิดแผนการทรมานศัตรูอีกฝ่ายได้อย่างพรั่นพรึง ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นสตรี หรือเด็กไม่เว้นแม้กระทั่งคนชรา อินอวิ๋นหยางผู้นี้ก็ไม่เคยที่จะละเว้นผู้ใด คำตอบของทุกคนที่ได้รับคือ ตายสถานเดียวเท่านั้น!!! และชะตากรรมอันโหดร้ายกำลังคืบคลานเข้าไปใกล้ว่าที่พระชายาที่ถูกส่งมาจากสองแคว้นซึ่งจับมือทำสัญญาต่อกัน หวังที่จะกำจัดอุปราชลือชื่อผู้นี้ให้จงได้ เพื่อหวังเข้าครอบครองหยวนเป่ยอันมั่งคั่งและกองทัพที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งเป็นยิ่งนักเหนือกว่าทุกแคว้นในขณะนั้น ชะตาชีวิตขององค์หญิงพระองค์ใดจะรันทดมากกว่ากัน ระหว่างถูกฆ่าทิ้ง! ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานหรือตกอยู่ในสภาพอยู่ไม่สู้ตายจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ไม่เคยมีผู้ใดรอดพ้นเงื้อมมือของอุปราชผู้นี้ไปได้ ไม่เคยมีเลยแม้แต่เพียงผู้เดียว!เทือกเขาหลงเมิ่งเทืองเขาสูงเสียดฟ้าถูกปกคุลมด้วยสายหมอกเมฆาเห็นเป็นทะเลหมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณ สายลมเย็นยะเยือกพาดผ่านไปมาอยู่เป็นระยะ กระทบอาภรณ์ขาวจนชายผ้าพลิ้วไหวสะบัดไปมาเส้นผมสีดำสนิทยาวถึงบั้นเอวถูกเกล้าครึ่งศีรษะปล่อยส่วนปลายให้ทิ้งตัวลงในวันสบายๆ เช่นนี้ มวยผมถูกจัดให้เป็นทรงได้รูปสวยงามเสียบปิ่นปักผมทำจากหยกสีขาว กำลังยืนเอามือไพล่หลังพร้อมหมุนหยกก้อนกลมสีขาวเหมือนกับอาภรณ์ไปมาอยู่ตลอดเวลา พลางทอดสายตามองขุนเขาสูงตรงหน้าที่เพิ่งจะกลับมาพำนักอยู่ได้เพียงแค่สามปีเท่านั้นร่างสูงใหญ่ท่ามกลางอาภรณ์ขาวสวมใส่อยู่บนเรือนกาย เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลคู่โศก ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มรับกับจมูกโด่งสูงและริมฝีปากหยักได้รูปสวยโครงหน้าประหนึ่งรูปสลัก หล่อเหลางดงามเป็นที่เลื่องลือไปทั่วหล้าว่าเป็นบุรุษรูปงามที่หาพบได้ยากยิ่งหากแต่บุรุษผู้ลือนามอันเป็นที่กล่าวขานไปทั่วแผ่นดินผู้นี้ กับมีสมญานามที่ผิดไปจากรูปลักษณ์ภายนอกอันงดงามอย่างสิ้นเชิง อุปราชอำมหิต นามเลื่องลือที่ผู้คนต่างสะพรึงกลัวและหวาดหวั่น อุปราชอินอวิ๋นหยางแห่งหยวนเป่ย ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีชีวิตที่ลึกลับและน่าพิศว
ฉาด!!!! พระหัตถ์ตบลงบนหน้าขาของพระองค์จนได้ยินเสียงดังอย่างชัดเจน ติดตามด้วยเสียงหัวเราะดักกึกก้องออกมาทันทีไม่รู้ว่าเห็นด้วยกับวิธีการของขันทีคนสนิทหรือเห็นต่างกันแน่“ดี! เจ้าทำได้ดีมากเสี่ยวฉิงจื่อ! ความคิดของเจ้ายอดเยี่ยมช่างตรงกับความต้องการที่อยู่ในภายในใจของข้า! ข้าต้องการให้เสด็จอาตายไปเสียที! ยิ่งเร็วได้เท่าไรยิ่งดีจะได้ไม่ต้องอยู่ขวางทางอำนาจของข้าอีกต่อไป”รับสั่งของฮ่องเต้น้อยทำให้ไส้ศึกจากสองแคว้นผ่อนลมหายใจของตนออกมาทันที รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้า ในที่สุดฮ่องเต้โง่ผู้นี้ก็มีความเห็นคล้อยตามที่คิดจะกำจัดอุปราชอินอวิ๋นหยางเกิดขึ้นภายในจิตใจ ไม่เสียแรงที่เฝ้ายุแยงมานานหลายปีไม่ทำให้ลงแรงไปโดยเปล่าประโยชน์“แต่ว่าแล้วจะเอามือสังหารจากที่ไหนทำงานนี้ได้ ในเมื่อเสด็จอามีวรยุทธสูงมากขนาดนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ได้เลยส่งไปก็ถูกฆ่าดั่งใบไม้ร่วงหล่นโดยเปล่าประโยชน์ และเสด็จอาต้องล่วงรู้ว่าข้าเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ แบบนี้ข้าก็แย่สิดีไม่ดีจะกลายเป็นคนถูกฆ่าเสียเอง เกิดเสด็จอาฉวยโอกาสนี้หาข้ออ้างปลิดชีวิตข้าแล้วชิงบัลลังก์ขอ
“เจ้าให้ข้าพูดแบบนั้นหมายความว่าอย่างไงกันแน่! ข้าไม่เคยต้องการให้คนผู้นั้นแผ่ลูกหลานสายสกุลอินออกมาแม้แต่น้อยตรงกันข้ามจะฆ่าไม่ให้เหลือเสียด้วยซ้ำ! ลูกหลานสายสกุลอินจะต้องมาจากข้าเท่านั้นจึงจะถูกต้อง!” รับสั่งอย่างไม่พอพระทัย“โธ่! ฝ่าบาทไปกันใหญ่แล้ว! อย่าเพิ่งเข้าพระทัยผิดพ่ะย่ะค่ะ ทรงทำความเข้าใจเสียใหม่ว่านี้คือแผนหลอกล่อจึงต้องยกข้ออ้างเช่นนั้นออกมา หาไม่แล้วแผนต่อไปจะสำเร็จได้อย่างไร จะทำให้อุปราชไว้วางพระทัยว่าไม่มีอะไรแอบแฝงก็ต้องยกยอไปก่อนแล้วค่อยจัดการภายหลัง” เสี่ยวฉิงจื่ออธิบายกลับไปพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย“คนผู้นี้ช่างโง่เขลาเสียจริง! ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดข้าจึงทนได้มานานหลายปีเช่นนี้นะไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ” เสี่ยวฉิงจื่อรำพึงอยู่ภายในใจในขณะที่ฮ่องเต้หยวนเป่ยได้ยินคำอธิบายกลับมาเช่นนั้น พระองค์พยักพระพักตร์ขึ้นลงด้วยไม่เห็นต่างจากเสี่ยวฉิงจื่อ“จริงด้วย! จะสังหารเสด็จอาก็ต้องทำให้ไว้วางใจเสียก่อน หาไม่แล้วจะเสียแผนการทั้งหมด ดี! ใช้แผนนี้ดีที่สุดว่าแต่จะทำให้สตรีจากต้าซางและต้าเหลียงเป็นคนของเ
ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าตัวตนดั้งเดิมที่แท้จริงของขันทีผู้นี้หาใช่ชาวหยวนเป่ยโดยกำเนิด ในความเป็นจริงแล้วคือสายลับที่ถูกฮ่องเต้ต้าเหลียงและฮ่องเต้ต้าซางซึ่งจับมือผนึกกำลังหวังโค่นล้มหยวนเป่ย ถูกส่งตัวเข้ามาแทรกซึมคอยหาข่าวภายในราชสำนักหยวนเป่ย เป้าหมายเพื่อหาโอกาสลอบสังหารอุปราชอวิ๋นหยาง และถ้าหากลงมือกับอุปราชผู้นั้นสำเร็จมีหรือชีวิตของอินอวิ๋นฉวี่จะอยู่รอดต่อไปได้นาน ฮ่องเต้หนุ่มจะต้องถูกสังหารตายตามไปด้วยเช่นเดียวกัน ทันทีที่ชีวิตของอินอวิ๋นหยางหลุดลอยออกจากร่างแต่ที่ไม่ลงมือปลงพระชนม์อินอวิ๋นฉวี่ด้วยเพราะ หากอวิ๋นฉวี่สวรรคตลงวันใดแน่นอนว่า แผ่นดินหยวนเป่ยจะต้องตกเป็นของอุปราชผู้กล้าอินอวิ๋นหยางโดยทันที และนั่นจะยิ่งยากกว่าอะไรทั้งหมดหากจะคิดเป็นอิสระและก้าวขึ้นมาครอบครองหยวนเป่ย แทนที่นั้นต้องสืบล่วงรู้จุดอ่อนของอุปราชลือชื่อผู้นี้ให้จงได้รวมไปถึงที่พำนักอันแท้จริงของพระองค์ด้วยไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าแท้จริงแล้วอุปราชผู้นี้ประทับอยู่แห่งหนใดและบริหารแผ่นดินโดยใช้อินทรีทองสื่อสารอันเป็นสัญลักษณ์ของพระองค์ ซึ่งต้าเหลียงและต้าซางรวมไปถึงหยวนเป่ยนั้นต่างรบพุ่งกันมานานเพื
ยุคอดีตแคว้นหยวนเป่ยณ.พระราชวังหลวงภายในแคว้นหยวนเป่ยในเวลานี้อยู่ในสมัยการปกครองของสายสกุลอิน ซึ่งขึ้นมามีอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดินฮ่องเต้แต่ละพระองค์มีทั้งเข้มแข็งและอ่อนแอสลับกันไป และได้นั่งบัลลังก์สืบทอดมานานกว่า 111 ปี จนถึงสมัยอินอวิ๋นฉวี่ขึ้นปกครองแคว้นในขณะที่มีพระชนม์มายุเพียงแค่ 10 พระชันษาเท่านั้นสืบเนื่องจากอดีตฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระราชบิดาเสด็จสวรรคตลงอย่างกะทันหัน ในขณะที่มีพระชนมายุเพียง 27 พระชันษาและขึ้นปกครองแคว้นได้เพียงห้าปีเท่านั้น ด้วยสาเหตุเลือดในพระวรกายเกิดเป็นพิษซึ่งหากเทียบในยุคปัจจุบันคือติดเชื้อในกระแสเลือดนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้องค์ชายอินอวิ๋นฉวี่ ที่ประสูติจากหยางฮองเฮาขึ้นเป็นฮ่องเต้ครองแคว้นด้วยเพราะเป็นพระโอรสเพียงหนึ่งเดียว ส่วนอีกแปดพระองค์นอกนั้นเป็นพระราชธิดาทั้งสิ้นในขณะที่หยางฮองเฮาพระราชมารดา ก็สิ้นพระชนม์ตามพระสวามีไปด้วยเพราะทรงตรอมพระทัย เพียงแค่สามเดือนที่ฮ่องเต้อวิ๋นโฉสวรรคตพระนางก็จากไป จึงทำให้ฮ่องเต้น้อยผู้ครองแคว้นหยวนเป่ย ซึ่งยังเยาว์วัยยิ่งนักต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว พระองค์เหลือเพียงฮองไทเฮาเสด็จย่า แล
ทันใดนั้นเอง“ข้ารอเจ้ามานานแสนนานแล้ว! มาหาข้า! ข้ารอเจ้าอยู่ที่จวนเดียวดาย! รอเจ้าที่จวนเดียวดาย” เสียงดังกล่าวกึกก้องออกมาจากภาพวาดที่อยู่ในมือของนักร้องสาวคนดังและเธอก็ได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน“ไม่จริง! มันจะต้องไม่เป็นความจริง! ฉันต้องหูฝาดแน่ๆ ต้องไม่ใช่! ไม่ใช่!!!”ในขณะที่เสียงจากภาพวาดยังคงดังกึกก้องออกมาอย่างไม่ขาดสาย“มาหาข้า! ข้ารอเจ้าที่จวนเดียวดาย!” เสียงเรียกนั้นเริ่มดังขึ้นพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับหยางเฟยอี้ตุบ! ภาพวาดที่กำลังถืออยู่มือร่วงหล่นลงพื้นอย่างรวดเร็ว เมื่อนักร้องสาวมีอาการหายใจไม่ออกขึ้นมาอย่างกะทันหัน หยางเฟยอี้พยายามที่จะหายใจทางปากแต่กลับทำให้เจ็บแปลบเข้าที่หัวใจจนไม่สามารถทำให้เธอหายใจได้เป็นปกติอะ...โอ๊ยยยยย!!! มือเรียวสวยยกขึ้นจับศีรษะของเธอทันทีเมื่อเสียงร้องเรียกดังกล่าวทำให้นักร้องดังมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงพร้อมเริ่มมีอาการหายใจไม่ออกอย่างเฉียบพลัน“ชะ...ช่วย...ช่วยด้วย...หะ...หายใจ...ไม่ออก!!!” สิ้นเสียงตะกุกตะกักที่เธอพยายามสื่อสารให้กับเจ้าหน้าที่ต