“เจ้าให้ข้าพูดแบบนั้นหมายความว่าอย่างไงกันแน่! ข้าไม่เคยต้องการให้คนผู้นั้นแผ่ลูกหลานสายสกุลอินออกมาแม้แต่น้อยตรงกันข้ามจะฆ่าไม่ให้เหลือเสียด้วยซ้ำ! ลูกหลานสายสกุลอินจะต้องมาจากข้าเท่านั้นจึงจะถูกต้อง!” รับสั่งอย่างไม่พอพระทัย
“โธ่! ฝ่าบาทไปกันใหญ่แล้ว! อย่าเพิ่งเข้าพระทัยผิดพ่ะย่ะค่ะ ทรงทำความเข้าใจเสียใหม่ว่านี้คือแผนหลอกล่อจึงต้องยกข้ออ้างเช่นนั้นออกมา หาไม่แล้วแผนต่อไปจะสำเร็จได้อย่างไร จะทำให้อุปราชไว้วางพระทัยว่าไม่มีอะไรแอบแฝงก็ต้องยกยอไปก่อนแล้วค่อยจัดการภายหลัง” เสี่ยวฉิงจื่ออธิบายกลับไปพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “คนผู้นี้ช่างโง่เขลาเสียจริง! ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดข้าจึงทนได้มานานหลายปีเช่นนี้นะไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ” เสี่ยวฉิงจื่อรำพึงอยู่ภายในใจ ในขณะที่ฮ่องเต้หยวนเป่ยได้ยินคำอธิบายกลับมาเช่นนั้น พระองค์พยักพระพักตร์ขึ้นลงด้วยไม่เห็นต่างจากเสี่ยวฉิงจื่อ “จริงด้วย! จะสังหารเสด็จอาก็ต้องทำให้ไว้วางใจเสียก่อน หาไม่แล้วจะเสียแผนการทั้งหมด ดี! ใช้แผนนี้ดีที่สุดว่าแต่จะทำให้สตรีจากต้าซางและต้าเหลียงเป็นคนของเราได้อย่างไรกัน เกิดพวกนางไม่ร่วมมือด้วยแผนก็แตกกันหมดพอดี” รับสั่งถาม และประโยคดังกล่าวทำให้เสี่ยวฉิงจื่อรีบเสนอแผนการออกมาทันทีที่สบโอกาส “เรื่องนั้นฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวล ขอให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะองค์หญิงจากสองแคว้นที่ถูกส่งมาจะต้องร่วมมือด้วยอย่างแน่นอน เพราะสตรีที่ถูกส่งมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นกำพร้าด้วยกันทั้งสิ้นจากการถูกอุปราชยกทัพโจมตีแคว้น อีกทั้งสองแคว้นสูญเสียชีวิตชาวเมืองไปมากจากการถูกสั่งฆ่าล้างเมืองรวมไปถึงสังหารเชื้อพระวงศ์ชายไปจนหมดสิ้น ที่เหลือรอดชีวิตอยู่ในเวลานี้ก็ตกในสภาพอยู่ไม่สู้ตาย” “เป็นเช่นนั้นก็ดีข้าจะได้วางใจ” รับสั่งพลางยิ้มกว้างออกมาเต็มที่กับแผนกำจัดอาของตัวเอง “แต่เดี๋ยวก่อน!” รับสั่งพร้อมยกพระหัตถ์ขึ้นเมื่อทรงคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “แล้วถ้าเสด็จอาไม่ยอมรับองค์หญิงทั้งสองแคว้นที่ข้ามอบสมรสพระราชทานให้จะทำอย่างไรต่อไปดีละ เมื่อครั้งที่เสด็จย่าทรงมีพระบัญชาให้กลับคืนวังหลวงยังไม่ยอมมาเลย นับประสาอะไรกับข้าที่เป็นเพียงแค่หลานเท่านั้น” ฮ่องเต้หนุ่มเกิดอาการฮึดฮัดขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงจุดนี้ขึ้นมาพร้อมเสียงของเสี่ยวฉิงจื่อดังขึ้น “เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงเป็นกังวลในเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อเวลานี้ทรงเป็นเจ้าชีวิตของทุกคนในหยวนเป่ยรวมไปถึงแคว้นที่ตกอยู่ภายใต้การปกครอง ฝ่าบาทเสียเวลาเขียนพระราชสาสน์แจ้งความต้องการของพระองค์และต้องการมอบองค์หญิงทั้งสองแคว้นให้องค์อุปราชได้เชยชมเพราะความหวังดี โดยทรงเขียนย้ำไปว่าขออย่าให้องค์อุปราชปฏิเสธน้ำใจของฝ่าบาทในครั้งนี้เลยเพื่อแทนคุณที่ทรงช่วยดูแลพระองค์และทรงทำทุกอย่างเพื่อหยวนเป่ย ขอให้ทรงรับไว้เชื่อเถอะว่าองค์อุปราชจะต้องรับไว้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” อินอวิ๋นฉีทรงนั่งครุ่นคิดตาม พลางหันกลับไปทอดพระเนตรเสี่ยวฉิงจื่อ “เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเสด็จอาจะรับข้อเสนอจากข้าและยินยอมอภิเษกสมรสองค์หญิงต่างแคว้นอย่างแน่นอน เอาความมั่นใจมาจากไหนเสี่ยวฉิงจื่อ” รับสั่งถามกลับไปด้วยความแปลกใจพลางครุ่นคิดตาม ไส้ศึกจากสองแคว้นมองใบหน้าฮ่องเต้หยวนเป่ยอยู่ชั่วชณะ เมื่อถูกถามกลับมาเช่นนั้น “คนผู้นี้เริ่มรู้จักคิดและไตร่ตรองแล้วหรือนี่ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีความฉลาดขึ้นมาได้” เสี่ยวฉิงจื่อคิดในใจพร้อมเอ่ยกราบทูล “เหตุที่กระหม่อมคิดเช่นนั้น นั่นก็เพราะว่าฝ่าบาทคือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของหยวนเป่ย ไม่ใช่พระนัดดาขององค์อุปราชอีกต่อไป ทรงขึ้นปกครองบัลลังก์อย่างสมบูรณ์มีสิทธิและความชอบธรรมในทุกอย่าง ในขณะที่องค์อุปราชคือผู้สำเร็จราชการแทนเท่านั้นและมีหน้าที่จะต้องคืนพระราชอำนาจทุกอย่างให้แก่พระองค์” ฮ่องเต้หนุ่มมีสีพระพักตร์เปลี่ยนไปทันทีเมื่อทรงได้ยินขันทีจอมสอพลออธิบายกลับมาเช่นนั้น “จริงสิ! ตอนนี้ข้าคือฮ่องเต้ของหยวนเป่ย ไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ ที่จะต้องคอยฟังคำสั่งคนอื่นๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้นข้าจะใช้อำนาจอย่างไรก็ได้!” รับสั่งพลางพยักพระพักตร์ขึ้นลงพร้อมเสียงของเสี่ยวฉิงจื่อดังขึ้น “ด้วยเหตุนี้หากฝ่าบาททรงตั้งพระทัยมอบสมรสพระราชทานให้แต่ถ้าองค์อุปราชปฏิเสธอย่างไม่มีเหตุผลอันสมควร ทั้งที่อายุก็ไม่ใช่น้อยแล้ว หากเทียบบุรุษในวัยเดียวกับองค์อุปราชล้วนมีพระชายารวมไปถึงพระสนมมากมายจนให้กำเนิดโอรสและธิดาก็มากมี ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าใดนัก” เสี่ยวฉิงจื่อยกตัวอย่างเปรียบเปรยให้ฮ่องเต้หนุ่มเข้าใจพลางเหลือบสายตามองตลอดเวลา “ดังนั้นถ้าจะอ้างว่าติดพันศึกสงครามก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะตอนนี้หยวนเป่ยมีแคว้นใต้ปกครองนับร้อยแคว้นเลยทีเดียวและเว้นว่างการทำสงครามมาแล้วสามปี หรือถึงแม้จะทรงมีสตรีเคียงข้างกายจริง แต่จะทรงกังวลไปทำไมในเมื่ออย่างน้อยองค์หญิงจากทั้งสองแคว้นก็ได้อภิเษกเป็นชายารองหรือในฐานะพระสนมตามลำดับ ขอเพียงแค่พวกนางได้เข้าไปใกล้ชิดองค์อุปราชให้ได้เท่านั้นก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ หลังจากนั้นกระหม่อมจะรับหน้าที่จัดการต่อเอง” คำกราบทูลของเสี่ยวฉิงจื่อทำให้อวิ๋นฉวี่ฮ่องเต้พึงพอพระทัยยิ่งนักเมื่อได้ยินเช่นนั้น พระเนตรดำใหญ่ลุกวาวขึ้นมาเมื่อฮ่องเต้หนุ่มคิดแผนการอันแยบยลเพื่อต้องการให้อินอวิ๋นหยางพบกับจุดจบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ หากร้องขอสวรรค์ได้อยากให้ตายลงภายในวันนี้พรุ่งนี้เลยทีเดียว “ถ้าหากเป็นไปได้ข้าอยากให้การแต่งงานของอินอวิ๋นหยางในครั้งนี้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของหยวนเป่ย ว่าอุปราชลือชื่อผู้นั้นท้ายที่สุดแล้วก็ต้องสิ้นชื่อด้วยน้ำมือของข้า ต่อไปทั่วหล้าจะมีแต่เสียงเล่าลือโจษขานอินอวิ๋นฉวี่ฮ่องเต้แห่งหยวนเป่ยไปทั่วแดนดินเท่านั้น!” ฮ่องเต้หนุ่มรับสั่งพร้อมแสยะยิ้มเหยียด ก่อนจะเค้นเสียงหัวเราะในลำคอราวคนเสียสติก็ว่าได้ รับสั่งของฮ่องเต้หยวนเป่ยทำให้เสี่ยวฉิงจื่อยืนมองด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น พร้อมเสียงของอินอวิ๋นฉวี่มีรับสั่งขึ้น “เสี่ยวฉิงจื่อ!” รับสั่งหาขันทีคนสนิท “กระหม่อมอยู่นี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีไส้ศึกส่งเสียงขานรับ แต่แล้วฮ่องเต้หนุ่มกลับต้องหยุดชะงักเมื่อพระองค์ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้อีกแล้ว “เหตุใดจึงหลงลืมไปเสียสนิทว่าอินอวิ๋นหยางรูปงามยิ่งนัก แม้ว่าจะไม่เห็นคนผู้นั้นมานานกว่า 12 ปีแล้วก็ตามแต่ข้าก็โตมากพอและจดจำได้เป็นอย่างดี ว่าเสด็จอารูปงามกว่าเสด็จพ่อและเสด็จอาพระองค์อื่นๆ จนแม้แต่เสด็จพ่อของข้ายังริษยา ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน แม้จะมีอายุที่มากขึ้นแล้วก็ตามและแน่นอนว่าขึ้นชื่อว่าสตรีก็ต้องหลงใหลบุรุษรูปงามด้วยเช่นกัน” ทันทีที่อินอวิ๋นฉวี่รับสั่งออกมาเช่นนั้น เสี่ยวฉิงจื่อคิดออกขึ้นมาทันใด “ฝ่าบาททรงหวั่นเกรงว่าองค์หญิงเชื่อมสัมพันธ์จากสองแคว้นจะหลงใหลอุปราชที่รูปงามอย่างนั้นเหรอ” เสี่ยวฉิงจื่อกล่าวได้เพียงแค่นั้นก็เงียบเสียงลงเมื่อฮ่องเต้หนุ่มมีรับสั่งแทรกขึ้น “ถูกต้อง! ข้าคิดเช่นนั้นรูปโฉมของเสด็จอาแน่นอนว่าสตรีใดที่ได้เห็นจะต้องหลงใหล มีหรือที่จะทำใจลงมือสังหารได้ตรงกันข้ามพวกนางจะต้องทรยศข้า!” รับสั่งของอินอวิ๋นฉวี่ทำให้ไส้ศึกจากสองแคว้นยืนนิ่งไปทันที “ไม่คาดคิดว่าคนผู้นี้จะมีความคิดลึกซึ้งและแยบยลได้ถึงเพียงนี้ ดูท่าจะประเมินฮ่องเต้ผู้นี้ต่ำไปเสียแล้ว” ในขณะที่ไส้ศึกจากสองแคว้นกำลังครุ่นคิดเรื่องของฮ่องเต้หยวนเป่ยพลันได้ยินสุรเสียงพึมพำมีรับสั่งออกมาอีก “มีความเป็นไปได้สูงอย่างมากเลยที่ข้าจะถูกทรยศภายหลัง บุรุษหลงใหลสตรีย่อมทำได้ทุกอย่างก็ไม่ต่างสตรีที่หลงใหลและทุ่มเทให้ทั้งหมดด้วยเช่นกัน ดูท่าแผนคิดจะกำจัดเสด็จอาจะมีข้อด้อยตรงนี้เกิดขึ้นเสียแล้ว ยากนักที่จะสามารถปิดจุดอ่อนที่รู้ทั้งรู้ก็ยังดันทุรังที่จะทำต่อไปอีก” ฮ่องเต้หนุ่มรับสั่งตามที่ทรงใคร่ครวญออกมาอย่างละเอียด “ไม่ยากเลยพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้มีทางออก!” เสียงของเสี่ยวฉิงจื่อดังแทรกขึ้นมาทันใด ควับ! พระพักตร์หันมาทอดพระเนตรทันทีครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น “เจ้าบอกว่าไม่ยากอย่างนั้นเหรอ หาทางออกสำหรับเรื่องนี้ได้อย่างไร” รับสั่งถามกลับไปทันใด เสี่ยวฉิงจื่อพยักหน้าขึ้นลงติดต่อกันพร้อมกราบทูลกลับไป “กระหม่อมรู้จักตัวยาชนิดหนึ่งถูกแปรรูปในลักษณะของกำยาน มีคุณสมบัติพิเศษทำให้ผู้ที่สูดดมกำยานนี้เข้าไปจะเชื่อฟังในคำสั่งของคนที่ใช้กำยานนั้น สามารถสั่งให้ไปทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา ซึ่งกระหม่อมจะนำมาใช้กับองค์หญิงทั้งสองแคว้นตามพระบัญชาของฝ่าบาทเพื่อวางพระทัยได้ว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์ทรยศภายหลังแน่นอน” คำกราบทูลของเสี่ยวฉิงจื่อทำให้ฮ่องเต้หนุ่มน้อยชะงักงันขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “จริงหรือนี่! ยังมีตัวยาที่สามารถสั่งให้ผู้ใดทำอะไรก็ได้ตามคำสั่งหลงเหลืออีกเหรอ ถ้าเป็นเช่นที่เจ้าบอกข้าเพียงแค่นี้แผนของข้าก็สำเร็จลงแล้วได้อย่างง่ายดาย” รับสั่งพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาทันทีกับความฉลาดของพระองค์ “เสี่ยวฉิงจื่อ!” รับสั่งหาขันทีคนสนิท “กระหม่อมอยู่ตรงนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ “เจ้าจงเร่งไปจัดเตรียมแผนการตามที่วางเอาไว้ทุกอย่าง รวมไปถึงนำองค์หญิงจากสองแคว้นเข้ามาพบข้าก่อนที่จะมอบให้แก่อินอวิ๋นหยางผู้นั้น นำเจ้าสิ่งที่สามารถควบคุมพวกนางได้มาให้ข้าด้วย เพื่อบางทีจะได้นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับเรื่องอื่น” รับสั่งของฮ่องเต้น้อยจากหยวนเป่ยทำให้เสี่ยวฉิงจื่อมีความคิดกับฮ่องเต้หยวนเป่ยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่ออินอวิ๋นฉวี่ต้องการตัวยาดังกล่าวเพื่อนำไปใช้หาประโยชน์มากกว่านี้ “ดูท่าฮ่องเต้ผู้นี้จะต้องแสร้งทำตนเป็นคนขลาดเขลาเป็นแน่! ต้องการยาสูตรลับของข้าไปแสวงหาเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอีก” เสี่ยวฉิงจื่อยืนครุ่นคิดอยู่ภายในใจกับรับสั่งของฮ่องเต้หยวนเป่ย ก่อนจะตัดสินใจกราบทูลกลับไป “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง” เสี่ยวฉิงจื่อกราบทูลยกยอเป็นการตบท้ายด้วยเพราะล่วงรู้ดีว่าฮ่องเต้ผู้นี้ชอบให้ผู้คนเยินยอสรรเสริญตัวเองมากที่สุด “ดีมาก! เสี่ยวฉิงจื่อเมื่อเจ้าเข้าใจแล้วเช่นนี้ก็ดี รีบไปจัดการสานต่อความคิดของข้า ลงมือได้เลยยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี” รับสั่งพร้อมลุกจากพระเก้าอี้เสด็จพระดำเนินออกไปจากห้องทรงงาน โดยมีสายตาของเสี่ยวฉิงจื่อมองตามหลังตาไม่กะพริบ “เห็นทีข้าจะต้องระวังตัวเองเอาไว้ให้จงหนักเสียแล้ว อินอวิ๋นฉวี่ดูท่าจะไม่เป็นไปอย่างที่คิดเอาไว้” ไส้ศึกจากสองแคว้นกล่าวออกมาเบาๆ ก่อนจะรีบรุดติดตามเสด็จไปอย่างกระชั้นชิดฉาด!!!! พระหัตถ์ตบลงบนหน้าขาของพระองค์จนได้ยินเสียงดังอย่างชัดเจน ติดตามด้วยเสียงหัวเราะดักกึกก้องออกมาทันทีไม่รู้ว่าเห็นด้วยกับวิธีการของขันทีคนสนิทหรือเห็นต่างกันแน่“ดี! เจ้าทำได้ดีมากเสี่ยวฉิงจื่อ! ความคิดของเจ้ายอดเยี่ยมช่างตรงกับความต้องการที่อยู่ในภายในใจของข้า! ข้าต้องการให้เสด็จอาตายไปเสียที! ยิ่งเร็วได้เท่าไรยิ่งดีจะได้ไม่ต้องอยู่ขวางทางอำนาจของข้าอีกต่อไป”รับสั่งของฮ่องเต้น้อยทำให้ไส้ศึกจากสองแคว้นผ่อนลมหายใจของตนออกมาทันที รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้า ในที่สุดฮ่องเต้โง่ผู้นี้ก็มีความเห็นคล้อยตามที่คิดจะกำจัดอุปราชอินอวิ๋นหยางเกิดขึ้นภายในจิตใจ ไม่เสียแรงที่เฝ้ายุแยงมานานหลายปีไม่ทำให้ลงแรงไปโดยเปล่าประโยชน์“แต่ว่าแล้วจะเอามือสังหารจากที่ไหนทำงานนี้ได้ ในเมื่อเสด็จอามีวรยุทธสูงมากขนาดนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ได้เลยส่งไปก็ถูกฆ่าดั่งใบไม้ร่วงหล่นโดยเปล่าประโยชน์ และเสด็จอาต้องล่วงรู้ว่าข้าเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ แบบนี้ข้าก็แย่สิดีไม่ดีจะกลายเป็นคนถูกฆ่าเสียเอง เกิดเสด็จอาฉวยโอกาสนี้หาข้ออ้างปลิดชีวิตข้าแล้วชิงบัลลังก์ขอ
“เจ้าให้ข้าพูดแบบนั้นหมายความว่าอย่างไงกันแน่! ข้าไม่เคยต้องการให้คนผู้นั้นแผ่ลูกหลานสายสกุลอินออกมาแม้แต่น้อยตรงกันข้ามจะฆ่าไม่ให้เหลือเสียด้วยซ้ำ! ลูกหลานสายสกุลอินจะต้องมาจากข้าเท่านั้นจึงจะถูกต้อง!” รับสั่งอย่างไม่พอพระทัย“โธ่! ฝ่าบาทไปกันใหญ่แล้ว! อย่าเพิ่งเข้าพระทัยผิดพ่ะย่ะค่ะ ทรงทำความเข้าใจเสียใหม่ว่านี้คือแผนหลอกล่อจึงต้องยกข้ออ้างเช่นนั้นออกมา หาไม่แล้วแผนต่อไปจะสำเร็จได้อย่างไร จะทำให้อุปราชไว้วางพระทัยว่าไม่มีอะไรแอบแฝงก็ต้องยกยอไปก่อนแล้วค่อยจัดการภายหลัง” เสี่ยวฉิงจื่ออธิบายกลับไปพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย“คนผู้นี้ช่างโง่เขลาเสียจริง! ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดข้าจึงทนได้มานานหลายปีเช่นนี้นะไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ” เสี่ยวฉิงจื่อรำพึงอยู่ภายในใจในขณะที่ฮ่องเต้หยวนเป่ยได้ยินคำอธิบายกลับมาเช่นนั้น พระองค์พยักพระพักตร์ขึ้นลงด้วยไม่เห็นต่างจากเสี่ยวฉิงจื่อ“จริงด้วย! จะสังหารเสด็จอาก็ต้องทำให้ไว้วางใจเสียก่อน หาไม่แล้วจะเสียแผนการทั้งหมด ดี! ใช้แผนนี้ดีที่สุดว่าแต่จะทำให้สตรีจากต้าซางและต้าเหลียงเป็นคนของเ
ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าตัวตนดั้งเดิมที่แท้จริงของขันทีผู้นี้หาใช่ชาวหยวนเป่ยโดยกำเนิด ในความเป็นจริงแล้วคือสายลับที่ถูกฮ่องเต้ต้าเหลียงและฮ่องเต้ต้าซางซึ่งจับมือผนึกกำลังหวังโค่นล้มหยวนเป่ย ถูกส่งตัวเข้ามาแทรกซึมคอยหาข่าวภายในราชสำนักหยวนเป่ย เป้าหมายเพื่อหาโอกาสลอบสังหารอุปราชอวิ๋นหยาง และถ้าหากลงมือกับอุปราชผู้นั้นสำเร็จมีหรือชีวิตของอินอวิ๋นฉวี่จะอยู่รอดต่อไปได้นาน ฮ่องเต้หนุ่มจะต้องถูกสังหารตายตามไปด้วยเช่นเดียวกัน ทันทีที่ชีวิตของอินอวิ๋นหยางหลุดลอยออกจากร่างแต่ที่ไม่ลงมือปลงพระชนม์อินอวิ๋นฉวี่ด้วยเพราะ หากอวิ๋นฉวี่สวรรคตลงวันใดแน่นอนว่า แผ่นดินหยวนเป่ยจะต้องตกเป็นของอุปราชผู้กล้าอินอวิ๋นหยางโดยทันที และนั่นจะยิ่งยากกว่าอะไรทั้งหมดหากจะคิดเป็นอิสระและก้าวขึ้นมาครอบครองหยวนเป่ย แทนที่นั้นต้องสืบล่วงรู้จุดอ่อนของอุปราชลือชื่อผู้นี้ให้จงได้รวมไปถึงที่พำนักอันแท้จริงของพระองค์ด้วยไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าแท้จริงแล้วอุปราชผู้นี้ประทับอยู่แห่งหนใดและบริหารแผ่นดินโดยใช้อินทรีทองสื่อสารอันเป็นสัญลักษณ์ของพระองค์ ซึ่งต้าเหลียงและต้าซางรวมไปถึงหยวนเป่ยนั้นต่างรบพุ่งกันมานานเพื
ยุคอดีตแคว้นหยวนเป่ยณ.พระราชวังหลวงภายในแคว้นหยวนเป่ยในเวลานี้อยู่ในสมัยการปกครองของสายสกุลอิน ซึ่งขึ้นมามีอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดินฮ่องเต้แต่ละพระองค์มีทั้งเข้มแข็งและอ่อนแอสลับกันไป และได้นั่งบัลลังก์สืบทอดมานานกว่า 111 ปี จนถึงสมัยอินอวิ๋นฉวี่ขึ้นปกครองแคว้นในขณะที่มีพระชนม์มายุเพียงแค่ 10 พระชันษาเท่านั้นสืบเนื่องจากอดีตฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระราชบิดาเสด็จสวรรคตลงอย่างกะทันหัน ในขณะที่มีพระชนมายุเพียง 27 พระชันษาและขึ้นปกครองแคว้นได้เพียงห้าปีเท่านั้น ด้วยสาเหตุเลือดในพระวรกายเกิดเป็นพิษซึ่งหากเทียบในยุคปัจจุบันคือติดเชื้อในกระแสเลือดนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้องค์ชายอินอวิ๋นฉวี่ ที่ประสูติจากหยางฮองเฮาขึ้นเป็นฮ่องเต้ครองแคว้นด้วยเพราะเป็นพระโอรสเพียงหนึ่งเดียว ส่วนอีกแปดพระองค์นอกนั้นเป็นพระราชธิดาทั้งสิ้นในขณะที่หยางฮองเฮาพระราชมารดา ก็สิ้นพระชนม์ตามพระสวามีไปด้วยเพราะทรงตรอมพระทัย เพียงแค่สามเดือนที่ฮ่องเต้อวิ๋นโฉสวรรคตพระนางก็จากไป จึงทำให้ฮ่องเต้น้อยผู้ครองแคว้นหยวนเป่ย ซึ่งยังเยาว์วัยยิ่งนักต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว พระองค์เหลือเพียงฮองไทเฮาเสด็จย่า แล
ทันใดนั้นเอง“ข้ารอเจ้ามานานแสนนานแล้ว! มาหาข้า! ข้ารอเจ้าอยู่ที่จวนเดียวดาย! รอเจ้าที่จวนเดียวดาย” เสียงดังกล่าวกึกก้องออกมาจากภาพวาดที่อยู่ในมือของนักร้องสาวคนดังและเธอก็ได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน“ไม่จริง! มันจะต้องไม่เป็นความจริง! ฉันต้องหูฝาดแน่ๆ ต้องไม่ใช่! ไม่ใช่!!!”ในขณะที่เสียงจากภาพวาดยังคงดังกึกก้องออกมาอย่างไม่ขาดสาย“มาหาข้า! ข้ารอเจ้าที่จวนเดียวดาย!” เสียงเรียกนั้นเริ่มดังขึ้นพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับหยางเฟยอี้ตุบ! ภาพวาดที่กำลังถืออยู่มือร่วงหล่นลงพื้นอย่างรวดเร็ว เมื่อนักร้องสาวมีอาการหายใจไม่ออกขึ้นมาอย่างกะทันหัน หยางเฟยอี้พยายามที่จะหายใจทางปากแต่กลับทำให้เจ็บแปลบเข้าที่หัวใจจนไม่สามารถทำให้เธอหายใจได้เป็นปกติอะ...โอ๊ยยยยย!!! มือเรียวสวยยกขึ้นจับศีรษะของเธอทันทีเมื่อเสียงร้องเรียกดังกล่าวทำให้นักร้องดังมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงพร้อมเริ่มมีอาการหายใจไม่ออกอย่างเฉียบพลัน“ชะ...ช่วย...ช่วยด้วย...หะ...หายใจ...ไม่ออก!!!” สิ้นเสียงตะกุกตะกักที่เธอพยายามสื่อสารให้กับเจ้าหน้าที่ต
วันรุ่งขึ้นรถยนต์คันหรูของโรงแรมชื่อดังที่สองพี่น้องเลือกเข้าพักในเมืองลั่วหยาง วิ่งตรงเข้ามาจอดบริเวณด้านหน้าประตูซึ่งในอดีตผู้คนในสมัยโบราณจะเรียกที่พักอาศัยของเหล่าเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ ขุนนางและคหบดีผู้มั่งคั่งว่าจวนครั้นเมื่อกาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไปจากการเรียกขานเช่นนั้น แปรเปลี่ยนเป็นคฤหาสน์เข้ามาแทนที่ในยุคสมัยปัจจุบันและมีการสร้างบ้านเลียนแบบในยุคโบราณพบเห็นมากมายในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีฐานะทางสังคมที่ดีไม่ต่างอะไรไปจากยุคอดีตแม้แต่น้อย“โอโห่! นี่นะเหรอจวนโบราณทำไมมันถึงได้ใหญ่โตอลังการขนาดนี้ บรรยากาศก็ดูขลังเป็นบ้าเลย” นักร้องสาวพูดพึมพำอยู่คนเดียวสายตามองประตูทางเข้าจวนขนาดมหึมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด“มองผ่านแว่นกันแดดแบบนั้นจะเห็นอะไรชัดไหมนะ” หลี่ยู่บอกน้องสาวของเธอทั้งๆ ที่ยังวุ่นวายหาของในกระเป๋าของน้องสาวอยู่ในขณะนี้หยางเฟยอี้กระดกแว่นกันแดดให้ขยับลงต่ำพลางมองพี่สาวของเธอกำลังรื้อค้นกระเป๋าของเธอช่างดูวุ่นวายเสียจริง“พี่ใหญ่หาอะไรนะ! อะไรหายเหรอ” หญิงสาวถามกลับ